-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
ในเรื่องสั้น หมึกหยดสุดท้าย ที่ผมเขียนเมื่อปี 2535 เปิดเรื่องด้วยงานประกาศผลรางวัลวรรณกรรมยอดเยี่ยม กรรมการประกาศว่า "นวนิยายยอดเยี่ยมประจำปีนี้ได้แก่เรื่อง ฝนหยดเดียว ของ เวทย์ วาทิน"
นักเขียน เวทย์ วาทิน ก็ขึ้นไปรับรางวัล กล่าวว่า "ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมรู้สึกดีใจและเสียใจในโอกาสที่นวนิยายเรื่อง ฝนหยดเดียว ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ผมไม่เคยนึกว่าในชีวิตนี้ผมจะมีโอกาสก้าวขึ้นมาบนเวทีแห่งนี้ แต่ผมจำเป็นที่จะต้องแจ้งแก่ท่านว่า ผมไม่ใช่เป็นคนเขียนหนังสือเรื่องนี้"
(มีสปอยเลอร์พล็อตเล็กน้อย)
ในอีกมุมหนึ่งของโลกวรรณกรรม ตัวละครนักเขียน 'Thelonious (Monk) Ellison' ก้าวขึ้นไปบนเวทีประกาศผลรางวัล และกล่าวว่า "ผมมีเรื่องจะสารภาพ"
นี่คือ American Fiction หนังที่ได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม โค่น Oppenheimer
เรื่องของนักเขียนนวนิยายผิวสีคนหนึ่ง (Jeffrey Wright) ผู้เบื่อหน่ายงานเขียนที่สะท้อนภาพคนผิวดำในสหรัฐฯอย่างผิดๆ (Black stereotype)
งานของเขาได้รับคำชม แต่ขายไม่ดี ครั้งหนึ่งเขาเดินเข้าร้านหนังสือ ถามหาหนังสือของเขาเอง พนักงานพาเขาไปที่มุมหนึ่ง เขาบอกว่า งานของเขาถูกวางผิดหมวด งานของเขาเป็นนวนิยาย ไม่ใช่สารคดี
(นอกเรื่อง : ผมมีประสบการณ์ตรงเป๊ะเลย ครั้งหนึ่งผมพบหนังสือนวนิยาย ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ในหมวดสารคดีประวัติศาสตร์ นับว่ายังโชคดีไม่เอาไปวางในหมวดเรขาคณิต!)
งานล่าสุดของเขาถูกปฏิเสธ "เพราะมันดำไม่พอ"
เขาจึงเลือกทำการบางอย่างเพื่อประชดประชันขำๆ เขียนนวนิยายโดยใช้นามปากกาอื่นคือ Stagg R. Leigh หนังสือได้รับการตีพิมพ์ แต่ผลที่ออกมา กลับไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเจตนาของเขา
American Fiction เป็นหนังแนวเสียดสี ผสม black comedy (black ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงคนผิวสี) มันเป็นหนังดรามาผสมสะท้อนสังคม ผสมกลมกลืนกัน หากตัดส่วนที่เป็น melodrama ออก มันก็คือเรื่องเสียดสีแบบจุกๆ เจ็บๆ คันๆ ดูแล้วหัวเราะหึๆ เป็นระยะ
ที่แปลกก็คือ มันก็สะท้อนสังคมวรรณกรรมบ้านเราไปด้วย
ไม่ว่าอเมริกาหรือเมืองไทย เราต่างตกอยู่ในสภาวะที่เต็มไปด้วยคนอ่านที่อ่านไม่แตก และไม่คิดจะอ่านให้แตก อ่านเพื่อสนองความอยาก (urge) ของการเสพเรื่องเซมๆ ตั้งแต่ฉากแรกที่นักศึกษาไม่สามารถคิด วิเคราะห์ แยกแยะว่าอะไรคือเปลือก อะไรคือแก่น แล้วเดินออกจากห้องเรียน
เป็นหนังฉลาดเรื่องหนึ่ง ถ้าดูแค่ดรามาชีวิต ก็ไม่ต้องคิดมาก แต่ถ้าดูเอาจุกๆ เจ็บๆ คันๆ ก็ต้องคิด วิเคราะห์ แยกแยะไปด้วย
9.5/10
ฉายทางช่อง Primeวินทร์ เลียววาริณ 18-3-24
......................
วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)0- แชร์
- 22
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นพระสำคัญมากรูปหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์ เป็นศิษย์รุ่นแรกของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต มีวัตรปฏิบัติน่าเคารพ ใช้ชีวิตแบบธรรมดา ไม่เคยกระทำตนเป็นผู้วิเศษ
เมื่อใครมาถามเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจอภินิหารทั้งหลาย ท่านจะพูดตัดบท เป็นสัญญาณว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรสนใจ
บางครั้งชาวบ้านชาวเมืองมาขอให้ท่านเลือกวันดี ฤกษ์ยามที่เหมาะสำหรับทำกิจต่าง ๆ ท่านจะบอกว่า “วันไหนก็ได้ วันไหนก็ดี”
วันดีก็คือทุกวัน
ทุกวันก็เป็นวันดีได้ ไม่ต้องรอเทพองค์ไหนมาเสกสร้าง
ในภาพยนตร์เรื่อง Sideways (2004) ตัวละคร ‘ไมล์ส’ เป็นนักเขียนวัยกลางคนผู้ไม่ประสบความสำเร็จ ผ่านการหย่าร้าง มองโลกหม่นหมอง ชีวิตไม่มีอะไรสวยงาม
วันหนึ่งเขาเดินทางไปกับแจ็ค เพื่อนนักแสดงที่กำลังจะแต่งงาน และไปเที่ยวตามประสาชายโสดเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งสองขับรถไปเที่ยวไร่ไวน์แถบ Santa Ynez Valley
ไมล์สต้องการแค่หาที่พักผ่อนสมอง กินอาหารอร่อย และไวน์ดี ๆ ก่อนกลับไปเผชิญโลกแห่งความจริง
ไมล์สพบสาวเสิร์ฟชื่อมายา ทั้งสองคุยกันถูกคอในเรื่องไวน์ เขาเล่าว่าเขาเป็นนักเขียน และยังมอบต้นฉบับให้เธออ่าน
ไมล์สบอกมายาว่า เขามีไวน์แดง 1961 Chateau Cheval Blanc ขวดหนึ่ง
Chateau Cheval Blanc ถือว่าเป็นไวน์ดีที่สุดและแพงที่สุดชนิดหนึ่ง และ 1961 เป็นปีผลิตที่ดีที่สุดปีหนึ่งในศตวรรษที่ 20
เขาบอกว่าเขาจะดื่มไวน์ขวดนี้เมื่อถึงโอกาสพิเศษจริง ๆ
มายาบอกเขาว่า “วันไหนที่คุณเปิด 1961 Chateau Cheval Blanc วันนั้นก็คือโอกาสพิเศษ”
นี่คือการมองมุมกลับได้ หากไวน์อร่อยทำให้เรามีความสุข ทุกครั้งที่เราเปิดไวน์ขวดนั้น มันก็เป็นวันพิเศษ
ไมล์สพบว่าสำนักพิมพ์ปฏิเสธงานของเขา ก็หงุดหงิดใส่ทุกคน
เขายังไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการต่าง ๆ ของเขาเอง
วันหนึ่งไมล์สพบภรรยาเก่ากับสามีใหม่ของเธอโดยบังเอิญ เธอตั้งท้อง เขาจึงยอมรับความจริงว่าเขาไม่มีทางได้เธอคืนมาแล้ว คืนนั้นในร้านฟาสต์ฟูด เขาเปิดขวดไวน์ 1961 Chateau Cheval Blanc เทใส่ถ้วยกระดาษ แล้วเริ่มดื่ม
มันเป็นวันพิเศษ
วันพิเศษของคนทั่วไปคือวันคล้ายวันเกิด วันครบรอบแต่งงาน
เมื่อถึงวันนั้น ก็ไปฉลอง ดื่มไวน์ กินเค้ก ไปร้านอาหารดี ๆ
น้อยคนจะฉลองในวันธรรมดา เพราะมันเป็นวันธรรมดา จึงไม่ต้องฉลอง เราแบ่งแยกวันพิเศษกับวันธรรมดาออกจากกัน แต่เนื่องจากวันพิเศษแบบนี้มีน้อย ดังนั้นเราจึงใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในวันที่เราไม่เห็นความพิเศษ
หากการกินอาหารอร่อยทำให้เรามีความสุข วันที่กินอาหารจานนั้นก็คือวันดี ดังนั้นทุกวันก็สามารถเป็นวันพิเศษได้
เราทำให้วันของคนอื่นเป็นวันพิศษได้เช่นกัน หากเราเอ่ยกับคนรักตอนเช้าว่า “รัก” วันนั้นก็กลายเป็นวันพิเศษสำหรับเขาและเธอ
จริงอย่างที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ว่า “วันไหนก็ได้ วันไหนก็ดี”
ขอให้วันนี้เป็นวันพิเศษอีกวันของผู้อ่านครับ
........
จาก กอดหนาม หนังสือกำลังใจเล่มใหม่ / วินทร์ เลียววาริณ
ตอนนี้มีโปรโมชั่นพิเศษ แถม Mini Tao ฉบับ Limited Edition
ซื้อทางเว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/243/%28S11%29%20%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%20+%20%E0%B8%9B%E0%B8%8E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%8C%20%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1%20Mini%20Taoซื้อทาง Shopee https://shope.ee/1qEAFwkFjK?share_channel_code=6
0- แชร์
- 23
-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
สองวันนี้มีผู้อ่านเขียนมาถามว่า เรื่อง 2475 รวมเล่มแล้วยัง
ก็แจ้งไปว่ามันอยู่เล่ม ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม 3 เล่าที่มาของเหตุการณ์ 2475 ผลต่อเนื่อง เกร็ดอื่นๆ เช่น สมุดปกเหลือง กบฏบวรเดช และอีกหลายๆ รัฐประหาร เป็นเรื่องที่คนไทยควรรู้
เรื่องที่ลงให้อ่านย่อมาแล้ว ต้นฉบับยาวกว่านี้
ก็ถือโอกาสนี้แจ้งให้ทราบว่า ตอนนี้ยังมีโปรโมชั่นคุ้มมาก คือ ชุด ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม 1-5 (5 เล่ม) + วีรบุรุษที่เราลืม (ชุด H1) ราคาปก 1,605.- เหลือเพียง 1,000 บาท ทุกเล่มมีลายเซ็นนักเขียน
สั่งจาก Shopee คลิก https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6
0- แชร์
- 22
-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
(ต่อเรื่อง ๒๔๗๕ อีกหน่อย)
วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ รัชกาลที่ ๗ ทรงมีพระราชหัตถเลขาจากประเทศอังกฤษ เป็นจดหมายสละราชสมบัติ
ข้อความท่อนหนึ่งว่า "ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใดคณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร
บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่า ความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎรมีสิทธิออกเสียงในนโยบายของประเทศโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติและออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอสละสิทธิ์ของข้าพเจ้าทั้งปวงซึ่งเป็นของข้าพเจ้าอยู่ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ แต่ข้าพเจ้าสงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งปวงอันเป็นของข้าพเจ้าแต่เดิม ก่อนที่ข้าพเจ้าได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์...
"ข้าพเจ้ามีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ไม่สามารถจะยังประโยชน์ให้แก่ประชาชน และประเทศชาติของข้าพเจ้าต่อไปได้ตามความตั้งใจและความหวัง ซึ่งรับสืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คงได้แต่ตั้งสัตย์อธิษฐานขอให้ประเทศสยามจงได้ประสบความเจริญและขอประชาชนชาวสยามจงได้มีความสุขสบาย"
ชาวไทยส่วนใหญ่เรียนจากห้องเรียนว่า ระบอบประชาธิปไตยถือกำเนิดในรัชสมัยรัชกาลที่ ๗ แต่ความจริงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ก็ทรงเริ่มปูทางสำหรับระบอบประชาธิปไตยแล้ว
ในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงมีกระแสรับสั่งว่า ทรงปรารถนาให้พระราชโอรสองค์โตคือรัชกาลที่ ๖ เป็นผู้มอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยแก่คนไทย
เมื่อทรงศึกษาในอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯจึงทรงเรียนรู้ระบอบใหม่นี้ ทรงครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้น โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุ ร.ศ. ๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔)
ร.ศ. ๑๓๐ เป็นความพยายามครั้งแรกที่จะปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองสยามโดยนายทหารและปัญญาชนกลุ่มหนึ่ง แต่กระทำไม่สำเร็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่ากระทำโดยสุจริตใจ จึงให้ละเว้นโทษประหารชีวิต ภายหลังก็พระราชทานอภัยโทษทุกคน
ทรงรู้ดีว่าช้าหรือเร็วเมืองไทยก็ต้องเปลี่ยนการปกครอง จึงทรงมีพระราชปรารภว่า เมื่อครองราชย์ครบสิบห้าปี จะมอบสิทธิ์ปกครองบ้านเมืองให้ประชาชนมีส่วนมีเสียง แต่ทรงเห็นว่าพสกนิกรชาวสยามเวลานั้นยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิทธิและหน้าที่ ซึ่งเป็นรากฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ในเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. ๒๔๖๑ ทรงทดลองจำลองรูปแบบระบอบประชาธิปไตยในพื้นที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เรียกว่า ดุสิตธานี บนพื้นที่ประมาณสามไร่ ดุสิตธานีประกอบด้วยตึกรามบ้านช่อง พระราชวัง ที่ทำการรัฐบาล วัด โรงเรียน โรงพยาบาล โรงทหาร ธนาคาร สถานีตำรวจ ตลาดร้านค้า ธนาคาร โรงละคร ประมาณ ๒๐๐ หลัง
ดุสิตธานีปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย มีพระธรรมนูญการปกครอง มีพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และสภาการเมือง ทว่าปรากฏเสียงวิพากษ์ว่า “การสร้างเมืองจำลองดุสิตธานี เป็นการเล่นอย่างหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เหมือนกับการเล่นละครเท่านั้น”
ครั้นถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๗ ก็ทรงสืบทอดความคิดนี้ โปรดเกล้าฯให้พระยาศรีวิสารวาจา (หุ่น ฮุนตระกูล) ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศกับ เรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ ร่วมร่างรัฐธรรมนูญ
ทั้งเมืองจำลองดุสิตธานีของรัชกาลที่ ๖ และความพยายามร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๔ ของรัชกาลที่ ๗ ไม่อาจหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
รัชกาลที่ ๗ ทรงตัดสินพระทัยพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเลี่ยงการสูญเสียเลือดเนื้อ
เมื่อเสด็จกลับจากหัวหินสู่พระนครแล้ว ทรงเรียกผู้ก่อการเข้าเฝ้าในวันที่ ๒๖ มิถุนายน และพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวในวันรุ่งขึ้น
การชิงอำนาจครั้งนั้นเป็นการก้าวล่วงที่ทำให้พระองค์โทมนัสยิ่ง
หนังสือ สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ของ ม.จ. พูนพิศมัย ดิศกุล เล่าว่า เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระยาศรีวิสารวาจา ตรัสว่า “ตาหุ่น แกรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าฉันจะให้รัฐธรรมนูญ ทำไมจึงต้องทำให้ฉันอับอายเขาถึงเช่นนี้”
พระยาศรีวิสารวาจาก็ร้องไห้ ทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้รู้เห็นด้วยเลยจริง ๆ”
หลายคน ณ ที่นั้นก็ร้องไห้เช่นกัน
เมื่อทุกคนกลับไปหมดแล้ว ในหลวงก็ประชวรพระวาโยถึงสลบ ต้องฉีดยาถวายการพยาบาลทั้งคืน
หนังสือเล่มเดียวกันนี้เล่าว่าในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นวันพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ทางราชการจัดงานฉลองใหญ่โต ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ทรงลงพระปรมาภิไธยด้วยพระหัตถ์สั่น
ก่อนหน้านั้นทรงสั่งให้ยกพระแท่นมนังคศิลาของพระร่วงเจ้าออกไปจากวังหลวง อย่าให้พระองค์ต้องประทับนั่ง และอย่าให้ทรงพระสังวาลย์ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ เพราะพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองพระองค์ได้กู้บ้านกู้เมือง พระองค์ทรงรู้สึกว่าไม่สมควรประทับนั่งบนพระแท่นและทรงพระสังวาลย์นั้น
การพระราชทานรัฐธรรมนูญจึงเกิดขึ้นบนพระแท่นจำลอง
ในเวลาต่อมา ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ทรงรำพันอยู่เสมอว่า “ฉันกลัวตายไปเจอะปู่ย่าตายายเข้าจริง ๆ ท่านคงจะกริ้วว่ารับของท่านไว้ไม่อยู่เป็นแน่”
ครั้นถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๗๖ ทรงได้รับข่าวลับเตือนว่า อย่าเสด็จกลับกรุงเทพฯ เพราะพวกทหารนำโดยพระยาทรงสุรเดชจะยึดรถไฟพระที่นั่งที่บางซื่อ แล้วจะบังคับให้ทรงลาออกอย่างพระเจ้าซาร์ เพื่อเปลี่ยนเมืองไทยเป็นรีพับลิก
เมื่อทรงทราบ ในหลวงก็ตรัสแก่พระยามโนปกรณ์ฯ นายกรัฐมนตรีว่า ต้องทรงเชื่อ เพราะพระยาทรงสุรเดชเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมมาเข้าเฝ้า
พระยามโนฯจึงขอให้พระยาทรงสุรเดชมาเข้าเฝ้า และกราบบังคมทูลรับรองว่าจะไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้
ในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๗๖ มีข่าวนายถวัติ ฤทธิเดช ผู้นำกรรมกรรถราง ยื่นฟ้องพระปกเกล้าฯต่อสภาผู้แทนราษฎรว่าพระปกเกล้าฯหมิ่นประมาทตน โดยอ้างถึงพระบรมราชวินิจฉัยเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐมนูธรรม มีข้อความตอนหนึ่งพาดพิงถึงผู้นำกรรมกรรถรางว่า “การที่กรรมกรรถรางหยุดงานนั้น หาใช่เกิดการหยุดเพราะความเดือดร้อนจริงจังอันใดไม่ ที่เกิดเป็นดังนี้นั้นก็เพราะมีคนยุให้เกิดการหยุดงานขึ้น เพื่อจะได้เป็นโอกาสให้ตั้งสมาคมคนงาน และตนจะได้เป็นหัวหน้า และได้รับเงินเดือนกินสบายไปเท่านั้น”
ในเดือนถัดมาเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช ผู้ก่อการได้หยิบข่าวนายถวัติฟ้องพระปกเกล้าฯ เป็นข้ออ้างหนึ่งของการยึดอำนาจ
ต่อมานายถวัติได้เข้าเฝ้าพระปกเกล้าฯถึงสงขลาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษในการที่ได้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และได้รับพระราชทานอภัยโทษ
ไม่นานก็มีเสียงนินทาติเตียนในหลวงว่าเป็นคนขี้ขลาด เสด็จไปไหนก็พกปืนเล็กติดพระองค์ หลายคนหัวเราะเยาะว่า “ปืนเล็กขนาดนี้ทำอะไรได้”
ม.จ. พูนพิศมัย ดิศกุล เล่าว่า ได้ยินในหลวงตรัสว่า “ปืนนี้มีอยู่สองลูก ลูกหนึ่งสำหรับหัวหญิง (สมเด็จพระราชินี) ก่อนหนึ่งลูก แล้วฉันเองหนึ่งลูกเป็นเสร็จ เพราะถ้าจะจับฉันบังคับให้เซ็นอะไรที่หลอกลวงราษฎรแล้ว เป็นยิงตัวตาย”
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นทำให้พระหทัยสลาย เพราะทรงไม่เห็นว่าคณะราษฎรดำเนินไปตามระบอบประชาธิปไตยที่ทรงอยากเห็น เพียงได้รับอำนาจมาอยู่ในมือ ก็เกิดรัฐประหารถึงสามครั้งในปีเดียว
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๖ – ๒๔๗๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เจริญพระราชไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป พร้อมทั้งรับการผ่าตัดรักษาพระเนตร
ก่อนเสด็จไป ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตลอดช่วงเวลาที่ไม่ได้ประทับอยู่ในเมืองไทยนั้น ทรงติดต่อราชการกับรัฐบาลผ่านทางผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ช่วงเวลานั้นทั้งสองฝ่ายมีข้อขัดแย้งหลายประการที่ไปถึงจุดมิอาจแก้ไขได้ จึงทรงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติ ส่งจดหมายสละราชสมบัติลงวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗ มาที่รัฐบาลไทย
แต่เจ้าของจดหมายไม่ได้เสด็จกลับแผ่นดินเกิดอีกเลย
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตที่ประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๘๔ พระชนมมายุ ๔๗ พรรษา ยามนั้นสงครามโลกครั้งที่สองยังดำเนินอยู่ พิธีจัดการพระบรมศพจึงเป็นไปอย่างเรียบง่ายและเงียบเหงา เนื่องจากอังกฤษยังไม่มีวัดไทย ไม่มีพระสงฆ์ จึงไม่มีพิธีสวดใด ๆ มีเพียงนักดนตรีชาวอังกฤษคนหนึ่งบรรเลงไวโอลินคอนแชร์โตของเมนเดลซอห์นซึ่งพระองค์โปรดเป็นพิเศษ
คอนแชร์โตหยุดไปแล้ว
ไวโอลินแห่งประชาธิปไตยสยามยังเล่นเพลงขาดเป็นห้วง ๆ
(ย่อความจาก จดหมายจากอังกฤษ ในหนังสือ ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม ๓ / วินทร์ เลียววาริณ)
0- แชร์
- 22
-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
เย่าซานเหวยเหยี่ยน (751-834) เป็นศิษย์ของอาจารย์สือโถวซีเชียนเกิดที่เจียงโจว มณฑลชานสี แซ่ฮั่น บวชเมื่ออายุสิบเจ็ด เรียนพระสูตรทางพุทธมามาก แต่ไม่รู้ว่าจะบรรลุธรรมที่มีกฎเกณฑ์มากมายเหล่านี้อย่างไร มองไม่เห็นว่าจะชำระตนให้บริสุทธิ์อย่างไรจากการยึดติดกับชุดจีวรและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ดังนั้นเขาจึงจากวัดไป
เขาไปหาสือโถวซีเชียน ถามอาจารย์ว่า "ศิษย์ได้ยินว่าทางภาคใต้สอนแบบ 'ชี้ตรงถึงจิต' เป็นการเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของตน แล้วเมื่อนั้นจึงพบพุทธภาวะ นี่เป็นสิ่งที่ศิษย์ไม่เข้าใจจริง ๆ ขออาจารย์ได้โปรดชี้แนะ"
สือโถวซีเชียนว่า "การเป็นไปทางนี้มิใช่คำตอบ การไม่เป็นไปทางนี้ก็มิใช่คำตอบ ไม่ว่าทางนี้ ทางนั้น ก็ไม่ใช่คำตอบ เจ้าเห็นว่าอย่างไร?"
"ศิษย์ไม่เข้าใจ"
สือโถวซีเชียนกล่าวยิ้ม ๆ ว่า "ดูท่าเจ้าไปไม่ได้ในสถานที่นี้ เจ้าควรไปเยือนหม่าจู่"
เหวยเอี่ยนจึงไปหาหม่าจู่ และถามคำถามเดิม
หม่าจู่กล่าวว่า "บางครั้งอาตมาสอนเรื่องนี้โดยการเลิกคิ้วและกะพริบตา บางครั้งอาตมาไม่สอนเรื่องนี้โดยการเลิกคิ้วและกะพริบตา บางครั้งการเลิกคิ้วและกะพริบตาก็คือคำตอบ บางครั้งก็ไม่ใช่คำตอบ เจ้าเห็นว่าเช่นไร?"
ด้วยคำนี้ เขาพลันตื่น คำนับอาจารย์
หม่าจู่ถามว่า "เจ้าเห็นอะไรหรือจึงคำนับอาตมา?"
เหวยเอี่ยนตอบว่า "เมื่อศิษย์อยู่ที่วัดของอาจารย์ซึโถวซีเฉียน ก็เป็นเช่นยุงที่พยายามกัดโคเหล็ก"
หม่าจู่พยักหน้ายิ้ม ๆ "เช่นนั้นเจ้าก็บรรลุธรรมแล้ว จงรักษามันไว้ให้ดีเถิด"
วันหนึ่งหม่าจู่ถามเขา "เจ้าเรียนรู้เป็นอย่างไรบ้างในช่วงนี้?"
เหวยเอี่ยนตอบว่า "เปลือกทั้งหลายร่วงโรย มีเพียงความจริงที่หลงเหลือ"
"เช่นนั้นเจ้าก็สามารถเป็นอาจารย์เซนได้แล้ว"
.......................
วันหนึ่งเหวยเอี่ยนนั่งบนก้อนหินเฉย ๆ หม่าจู่ถาม "เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ที่นี่?"
"มิได้ทำอะไร"
อาจารย์ยิ้ม เอ่ยว่า "ที่แท้เจ้าก็นั่งหง่าวนี่เอง"
"การนั่งหง่าวก็คือการกระทำบางสิ่ง"
"เจ้าว่าเจ้ากำลังกระทำบางสิ่ง แล้วอะไรคือสิ่งที่เจ้ามิได้กำลังกระทำเล่า?"
"สิ่งที่นักปราชญ์นับพันไม่สามารถรู้แจ้ง"
เมื่อได้ยินเรื่องราวนี้ สือโถวซีเชียนเขียนบทกวีบทหนึ่งชมเชยเขา ความว่า
อยู่ร่วมกัน แต่ไม่รู้นามของมัน
ผ่านชีวิตไปโดยไม่ต้องดิ้นรน ไปตามทางเช่นนั้นเอง
แต่โบราณมา นักปราชญ์นับพันหารู้แจ้งไม่
การค้นหาคำตอบในทุกแห่งหนไหนเลยจะทำให้เข้าใจแม้มิได้บรรลุธรรมด้วยการกำกับของสือโถวซีเชียน แต่เหวยเอี่ยนก็ให้ความเคารพอาจารย์สือโถวซีเชียนอย่างสูง
สือโถวซีเชียนบอกเขาว่า "การพูดไม่อาจเข้าถึงมันได้"
เย่าซานเหวยเหยี่ยนตอบว่า "การไม่พูดก็ไม่อาจเข้าถึงมันได้เช่นกัน"
"ที่นี่ อาตมาไม่อาจปักเข็มใส่มันได้"
"ที่นี่ เป็นเช่นอาตมากำลังปลูกดอกไม้บนก้อนหิน"
สือโถวซีเชียนผงกหัวรับ
เหวยเอี่ยนอยู่กับหม่าจู่สามปี แล้วก็กลับไปอยู่กับซึโถว และในกาลต่อมาก็ลำดับสายทางธรรมของอาจารย์สือโถวซีเชียน
ต่อมาเหวยเอี่ยนก็พักอาศัยที่วัดที่ภูเขาเย่าซานแห่งแคว้นหลี่ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย สมญานาม เย่าซานเหวยเหยี่ยน หรือ เหวยเอี่ยนแห่งเย่าซาน
.......................
เจ้าเมืองนาม หลี่อาว ได้ยินกิตติศัพท์ของอาจารย์เย่าซานเหวยเหยี่ยน จึงนิมนต์ท่านหลายครั้งเพื่อขอรับการสั่งสอน แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดก็ไปหาท่านอาจารย์ที่วัดด้วยตัวเอง เมื่อไปถึง เขาพบว่าอาจารย์นั่งอ่านพระสูตรโดยไม่ไยดีเขา
หลี่อาวฉุนเฉียวโพล่งว่า "ตัวจริงของท่านไม่สมกับชื่อเสียงของท่าน" ว่าแล้วก็เดินจากไป ได้ยินเสียงอาจารย์เอ่ยเบา ๆ ตามหลังมาว่า"ไยท่านจึงให้คุณค่าหูของท่านมากกว่านัยน์ตาเล่า?"
หลี่อาวได้คิด กล่าวขออภัยอาจารย์และถามอาจารย์ว่า "อะไรคือวิถีทางที่แท้?"
อาจารย์ชี้นิ้วขึ้นและลง "เข้าใจหรือไม่?"
"หาเข้าใจไม่"
"เมฆอยู่บนฟ้า น้ำอยู่ในขวด"
หลี่อาวเข้าใจ และคำนับอาจารย์อย่างนอบน้อม
.......................
อาจารย์เย่าซานเหวยเหยี่ยนสอนศิษย์จนนาทีสุดท้ายของชีวิต ยามเมื่อใกล้มรณภาพนั้น ท่านร้องตะโกนว่า "โถงธรรมกำลังพังทลาย! โถงธรรมกำลังพังทลาย!"
ผู้คนทั้งหลายก็วิ่งไปจับยึดเสาไม้ที่ค้ำยันโถงแน่นมิให้มันล้ม
อาจารย์เย่าซานเหวยเหยี่ยนยกมือขึ้น กล่าวว่า "โธ่เอ๋ย! พวกเจ้าไม่เข้าใจ!"
ว่าแล้วก็จากโลกไป
.......................
จาก มังกรเซน ฉบับปรับปรุง (หนังสือเซนที่ต้องค่อยๆ ละเลียด) ตอนนี้มีโปรโมชั่นพิเศษ มังกรเซน + ตัวสุขอยู่ในหัวใจ + เซนที่ไร้เซน + เซนที่ว่างจากเซน (Limited Edition เป็นสมุดเปล่า)
สั่งซื้อได้ที่เว็บไซต์ https://www.winbookclub.com/store/detail/213/ชุดหนังสือออกใหม่%202%20แถม%202 หรือ Shopee (ค้นคำ namol113 หรือ วินทร์ เลียววาริณ)
0- แชร์
- 19