-
วินทร์ เลียววาริณ1 ปีที่ผ่านมา
เราอาจเคยได้ยินเรื่องของคนที่ดูแลสุขภาพอย่างดี กินแต่อาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับเต็มอิ่ม ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า แต่เป็นโรคมะเร็งร้ายหรือหัวใจวาย ตายเร็วกว่าคนที่ไม่ดูแลสุขภาพ
เรามักตั้งคำถามว่าทำไม แต่ในมุมของ Stoicism นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
หนึ่งในปราชญ์ที่มีชื่อเสียงสายปรัชญา Stoicism คือ เอพิคทีตัส (Epictetus) เป็นทาสมาก่อน
Epictetus ไม่ใช่ชื่อคน คำนี้แปลว่าการซื้อ เพราะเขาเป็นทาสที่ถูกซื้อมา เขาเกิดที่ Hierapolis, Phrygia (ปัจจุบันคือตุรกี) เป็นคนฉลาด เมื่อได้รับอิสรภาพ เขาก็ไปอาศัยที่กรีก สอนหลักการ Stoicism แก่สานุศิษย์ เขียนหนังสือหลายเล่ม
อาจเพราะผ่านชีวิตทาสมาก่อน เอพิคทีตัสเห็นว่าปัจจัยภายนอกเป็นเรื่องที่เราคุมไม่ได้ ดังนั้นเราควรยอมรับมัน รับมือกับมันอย่างมีสติและเยือกเย็น
เอพิคทีตัสสอนหลักสโตอิกอย่างมีอารมณ์ขันว่า “ถ้าข้าฯต้องตายเดี๋ยวนี้ ข้าฯก็จะตายเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเป็นภายหลัง ข้าฯก็ขอกินอาหารเที่ยงก่อน”
ความหมายคือเขาคุมได้เฉพาะเรื่องอาหารเที่ยง ส่วนเรื่องความตาย เขาคุมไม่ได้
ในเมื่อคุมไม่ได้ ไยต้องปวดหัวกับมัน
ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องคุมไม่ได้ ก็ป่วยการเปลืองแรงไปกลุ้มใจ
ชีวิตมีสองด้าน ด้านที่คุมได้ กับที่คุมไม่ได้
คุมไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียเวลากับมัน เราเรียกหลักนี้ว่า Dichotomy of Control
หลักนี้บอกว่าบางอย่างเราคุมได้ บางอย่างเราคุมไม่ได้
Stoicism มักยกตัวอย่างการยิงธนูมาอธิบายเรื่องนี้ สมมุติว่าเราเป็นพลธนูกรีกกำลังเข้าสู่สมรภูมิ เราอาจผ่านการฝึกฝนการยิงธนูมาอย่างหนัก เราเลือกธนูที่ดีที่สุด ลูกศรที่ดีที่สุด ตอนที่เราเล็งธนูไปที่ข้าศึก เราเล็งอย่างประณีตที่สุด แต่หลังจากเราปล่อยลูกธนูออกไปแล้ว เราคุมอะไรไม่ได้อีก
เราไม่เกี่ยวอะไรกับลูกธนูอีกต่อไป มันจะเข้าเป้าหรือไม่เข้าเป้าไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวลหรือกลุ้มใจ เพราะเราคุมมันไม่ได้อีกแล้ว ลมอาจตีมาทำให้ลูกศรไม่เข้าเป้า ทหารข้าศึกอาจเคลื่อนตัวทันใด ทำให้เรายิงไม่ถูก ดังนั้นเราไม่ควรผูกตัวเองกับผลลัพธ์ แต่ผูกได้กับความพยายามของเรา
โลกเรามีสองเรื่องเท่านั้นคือสิ่งที่เราคุมได้กับสิ่งที่เราคุมไม่ได้ สิ่งที่เราคุมได้คือความคิดของเรา ความต้องการของเรา สิ่งที่เราคุมไม่ได้คือร่างกาย ทรัพย์สิน ชื่อเสียง
เราอาจพยายามคุมร่างกาย ชื่อเสียง แต่มันไม่แน่นอน เราทำได้เพียงแค่พยายามได้เต็มที่ ส่วนผลลัพธ์อาจคุมไม่ได้
ในเรื่องสุขภาพ เราสามารถพยายามดูแลตัวเอง แต่มันมีปัจจัยอีกมากมายที่อาจทำให้สุขภาพเราเสื่อมลงและอายุสั้น เช่น เชื้อโรค สารเคมีที่เราได้รับมาจากโรงงานใกล้บ้าน ควันบุหรี่ที่เราได้รับจากคนรอบตัว ฯลฯ
เรื่องการสมัครงานก็เช่นกัน เราพยายามได้ เตรียม resume อย่างดี แต่ที่เหลือเราคุมไม่ได้ เราอาจไม่ได้งานเพราะผู้สัมภาษณ์หงุดหงิดในวันนั้น เนื่องจากเช้านั้นคนสัมภาษณ์ทะเลาะกับเมีย หรือโดนคนขับรถปาดหน้า ฯลฯ
การหาคนรักก็เช่นกัน เราคุมให้ใครมารักเราไมไ่ด้ แต่เราทำตัวเองให้น่ารักได้
ดังนั้นเราไม่ด่าใครโทษใครในเรื่องที่เราคุมไม่ได้
เอพิคทีตัสจึงกล่าวว่า “ทางเดียวของความสุขคือยุติความกังวลเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งอยู่เหนืออำนาจและเจตจำนงของเรา”
จากหนังสือ หิน 15 ก้อนของ สตีฟ จ๊อบส์ หนังสือเกี่ยวปรัชญา วิธีการมองชีวิต เพื่อความสุขของเรา มีจำหน่ายในงานหนังสือ บูธ L-35 และเว็บไซต์ winbookclub.com (คลิกตรง "ซื้อหนังสือ")
หรือสั่งซื้อทาง Shopee คลิกลิงก์ตามนี้ (ชุด 3 เล่ม S10) ชีวิตที่ดี + หิน 15 ก้อนฯ + เป่ย (ปก 660.- เหลือ 590.- พร้อมลายเซ็นนักเขียน) https://shope.ee/LL9SCqyRl?share_channel_code=6
0- แชร์
- 292
-
หลายปีมาแล้ว เมื่อเห็นเจ้าลัทธิต่างๆ ในบ้านเราหาเงินจากศาสนพาณิชย์ ผมเคยคุยเล่นๆ กับคนใกล้ตัวว่า ถ้าผมจะตั้งตัวเป็นศาสดา หาเงินในหลักร้อยล้านพันล้าน ก็คงใช้หลักจักรวาลวิทยา ผสมกับวิทยาศาสตร์ ผสมกับพุทธ พราหมณ์ ไสยศาสตร์ ฯลฯ โยงเป็นเนื้อเดียวกันตามเทคนิคการแต่งนิยาย
จักรวาลวิทยายังมีหลายเรื่องที่เราไม่รู้ โยงเข้ากับเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติได้ไม่ยาก ผสมกับไสยศาสตร์ ก็น่าจะขายเป็นแพ็คเกจชาติหน้าในสวรรค์ หรือวิธีรวยข้ามภพได้ไม่ยาก
ในสังคมที่คนจำนวนมากอยู่ในก้นหลุมดำแห่งปัญญา ผมถือว่าศาสนพาณิชย์แบบนี้ก็เป็นการขายชาติอย่างหนึ่ง ทำร้ายคน ทำร้ายสังคม ทำร้ายชาติ
ดังนั้นผมถือเป็นหน้าที่ที่จะแย้งด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆ เพื่อคานอำนาจทางปัญญา อย่างน้อยก็เสนอข้อเท็จจริงอีกมุมหนึ่ง ให้คิดก่อนเชื่อและเสียเงิน
ใครจะแย้งผมอีกทีก็ไม่ว่าอะไร ยินดีอย่างยิ่ง แต่ขอเป็นหลักฐาน ไม่ใช่ความเชื่อ
วันนี้อ่านข่าวชาวบ้านไปทำกิจกรรมชมมนุษย์ต่างดาวที่จังหวัดหนึ่ง เพื่อเชื่อมกับอำนาจเหนือธรรมชาติเบื้องบน และพบวัตถุคล้ายจานบินอยู่เหนือลานนั่งสมาธิ
อืม! นี่เป็นโลกเสรี ใครเชื่ออะไรก็ตามสบาย แต่เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเวลาพูดถึงยานมนุษย์ต่างดาวทีไร ต้องเป็นจานบินทุกที
ทำไมต้องเป็นทรงจานบิน?
คำตอบง่ายกว่าที่คิด
คาร์ล เซเกน อธิบายในหนังสือ The Demon-Haunted World ว่าคำว่า จานบิน (flying saucer) เป็นศัพท์ใหม่ที่เกิดขึ้นมาจากเหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1947
ในวันที่ 24 มิถุนายน 1947 นักบินพลเรือน เคนเนธ อาร์โนลด์ บินผ่านภูเขาเรนเนียร์ รัฐวอชิงตัน เขาเห็นบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล จึงรายงานการพบวัตถุประหลาดเก้าชิ้นซึ่งมีวิถีบินประหลาดมาก
หนังสือพิมพ์รายงานข่าวนี้ทันทีว่ามีการพบจานบินจากต่างดาวเป็นครั้งแรก
สามปีต่อมา ในวันที่ 7 เมษายน 1950 นักข่าว ซีบีเอส ชื่อ เอ็ดเวิร์ด เมอร์โรว์ สัมภาษณ์นักบิน เคนเนธ อาร์โนลด์ อธิบายว่า เรื่องทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิดกันอย่างมโหฬาร เขาบอกว่า ในวันนั้นตนเองแจ้งทางหนังสือพิมพ์ว่า วัตถุประหลาดเก้าชิ้นที่เขาพบในวันนั้นดูเหมือน "เรือที่แล่นบนน้ำอย่างรุนแรงมาก"
เขาเล่าเป็นเชิงเปรียบเทียบว่า "พวกมันบินเหมือนเราขว้างจานร่อน (saucer) ข้ามน้ำ"
หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวว่า "ยานจากต่างดาวนั้นมีรูปทรงเหมือนจานบิน (flying saucer)"
เขาบอกว่าไม่ได้เห็นจานบิน แค่เปรียบเทียบเท่านั้น
นักข่าวไม่แก้ข่าว หรือเจตนาไม่แก้ข่าว
ยานอวกาศจากต่างดาวที่พบกันในช่วงหลายปีต่อมาก็มักมีรูปร่างเป็นจานบินไปดังฉะนี้
แล้วเราก็เชื่อต่อกันมาโดยไม่ถาม ไม่คิดจะตรวจสอบ ไม่คิดจะศึกษาอะไรทั้งนั้น
เมื่อใช้นิวรอนทั้งหมดไปกับการเชื่อ ก็ไม่เหลือนิวรอนมาคิด
วินทร์ เลียววาริณ
4-5-25สนใจอ่านวิธีคิด-ข้อมูลแบบวิทยาศาสตร์แบบนี้ ขอแนะนำ ปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล, ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล และ หลับถึงชาติหน้า
0 วันที่ผ่านมา -
หลังจากใช้ชีวิตในเมืองจีนนานราวห้าปี โดเก็นก็เดินทางกลับญี่ปุ่น และวางรากฐานของสาย โซโต เซน ในญี่ปุ่น
โดเง็นเป็นพระเซนที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์เซนญี่ปุ่น ไม่เฉพาะในวงการเซน แต่ในวงการศาสนาพุทธโดยรวม ทั้งนี้เพราะการบรรลุธรรมในวิถีเซนเป็นเรื่องใหม่สำหรับชาวญี่ปุ่น
โดเง็นเขียนบทกวีว่า
การรู้แจ้งก็เฉกเช่นจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำ
พระจันทร์ไม่เปียก น้ำก็ไม่ถูกกินที่
แม้แสงจันทร์จะสาดสว่างไพศาล
กลับปรากฏบนผิวน้ำกว้างเพียงนิ้วมือเดียว
จันทร์ทั้งดวงกับแผ่นฟ้าใหญ่
สะท้อนบนน้ำค้างหยดเดียวบนใบหญ้าสรรพสัตว์ในจักรวาลนี้มีพุทธภาวะอยู่ภายในตัวอยู่แล้ว อาจเรียกชื่อแตกต่างกันออกไปบ้าง โดเก็นมองว่า อรหันต์กับปุถุชนไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด ความแตกต่างอยู่ที่ว่าใครเห็นพุทธภาวะภายในตนหรือไม่ และสามารถลอกเปลือกที่ห่อหุ้มอยู่ออกไปได้หรือไม่ เปลือกนั้นคืออวิชชา ตัณหา อุปาทาน การเข้าไปสู่พุทธภาวะจึงต้องแสวงหาจากภายในตนเอง ไม่ใช่จากภายนอก
จะว่าไปแล้วก็ไม่มีการบรรลุอะไร เพราะสิ่งที่ค้นพบนั้นก็คือของเดิมในตัวเรานี่เอง ก็คือการบรรลุธรรมชาติแท้ของตนนั่นเอง
โดเง็นเขียนว่า การมองเห็นเชื่อมกายกับจิต การฟังเสียงเชื่อมกายกับจิต ทำให้เข้าใจมันโดยเชื่อมเป็นหนึ่งเดียว
การเชื่อมในความหมายของโดเก็นคือการไม่แบ่งแยก แต่เชื่อมเป็นตัวตนเดียวกับสิ่งนั้น
"เมื่อสามารถกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งหนึ่ง จะไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เจ้ารู้ว่ากำลังนั่งตัวตรงหรือไม่ตรง จะไม่มีกาย ไม่มีจิต ไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งอื่น สิ่งที่เจ้าเชื่อมคล้ายไร้ตัวตนไป เมื่อเจ้ากลายเป็นสิ่งนั้นเสียเอง เจ้าจะกลายเป็นจักรวาล..."
เพราะในสมาธิชั้นสูง จะไม่มีสิ่งใดให้จับต้อง ไม่มีตา ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น หู กาย จิต สี เสียง กลิ่น สัมผัส นี่คือการเชื่อมเป็นหนึ่งเดียว อย่างที่อาจารย์โดเก็นกล่าวว่า "เมื่อเจ้าเดิน จงเดิน เมื่อเจ้าร้องไห้ จงร้องไห้ เมื่อเจ้าหัวเราะ จงหัวเราะ"
ในตัวอย่างเรื่องพระจันทร์ในน้ำ น้ำเป็น 'ความคิด' พระจันทร์เป็น 'วัตถุ' เมื่อไม่มีน้ำ ก็ไม่มีพระจันทร์ในน้ำ และเช่นกัน เมื่อไม่มีพระจันทร์ ก็ไม่มีพระจันทร์ในน้ำ
น้ำไม่ได้รอพระจันทร์เพื่อปรากฏเงาขึ้นมา พระจันทร์ก็มิได้ปรากฏเพื่อสร้างเงาในน้ำ ทั้งสองไม่มีเจตนาต่อกัน
นี่ก็คือมนุษย์กับจิต
วินทร์ เลียววาริณ
4-5-25................................
จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วมังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=6
เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/244/Mini%20Zen%20คู่%20Mini%20Tao
0 วันที่ผ่านมา -
วันก่อนเล่านิทานเรื่องเลือกหัวหน้าใหม่ เป็นการเล่านิทานเก่าในเวอร์ชั่นใหม่ และไม่ใช่ครั้งแรก
20 ปีก่อน มูลนิธิเด็กขอให้ผมช่วยเล่านิทานเก่าในเวอร์ชั่นใหม่ ผมตกลง รับบรี๊ฟแล้วก็เขียนเสร็จในชั่วโมงนั้น
คือเรื่อง จีนกับใบมะขาม ตีพิมพ์ใน สมุดบันทึกนิทานมูลนิธิเด็ก 2547
เป็นเล่มเล็กๆ บางคนอาจมีเก็บไว้
จะลงให้ผ่านหลังจบบทความ
คำถามคือแล้วผมเคยแต่งนิทานไหม คำตอบคือเคย ก็คือ นิทานอีแสบ ไง
นิทานอีแสบ อยู่ในนวนิยาย ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติฯ เป็นนิทานกวน-teen คน ตามในท้องเรื่อง นิทานเล่มนี้มี 40 เรื่อง ผมแต่งไว้ราว 2-3 เรื่องมั้ง
เคยคิดจะเขียนให้ครบ 24 เรื่องตามโจทย์ในนิยาย แต่ยังไม่ว่างเขียน
ทีนี้ก็มาถึงเรื่อง จีนกับใบมะขาม
...............................
จีนกับใบมะขาม
เล่าใหม่โดย วินทร์ เลียววาริณโกย้งกับโกผงเป็นชาวจีนสองคนเพื่อนตายที่หาเช้ากินค่ำในเมืองจีน ชีวิตในหมู่บ้านของพวกเขาแร้นแค้นมาก ทั้งสองมักอด ๆ อยาก ๆ วันหนึ่งโกย้งบอกโกผงว่า “เราทั้งสองจงเดินทางไปเมืองไทยเถิด ได้ยินคำร่ำลือว่า แผ่นดินนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว อุดมด้วยเรือกสวน พืชผักผลไม้บริบูรณ์”
โกผงถามว่า “เราสองคนจะทำอะไรกิน”
โกย้งตอบว่า “เรามีสองมือสองเท้า จะทำอะไรก็ได้ ตราบใดที่เราขยันขันแข็ง มีหรือจะอดตายในแผ่นดินอุดมสมบูรณ์เช่นนั้น”
ทั้งสองใช้เงินก้อนสุดท้ายเป็นค่าเดินทาง เรือสำเภาดั้นด้นฝ่าคลื่นลมจากเมืองจีนมาถึงจุดหมาย และขึ้นฝั่งทางภาคใต้ของไทย
โกย้งมองไปรอบตัว ยิ้มบอกว่า “เราไม่อดตายแล้ว ที่นี่เป็นสวรรค์โดยแท้”
โกย้งกับโกผงตัดสินใจแยกทางกันไปทำมาหากิน เพราะเห็นว่าการแยกกันไปทำงานคนละอย่างจะเพิ่มโอกาสในการสร้างตัว
ทั้งสองสัญญากันว่า หากใครประสพความสำเร็จก่อน จะช่วยเหลืออีกคน นัดหมายกันว่าอีกสองปีมาเจอกันที่ท่าเรือ
เมื่อแยกทางกันแล้ว โกผงก็ทำงานจิปาถะตามสบาย เนื่องจากเมื่อไม่มีกิน ชาวบ้านก็มักเอื้อเฟื้อมอบอาหารให้ ผลหมากรากไม้ก็หาง่าย อีกทั้งอากาศทางภาคใต้ก็เย็นสบาย ฝนตกปรอยชุ่มชื้นเสมอ โกผงจึงใช้ชีวิตตามสบาย เมื่อได้เงินมาก็หยุดทำงานนอนเล่นไปวัน ๆ ใช้เงินหมดเมื่อใดค่อยตะเกียกตะกายไปหางานทำ
เวลาผ่านไปสองปี โกผงก็ยังมีสภาพยากจนเช่นเมื่อสองปีก่อน โกผงเดินทางไปที่จุดนัดพบ เขาเห็นโกย้งในสภาพที่ไม่เหมือนเดิม โกย้งกลายเป็นเศรษฐี นั่งรถม้า มีคนขับรถ คนรับใช้หลายคนคอยปรนนิบัติ
โกย้งเล่าว่า เมื่อแยกทางมา เขาก็ทำงานทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงงอน เก็บหอมรอมริบอย่างอดทนจนได้เงินก้อนหนึ่ง นำไปลงทุนซื้อสวนใหญ่ปลูกมะขามและผลไม้อื่น ๆ กิจการดีขึ้นตามลำดับ
เมื่อรู้ว่าเพื่อนของตนไม่มีงานทำ โกย้งก็บอกให้โกผงไปทำงานกับตน โกผงทำงานที่ใหม่ นอกจากไม่ได้เปลี่ยนนิสัยทำงานวันหยุดสองวันแล้ว ยังแย่กว่าเดิม หยุดงานนานครั้งละหลาย ๆ วัน
เมื่อโกย้งถามว่าทำไมเขาไม่ทำงาน โกผงตอบว่า “แกรวยแล้ว ทำไมต้องทำงานหนักอีก ไม่จำเป็นต้องทำงานก็อยู่สบายไปตลอดชีวิตได้”
โกย้งสังเกตเห็นเพื่อนของตนเปลี่ยนไปเช่นนั้น ก็มิได้ว่ากล่าวแต่ประการใด บอกเพื่อนว่า “ถ้าเช่นนั้น ฉันจะให้แกไปทำงานง่าย ๆ “
โกผงถามว่า “งานอะไร”
“รูดใบมะขามออกจากต้น เริ่มจากต้นเล็กก่อน”
โกผงรับปากด้วยความยินดีที่ได้ทำงานเบาสบายกว่าเดิม โกผงรูดใบมะขามออกหมดต้นในสองสามวัน ไม่นานต้นมะขามนั้นก็เฉาตาย
โกผงรูดใบไม้จากต้นใหม่ต่อไป ครั้งนี้ใช้เวลารูดนานขึ้นเป็นอาทิตย์ เพราะเป็นต้นขนาดกลาง มะขามต้นนั้นไม่ตาย แต่ก็ใช้เวลาฟื้นตัวนานหลายอาทิตย์
เมื่อรูดใบหมดต้น โกผงก็ไปรูดใบจากต้นมะขามใหญ่ ครั้งนี้กินเวลานานเป็นเดือนก็ไม่หมดสักที เพราะเมื่อรูดใบหมดไปส่วนหนึ่ง ต้นมะขามก็ผลิใบใหม่ออกมา โกผงรู้สึกเหนื่อยจึงนั่งพักที่โคนต้นมะขาม สายตามองดูใบไม้ที่ถูกรูดร่วงโรยรายบนพื้น
เขานั่งคิดว่า ทำไมจึงไม่สามารถรูดใบไม้ทั้งหมดลงมาได้ ทั้ง ๆ ที่สองต้นแรกใช้เวลาเพียงไม่นาน เขานึกถึงตัวเองที่ทำงานวันเว้นวัน เงินหมดอย่างรวดเร็ว
คนที่ทำงานหนักได้เงินทองมาสะสมมากมาย ก็เหมือนมะขามใหญ่ รูดใบไม้ออกไปเท่าใดก็ไม่มีวันหมด ส่วนคนที่ขี้เกียจทำงานเช่นเขา มีเงินทองเล็กน้อย รูดใบไม้ไม่กี่วันก็หมดเกลี้ยง ไม่นานก็เฉาตายไป เขารู้แล้วว่าโกย้งมอบงานนี้ให้เขาทำเพื่อให้เขารู้จักคิด เขารู้สึกละอายใจ
โกผงกลับไปหาโกย้ง ขอทำงานที่ยากขึ้น คราวนี้เขาทำงานทุกวัน และไม่นานก็มีฐานะที่ร่ำรวย ยืนหยัดได้เหมือนมะขามใหญ่ต้นนั้น
ตีพิมพ์ใน สมุดบันทึกนิทานมูลนิธิเด็ก 2547
1 วันที่ผ่านมา -
บทความใหม่วันเสาร์ คลิกลิงก์อ่านได้เลย https://www.blockdit.com/posts/67fbd3dae2c7f2cd8aec121d
1 วันที่ผ่านมา -
โลกทุกวันนี้หาผู้นำดีๆ ยากมาก ทำให้นึกถึงนิทานเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ใครแต่ง หรือมาจากประเทศไหน
เรื่องมีอยู่ว่า...
หัวหน้าเผ่าคนหนึ่งรู้ว่าตนเองแก่แล้ว หมดกำลังวังชาลงไปเรื่อย ๆ เขาต้องการหาคนมาสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าต่อจากเขา
เขาจึงคัดลูกน้องที่มีแววห้าคน มอบเมล็ดพืชให้คนละเมล็ด บอกว่า “นี่เป็นพันธุ์พืชที่ปลูกยากมาก จงเอาเมล็ดพันธุ์นี้ไปเพาะ ให้เวลาหนึ่งปี ใครปลูกได้ต้นใหญ่ที่สุดแสดงว่ามีความสามารถเป็นผู้นำเผ่าได้ และจะได้เป็นหัวหน้าต่อจากเรา”
ผ่านไปหนึ่งปี ลูกน้องแต่ละคนก็นำพืชที่ปลูกในกระถางมาให้หัวหน้าดู แต่ละต้นใหญ่ สมบูรณ์
หัวหน้าชราตรวจดูต้นไม้เหล่านั้น ในที่สุดก็หยุดที่กระถางใบหนึ่ง มันเป็นกระถางเปล่า มีแต่ดิน ไม่มีต้นไม้ หัวหน้าถามว่า “นี่เป็นของใคร?”
ชายหนุ่มคนหนึ่งตอบว่า “เป็นของข้าฯ”
“ทำไมจึงปลูกไม่ขึ้น? เจ้าไม่ได้รดน้ำพรวนดินรึ?”
“ข้าฯรดน้ำพรวนดิน ให้มันรับแสงแดดทุกวัน แต่มันก็ไม่ยอมแตกหน่อผลิใบ ข้าฯจนปัญญา ข้าฯไม่มีความสามารถปลูกต้นไม้ชนิดนี้จริง ๆ”
หัวหน้าชราบอกชายหนุ่มคนนั้นว่า “เรามิได้ต้องการคนที่ปลูกต้นไม้เก่งมาเป็นหัวหน้าเผ่า เราต้องการคนซื่อสัตย์ต่างหาก เมล็ดพืชที่เราให้ทุกคนไปนั้นเป็นเมล็ดตาย ปลูกอย่างไรก็ไม่มีทางขึ้น เจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ จึงสมควรเป็นหัวหน้าคนใหม่”
วินทร์ เลียววาริณ
2-5-25......................
จากหนังสือเสริมกำลังใจ ยาเม็ดสีแดง
34 บทความ 190 บาท บทความละ 5.5 บาท
https://www.winbookclub.com/store/detail/116/ยาเม็ดสีแดง
S6 ชุดกำลังใจครึ่งโหล 6 เล่ม 800.- (ลดจาก 1,255.-)
https://www.winbookclub.com/store/detail/217/S6%20ชุดกำลังใจครึ่งโหล2 วันที่ผ่านมา