• วินทร์ เลียววาริณ
    0 วันที่ผ่านมา

    ยานวอเยเจอร์ 1 เป็นยานอวกาศลำแรกของมนุษย์ที่เดินทางข้ามระบบสุริยะ ตั้งแต่ปี 1977 ออกไปสู่ความเวิ้งว้างของจักรวาลภายนอก ตอนนี้มันออกพ้นระบบสุริยะ อยู่ใน 'น่านน้ำสากล' ของดาราจักรทางช้างเผือก

    หัวเรี่ยวหัวแรงหนึ่งของโครงการนี้คือนักวิทยาศาสตร์-นักเขียน คาร์ล เซเกน (คนเขียนเรื่อง Contact)

    หลังจากยานวอเยเจอร์ 1 เดินทางเกือบข้ามระบบสุริยะ คาร์ล เซเกน เสนอให้นาซาถ่ายรูปโลก แต่ไม่มีใครเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ ถ่ายภาพโลกจากที่ไกลขนาดนั้น ก็เป็นเพียงภาพโลกจุดเดียว ดูไปทำไม? อีกประการนาซากลัวว่าการถ่ายรูปสวนแสงอาทิตย์อาจทำลายเลนส์ของกล้อง

    คาร์ล เซเกน ล็อบบี้นาซาอยู่หลายปี เพราะเหลือเวลาอีกไม่นาน ยานจะพ้นจุดที่ถ่ายรูปโลกได้แล้ว ในปี 1989 นาซาก็ยอม เพราะยานลำนี้ก็ทำหน้าที่ของมันได้สมบูรณ์ บรรลุเป้าหมายแล้ว

    ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1990 วอเยเจอร์ 1 หันกล้องกลับไปยังโลก ขณะที่ยานอวกาศอายุสิบสามปีสำรวจระบบสุริยะอยู่ห่างจากโลกหกพันล้านกิโลเมตร แล้วถ่ายรูปประวัติศาสตร์ ที่ คาร์ล เซเกน ตั้งชื่อว่า Pale Blue Dot

    ภาพที่ยานวอเยเจอร์ 1 ถ่ายมาเป็นภาพมัว ๆ กลางภาพเป็นจุดสีฟ้าอ่อนเล็ก ๆ จุดหนึ่ง ขนาดจุดนั้นเล็กกว่าหนึ่งพิกเซล จุดนั้นคือโลกของเรานั่นเอง ถ่ายจากที่ไกล 43 เท่าของระยะทางโลกกับดวงอาทิตย์

    เป็นภาพหายาก

    นี่ไม่ใช่ภาพถ่ายเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ มันเป็นภาพเชิงปรัชญามากกว่า

    คาร์ล เซเกน เขียนท่อนหนึ่งในหนังสือ Pale Blue Dot : A Vision of the Human Future in Space ว่า “มองจุดนั้นอีกครั้ง นั่นคือที่นี่ นั่นคือบ้าน นั่นคือเรา บนจุดนั้นทุก ๆ คนที่คุณรัก ทุก ๆ คนที่คุณรู้จัก ทุก ๆ คนที่คุณเคยได้ยินได้ฟัง มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครถือกำเนิดและได้ใช้ชีวิต ผลรวมของความสุขและความทุกข์ของเรา ศาสนา แนวคิด ทฤษฎีเศรษฐกิจนับพัน ๆ แนวทาง นักล่าและคนหาอาหารทุกคน วีรบุรุษและคนขลาดทุกคน ผู้สร้างสรรค์และผู้ทำลายอารยธรรมทุกคน ราชาและชาวนาทุกผู้ หนุ่มสาวในห้วงรักทุกคู่ แม่และพ่อ เด็ก นักประดิษฐ์และนักสำรวจ ครูแห่งจริยธรรม นักการเมืองฉ้อฉล ดารา ผู้นำ นักบุญ คนบาปทุกคนในประวัติศาสตร์ของสายพันธุ์ของเรา อาศัยอยู่ที่นั่น บนธุลีหนึ่งใต้แสงอาทิตย์”

    เมื่อเราเงยหน้ามองฟ้าราตรี จะเห็นดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วน ดาวที่เราเห็นเหล่านี้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของดวงดาวทั้งหมดในทางช้างเผือก

    ทางช้างเผือก (Milky Way) ก็คือชื่อดาราจักรที่เราอยู่

    ดวงอาทิตย์ของเราพร้อมระบบที่ประกอบด้วยโลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ทั้งหลายเหล่านี้อยู่ในแถบ ‘ชานเมือง’ ของทางช้างเผือก ระบบดวงอาทิตย์ของเราโคจรไปรอบทางช้างเผือก ครบหนึ่งรอบราว 230 ล้านปี

    ดวงอาทิตย์ของเราเป็นแค่ขนาดธรรมดา ไม่ใช่พี่ใหญ่ อายุแค่ห้าพันล้านปี มันเกิดขึ้นมาจากธุลีดาวที่เคยเป็นดาวดวงอื่นมาก่อน โลกเราก็เกิดมาอย่างนั้น เราเป็นธุลี เป็นอะตอมมาก่อน แล้วประกอบขึ้นเป็นโลก เป็นสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย

    ทั้งจักรวาลมาจากธุลี

    เมื่อมองโลกด้วยสายตาของจักรวาล เราก็คือธุลี นี่ทำให้เราอดรู้สึกไม่ได้ว่าเรากระจิริดไร้ความหมาย

    วิธีมองแบบนี้ ซึ่งวางบนหลักฐานความจริง ก็เป็นปรัชญาการใช้ชีวิตอย่างหนึ่ง

    ...........

    ทุกครั้งที่มีคนถามผมว่า เชื่อเรื่องชาติภพไหม ผมจะถามกลับไปว่า ‘ชาติภพ’ ที่ว่านี้หมายถึงอะไร

    ถ้าหมายถึงการเกิดใหม่ เช่น ชาติก่อนเป็นหมา ชาตินี้เป็นคน ชาติหน้าเป็นลิง ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลจากกรรม ผมก็ไม่มีความรู้ดีพอจะตอบได้ อีกประการ ถ้าผมเกิดใหม่จริง ก็จำไม่ได้แล้วว่าชาติก่อนเป็นอะไร อีกทั้งผมก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องชาติต่อไป แค่ทำชาตินี้ให้ดีที่สุด ก็เหนื่อยมากแล้ว

    อีกคำถามหนึ่งที่มีคนชอบถามผมคือ คนเราตายแล้วไปไหน เช่นกัน คำตอบคือไม่รู้

    ที่น่าสนใจคือสองคำถามนี้มักผูกติดกันเสมอ

    การที่คนถามเรื่องนี้ก็อาจเพราะติดนิสัยวางแผนเรื่องอนาคต อยากได้อนาคต (ในที่นี้คือชาติต่อไป) ที่ดี ไม่ชอบเรื่องเซอร์ไพรช์ที่ไม่ดี

    มนุษย์แทบทุกอารยธรรมผูกความตายกับเสียงร้องไห้และสีดำ ปลูกฝังมาให้เห็นว่าความตายเป็นเรื่องไม่ดี โตมาแบบนี้ ก็ย่อมกลัวตายเป็นธรรมดา

    บางทีเหตุที่คนจำนวนมากกลัวตาย เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไรจริง ๆ

    เวลาเราต้องรับการผ่าตัด เช่น ตัดไส้ติ่งหรือถุงน้ำดี หมอวางยาสลบ เราก็หมดความรู้สึกในทันที แต่เราไม่กลัวเท่าไร เพราะเรารู้ว่าโอกาสรอดจากการผ่าตัดสูงมาก

    ในทำนองคล้ายกัน หากเรารู้ว่ากำลังจะตาย เราไม่รู้ว่าหลังจากลมหายใจสุดท้ายสิ้นสุด เราจะ ‘ตื่น’ อีกครั้งไหม มีความไม่แน่นอนอะไรรอเราอยู่ คนส่วนมากจึงกลัวตาย หรือพูดได้อีกอย่างคือ กลัวความไม่รู้

    ...............

    (ท่อนหนึ่งจาก หิน 15 ก้อนของ สตีฟ จ๊อบส์ / วินทร์ เลียววาริณ

    หมายเหตุ ตอนนี้มีโปรโมชั่นสามเล่มราคาพิเศษ (ชุด 3 เล่ม S10) ชีวิตที่ดี + หิน 15 ก้อนฯ + เป่ย (ปก 660.- เหลือ 590.- พร้อมลายเซ็นนักเขียน) มีจำหน่ายที่เว็บไซต์ winbookclub.com (คลิกตรง "ซื้อหนังสือ")

    หรือสั่งซื้อทาง Shopee คลิกลิงก์ตามนี้ https://shope.ee/LL9SCqyRl?share_channel_code=6 )

    0
    • 0 แชร์
    • 5
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา
    0
    • 0 แชร์
    • 2
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    คนเกิดในเมืองพุทธย่อมเคยชินกับคำสอนเรื่องความไม่แน่นอน หรือ “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป” เราย่อมคุ้นชินกับอุบายพิจารณาความตายและความเสื่อมอย่างหนึ่งคือ อสุภกรรมฐาน เป็นวิธีพิจารณาความเสื่อมของชีวิต เพื่อให้แลเห็นชีวิตตามความเป็นจริง ครูบาอาจารย์บางคนแนะนำให้ไปนั่งสมาธิในป่าช้า เพื่อให้ได้บรรยากาศ!

    อสุภกรรมฐานมาจากคำว่า อสุภ (ไม่สวย) + กรรมฐาน (ที่ตั้งแห่งการงานหมายเอาอุบายทางใจ) หมายถึงอุบายทางใจโดยพิจารณาสิ่งไม่สวยงาม โดยมากมักหมายถึงซากศพ โดยใช้ซากศพเป็นเครื่องมือในการพิจารณา เพราะซากศพน่าจะเป็นที่สุดของความไม่น่าดูแล้ว

    การพิจารณาอสุภกรรมฐานมีหลายอย่าง หลักการคือมองเห็นซากศพต่าง ๆ ที่ไม่สวยไม่งาม น่าขยะแขยง เพื่อทำให้เราเข้าใจว่า ความเสื่อมของสังขารเป็นอย่างนี้ มันไม่เที่ยง และเกิดขึ้นกับทุกคน

    พิจารณาให้รู้ว่าร่างกายของเราไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็เหี่ยวย่น และเมื่อเราตาย ร่างกายก็เสื่อม เน่าเปื่อย ท้ายที่สุดก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ

    ประโยชน์อย่างหนึ่งของอสุภกรรมฐานคือยับยั้งราคะจริตและความอยาก (ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องเพศเสมอไป) ทำให้ได้สติ เกิดปัญญา

    แต่จุดที่สำคัญก็คือ เพื่อให้เราเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เราเกิดมาเพื่ออยู่ชั่วคราว แล้วจากไป

    ในเรื่องนี้ผมเลือกมองลึกกว่านั้น

    ‘มองลึกกว่า’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่ามีปัญญามากกว่า แต่หมายความตรงคำ คือมองลึกแบบใช้กล้องจุลทัศน์ ส่องลึกลงไปถึงเซลล์ และจินตนาการว่าเรามองลึกไปถึงโมเลกุลและอะตอม

    ผมเรียกเองว่า อะตอมกรรมฐาน

    ยกตัวอย่าง เช่น ผมมองที่นิ้วชี้หรือนิ้วก้อย จินตนาการมองลึกลงไป จะพบว่านิ้วนี้ประกอบด้วยเซลล์ต่าง ๆ มากมาย เมื่อมองลึกลงไปอีก แต่ละเซลล์ก็ประกอบด้วยอะตอมจำนวนมหาศาล นับไม่ถ้วน

    อะตอมเหล่านี้ก็คืออะตอมของธาตุต่าง ๆ เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน คาร์บอน เหล็ก ทอง ฯลฯ

    อะตอมก็เหมือนตัวเลโก้ที่ประกอบเป็นรูปทรงอะไรก็ได้  พวกมันก็คือ building blocks แห่งจักรวาล ตัวเลโก้แห่งจักรวาลนี้อยู่มานานแล้ว อาจตั้งแต่กำเนิดจักรวาล พวกมันประกอบรูปหรือเปลือกต่าง ๆ นับไม่ถ้วน กว่าจะมาประกอบเป็นนิ้วของเรา และตัวเรา

    อะตอมตัวเดิม เปลี่ยนแค่เปลือก

    บางครั้งเปลือกนี้ไร้ชีวิต บางครั้งมีชีวิต ยกตัวอย่าง เช่น อะตอมออกซิเจนสองตัวไปเจออะตอมไฮโดรเจนหนึ่งตัวที่ย่านดาวน์ทาวน์ของทางช้างเผือก ก็ผสมกันเป็นน้ำหนึ่งโมเลกุล

    ถ้าอะตอมไฮโดรเจนสองตัวนั้นไม่จับกับออกซิเจน มันก็อาจไปจับกับอะตอมอื่น กลายเป็นสิ่งอื่น ไม่ว่าเป็นสิ่งไร้ชีวิตหรือสิ่งมีชีิวิต

    สำหรับอะตอมที่รวมกันเป็นน้ำนี้ ถ้าไม่มีการแยกตัว ก็อาจอยู่ด้วยกันเป็นพัน ๆ ล้านปี น้ำนี้อาจอยู่ในดาวหาง วิ่งข้ามดาราจักรมาชนโลกเรา และอาศัยที่โลกเรานี่แหละ วันดีคืนดีก็อยู่ในร่างกายเรา

    ดังนั้นน้ำที่เราดื่มทุกวันนี้ หรือที่เขาบรรจุขวดขายแพง ๆ อาจเป็นน้ำที่ไดโนเสาร์เคยซด อาจเคยเป็นเมฆ อาจเป็นฝนที่ตกลงมากลางทุ่งของชาวนา อาจเคยอยู่ในเลือดของ เจ็งกิส ข่าน หรือเคยเป็นน้ำลายของฮิตเลอร์ตอนปราศรัยใหญ่

    นี่แสดงว่าอะตอมจำนวนมหาศาลที่เกาะกลุ่มกลายเป็นตัวเราในขณะนี้ ก็คืออะตอมที่ลอยล่องอยู่ในจักรวาล พวกมันอาจเคยเป็นดาวมาก่อน อาจเป็นดาวมาแล้วหลายรอบ

    เรารู้ว่าเรามีธาตุเหล็กในร่างกาย เลือดเรามีเหล็กมาก แต่รู้ไหมว่าเราก็มีธาตุทองในตัวเรา อยู่ในสมอง หัวใจ เลือด ข้อต่อต่าง ๆ คนที่น้ำหนัก 70 กก. มีทองในร่างกายราว 0.22 ม.ก.

    ธาตุทองในตัวเรามาจากไหน? ก็เกิดมาจากดวงดาวขนาดใหญ่ระเบิดในรูปซูเปอร์โนวา แล้วมันก็ลอยเท้งเต้งไปมา วันหนึ่งก็มาเกาะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา

    นี่แสดงว่าอณูทองของเราเคยเป็นส่วนหนึ่งของดวงดาวขนาดใหญ่ และเคยผ่านการระเบิดใหญ่มาแล้ว

    น่าตื่นเต้นไหม?

    เปรียบเทียบแบบง่าย ๆ คือถ้าเราแต่ละคนเป็นอาหารหนึ่งจาน เราก็เกิดจากการปรุงแต่งของพ่อครัวธรรมชาติ โดยใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในธรรมชาติ ก็คือธาตุต่าง ๆ

    ถ้าเปรียบอะตอมเป็นนักแสดง เราก็เป็นเพียงหนังเรื่องหนึ่ง สร้างเสร็จแล้ว พวกอะตอมก็ไปเล่นเรื่องใหม่

    ถ้าเราสามารถพูดคุยกับอะตอมแต่ละตัวได้ และสัมภาษณ์พวกมันว่ามันมาจากไหน บ้านเกิดอยู่ที่ไหน เราอาจได้ยินคำตอบที่คาดไม่ถึง

    อะตอม ก. บอกว่า “ฉันเป็นอะตอมออกซิเจน ฉันเกิดไม่นานหลัง บิ๊ก แบง ฉันเดินทางไปมาในจักรวาล แวะหลายที่ ประกอบเป็นสิ่งต่าง ๆ หลายครั้ง ตอนนี้ฉันประกอบเป็นนิ้วชี้ของคุณ”

    อะตอม ข. ตอบว่า “ผมเป็นอะตอมไฮโดรเจน ผมอายุยาวพอกับจักรวาล ผมเดินทางท่องจักรวาลมาหมื่นล้านปี เคยประกอบเป็นดวงอาทิตย์ เคยเป็นดาวเคราะห์ เคยเป็นดาวหาง มีอยู่ปีหนึ่งผมติดดาวหางมาแถวนี้ เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์นี้ แล้ววันหนึ่งหลุดมาอยู่ในโลกนี้ แล้วตอนนี้มาอยู่ในนิ้วชี้ของคุณ”

    อะตอม ค. บอกว่า “ผมเกิดมาตั้งแต่ช่วงแรกของจักรวาล เมื่อดาวบ้านเกิดผมแตกสลาย ผมหลุดออกมา แล้วไปตั้งหลักในดาวหลายดวง วนวียนอยู่ในอวกาศนานหลายล้านปี ในที่สุดเพื่อนก็ชวนไปประกอบเป็นดาวเคราะห์ดวงนึง ผ่านไปหลายพันล้านปี ดาวเคราะห์ดวงนั้นพัง ผมก็หลุดออกมา ลอยมาจนถึงเนบิวลาแถวนี้ พอดวงอาทิตย์ของคุณกำเนิด ผมอยู่ในเศษซากของดวงดาวที่เกาะเกี่ยวเป็นโลกของคุณ ผมเคยประกอบเป็นภูเขา แม่น้ำ น้ำดื่ม ผมเคยไหลเวียนในตัว เจ็งกิส ข่าน เคยผ่านร่างนักบุญ ฆาตกร จนในที่สุดเมื่อหกสิบกว่าปีก่อน ผมก็มาอยู่ในนิ้วชี้ของคุณ”

    เราคงไม่มีเวลาถามอะตอมทุกตัว เพราะแค่ในนิ้วชี้ของเรา ก็มีอะตอมมากมายเกินกว่าจะถามได้ครบ แต่เรารู้จากวิทยาศาสตร์ว่า อะตอมทุกตัวที่ประกอบเป็นนิ้วชี้ของเราตอนนี้ เดินทางไกลมาจากที่ต่าง ๆ ในจักรวาล

    ทุกอะตอมของเรามีประวัติโชกโชนมาก่อน อะตอมเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งเกิด พวกมันเกิดมานานแล้วตั้งแต่เริ่มต้นจักรวาล

    ไม่ได้พูดเล่น เรามีอายุเท่าจักรวาลหรือราว 13.8 พันล้านปี

    อะตอมของเราเคยเป็นดวงดาว อะตอมของเราเคยลอยล่องกลางความว่างของดาราจักร อะตอมของเราเคยเป็นอากาศที่พระพุทธเจ้าหายใจ อะตอมของเราเคยเป็นต้นไม้ ก้อนหิน สายน้ำ สัตว์ พยาธิ เชื้อโรค อะตอมของเราเคยเป็นก้อนเมฆที่ลอยล่องไปทั่วโลก เป็นสายฝนที่โปรยเหนือป่าดงดิบ เป็นหิมะบนยอดเขา เป็นดินกลางท้องทุ่ง เป็นเกสรดอกไม้

    มองในแง่นี้ จะเห็นว่าคอนเส็ปต์ของอสุภกรรมฐานและอะตอมกรรมฐานก็คือเรื่องเดียวกัน กายเราเกิดจากการวมตัวกันของสิ่งเล็ก แล้วแยกตัวเมื่อเรา ‘ตาย’

    แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องความตายของเรายังไง?

    เนื่องจากอะตอมเหล่านี้ไม่ได้ดับสูญ แค่ย้ายจากรูปกายของเราไปประกอบเป็นของใหม่ สิ่งใหม่ หรือชีวิตใหม่ จักรวาลจึงไม่เคยมีการเกิดการตาย มีแต่การเปลี่ยนรูป

    มันก็คือชาติภพ แต่เป็นชาติภพในมุมวิทยาศาสตร์ ซึ่งในความเห็นส่วนตัว รู้สึกว่าน่าตื่นเต้นกว่า

    ตัวตนของเราในชีวิตนี้หรือชาตินี้เป็นเพียงท่อนหนึ่งของเปลือกที่เหล่าอะตอมกลุ่มหนึ่งมาเกาะรวมกัน

    เราคือดวงดาว เราคือจักรวาล เราคือชีวิตรวม และชีวิตรวมก็คือเรา

    มองแบบนี้ก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราเป็นเพียงโซ่ท่อนหนึ่งของมหาโซ่แห่งจักรวาล มาเดี๋ยวเดียว แล้วสลายตัวไป

    ดังนั้นใน ‘วันตาย’ ของเรา อะตอม ก. ข. ค. ง. ฯลฯ ก็แยกทางกันอีกครั้ง อะตอม ก. อาจไปรวมกับอะตอม ข. ค. หรือ ฮ. กลายเป็นเปลือกใหม่ รูปใหม่

    หลังจากเราหมดลมหายใจ อะตอมก็แยกทาง ร่างกายเราก็แยกออก แต่เรายังไม่ตาย เราเพียงเปลี่ยนรูป หรือจะเรียกว่าชาติภพก็ตามสบาย

    อะตอมที่แยกจากร่างกายเราเหล่านี้จะกระจายไปตามที่ต่าง ๆ อาจไปรับบทบาทใหม่ ร่างใหม่ สิ่งของใหม่ ช้าหรือเร็วก็กระจายไปทั่วโลก จนเวลาผ่านไปสักห้าพันล้านปี โลกเราสลาย อะตอมก็แยกตัวอีก ลอยล่องในจักรวาล

    วันหนึ่งในอนาคตไกลออกไป อะตอมแต่ละตัวอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งต่าง ๆ ชีวิตต่าง ๆ ไปจนถึงดวงดาวดวงใหม่ที่เกิดใหม่

    คนที่บอกว่า “ชีวิตผมจืดชืด ไม่มีสีสัน” หรือ “ฉันอายุยังน้อย ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย” ล้วนเข้าใจผิด

    มองในมุมของจักรวาล เราแต่ละคนมีประสบการณ์โชกโชนมาก่อน เราเคยท่องจักรวาลมาแล้ว

    มองแบบนี้ก็จะเห็นว่าความตายไม่น่ากลัว เพราะมันไม่เคยมีความตาย มีแต่การโยกย้ายตำแหน่งของเหล่าอะตอม

    สลายร่างแต่ไม่สลายสิ้น

    ...............

    (ท่อนหนึ่งจาก หิน 15 ก้อนของ สตีฟ จ๊อบส์ / วินทร์ เลียววาริณ

    หมายเหตุ ตอนนี้มีโปรโมชั่นสามเล่มราคาพิเศษ (ชุด 3 เล่ม S10) ชีวิตที่ดี + หิน 15 ก้อนฯ + เป่ย (ปก 660.- เหลือ 590.- พร้อมลายเซ็นนักเขียน) มีจำหน่ายที่เว็บไซต์ winbookclub.com (คลิกตรง "ซื้อหนังสือ")

    หรือสั่งซื้อทาง Shopee คลิกลิงก์ตามนี้ https://shope.ee/LL9SCqyRl?share_channel_code=6 )

    0
    • 1 แชร์
    • 27
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    ช่วงปีสองปีนี้ โลกวุ่นวายมาก สงครามยูเครนเอย สงครามกาซาเอย ทำให้โลกป่วนไปตามปฏิกิริยาลูกโซ่ไปหมดเอย

    นี่อาจเป็นเหตุผลที่มีคนเขียนมาถามความเห็นผมว่า จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ไหม

    คำตอบคือข่อยบ่ฮู้

    จะให้ได้คำตอบแน่นอน ก็ต้องไปถามคนที่มีพลังเชื่อมจิต

    แต่หากถามความเห็นจากภาพเหตุการณ์ของโลก โดยส่วนตัวผมไม่เชื่อว่าจะเกิด WW 3

    เหตุผลเพราะดูจากสองสงครามที่กำลังเกิดขึ้น

    ในสงครามยูเครน สหรัฐฯไม่เผชิญหน้ากับรัสเซียโดยตรง ไม่แม้จะอนุญาตให้ยูเครนเป็นสมาชิก Big Field (นาโต)

    เพราะหากทำเช่นนั้น ก็เกิดสงครามใหญ่แน่

    การทำสงครามระหว่างชาติที่มีอาวุธปรมาณูด้วยกัน ไม่น่าจะดีนะ

    ในกรณีสงครามกาซา คุณพี่นาทันยาฮูและเหยี่ยวสงครามในวอชิงตันพยายามเหลือเกินที่จะดึงอิหร่านเข้ามาในวงพิพาท โดยถล่มสถานกงสุลอิหร่านที่ดามัสกัส ท้าทายกันตรงๆ

    อิหร่านก็ถล่มกลับ แต่ให้เวลาอีกฝ่าย 5 ชั่วโมงสอยโดรนและขีปนาวุธลง 99 เปอร์เซ็นต์

    อิสราเอลก็ถล่มอีกรอบแบบเบามาก พอเป็นพิธี

    นี่ชี้ให้เห็นว่าทั้งสหรัฐฯและอิหร่าน(ยัง)ไม่อยากทำสงคราม

    คำถามคือสงครามโลกมีประโยชน์ต่อใครบ้าง

    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สนามรบไม่ได้อยู่ที่อเมริกา ดังนั้นสหรัฐฯได้ประโยชน์เต็มที่ เป็นชาติอุตสาหกรรมเดียวที่เดินเครื่องจักรผลิตสินค้าต่อไปได้เลย ไม่ต้องสร้างประเทศขึ้นมาใหม่ และได้กลายเป็นตำรวจโลก

    ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เพราะหลายประเทศมีอาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถไปถึงแผ่นดินอเมริกา  รัสเซีย เกาหลีเหนือ จีน อิหร่าน ปากีสถาน อินเดีย

    อีกฝั่งหนึ่ง สหรัฐฯ อังกฤษ อิสราเอล ฝรั่งเศส ก็มีระเบิดปรมาณูเช่นกัน

    หากระเบิดลงที่ไหนสักลูก ก็อาจตามมาด้วยอีกหลายลูก

    มันคือ lose-lose situation

    อย่าลืมว่า ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ยังไม่มีการใช้ระเบิดปรมาณูถล่มกัน เพราะไม่คุ้ม

    หล่นใส่นิวยอร์กเมืองเดียวสักลูก ก็ไม่คุ้มแล้ว ต่อให้จีนหรือรัสเซียโดนถล่มไป 20 เมือง

    มองแบบนี้แล้ว ก็เชื่อว่าสงครามยูเครนเอย สงครามกาซาเอย น่าจะดำเนินต่อไป แต่ไม่น่าถึงขั้นสงครามโลกหรือสงครามปรมาณู

    นี่เป็นการอ่านจากเหตุที่เกิดขึ้น ไม่กล้าฟันธง

    แต่กล้าฟันธงว่าสงครามโลกระหว่าง 'มหาอำนาจ' กับธนาคารชาติเกิดเรียบร้อยแล้ว มหาอำนาจยิงขีปนาวุธใส่แบงก์ชาติหลายสิบลูกต่อเนื่อง โชคดีที่ระเบิดด้านหมด

    วินทร์ เลียววาริณ
    6-5-24

    (ภาพจาก Terminator 3: Rise of the Machines)

    0
    • 0 แชร์
    • 19
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา
    0
    • 0 แชร์
    • 6