• วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    รูปภาพประธานาธิบดีบุชที่นำมาให้ดู เป็นงานศิลปะของ Jonathan Yeo จิตรกรชาวอังกฤษ

    ประกอบภาพประธานาธิบดีโดยเทคนิคคอลลาจ คือตัดรูปมาแปะเข้าด้วยกัน

    รูปที่แปะเป็นภาพจากนิตยสาร porn ทั้งหมด

    ชอบไม่ชอบ เหมาะสมไม่เหมาะสม ก็ตีความกันเอาเอง แต่ในมุมของความคิดสร้างสรรค์ ผมให้คะแนน A+

    ก็มาถึงงานศิลปะชิ้นต่อไปที่กำลังโดนด่าตอนนี้

    สื่อ CNN วันนี้ลงข่าวโฆษณาชิ้นใหม่ของ Apple เป็นภาพยนตร์โฆษณา iPad Pro

    โฆษณาเสนอภาพเครื่องบดขนาดยักษ์กำลังบดขยี้สิ่งของเครื่องมือสร้างงานศิลปะต่างๆ เช่น โทรทัศน์เก่า สี ลูกโลก เปียโน ทรัมเป็ต ฯลฯ

    งานชิ้นนี้โดนชาวเน็ตรุมด่า กล่าวหาว่า Apple กำลังทำลายการสร้างสรรค์ศิลปะแบบเก่า

    เอาละ ดูคลิปก่อน ค่อยอ่านต่อ

    https://www.youtube.com/watch?v=ntjkwIXWtrc

    ในฐานะคนที่เคยทำงานโฆษณามา 16 ปีครึ่ง ในมุมของความคิดสร้างสรรค์ ผมให้คะแนน A+
    เช่นกัน

    ผมไม่คิดว่ามันสื่ออย่างที่คนด่า เพราะภาพสุดท้ายคือความแบนของ iPad Pro ที่โดนเครื่องบด เป็นนัยว่า ข้าวของต่างๆ ที่ถูกบด กลายมาเป็นสินค้าทรงแบน (บดไม่ได้แปลว่าทำลายเสมอไป เหมือนเปลี่ยนรูปปลาหมึกเป็นปลาหมึกบด)

    แต่ก็นะ! โลกโซเชียลก็คือโลกดรามา อะไรๆ สามารถกลายเป็นดรามาได้หมด

    วินทร์ เลียววาริณ
    9-5-24

    0
    • 0 แชร์
    • 2
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา
    0
    • 0 แชร์
    • 2
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    ในปี 2007 จิตรกรชาวอังกฤษ Jonathan Yeo ได้รับเชิญจากประธานาธิบดี George W. Bush ให้วาดภาพ portrait ของตน

    ใช่ บุชคนที่ก่อสงครามอิรัก เพื่อปลดปล่อยประชาชนให้เป็นอิสระคนนั้นแหละ

    จอนาธานวาดรูปคนมามากแล้ว ฝีมือดี ภาพ portrait ของเขามีเอกลักษณ์ต่างจากภาพแบบเก่า คนใหญ่คนโตทั่วโลกให้เขาไปวาด คนใหญ่ต้องไปหาเขาที่สตูดิโอ

    ยังไม่ทันได้เริ่มวาด ประธานาธิบดีบุชก็ยกเลิกการว่าจ้าง

    ไม่ให้วาดก็ไม่เป็นไร จอนาธานตัดสินใจวาดเอง ได้ภาพประธานาธิบดีสวยงามสมใจ

    แต่ท่านประธานาธิบดีอาจไม่ค่อยสมใจนัก เพราะมันเป็นภาพคอลลาจที่ใช้ภาพจากนิตยสารโป๊จำนวนมากมาประกอบเป็นรูป

    อาจเป็นการเล่นสนุก หรืออาจมีนัยของการเปลือยตัวตนผู้นำที่มักบอกว่าฝ่ายตนมีศีลธรรมสูงกว่า จึงต้องก่อสงครามเพื่อปลดปล่อยประชาชนให้เป็นอิสระ

    เห็นผลงานคอลลาจชิ้นนี้แล้ว ผู้มีอำนาจในบ้านเราอย่าไปขอให้จอนาธานวาด portrait เชียวนะ

    กลัวว่าเขาจะเอาข้าวค้างปีมาเรียงเป็นภาพ portrait

    วินทร์ เลียววาริณ
    9-5-24

    0
    • 1 แชร์
    • 76
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    นายกมลเที่ยวรอบโลกสองรอบ ใช้ชีวิตในห้าสิบเอ็ดประเทศ แต่งงานสามครั้งกับสาวสวยระดับนางงาม เราบอกว่า “เขาใช้ชีวิตคุ้มจริง ๆ”

    นายวิโรจน์ผ่านการรบในสมรภูมิ เข้าป่าถูกควายป่าไล่ขวิด ถูกมนุษย์กินคนจับไป ขึ้นรถเมล์เจอระเบิดขวด แต่รอดมาได้และอยู่จนแก่ตาย เราบอกว่า “เขาใช้ชีวิตคุ้มเหลือเกิน”

    นายรองได้ควงสาวสวยยี่สิบคน กินอาหารอร่อยทั่วประเทศ ชิมไวน์ชั้นเลิศจากทั่วโลก เราบอกว่า “เขาใช้ชีวิตคุ้มมาก”

    หากมองด้วยตัวอย่างเหล่านี้ ‘ใช้ชีวิตคุ้ม’ คือการเสพสุขหรือการได้รับประสบการณ์ที่ดี ๆ มาก ๆ หรือประสบการณ์ชีวิตที่เข้มข้น ตื่นเต้น มีสีสัน สนุกสนาน และแปลก

    ชีวิตเหล่านี้ถ้าเป็นกะทิก็คือหัวกะทิ ถ้าเป็นกาแฟก็คือเอสเปรสโซ ถ้าเป็นเครื่องแกงก็เข้มข้นจัดจ้าน

    ทั้งหมดนี้ดูจะเป็นเรื่องประสบการณ์ทางกายภาพมากกว่าจิตใจ เราไม่เรียกนักบวชที่นั่งสมาธิเข้าถึงรสธรรมหรือพ่อค้านั่งหงิม ๆ ในร้านทั้งชีวิตว่าคุ้ม

    ดังนี้ ‘คุ้ม’ ในค่านิยมของคนทั่วไปก็มีนัยของโชคชะตา เหมือนซื้อลอตเตอรี ไม่ใช่ทุกคนมีโอกาสถูก ‘ลอตเตอรี’

    ว่าก็ว่าเถอะ เกิดมาด้วยฐานะดี ก็มีโอกาสรับการศึกษาสูงกว่า มีโอกาสได้เดินทาง เสพไวน์มากกว่า

    คำถามคือ นี่เป็นมาตรวัดที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ เราใช้มาตรใดวัดว่าชีวิตหนึ่งคุ้ม อีกชีวิตหนึ่งไม่คุ้ม ถ้าหาก ‘คุ้ม’ มีความหมายถึงการได้รับมากกว่าหรือเข้มข้นกว่า เราจะอธิบายคนที่ทำงานตลอดชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อย ไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนว่าคุ้มได้หรือไม่ หากไม่มีเงินไปเที่ยวรอบโลก หรืออาจไม่ได้ออกจากชนบทที่อาศัยอยู่เลยตลอดชีวิต แปลว่า ‘ไม่คุ้ม’ หรือ?

    ญาติคนหนึ่งของผมใช้ชีวิตในต่างจังหวัดไกล เมื่อเขาพบว่าเป็นมะเร็งระยะปลาย เขาบอกว่า ถึงตายไปในวันนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะพอใจชีวิตที่ผ่านมาแล้ว

    เขารู้สึกว่าชีวิตของเขาคุ้มแล้ว ทั้งที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายตั้งแต่เกิด ตลอดชีวิตไม่ได้เดินทางไปไหน ไม่ได้ถูกควายป่าขวิด ไม่ได้ถูกมนุษย์กินคนจับตัวไป และไม่ได้ชอบไวน์ชั้นเลิศแต่อย่างไร เขาพอใจชีวิตเรียบง่ายแบบนี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปเลือกใหม่ ก็จะยังเลือกทางเดินสายเดิมนี้

    ดังนี้อาจพูดได้ว่า คุ้มคือความพึงใจรสชาติของชีวิต ใช้ชีวิตได้สมใจปรารถนา

    ศิลปินนักเขียนผู้สร้างผลงาน ‘มาสเตอร์พีซ’ มักรู้สึกว่าชีวิตของตนคุ้มแล้ว นั่นคือเต็มแล้ว เพราะได้สร้างงานที่ตนเองพึงใจ ทั้งที่ตลอดชีวิตเขาทำงานหนักและเหนื่อย แต่งานที่ทำเป็นความสุขของเขา

    ดังนี้อาจพูดได้ว่า คุ้มก็คือการเติมเต็มชีวิตของตน ได้ทดลองเดินไปตามทางที่ฝัน

    คุ้มจึงเป็นเรื่องของความพอใจด้วย พอใจเมื่อไร ก็คือคุ้มแล้ว

    ถ้า ‘คุ้ม’ เป็นเรื่องของความพอใจ มันก็เป็นอัตวิสัย

    และบางทีเรานิยามคำว่าคุ้มโดยใช้ตัวเราเป็นหลัก

    ลองนึกดู ถ้าใครคนหนึ่งเกิดมามีฐานะดี เรียนสูง ทำงานดี มีตำแหน่งสูง แต่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ทำให้แผ่นดินเสียหาย อย่างนี้ ‘คุ้ม’ ของเขาก็คือ  ‘ไม่คุ้ม’ ของคนทั้งแผ่นดิน นี่ยังสามารถจะเรียกว่าใช้ชีวิตคุ้มได้หรือ?

    ในทางตรงข้าม พระที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตในวัด ไม่เคยเดินทางไปเที่ยวที่ไหน ไม่เคยกินอาหารพิสดารของพ่อครัวห้าดาว แต่สอนชาวบ้านให้เป็นคนดี การดำรงอยู่ของพระรูปนี้ย่อมดีกว่าการไม่มีพระรูปนี้ ดังนี้เราก็น่าจะบอกว่า ชีวิตของพระรูปนี้คุ้มแล้ว เพราะสำหรับคนทั้งหมู่บ้าน ชีวิตของพวกเขาคุ้มเพราะพระรูปนี้

    ชาวบ้านเดินดินที่ใช้เวลาทั้งชีวิตช่วยเหลือคนอื่น ชายผู้ปลูกต้นไม้ไปทั่วจังหวัด หมอที่เปิดคลินิกรักษาคนไข้ฟรี แต่ตัวเองใช้ชีวิตง่าย ๆ ฯลฯ คนเหล่านี้ให้คนอื่นมากกว่าให้ตัวเอง คนเหล่านี้ทำให้ชีวิตคนอื่น ‘คุ้ม’

    บางทีชีวิตที่คุ้มที่สุดก็คือชีวิตที่ทำให้ชีวิตอื่นคุ้ม มากกว่าตัวเราคุ้ม

    ดังนั้น “ใช้ชีวิตคุ้ม” น่าจะกว้างกว่าแค่มีประสบการณ์ชีวิตเข้มข้นหรือการที่เราได้มากกว่าคนอื่น หรือเกินศักยภาพของเรา

    ไม่ใช่ทุกคนสามารถทำให้ชีวิตตนเองคุ้มกับการดำรงอยู่ในโลกนี้

    บางทีชีวิตที่คุ้มคือชีวิตที่มีความรัก ความเมตตา ความรู้ ความเข้าใจโลก ความสันโดษ ความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่

    บางที ‘คุ้ม’ มิได้อยู่ที่สิ่งดี ๆ ที่เราเป็น แต่คือสิ่งดี ๆ ที่เราทำ ไม่สร้างปัญหาให้ใคร ไม่เบียดเบียนใคร ทำให้สังคมดีขึ้น พูดง่าย ๆ คือหากการปรากฏตัวของเราในโลกนี้มีคุณมากกว่าโทษ ก็อาจนับว่าเราใช้ชีวิตคุ้มแล้ว

    ปราชญ์กรีก โสเครติส กล่าวว่า “ชีวิตที่ไม่ถูกสำรวจตรวจตราไม่ใช่ชีวิตที่น่าอยู่”

    ชีวิตก็เหมือนเส้นทางที่ยังไม่ได้สำรวจ เราทุกคนเกิดมาพร้อมเส้นทางสายหนึ่ง เรามีเวลา 70-80 ปีสำรวจมันให้ทั่ว

    บางคนก็สำรวจทุกซอกทุกมุม บางคนก็ไม่สำรวจมันเลย

    การสำรวจมันไม่ได้แปลว่าจะชอบสิ่งที่พบเห็นตามทาง แต่ก็อาจมีโอกาสพบเห็นเรื่องที่มีสีสันมากกว่าการไม่สำรวจเส้นทางเลย

    เราเรียกการสำรวจเส้นทางนี้ว่าการใช้ชีวิต

    แน่ละ ไม่มีกฎกติกาใดที่บังคับให้เราต้องสำรวจเส้นทาง

    เราอาจได้รับของขวัญชิ้นหนึ่ง แต่มีสิทธิ์ที่จะเลือกไม่เปิดกล่องของขวัญนั้น

    แต่เกิดมาแล้วมีสองขา ก็น่าจะลองเดินสำรวจทางชีวิตของตัวเอง

    คุ้มหรือไม่คุ้มก็ไม่เป็นไร  จาก 1 เปอร์เซ็นต์ของความเป็นไปได้ วินทร์ เลียววาริณ

    https://www.winbookclub.com/store/detail/150/1%20เปอร์เซ็นต์ของความเป็นไปได้ 

    0
    • 9 แชร์
    • 99
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    แขกคนสุดท้ายของร้านพับผ่าราตรีนี้เป็นเสนาบดีของประเทศ เขาไม่เคยแวะมาที่ร้านเหล้าซอมซ่อของข้าพเจ้ามาก่อน

    แต่คืนนี้เขามาเยือน อาจเพราะมันเป็นร้านเหล้าซอมซ่อ

    ร้านสุราซอมซ่อย่อมปลอดนักข่าวและพวกสอดรู้สอดเห็น เพราะไม่มีใครคาดว่าคนระดับเสนาบดีจะมาสถานที่นี้

    เขาบอกข้าพเจ้า "ขอเหล้าที่ฆ่าเชื้อรา"

    ข้าพเจ้าตอบเสนาบดีว่า "ที่นี่เป็นร้านเหล้า มิใช่โรงพยาบาล เหล้าของเรามีแอลกอฮอลก็จริง แต่ถ้าจะฆ่าเชื้อรา ไปหาหมอที่โรงพยาบาลน่าจะเป็นทางเลือกที่สมควรกระทำ"

    สีหน้าเขาเหมือนคนอมทุกข์ ในฐานะบาร์เทนเดอร์ที่ดี ข้าพเจ้าจึงต้องชวนเขาคุย เริ่มที่คำถาม "ว่าแต่ว่าเป็นราที่ไหนครับ ง่ามตีน? ส้นเท้า? หว่างขา?"

    "หามิได้ ผมไม่ได้ต้องการยาฆ่าเชื้อราที่ง่ามตีนหรือส้นเท้าหรือหว่างขา ผมต้องดื่มเหล้าเพื่อฆ่าเชื้อราในท้อง"

    ข้าพเจ้าเปิดร้านเหล้ามาหลายสิบปี ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้

    "ถ้าเชื้อราอยู่ในท้อง ยิ่งสมควรไปหาหมอนะครับ"

    เขาถอนใจ "ผมไปหาหมอไม่ได้ นักข่าวตามจิกตลอด หาหมอเมื่อไหร่ พวกนั้นก็รู้ความจริงทันทีว่าผมโดนเชื้อรากิน"

    "ผมไม่เข้าใจ การเป็นเชื้อราย่อมไม่ผิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชน ตามกฎสหประชาชาติ หรือมิใช่?"

    "มิใช่อย่างที่คุณคิด คือว่าเมื่อวานนี้ผมเผลอไปกินข้าวค้างปีเข้า"

    "Is that so? แต่ข้าวค้างวันหรือค้างปี อย่างมากก็ทำให้ท้องเสีย ไม่ถึงกับเป็นเชื้อราหรอกครับ"

    "ข้าวนี่ค้างปีอยู่สิบปี"

    ข้าพเจ้านิ่งไปนาน

    "เอ้อ! แน่ใจหรือครับ? ท่าทางคุณก็ดูไม่ยากไร้ถึงขนาดต้องกินข้าวค้างปีอายุสิบปี"

    "ผมเผลอไป กรุณาอย่าสอบถามอะไรอีก ตอบผมคำเดียวว่าคุณมีเหล้าที่ฆ่าเชื้อราไหม"

    "มีซีครับ ถ้าเป็นราที่เกิดจากข้าว ผมขอเสนอ Kill Me Cocktail*" (* หมายเหตุผู้เขียน มีค็อคเทลนี้จริงๆ)

    "ทำไมต้องเป็น Kill Me?"

    "เพราะ Kill Me แปลตรงตัวว่าฆ่าข้าว คำว่า Me (米) ในภาษาจีนแปลว่าข้าว ออกเสียงว่าหมี่ ดังนั้น Kill Me Cocktail ก็คือค็อคเทลฆ่าข้าว หรือในเหตุการณ์นี้คือฆ่าเชื้อราจากข้าว"

    "ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ผมมาไม่ผิดร้านจริงๆ ว่าแต่ว่า ค็อคเทลคิลหมี่นี่ทำมาจากอะไร?"

    "มันเป็นส่วนผสมของบรั่นดี เบียร์ lager และน้ำมะนาว"

    "ตกลง"

    ข้าพเจ้าเสิร์ฟ Kill Me Cocktail ให้เสนาบดี มันหายลงท้องเขาอย่างรวดเร็ว เขากล่าวว่า "รสชาติดีมาก คุณมีค็อคเทลอื่นอีกมั้ยที่จะช่วยล้างภาพบางภาพออกจากหัวผม"

    "ภาพใดครับ?"

    "ภาพการซาวน้ำล้างข้าวถึง 15 ครั้ง ภาพนี้มันหลอนมาก"

    "อา! ล้างข้าวปกติซาวน้ำสองหนก็เหลือพอแล้ว นี่แสดงว่าเป็นข้าวพันธุ์พิเศษในปฐพี มิเป็นไร ร้านเหล้าพับผ่ามีค็อคเทลที่ล้างข้าวได้ มันเรียกว่า Rice Washed Negronis*" (* หมายเหตุผู้เขียน มีค็อคเทลนี้จริงๆ)

    "Negronis แปลว่านีโกรหรือไร?"

    "หามิได้ negroni คือค็อคเทลที่เป็นส่วนผสมของเหล้าจิน Rosso Vermouth และ Campari แต่งหน้าด้วยเปลือกส้ม ส่วน Rice Washed ก็แปลตรงตัวว่าล้างข้าว"

    "งั้นจัดมาเลย"

    ข้าพเจ้าเสิร์ฟ Rice Washed Negronis ให้เสนาบดี มันหายลงท้องเขาอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ย "รสชาติดีมาก คุณมีค็อคเทลอื่นอีกมั้ยที่จะช่วยทำให้ผมลืมเรื่องข้าว"

    ข้าพเจ้าว่า "โบราณว่า กลัวอะไรให้ทำสิ่งนั้น ในเมื่อคุณไม่อยากเห็นข้าว ก็เติมข้าวลงไปในค็อคเทลเลย"

    "ตลกแล้วน่า!"

    "ไม่ตลกเลยครับเมื่อเทียบกับการกินข้าวอายุสิบปี อีกประการการเติมข้าวในคอคเทลเป็นเรื่องที่บาร์เทนเดอร์ทั่วโลกกระทำอยู่แล้ว มันทำให้ค็อคเทลมีรสละมุนขึ้น"

    "ทำยังไง? ใส่เมล็ดข้าวลงในแก้วค็อคเทล?"

    "มันไม่ใช่การใส่เมล็ดข้าวลงในเครื่องดื่มหรอกนะครับ เราจะเขย่าเหล้ากับข้าวสารและน้ำแข็ง แล้วกรองข้าวออกไป ข้าวสารจะทำให้สีค็อคเทลขุ่นขึ้น แต่รสชาติดีขึ้นมาก เพราะข้าวจะจับสารประกอบ เช่น methanol และ propanol ในเหล้า ทำให้อร่อยขึ้น*" (* หมายเหตุผู้เขียน มีค็อคเทลนี้จริงๆ)

    "งั้นจัดมาเลย"

    หลังจากเสนาบดีดื่มสุราน้ำล้างข้าว ก็ยกนิ้วให้ "สุดยอด มันอร่อยกว่าข้าวที่ผมกินเมื่อวานนี้ร้อยเท่า"

    เขามองหน้าข้าพเจ้า เอ่ยว่า "ผมรู้แล้ว ผมได้ไอเดียใหม่แล้ว แทนที่ผมจะโปรโมตให้คนไทยกินข้าวค้างปี เราก็โปรโมตเหล้าน้ำล้างข้าวแทน มันจะเป็น soft power ใหม่ของเรา ดีกว่าต้มยำและมวยไทย"

    ข้าพเจ้าตกใจ "แต่น้ำล้างข้าวอายุสิบปีอาจมีพิษตกค้าง..."

    "โบราณสอนเรื่องพิษข่มพิษ ในเมื่อเหล้ามีพิษ น้ำล้างข้าวมีพิษ พิษเจอพิษก็หายไปหมด ตรงตามหลักวิทยาศาสตร์ทุกประการ"

    "แต่ดื่มเหล้าแบบนี้ คนไทยจะเมาทั้งประเทศนะครับ"

    "ไม่ต้องห่วง ตอนนี้คนไทยก็เมาอยู่แล้ว ไม่งั้นจะเลือกเราหรือ"

    วินทร์ เลียววาริณ
    8-5-24

    พับผ่า! บาร์เทนเดอร์ (The Bartender Series 1) มีจำหน่ายแล้วในรูปอีบุ๊ค สนใจดูได้ในเว็บ winbookclub.com หรือ The Meb

    0
    • 16 แชร์
    • 340