-
วินทร์ เลียววาริณ1 ปีที่ผ่านมา
เราอาจเคยได้ยินเรื่องของคนที่ดูแลสุขภาพอย่างดี กินแต่อาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับเต็มอิ่ม ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า แต่เป็นโรคมะเร็งร้ายหรือหัวใจวาย ตายเร็วกว่าคนที่ไม่ดูแลสุขภาพ
เรามักตั้งคำถามว่าทำไม แต่ในมุมของ Stoicism นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
หนึ่งในปราชญ์ที่มีชื่อเสียงสายปรัชญา Stoicism คือ เอพิคทีตัส (Epictetus) เป็นทาสมาก่อน
Epictetus ไม่ใช่ชื่อคน คำนี้แปลว่าการซื้อ เพราะเขาเป็นทาสที่ถูกซื้อมา เขาเกิดที่ Hierapolis, Phrygia (ปัจจุบันคือตุรกี) เป็นคนฉลาด เมื่อได้รับอิสรภาพ เขาก็ไปอาศัยที่กรีก สอนหลักการ Stoicism แก่สานุศิษย์ เขียนหนังสือหลายเล่ม
อาจเพราะผ่านชีวิตทาสมาก่อน เอพิคทีตัสเห็นว่าปัจจัยภายนอกเป็นเรื่องที่เราคุมไม่ได้ ดังนั้นเราควรยอมรับมัน รับมือกับมันอย่างมีสติและเยือกเย็น
เอพิคทีตัสสอนหลักสโตอิกอย่างมีอารมณ์ขันว่า “ถ้าข้าฯต้องตายเดี๋ยวนี้ ข้าฯก็จะตายเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเป็นภายหลัง ข้าฯก็ขอกินอาหารเที่ยงก่อน”
ความหมายคือเขาคุมได้เฉพาะเรื่องอาหารเที่ยง ส่วนเรื่องความตาย เขาคุมไม่ได้
ในเมื่อคุมไม่ได้ ไยต้องปวดหัวกับมัน
ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องคุมไม่ได้ ก็ป่วยการเปลืองแรงไปกลุ้มใจ
ชีวิตมีสองด้าน ด้านที่คุมได้ กับที่คุมไม่ได้
คุมไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียเวลากับมัน เราเรียกหลักนี้ว่า Dichotomy of Control
หลักนี้บอกว่าบางอย่างเราคุมได้ บางอย่างเราคุมไม่ได้
Stoicism มักยกตัวอย่างการยิงธนูมาอธิบายเรื่องนี้ สมมุติว่าเราเป็นพลธนูกรีกกำลังเข้าสู่สมรภูมิ เราอาจผ่านการฝึกฝนการยิงธนูมาอย่างหนัก เราเลือกธนูที่ดีที่สุด ลูกศรที่ดีที่สุด ตอนที่เราเล็งธนูไปที่ข้าศึก เราเล็งอย่างประณีตที่สุด แต่หลังจากเราปล่อยลูกธนูออกไปแล้ว เราคุมอะไรไม่ได้อีก
เราไม่เกี่ยวอะไรกับลูกธนูอีกต่อไป มันจะเข้าเป้าหรือไม่เข้าเป้าไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวลหรือกลุ้มใจ เพราะเราคุมมันไม่ได้อีกแล้ว ลมอาจตีมาทำให้ลูกศรไม่เข้าเป้า ทหารข้าศึกอาจเคลื่อนตัวทันใด ทำให้เรายิงไม่ถูก ดังนั้นเราไม่ควรผูกตัวเองกับผลลัพธ์ แต่ผูกได้กับความพยายามของเรา
โลกเรามีสองเรื่องเท่านั้นคือสิ่งที่เราคุมได้กับสิ่งที่เราคุมไม่ได้ สิ่งที่เราคุมได้คือความคิดของเรา ความต้องการของเรา สิ่งที่เราคุมไม่ได้คือร่างกาย ทรัพย์สิน ชื่อเสียง
เราอาจพยายามคุมร่างกาย ชื่อเสียง แต่มันไม่แน่นอน เราทำได้เพียงแค่พยายามได้เต็มที่ ส่วนผลลัพธ์อาจคุมไม่ได้
ในเรื่องสุขภาพ เราสามารถพยายามดูแลตัวเอง แต่มันมีปัจจัยอีกมากมายที่อาจทำให้สุขภาพเราเสื่อมลงและอายุสั้น เช่น เชื้อโรค สารเคมีที่เราได้รับมาจากโรงงานใกล้บ้าน ควันบุหรี่ที่เราได้รับจากคนรอบตัว ฯลฯ
เรื่องการสมัครงานก็เช่นกัน เราพยายามได้ เตรียม resume อย่างดี แต่ที่เหลือเราคุมไม่ได้ เราอาจไม่ได้งานเพราะผู้สัมภาษณ์หงุดหงิดในวันนั้น เนื่องจากเช้านั้นคนสัมภาษณ์ทะเลาะกับเมีย หรือโดนคนขับรถปาดหน้า ฯลฯ
การหาคนรักก็เช่นกัน เราคุมให้ใครมารักเราไมไ่ด้ แต่เราทำตัวเองให้น่ารักได้
ดังนั้นเราไม่ด่าใครโทษใครในเรื่องที่เราคุมไม่ได้
เอพิคทีตัสจึงกล่าวว่า “ทางเดียวของความสุขคือยุติความกังวลเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งอยู่เหนืออำนาจและเจตจำนงของเรา”
จากหนังสือ หิน 15 ก้อนของ สตีฟ จ๊อบส์ หนังสือเกี่ยวปรัชญา วิธีการมองชีวิต เพื่อความสุขของเรา มีจำหน่ายในงานหนังสือ บูธ L-35 และเว็บไซต์ winbookclub.com (คลิกตรง "ซื้อหนังสือ")
หรือสั่งซื้อทาง Shopee คลิกลิงก์ตามนี้ (ชุด 3 เล่ม S10) ชีวิตที่ดี + หิน 15 ก้อนฯ + เป่ย (ปก 660.- เหลือ 590.- พร้อมลายเซ็นนักเขียน) https://shope.ee/LL9SCqyRl?share_channel_code=6
0- แชร์
- 310
-
หากเราขีดเส้นตรงเส้นหนึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนเส้นทางชีวิตของเรา จะพบว่ามันเต็มไปด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายเกาะบนเส้นทางนั้น หลายคนซึ่งติดนิสัยจัดระเบียบก็วางแผนรายละเอียดแต่ละจุดแต่ละท่อนให้เข้าที่เข้าทาง จะเรียนจบเมื่ออายุ 22 แต่งงานเมื่ออายุ 29 มีลูกเมื่ออายุ 30 รีไทร์เมื่อ 55 ฯลฯ แผนเหล่านี้ทำให้การดำเนินชีวิตง่ายขึ้น แน่นอนขึ้น เจออุปสรรคน้อยที่สุด และปลอดภัย จัดเป็น ‘ชีวิตที่ดี’
แต่เหตุการณ์ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในชีวิต เราไม่สามารถจัดระเบียบได้เสมอไป เพราะเหตุการณ์ในชีวิตเราเป็นผลรวมของการกระทำในบางจุดบางท่อนของเราบวกกับตัวแปรที่เกิดจากกระทำในบางจุดบางท่อนของคนอื่น ๆ ทำให้กระทบต่อเส้นชีวิตเรา เกิดตัวแปรใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในแผนหลักของเรา การใช้ชีวิตแบบเดินตามแผนเป๊ะจึงมิเพียงทำไม่ได้ง่าย ๆ แต่ส่วนใหญ่ทำไม่ได้
ในนวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Foundation Trilogy ของ ไอแซค อสิมอฟ ตัวละครหลักคนหนึ่งซึ่งเป็นนักคณิตศาสตร์ชื่อ ฮาริ เซลดอน พัฒนาสาขาหนึ่งของคณิตศาสตร์ เรียกว่า Psychohistory วิชานี้สามารถพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตในสเกลใหญ่ได้อย่างแม่นยำ เช่น จะเกิดสงครามในปีนั้น ประชากรโลกในปีโน้นจะมีจำนวนเท่าไร ทำนายได้ล่วงหน้าเป็นหมื่น ๆ ปี
ฮาริ เซลดอน ใช้วิชานี้ทำนายว่าจักรวรรดิซึ่งครองดาราจักรทางช้างเผือกจะเสื่อมลงภายในสามร้อยปี และดาราจักรจะเข้าสู่ยุคมืดที่กินเวลาสามหมื่นปี อย่างไรก็ตาม เขาเสนอทางแก้ไขให้ เริ่มที่รวบรวมวิทยาการทั้งหมดของมนุษยชาติเป็น Encyclopedia Galactica (สารานุกรมดาราจักร) มันจะช่วยลดยุคมืดจากสามหมื่นปีเหลือแค่พันปี กลุ่มอำนาจผู้ปกครองทางช้างเผือกก็ยินยอมให้จัดทำEncyclopedia Galactica หลังจาก ฮาริ เซลดอน เสียชีวิต ชีวิตของชาวดาราจักรทั้งปวงก็ดำเนินไปตรงตามคำทำนายของเขาทุกประการ กาลเวลาผ่านไป ทุกคำทำนายของเขากลายเป็นจริงอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วทันใดนั้นคำทำนายของเขาก็ไม่ถูกอีกต่อไป เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยเล็ก ๆ บางจุดเปลี่ยนทิศทางของอนาคตไปสู่ทางที่เซลดอนมิได้ทำนายไว้ สรุปคือเส้นชีวิตของมนุษยชาติไม่ได้เป็นสิ่งที่กำหนดหรือเห็นได้ทั้งหมด เพราะมีตัวแปรมากเกินไป
หลายคนมีภาพฝังหัวว่า ชีวิตที่มีความสุขคือชีวิตที่ตระเตรียมแผนการไว้แล้ว แต่อีกหลายคนก็มีภาพฝังหัวตรงกันข้ามว่า ชีวิตที่มีความสุขคือชีวิตที่ไม่ต้องวางแผน เป็นอิสระ ไหลไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ ค่ำไหนนอนนั่น ไม่ต้องวิตก
ทว่าทั้งสองทางอาจเป็นการยึดติดทั้งคู่ การพยายามหนีการยึดติดก็อาจเป็นการยึดติดอย่างหนึ่ง!
อิสรภาพที่แท้คือการไร้ข้อกำหนดที่ตายตัว บางครั้งบางช่วง ชีวิตก็ควรมีแผน บางท่อนก็ไม่ต้องมีแผน นี่คือการใช้ชีวิตอย่างยืดหยุ่น
ในทางวิศวกรรม โครงสร้างที่อ่อนงอไม่ได้ (rigid) มักเทอะทะใหญ่โต เพราะต้องใช้ต้านแรงต่าง ๆ เช่น ลมพายุ แผ่นดินไหว ขณะที่โครงสร้างแบบยืดหยุ่น (flexible) จะเบากว่า เพราะไม่ต้องต้านแรงภายนอกมากนัก
โครงสร้างของชีวิตก็เช่นกัน การใช้ชีวิตอย่างมีอิสระก็คือการปรับแผนได้ตามสถานการณ์และใจชอบ เช่น ตั้งใจไปเล่นสเกตน้ำแข็งแต่ระหว่างทางพบคนเต้นรำบนท้องทุ่ง ก็สามารถเปลี่ยนแผนไปเต้นรำแทนและมีความสุข
อิสระอย่างนี้คือพลิกแพลงได้ ทว่ามันก็ยังหนีไม่พ้นการวางแผน เพราะการ ‘มีแผน’ กับ ‘วางแผน’ ไม่เหมือนกัน
‘มีแผน’ คือกำหนดทิศทางของชีวิตชัดเจน เช่น จะต้องมีแฟนก่อนอายุ 30 ต้องรวยก่อนอายุ 40 ต้อง ‘เออร์ลี รีไทร์’ ตอน 50 ฯลฯ ผิดไปจากแผนนี้ก็ไม่มีความสุข เพราะชีวิตไม่ได้ดังใจ นี่คือการตั้งเป้าหมายแบบไม่ยืดหยุ่น
ส่วน ‘วางแผน’ คือการใช้ชีวิตแบบรอบคอบไม่ประมาท เช่น จะไปเที่ยวยุโรปในฤดูหนาว ก็ต้องคิดว่าเอาเงินไปเท่าไรจึงพอใช้ ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวกี่ตัว จะขึ้นรถไฟต้องไปถึงสถานีกี่โมง ไม่ใช่ไปตายเอาดาบหน้า การวางแผนนี้ไม่ได้ลดทอนความสุขของการเที่ยวยุโรปแต่อย่างไร ตรงกันข้าม อาจทำให้มีความสุขมากขึ้นด้วยเพราะไม่มีการสะดุดที่เกิดจากตัวเอง
พูดง่าย ๆ คือ แผนการเป็นแค่การคิดอย่างมีประสิทธิภาพ ความสุขเป็นเรื่องทัศนคติในการใช้ชีวิต
ความสุขไม่ได้เกิดจากแผน ความสุขเกิดขึ้นระหว่างการดำเนินชีวิตแบบไม่เคร่งครัด แต่ก็ไม่เหลาะแหละ ชีวิตที่ไม่ยืดหยุ่นมักลดโอกาสมีความสุข
คนจำนวนมากเดินชีวิตตามสูตร นั่นคือทำงานถึงวัย 60 ก็หยุดทันที ปิดสวิตช์เข้าสู่โหมดพักผ่อน รอวันตาย บางคนกดสวิตช์รีไทร์ตั้งแต่ยังหนุ่ม
คนแก่หลายคนที่พ้นวัย 60 ได้วันเดียวก็รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า แต่ชีวิตไม่จำเป็นต้องเดินตามสูตรที่สังคมกำหนดให้ ความแก่ไม่ได้เริ่มเมื่อนาฬิกาชีวิตถึงเลข 60 ความแก่เริ่มเมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกเบื่อชีวิต คนที่ไม่เบื่อชีวิตไม่มีวันแก่
บางคนเรียนจบปริญญาหลายใบ แต่สอบตกในชีวิต เพราะไม่ยืดหยุ่น
ชีวิตไม่เหมือนการเรียนในมหาวิทยาลัย มีการสอบโดยไม่แจ้งล่วงหน้า คนฉลาดพร้อมเข้าสอบทุกเมื่อ เพราะทุกวันคือความสุข
วินทร์ เลียววาริณ
11-8-25จาก ชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราว
31 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 6.1 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
เล่มเดี่ยว https://www.winbookclub.com/store/detail/137/ชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราวโปรโมชั่นพิเศษชุด
https://www.winbookclub.com/store/detail/235/R4%20%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%2040 วันที่ผ่านมา -
The Zen moment วันนี้เล่าเรื่องพระโพธิธรรมหรือท่านตั๊กม้อ (ต๋าหมอ) ที่นักอ่านนิยายจีนกำลังภายในคุ้นดี
เพราะนอกจากจะเล่าเรื่องเซนแล้ว จะถือโอกาสเล่าเรื่องเบื้องหลังนวนิยาย สี่ภพ ด้วย (พูดตรงๆ คือจะมาป้ายยานั่นแหละ!)
เพราะนวนิยายเรื่องนี้ให้พระโพธิธรรมเป็นตัวละครด้วย
พระโพธิธรรมเป็นพระอินเดีย ไปเผยแผ่นิกายเซนเป็นครั้งแรกที่เมืองจีน วัดที่พระโพธิธรรมไปหาคือวัดเส้าหลินคือภูเขาซงซาน จึงนับเป็นพระสังฆปริณายกองค์แรกของเซน
องค์ที่สองคือฮุ่ยเข่อ คนที่แขนขาด
ทั้งสององค์อยู่ในนวนิยาย
ตำนานที่เล่าต่อกันมาคือพระโพธิธรรมนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำนานเก้าปี จนปรากฏเงาบนผนัง
เรื่องนี้ผมอ่านมานานปีแล้ว นึกหาเหตุผลว่ามันเป็นสัญลักษณ์หรือเปล่า
พอมาเขียน สี่ภพ ก็สบโอกาส ใส่เป็นพล็อตไปเลย
ในเมื่อเป็นไซไฟ เงาบนผนังก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสัญลักษณ์นามธรรม
ก็มาถึง0ุดที่ผมบอกว่า นวนิยาย สี่ภพ ใช้เวลาสองช่วงคือยุคท่านตั๊กม้อกับยุค กุบไล ข่าน ระยะห่างกันราว 800 ปี
ผู้อ่านบางคนถาม แล้วจะเล่ายังไง? หมายถึงจะเล่าเรื่องไปทีละรุ่นจนครบ 800 ปีหรือ?
หามิได้ นั่นง่ายไปหน่อย!
นี่ก็คือข้อดีของนิยายไซไฟ จะเขียนอะไรก็ได้ ขอเพียงหาเหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มารองรับ 800 ปีในไซไฟไม่ถือว่ายาว!
โดยส่วนตัว ผมค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ที่ออกมา แต่เดาใจไม่ได้ว่าผู้อ่านจะพอใจด้วยไหม
วินทร์ เลียววาริณ
10-8-25(พระโพธิธรรม วาดโดยอาจารย์ฮาคุอินในศตวรรษที่ 18)
อ่านที่มาของงานชุดนี้ได้ที่ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1348523389969682&set=a.208269707328395
อ่านรายละเอียดหนังสือได้ที่
https://www.facebook.com/photo?fbid=1352241359597885&set=a.208269707328395ตอนนี้พิมพ์จริงแล้ว สั่งซื้อ คลิก https://www.winbookclub.com/store/detail/254/4%20%E0%B8%A0%E0%B8%9E
ในหน้า pre-order สามารถคลิกอ่านตัวอย่าง 2 บทได้ฟรี
1 วันที่ผ่านมา -
ปราชญ์ทางวิชาการต่อสู้จัดวิทยายุทธ์เส้าหลินของปรมาจารย์ตั๊กม้อแห่งเทือกเขาซงซานเป็นแนววิชากำลังภายนอก ขณะที่วิทยายุทธ์แห่งสำนักอู่ตัง (บู๊ตึง) ของนักพรตเต๋าปรมาจารย์จางซานเฟิง (เตียซำฮง) ณ เทือกเขาอู่ตังในหูเป่ยเป็นแนววิชากำลังภายใน ทั้งเส้าหลินและอู่ตังถือเป็นสองสำนักมาตรฐานแห่งแผ่นดิน
วัดเส้าหลินตั้งอยู่บนเทือกเขาซงซาน (ซงซัว) เส้า เป็นชื่อภูเขา หลิน แปลว่า ป่า มีความหมายถึงสถานปฏิบัติธรรมในป่าแห่งภูเขาเส้า
ปรมาจารย์คนแรกของวัดเส้าหลินก็คือ พระโพธิธรรม หรือที่คนจีนเรียก ตั๊กม้อ นามนี้ปรากฏในนิยายจีนกำลังภายในนับไม่ถ้วนในฐานะจอมยุทธ์ผู้ให้กำเนิดคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น คัมภีร์ล้างกระดูก และสิบแปดฝ่ามืออรหันต์
ชาวโลกรู้จักวัดเส้าหลินว่าเป็นที่กำเนิดวิชาการต่อสู้ของจีนมาราวหนึ่งพันห้าร้อยปี เป็นสัญลักษณ์ของวิทยายุทธ์และนิยายจีนกำลังภายใน
นานปีหลังจากยุคของปรมาจารย์ตั๊กม้อ พระวัดเส้าหลินถือเป็นหน้าที่ที่จะใช้วิทยายุทธ์ปกป้องแผ่นดิน เช่นการต่อสู้ในสงครามหู่เหลา (ค.ศ. 621) อันเป็นต้นกำเนิดของราชวงศ์ถัง ไปจนถึงการต่อสู้ขับไล่พวกโจรสลัดวาโกะจากญี่ปุ่นที่รุกรานชายฝั่งจีนในศตวรรษที่ 16 ฯลฯ
ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัดแห่งนี้ถูกเผาทำลายและสร้างใหม่หลายต่อหลายครั้ง ตำนานการทำลายครั้งใหญ่ที่สุดคือในปี ค.ศ. 1644 โดยรัฐบาลชิง เนื่องจากพระวัดเส้าหลินต่อต้านราชวงศ์ชิง หมายฟื้นฟูราชวงศ์หมิง ประวัติศาสตร์ท่อนนี้กลายเป็นตำนานที่ทำให้วิทยายุทธ์เส้าหลินระบือไกล จนทำให้คำว่า เส้าหลิน ยิ่งยึดแน่นเป็นเรื่องของการต่อสู้ทางกาย อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์จำนวนหนึ่งเห็นว่า ความเชื่อว่าพระโพธิธรรมเป็นผู้ให้กำเนิดวิทยายุทธ์เส้าหลินน่าจะเป็นตำนานมากกว่าเรื่องจริง บ้างก็ว่าเรื่องราววิทยายุทธ์ของพระโพธิธรรมนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ของคนรุ่นหลัง ไม่ว่าอย่างไร ตำนานนี้ก็ฝังรากลึกในความเชื่อของคนทั่วไปเสียแล้ว
ความจริงก็คือวัดเส้าหลินเป็นต้นกำเนิดของเซน ซึ่งเป็นสายธารใหม่ที่แตกแขนงมาจากพุทธนิกายมหายานรวมกับเต๋า และปรมาจารย์ตั๊กม้อนั้นที่จริงแล้วเป็นถึงพระสังฆปริณายกแห่งจีน ซึ่งสืบสายมาจากพระพุทธองค์
ยังไม่มีการยืนยันที่มาของพระโพธิธรรมอย่างแน่ชัด แต่ตำราที่น่าเชื่อถือได้ชี้ว่า พระโพธิธรรมน่าจะเป็นเจ้าชายแคว้นคันธารราษฎร์ อินเดีย
อินเดียในสมัยโบราณเรียกว่า ชมพูทวีป มีอาณาเขตคลุมเจ็ดประเทศในปัจจุบัน คือ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล ภูฏาน ศรีลังกา บังคลาเทศ และอัฟกานิสถานในปัจจุบัน
แผ่นดินอัฟกานิสถานในเวลานั้นเรียกว่า คันธารราษฎร์ เมืองหลวงคือ คันธาระ (ปัจจุบันเรียก กันดาฮาร์) ต่อมาพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีกทรงพิชิตอาณาจักรเปอร์เซีย บางส่วนของอินเดีย รวมทั้งคันธารราษฎร์ ชาวกรีกได้ปกครองคันธาระนานหลายร้อยปี จนมาถึงสมัยของกษัตริย์กรีกนามพระเจ้าเมนันเดอร์ หรือพญามิลินท์ ทรงสนพระทัยในปรัชญา
ครั้งหนึ่งทรงพบพระนาคเสนมหาเถระปักกลดอยู่ และทรงสนทนาธรรมทั้งคืน จนถึงรุ่งเช้าก็ทรงปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ บทปุจฉา-วิสัชนาครั้งนั้นได้รับการบันทึกเป็นพระสูตรที่เรียกว่า มิลินทสูตร หรือ มิลินทปัญหา
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ศาสนาพุทธในคันธารราษฎร์ก็เจริญรุ่งเรืองมาก มีการหล่อพระพุทธรูปปางคันธารราษฎร์ พระพักตร์และรูปทรงแบบเทวรูปกรีก นอกจากนี้ยังมีการสลักพระพุทธยืนตามภูเขา เมื่อพวกตาลีบันครองอัฟกานิสถาน ได้ทำลายพระพุทธรูปเหล่านี้ไปแทบหมดสิ้น
เล่ากันว่าพระโพธิธรรมมีนัยน์ตาสีฟ้า ไว้หนวดเครารุงรัง เช่นเดียวกับบุคคลสำคัญในสายธารธรรมท่านอื่น ๆ มีตำนานมากมายที่เล่าเกี่ยวกับพระโพธิธรรม ส่วนใหญ่กลายเป็นตำนานอิงอภินิหาร
ตำนานหนึ่งเล่าว่าปรมาจารย์ตั๊กม้อนั่งวิปัสนากรรมฐานโดยการเพ่งผนังถ้ำนานถึงเก้าปี ประทับนานจนเงาที่ปรากฏบนผนังถ้ำเป็นรอยชัด! เพราะต้องนั่งกรรมฐานนาน ๆ ทำให้ท่านต้องฝึกวิชาเพื่อรักษาสุขภาพ ศาสตร์นี้เองที่สืบสานต่อมาเป็นวิทยายุทธ์แห่งเส้าหลิน
เช่นเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะหลายร้อยปีก่อนหน้านั้น พระโพธิธรรมทรงฝักใฝ่ทางธรรมมากกว่าทางโลก ก่อนเดินทางไปเผยแผ่ธรรมในเมืองจีน พระโพธิธรรมทรงครองตำแหน่งพระสังฆปริณายกองค์ที่ 28 ของอินเดีย
อันตำแหน่งสังฆปริณายกนั้นสืบสายมาจากพระพุทธเจ้าโดยตรง องค์แรกคือพระมหากัสสปเถระ เป็นการถ่ายทอดธรรมแบบ 'จิตสู่จิต' พร้อมด้วยบาตร จีวร สังฆาฏิของพระพุทธองค์ที่สืบต่อกันมา และนี่ถือเป็นต้นกำเนิดของแนวทางการถ่ายทอดตำแหน่งในทางเซน
พระโพธิธรรมเป็นศิษย์ของพระปรัชญาตาระ พระสังฆปริณายกองค์ที่ 27 ของอินเดีย พระปรัชญาตาระนี่เองที่แนะนำให้พระโพธิธรรมเดินทางไปเผยแผ่ธรรมในเมืองจีน
พระโพธิธรรมใช้เวลาเดินทางสามปีถึงแผ่นดินจีน หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่กวางโจว ตำนานเล่าว่าเมื่อไปถึงจุดหมาย ท่านก็อยู่ในสภาพหนวดเครารุงรัง จีวรเก่าเปื่อย
เวลานั้นเป็นช่วงรัชสมัยพระเจ้าเหลียงอู่ตี้ พระโพธิธรรมขึ้นฝั่งที่เมืองกวางโจว พระเจ้าเหลียงอู่ตี้ทรงทราบข่าวการมาถึงของพระรูปนี้ จึงทรงนิมนต์ท่านมาเมืองหลวงเพื่อสนทนาธรรม ได้ตรัสถามอาจารย์ตั๊กม๊อว่า "ตั้งแต่ครองราชย์มา เราได้ทะนุบำรุงพระศาสนามาโดยตลอด สร้างวัดวาอารามนับไม่ถ้วน จัดทำพระคัมภีร์มากมาย มิทราบว่าเราจักได้รับบุญกุศลมากน้อยเท่าใด?"
พระโพธิธรรมตอบว่า "ทรงมิได้บุญใด ๆ แม้แต่น้อย"
"ไฉนมิได้บุญอันใด?"
"เพราะเจตนาในการทำบุญนั้นไม่บริสุทธิ์"
ความจริงคือพระเจ้าเหลียงอู่ตี้ จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์เหลียงหรือราชวงศ์เหลียงใต้ ทรงขึ้นครองราชย์ด้วยพระหัตถ์เปื้อนเลือด ชิงบัลลังก์โดยสั่งฆ่าคนจำนวนมาก แต่ต่อมาทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนาพุทธ
"เช่นนั้นอะไรคือบุญที่แท้?"
"ก็คือการรู้ที่แท้จริง สมบูรณ์ สาระของมันคือความว่างเปล่า ไม่มีใครสามารถรับบุญจากวัตถุทางโลก"
"เช่นนั้นอะไรคือหลักแรกของความจริงศักดิ์สิทธิ์?"
"ความว่างเปล่าอันยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์"
"เบื้องหน้าเรานี้คือใคร?"
พระอาจารย์ตั๊กม้อตอบว่า "อาตมาไม่รู้"
แล้วพระโพธิธรรมก็ทูลลาจากไป
การพูดจาแบบห้วนและสั้นเป็นลักษณะเฉพาะตัวของพระโพธิธรรม แน่นอนพระจักรพรรดิทรงไม่พอพระทัยนัก แต่เมื่อสอบถามอำมาตย์และทรงทราบว่าพระโพธิธรรมเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งพระสังฆปริณายกองค์ที่ 28 แห่งอินเดีย ก็ทรงเสียดายที่ไม่ได้เรียนรู้ธรรมจากพระรูปนี้
(อ่านตอนต่อสัปดาห์หน้า)
วินทร์ เลียววาริณ
10-8-25
.............................
จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
มังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=61 วันที่ผ่านมา -
ไหนๆ คุยเรื่องวันชาติสิงคปร์แล้ว ก็ต่ออีกหน่อย จะได้ขายยาไปด้วย (เคี้ยกเคี้ยก!)
เหตุผลเพราะช่วงเวลาที่ผ่านมา เรารบกับเพื่อนบ้านอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น
โอกาสมันค่อนข้างน้อยจนเกิดวาทกรรม "ทหารมีไว้ทำไม"
ลีกวนยูคิดเรื่องนี้ยังไง?
เมื่อสร้างชาติใหม่ขึ้น สิงคโปร์พบว่าตนอยู่อย่างเดียวดาย เพราะทหารอังกฤษกำลังคิดยกกลับบ้าน
คำสั่งแรกๆ ของลีกวนยูคือ "สร้างกองทัพ" เหมือนก่อนซื้อเครื่องเรือนเข้าบ้าน ควรสร้างรั้วบ้านก่อน
หากไม่มีกองทัพ จะทำอย่างไรหากมาเลเซียเกิดคลั่งชาติ บุกยึดสิงคโปร์ด้วยกำลัง?
ความจริงก็คือเกิดความขัดแย้งบ่อย ๆ ระหว่างคนมาเลย์กับคนจีน ทั้งในมาเลเซียและสิงคโปร์ มีชาวมาเลย์จำนวนหนึ่งเห็นว่าไม่ควรให้สิงคโปร์แยกตัวไป ดังนั้นมันไม่ได้รับประกันว่า วันหนึ่งมาเลเซียจะไม่ยกทัพมาบุกยึดประเทศใหม่นี้
ตอนนั้นสิงคโปร์มีทหารราบสองกรม เป็นชาวอังกฤษ ทหารราบสองกรมเล็กเกินไปที่จะปกป้องประเทศ
ทีแรกลีกวนยูยังไม่ได้คิดถึงขั้นตั้งกองทัพเอง แต่หวังพึ่งอังกฤษ ลีกวนยูบินไปคุยกับผู้นำอังกฤษ บรรดาคนสำคัญในรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพื่อหยั่งท่าทีเรื่องกองทัพอังกฤษในสิงคโปร์
ในปี 1966 ลีกวนยูกับรัฐมนตรีโกเคงซวีไปอังกฤษ เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอังกฤษ เดนิส ฮีลีย์ (Denis Healey) บอกว่าขอซื้อฝูงบิน Hawker Hunter เดนิส ฮีลีย์ หัวเราะ บอกว่า “พวกคุณจะเอาไปทำไม เราอังกฤษจะปกป้องพวกคุณเอง”
ลีกวนยูรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง แต่รู้ว่าวันหนึ่งอังกฤษจะไปแน่
ไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น พึ่งตนเองดีที่สุด
หน้าที่สร้างกองทัพตกเป็นของโกเคงซวี (Goh Keng Swee) เดิมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขาอาสาย้ายออกจากตำแหน่งการคลังเพื่อไปดูแลกลาโหม แล้วตั้งลิมกิมซัน (Lim Kim San) ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแทน
พวกเขาตั้งกระทรวงที่รวมมหาดไทยเข้ากับกลาโหม เรียกว่า Ministry of Interior and Defense (MID กระทรวงมหาดไทยและกลาโหม) ฝึกตำรวจเป็นทหาร ทุกวันนี้ป้ายรถของกองทัพสิงคโปร์ก็ยังมีอักษรย่อ MID
ในเดือนมกราคม 1968 สิงคโปร์ซื้อรถถังขนาดเบาจากอิสราเอล เพราะอิสราเอลกำลังยกระดับอาวุธของตน ก็ขายให้ถูก ๆ ซื้อมา 72 คัน
สิงคโปร์ทาบทามอังกฤษให้ช่วยสร้างกองทัพ คำตอบคือ “ไม่”
ลีกวนยูบอกให้โกเคงซวีติดต่อทูตอิสราเอลที่กรุงเทพฯ มอร์เดอไค คีดรอน (Mordecai Kidron) ขอความช่วยเหลือ คีดรอนก็บินมาที่สิงคโปร์ พบลีกวนยู คุยกันเรื่องความเป็นไปได้ที่อิสราเอลจะช่วยสร้างกองทัพให้
ลีกวนยูบอกโกเคงซวีให้รอจดหมายตอบจากอียิปต์และอินเดียก่อน เพราะในเวลาใกล้กัน ลีกวนยูถามประธานาธิบดีอียิปต์ กามาล อับเดล นัสเซอร์ และนายกฯอินเดียที่เป็นเพื่อนเขา ลาล บาฮาดูร์ ชาสตรี ขอให้ช่วยสร้างกองทัพขนาดห้ากองพัน
ทั้งนัสเซอร์และชาสตรีปฏิเสธ
ลีกวนยูรู้สึกเสียใจที่เพื่อนปฏิเสธ ดังนั้นก็ไปติดต่อกับอิสราเอล แต่ทำแบบเงียบ ๆ ไม่ต้องการให้เกิดความรู้สึกกระทบกระทั่งกับมาเลเซียที่เห็นสิงคโปร์กำลังจะสร้างกองทัพ เพราะยังมีกลุ่มมาเลย์ที่ไม่ต้องการให้สิงคโปร์แยกตัว
อิสราเอลตกลงช่วยสร้างกองทัพให้แบบลับ ๆ เพราะสิงคโปร์รู้ดีว่าประเทศโดยรอบ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นมุสลิมซึ่งไม่ถูกกับอิสราเอล
อิสราเอลส่งเจ้าหน้าที่ของ The Israel Defense Forces (IDF) มาช่วยสร้างกองทัพจากศูนย์ เรียกว่า Singapore Armed Forces (SAF) นายทหารอิสราเอลใช้ชื่อเรียกว่า The Mexicans เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่ามาจากอิสราเอล
The Mexicans เป็นผู้ฝึก หลักสูตรทุกอย่างใช้ของอิสราเอล แม้แต่เรื่องการเกณฑ์ทหารและทหารกองหนุน ก็ใช้วิธีของอิสราเอล
ถึงปี 1971 สิงคโปร์มีกำลังทหาร 17 กองพัน (16,000 คน) ทหารกองหนุน 14 กองพัน (11,000 คน)
นอกจากนี้ยังได้นิวซีแลนด์มาช่วยฝึกทหารเรือ
พวกเขาออกกฎหมายให้ผู้ชายสิงคโปร์อายุ 18 ปีทุกคนต้องเป็นทหารสองปี เรียกว่า National Service (NS) เป็นภาคบังคับ หลังจากปลดประจำการ ก็อาจถูกเรียกตัวไปฝึกสมรรถนะร่างกายใหม่ ดังนั้นผู้ชายสิงคโปร์จึงเรียนจบมหาวิทยาลัยช้ากว่าผู้หญิงวัยเดียวกันสองปี
แน่นอนมีคนที่ไม่อยากเป็นทหาร และหนีทหาร ลีกวนยูก็ส่งพวกที่ถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" เข้าคุกไปหาคำตอบเองว่ามีทหารไว้ทำไม
บางคนหนีทหารไปหลายปี พบว่าไม่คุ้ม ก็ยอมกลับบ้านติดคุก
หลังจากสร้างกองทัพแล้วก็ถึงขั้นต่อไป สร้างเศรษฐกิจ
วินทร์ เลียววาริณ
10 สิงหาคม 2025อ่านที่มาและที่ไปของเรื่องนี้ได้อย่างละเอียดในเล่ม สร้างชาติจากศูนย์
สารคดีเกี่ยวกับชีวิตและผลงานของลีกวนยู รัฐบุรุษผู้สร้างชาติสิงคโปร์จากศูนย์ ที่เหมาะสำหรับผู้นำองค์กร ผู้บริการ นักการเมือง
21 เรื่อง ราคา 300 บาท = เรื่องละ 14.2 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว(ซื้อเดี่ยว) เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/248/สร้างชาติจากศูนย์
Shopee https://shopee.co.th/product/90206829/29061345680/
อีบุ๊ค The Meb https://www.mebmarket.com/ebook-320521-สร้างชาติจากศูนย์
2 วันที่ผ่านมา -
วันนี้ 9 สิงหาคม เมื่อ 60 ปีก่อน ถนนในเมืองสิงคโปร์เงียบเหงา เพราะผู้คนกลัวว่าจะเกิดเหตุร้าย หลังจากทางการได้รับจดหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของสหพันธรัฐมาเลเซีย สั่งให้ตำรวจเปลี่ยนเจ้านาย ไปขึ้นตรงต่อรัฐบาลสิงคโปร์แทน และเตรียมรับเหตุร้าย
เวลาสิบโมงเช้า เสียงประกาศทางวิทยุกระจายเสียงก้องไปทั่วคาบสมุทรมาลายา ทำให้คนมาเลย์และสิงคโปร์สะดุ้งตกใจ
มันเป็นคำประกาศของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตุนกู อับดุล ระห์มาน ข้อความว่า “สิงคโปร์จะยุติการเป็นรัฐหนึ่งของมาเลเซีย และจะเป็นประเทศเอกราชตลอดกาล เป็นอิสระจากมาเลเซีย และรัฐบาลมาเลเซียขอรับรองสถานะประเทศสิงคโปร์ และจะทำงานร่วมกันอย่างมีมิตรภาพ”
เป็นประกาศสามภาษา มาเลย์ อังกฤษ และจีนกลาง ออกอากาศซ้ำทุกครึ่งชั่วโมง และส่งข่าวไปให้สำนักข่าวทั่วโลก
แปลว่ามาเลเซียประกาศหย่าขาดกับสิงคโปร์
นี่เป็นข่าวที่ผู้นำรัฐสิงคโปร์ ลีกวนยูคาดไม่ถึง เขาแปลกใจว่าทำไม ตุนกู อับดุล ระห์มาน จึงรีบประกาศว่าประเทศแม่คือมาเลเซียประกาศตัดหางปล่อยวัดรัฐสิงคโปร์
มันเป็นเวลาสองปีหลังกำเนิดสหพันธรัฐมาเลเซีย ซึ่งรวมรัฐสิงคโปร์ด้วย มีความขัดแย้งกันหลายเรื่อง แต่ลีกวนยูไม่คาดว่าจะมีประกาศปุบปับอย่างนี้
ลีกวนยูเล่าว่า บางประเทศเกิดมาพร้อมเอกราช บางประเทศต้องต่อสู้เพื่อจะได้มา แต่สิงคโปร์ถูกโยนเอกราชมาให้
ธรรมเนียมปฏิบัติของคนมาเลย์คือผู้ชายสามารถหย่าภรรยาได้ โดยแค่เอ่ย “Talaq” (แปลตรงตัวว่าปลดปล่อย หมายถึง “ผมขอหย่าคุณ”) สามครั้ง ก็เท่ากับการหย่าเสร็จสิ้นโดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากฝ่ายหญิง
มาเลเซียก็เอ่ย “Talaq” กับสิงคโปร์ในวันนั้น
ในปี 1965 สิงคโปร์ยังเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย แต่ความไม่ลงรอยระหว่างสองประเทศที่มีความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ทำให้ไปต่อไม่ได้
รัฐสภามาเลเซียโหวตให้ขับสิงคโปร์ออกไป
สิงคโปร์ไม่เคยคิดจะแสวงหาเอกราช หรือแยกทางกับมาเลเซีย แต่ในเมื่อมันเป็นหมากตาบังคับ พวกเขาก็ต้องเดินหมากต่อไป
เวลาก่อนเที่ยง ลีกวนยูปรากฏตัวที่สถานีวิทยุและโทรทัศน์สิงคโปร์เพื่อแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งถามเขาว่า “คุณพอบอกได้ไหมว่ามีเหตุการณ์อะไรบ้างที่ทำให้เกิดการประกาศเช้านี้?”
ลีกวนยูอธิบายความขัดแย้งทางเชื้อชาติระหว่างมาเลย์กับสิงคโปร์ที่ดำเนินมานาน กล่าวว่า “ตลอดชีวิตของผม ผมเชื่อเรื่องการรวมตัวกัน และความเป็นหนึ่งของสองเขต ประชาชนเชื่อมกันทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง...”
พูดถึงตรงนี้เขาก็กลั้นก้อนสะอื้น บอกว่า “ผมขอหยุดสักครู่ได้ไหม?” ความรู้สึกท่วมท้นภายในทำให้เขาน้ำตาซึม และพูดต่อไม่ได้
มันไม่ใช่การถ่ายทอดสด สถานีจะแพร่ภาพตอนหกโมงเย็น ลีกวนยูขอให้ผู้อำนวยการสถานีวิทยุและโทรทัศน์สิงคโปร์ตัดท่อนที่เขาซับน้ำตาออก แต่ผู้อำนวยการบอกว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง ประการหนึ่งเพราะผู้สื่อข่าวทั่วโลกจะรายงานข่าวนี้ การตัดภาพท่อนนี้ออกไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น อีกประการ มันแสดงถึงความจริงใจ
รายงานข่าวผู้นำสิงคโปร์ท่วมท้นด้วยความรู้สึกภายในแพร่ไปทั่วโลก หลายคนในมาเลเซียมีความเห็นว่า การร้องไห้ของผู้ชายส่อถึงความอ่อนแอ แต่ผู้ชมทางตะวันตก อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ดูเข้าใจดีกว่า
9 สิงหาคมจึงกลายเป็นวันชาติสิงคโปร์แบบถูกโยนมาให้
ไม่มีใครในโลกในวันนั้นเชื่อว่าประเทศใหม่นี้ไปรอด
แต่เกมพลิก สิงคโปร์กลายเป็นชาติที่รุ่งเรืองที่สุดชาติหนึ่งในเอเชีย พาสพอร์ตที่ดีที่สุดในโลก ปลอดคอร์รัปชั่น ปลอดยาเสพติด สิงคโปร์โมเดลกลายเป็นโครงสร้างที่เติ้งเสี้ยวผิงนำไปใช้เปลี่ยนจีนหน้ามือเป็นหลังมือ
เป็นไปได้อย่างไร?
คำตอบคือเพราะสิงคโปร์มีจุดเดียวที่แตกต่างจากรัฐอื่น
นั่นคือผู้นำที่ชาญฉลาด ไม่โกงกิน และทำงานเพื่อชาติจริงๆ
ก็ขอแสดงความยินดีต่อวันเกิดครบรอบ 60 ปีของประเทศสิงคโปร์ในวันนี้ วินทร์ เลียววาริณ
9 สิงหาคม 2025อ่านที่มาและที่ไปของเรื่องนี้ได้อย่างละเอียดในเล่ม สร้างชาติจากศูนย์
สารคดีเกี่ยวกับชีวิตและผลงานของลีกวนยู รัฐบุรุษผู้สร้างชาติสิงคโปร์จากศูนย์ ที่เหมาะสำหรับผู้นำองค์กร ผู้บริการ นักการเมือง
21 เรื่อง ราคา 300 บาท = เรื่องละ 14.2 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
(ซื้อเดี่ยว) เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/248/สร้างชาติจากศูนย์Shopee https://shopee.co.th/product/90206829/29061345680/
อีบุ๊ค The Meb https://www.mebmarket.com/ebook-320521-สร้างชาติจากศูนย์
2 วันที่ผ่านมา