-
วินทร์ เลียววาริณ2 ปีที่ผ่านมา
เราอาจเคยได้ยินเรื่องของคนที่ดูแลสุขภาพอย่างดี กินแต่อาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับเต็มอิ่ม ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า แต่เป็นโรคมะเร็งร้ายหรือหัวใจวาย ตายเร็วกว่าคนที่ไม่ดูแลสุขภาพ
เรามักตั้งคำถามว่าทำไม แต่ในมุมของ Stoicism นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
หนึ่งในปราชญ์ที่มีชื่อเสียงสายปรัชญา Stoicism คือ เอพิคทีตัส (Epictetus) เป็นทาสมาก่อน
Epictetus ไม่ใช่ชื่อคน คำนี้แปลว่าการซื้อ เพราะเขาเป็นทาสที่ถูกซื้อมา เขาเกิดที่ Hierapolis, Phrygia (ปัจจุบันคือตุรกี) เป็นคนฉลาด เมื่อได้รับอิสรภาพ เขาก็ไปอาศัยที่กรีก สอนหลักการ Stoicism แก่สานุศิษย์ เขียนหนังสือหลายเล่ม
อาจเพราะผ่านชีวิตทาสมาก่อน เอพิคทีตัสเห็นว่าปัจจัยภายนอกเป็นเรื่องที่เราคุมไม่ได้ ดังนั้นเราควรยอมรับมัน รับมือกับมันอย่างมีสติและเยือกเย็น
เอพิคทีตัสสอนหลักสโตอิกอย่างมีอารมณ์ขันว่า “ถ้าข้าฯต้องตายเดี๋ยวนี้ ข้าฯก็จะตายเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเป็นภายหลัง ข้าฯก็ขอกินอาหารเที่ยงก่อน”
ความหมายคือเขาคุมได้เฉพาะเรื่องอาหารเที่ยง ส่วนเรื่องความตาย เขาคุมไม่ได้
ในเมื่อคุมไม่ได้ ไยต้องปวดหัวกับมัน
ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องคุมไม่ได้ ก็ป่วยการเปลืองแรงไปกลุ้มใจ
ชีวิตมีสองด้าน ด้านที่คุมได้ กับที่คุมไม่ได้
คุมไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียเวลากับมัน เราเรียกหลักนี้ว่า Dichotomy of Control
หลักนี้บอกว่าบางอย่างเราคุมได้ บางอย่างเราคุมไม่ได้
Stoicism มักยกตัวอย่างการยิงธนูมาอธิบายเรื่องนี้ สมมุติว่าเราเป็นพลธนูกรีกกำลังเข้าสู่สมรภูมิ เราอาจผ่านการฝึกฝนการยิงธนูมาอย่างหนัก เราเลือกธนูที่ดีที่สุด ลูกศรที่ดีที่สุด ตอนที่เราเล็งธนูไปที่ข้าศึก เราเล็งอย่างประณีตที่สุด แต่หลังจากเราปล่อยลูกธนูออกไปแล้ว เราคุมอะไรไม่ได้อีก
เราไม่เกี่ยวอะไรกับลูกธนูอีกต่อไป มันจะเข้าเป้าหรือไม่เข้าเป้าไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวลหรือกลุ้มใจ เพราะเราคุมมันไม่ได้อีกแล้ว ลมอาจตีมาทำให้ลูกศรไม่เข้าเป้า ทหารข้าศึกอาจเคลื่อนตัวทันใด ทำให้เรายิงไม่ถูก ดังนั้นเราไม่ควรผูกตัวเองกับผลลัพธ์ แต่ผูกได้กับความพยายามของเรา
โลกเรามีสองเรื่องเท่านั้นคือสิ่งที่เราคุมได้กับสิ่งที่เราคุมไม่ได้ สิ่งที่เราคุมได้คือความคิดของเรา ความต้องการของเรา สิ่งที่เราคุมไม่ได้คือร่างกาย ทรัพย์สิน ชื่อเสียง
เราอาจพยายามคุมร่างกาย ชื่อเสียง แต่มันไม่แน่นอน เราทำได้เพียงแค่พยายามได้เต็มที่ ส่วนผลลัพธ์อาจคุมไม่ได้
ในเรื่องสุขภาพ เราสามารถพยายามดูแลตัวเอง แต่มันมีปัจจัยอีกมากมายที่อาจทำให้สุขภาพเราเสื่อมลงและอายุสั้น เช่น เชื้อโรค สารเคมีที่เราได้รับมาจากโรงงานใกล้บ้าน ควันบุหรี่ที่เราได้รับจากคนรอบตัว ฯลฯ
เรื่องการสมัครงานก็เช่นกัน เราพยายามได้ เตรียม resume อย่างดี แต่ที่เหลือเราคุมไม่ได้ เราอาจไม่ได้งานเพราะผู้สัมภาษณ์หงุดหงิดในวันนั้น เนื่องจากเช้านั้นคนสัมภาษณ์ทะเลาะกับเมีย หรือโดนคนขับรถปาดหน้า ฯลฯ
การหาคนรักก็เช่นกัน เราคุมให้ใครมารักเราไมไ่ด้ แต่เราทำตัวเองให้น่ารักได้
ดังนั้นเราไม่ด่าใครโทษใครในเรื่องที่เราคุมไม่ได้
เอพิคทีตัสจึงกล่าวว่า “ทางเดียวของความสุขคือยุติความกังวลเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งอยู่เหนืออำนาจและเจตจำนงของเรา”
จากหนังสือ หิน 15 ก้อนของ สตีฟ จ๊อบส์ หนังสือเกี่ยวปรัชญา วิธีการมองชีวิต เพื่อความสุขของเรา มีจำหน่ายในงานหนังสือ บูธ L-35 และเว็บไซต์ winbookclub.com (คลิกตรง "ซื้อหนังสือ")
หรือสั่งซื้อทาง Shopee คลิกลิงก์ตามนี้ (ชุด 3 เล่ม S10) ชีวิตที่ดี + หิน 15 ก้อนฯ + เป่ย (ปก 660.- เหลือ 590.- พร้อมลายเซ็นนักเขียน) https://shope.ee/LL9SCqyRl?share_channel_code=6
0- แชร์
- 327
-

ช่วงนี้ใกล้ปีใหม่แล้ว ถ้าเป็นเมืองไทยเมื่อ 40-50 ปีก่อน ชาวบ้านชาวเมืองมีธรรมเนียมส่ง ส.ค.ส. ให้กัน มีแบบให้เลือกมากมาย
เมื่อผมเป็นเด็ก ในห้วงยามใกล้ปีใหม่ ผมชอบเดินไปดูแผงบัตร ส.ค.ส. ที่ร้านหนังสือแพร่วิทยา หาดใหญ่ เป็นช่วงที่ทางร้านวางบัตร ส.ค.ส. จำนวนมาก รูปไร่นา ควาย เด็กเป่าขลุ่ย ชาวประมง รูปธรรมชาติต่างๆ อาทิตย์ขึ้น อาทิตย์ตก รูปซานตาคลอส ทุ่งหิมะ เลื่อน กวาง เรือสุพรรณหงส์ ฯลฯ รูปโรยกากเพชร รูปสามมิติ ไปจนถึงรูปวาดด้วยมือ หลากหลายจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นร้านในต่างจังหวัด
ส.ค.ส.เหล่านั้นราคาตั้งแต่สองสลึงไปจนถึงหลายบาท แต่เด็กคนนี้ไม่มีปัญญาซื้อ
ผมชอบดูภาพเหล่านั้นมาก รู้สึกตื่นตาตื่นใจ และบ่อยครั้งก็จำแบบ แล้วมาวาดเองที่บ้าน
เป็นภาพความสุขของชีวิตวัยเด็กที่โลกทั้งใบกว้างเพียงถนนไม่กี่สาย
สมัยเด็กผมวาดรูป ส.ค.ส. เชยๆ แบบนี้ส่งให้เพื่อนๆ
ทุกครั้งที่นึกถึงความสุขวัยเด็ก แผงขาย ส.ค.ส. เป็นหนึ่งในภาพความทรงจำที่ปรากฏขึ้นเสมอ
เดี๋ยวนี้ไม่มีบรรยากาศนั้นอีกแล้ว อาจเพราะเราเข้าสู่ยุค digital greeting cards บัตรอวยพรที่ีพิมพ์บนกระดาษมีให้เลือกน้อยลงๆ ผมไม่เคยเห็นรูปวาดทุ่งนา เด็กเลี้ยงควายมานานแล้ว
ในยุคแห่งไอคอนใหม่ๆ ระดับโลก รูปทุ่งนา ควาย ชาวประมง อาจจะเชยไปแล้ว
รู้ว่าโลกเปลี่ยนไป แต่บางครั้งก็รู้สึกอาลัย
อายุมากขึ้น ผมส่งบัตรอวยพรกระดาษลดลงเรื่อยๆ
ผมไม่ชอบบัตรดิจิทัล ไม่ใช่เพราะปฏิเสธความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ชอบความสำเร็จรูปของมัน
อายุมากขึ้น ผมชอบความโบราณแบบเดิมมากขึ้น ชอบข้อความเชยๆ เช่น “ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย อวยพรให้คุณประสบความสุขความเจริญ...”
ตามด้วย “Merry Christmas & Happy new year.”
เชยแต่ชอบ!
นี่เป็นอาการของคนแก่ชัดๆ
เป็นอาการที่เรียกว่าโหยหาอดีต - nostalgia
รู้ว่าโลกเปลี่ยนไป แต่บางครั้งก็รู้สึกอาลัยโลกเดิม
ป.ล. รูปที่นำมาลงเป็นผลงาน ส.ค.ส. ของผมในวัยนักเรียน
วินทร์ เลียววาริณ
15 ธันวาคม 25680 วันที่ผ่านมา -

นิยายจีนกำลังภายในหลายเรื่องมีฉากจอมยุทธ์ประลองฝีมือโดยจ้องตากันเฉย ๆ ผ่านไปสักสองสามชั่วยาม ฝ่ายหนึ่งก็ร้องว่า "ข้าฯแพ้แล้ว" ง่าย ๆ เช่นนั้น!
จอมยุทธ์ในนิยายอีกหลายเรื่องประลองฝีมือกันโดยไม่ต้องชักอาวุธด้วยซ้ำ เมื่อฝ่ายหนึ่งร้องว่า "ชักกระบี่" อีกฝ่ายที่มามือเปล่าก็ตอบว่า "ชักแล้ว"
"ชักแล้ว? กระบี่ท่านอยู่ที่ใด?"
"กระบี่อยู่ที่ใจ!"
ที่น่าขันก็คือฝ่ายที่ถืออาวุธกลับร้องว่า "อา! ข้าฯแพ้แล้ว นับถือ! นับถือ!"
บทสนทนาที่ดูเป็นเรื่องเล่นโวหารอย่างนี้กระมังที่ทำให้คนส่วนใหญ่เห็นว่านิยายจีนกำลังภายในหาแก่นสารอะไรมิได้ แต่ความจริงแล้ว การจ้องตาหรือบทสนทนาแบบนี้ไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ของนักเขียนจีนในศตวรรษที่ 20 ตรงกันข้าม แนวคิดแบบสื่อสารกันด้วยหลักใจต่อใจ หรือการสัมผัสความจริงด้วยใจของเซนนี้มีมานานร่วมสองพันปีแล้ว และหากจะนับตำนานการสืบทอดธรรมของพระพุทธเจ้าต่อพระมหากัสสปะ ก็เกินสองพันห้าร้อยปี
พระสูตรจารึกว่า กาลครั้งโน้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ ภูเขาคิชกูฎ ท้าวมหาพรหมน้อมถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชา กราบทูลให้ทรงแสดงธรรม พระพุทธองค์จึงทรงชูดอกไม้ดอกหนึ่งขึ้นท่ามกลางสันนิบาต มิได้ตรัสความอันใด ไม่มีผู้ใดเข้าใจความหมายนั้น มีเพียงแต่พระมหากัสสปะยิ้มน้อย ๆ อยู่ผู้เดียว
พระพุทธองค์ทรงรู้ทันทีว่าพระมหากัสสปะเป็นผู้เดียวในที่นั้นที่เข้าใจความหมาย จึงทรงมอบจีวร สังฆาฏิ และบาตรของพระองค์ต่อให้พระมหากัสสปะ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของธรรมเนียมการสืบทอดตำแหน่งพระสังฆปริณายกต่อยังรุ่นถัดไป ก็คือตำแหน่งหัวหน้าสงฆ์
ดังฉะนี้พระมหากัสสปะจึงนับเป็นพระสังฆปริณายกองค์ที่ 1 แห่งอินเดีย สืบสายต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่าจนถึงพระสังฆปริณายกองค์ที่ 28 คือพระโพธิธรรม แล้วไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ในเมืองจีน เมื่อพระโพธิธรรมไปเผยแผ่ธรรมที่นั่น
ภายหลังตำนานนี้กลายเป็นปริศนาธรรมที่เรียกว่า 'นัยน์ตาแห่งธรรมะที่แท้' หมายถึงการสื่อสารโดยไม่ผ่านตัวอักษร นี่ก็คือการถ่ายทอดธรรมแบบ 'ใจถึงใจ' พระพุทธเจ้าทรงยกดอกไม้ พระมหากัสสปะยิ้ม จิตของพระพุทธองค์กับจิตของพระมหากัสสปะเชื่อมกัน
นี่ก็คือต้นกำเนิดการสื่อสารแบบเซน!
เซนมองว่า เหตุผลที่พระพุทธองค์ไม่ตรัสคำใด ๆ เพราะคำพูดนั้นไร้ความหมายและรกรุงรังเปล่า ๆ การรู้แจ้งของพระพุทธเจ้าเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถเอ่ยเป็นคำอธิบายหรือด้วยคำใด ๆ เพราะคำพูดเป็นรูปหนึ่งของมายา! เซนจึงใช้หลัก 'ชี้ตรง' โดยไม่ต้องสื่อสารด้วยคำพูดให้เขวเปล่า ๆ
ยิ่งใช้ถ้อยคำยิ่งหลงทาง ยิ่งพูดมากก็ยิ่งเขว
................
เซนเป็นคำที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง หนังสือเกี่ยวกับเซนมีมากมายหลายภาษาหลายเวอร์ชั่น บางตำราว่าเซนเป็นพุทธศาสนานิกายมหายาน บางตำราว่าเซนคือปรัชญาที่ผสมผสานแนวคิดของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานกับลัทธิเต๋าของจีน
แต่ผู้เชี่ยวชาญเซนระดับแถวหน้าหลายคนเช่น ดร. ดี. ที. ซูซุกิ ยืนยันว่า เซนไม่ใช่ปรัชญา และก็มิใช่ศาสนา เพราะสาระของมันแตกต่างจากทั้งปรัชญาและศาสนา มันเชื่อมโยงกับทั้งปรัชญาและศาสนาอย่างยิ่งในฐานะทางเลือกทางหนึ่ง แต่ต่างจากศาสนาอื่น ๆ เซนไม่มีพระเจ้า ไม่มีวิญญาณ ไม่มีพิธีกรรมทางศาสนา ไม่มีการรดน้ำมนต์ ไม่มีปาฏิหาริย์ ไม่มีสวรรค์
อลัน วัตต์ส นักปรัชญาชาวอังกฤษเขียนในหนังสือ The Way of Zen (1957) ว่า เซนเป็นวิถีทางและมุมมองของชีวิต เซนไม่ใช่ศาสนา ไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่จิตวิทยาหรือวิทยาศาสตร์ และเช่นเดียวกับพุทธและเต๋า หลักการของเซนคือ 'การปลดปล่อยตนให้เป็นอิสระ' (self liberation)
แม้ว่าเซนเป็นส่วนผสมของศาสนาพุทธกับเต๋า แตกแขนงเป็นอีกสายธารหนึ่ง แต่ก็เป็นสายทางใหม่ที่ต่างจากเดิม อย่างที่บางท่านบอกว่า เซนก็คือสิ่งประดิษฐ์ในสมัยราชวงศ์ถัง
ท่านพุทธทาสภิกขุบอกว่าเราไม่ควรนับเซนเป็นมหายาน เพราะเซนไม่บูชาสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นอมิตาภะ โพธิสัตว์ ตารา (หรือ 'พระรัตนตรัย' ของฝ่ายมหายาน) ไม่มีแดนสุขาวดี ไม่มีทัวร์สวรรค์ ไม่มีปาฏิหาริย์ ไม่มีรางวัลสำหรับชาติหน้า อีกทั้งเซนยัง "ขนสัตว์ข้ามฝั่ง (หมายถึงรู้แจ้ง) ไปได้น้อยกว่าพวกหินยานหรือเถรวาทเสียอีก"
............................
วินทร์ เลียววาริณ
14-12-25จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
มังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=6Mini Zen Shopee https://shopee.co.th/วินทร์-เลียววาริณ-ชุด-Mini-Zen-และ-Mini-Tao-ราคาปก-430.-พิเศษ-350.-พร้อมลายเซ็นนักเขียน-
1 วันที่ผ่านมา -

จะมีนักร้องสักกี่คนที่เราสามารถฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่านานหลายสิบปี และจะมีนักร้องสักกี่คนที่คนทั่วโลกสามารถฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่านานหลายสิบปี
ปีนี้ครบ 30 ปีการจากไปของเติ้งลี่จวิน (鄧麗君 Teresa Teng)
นักร้องเสียงสวรรค์จากโลกไปตอนที่กำลังรุ่งสุดขีด ที่เชียงใหม่ เมืองไทยนี่เอง
ไม่ว่าเป็นคนจีนแผ่นดินไหน มุมไหนของโลก ก็ฟังเพลงของเธอ แม้แต่คนยุโรปหลายประเทศชอบฟังเพลงของเธอ คนรัสเซียก็ชอบ จนมีสแตมป์รูปเติ้งลี่จวิน
ผมจำไม่ได้แล้วว่าฟังเพลงของเติ้งลี่จวินครั้งแรกเมื่อไร น่าจะเป็นช่วงที่ไปทำงานที่สิงคโปร์ในยุค 1980
ผมฟังเพลงที่เธอร้องบ่อย เพราะไพเราะแทบทุกเพลง เสียงโซปราโนของเธออ่อนหวาน ละลายวิญญาณ ไม่ว่าเธอเปล่งเนื้อเพลงด้วยภาษาจีนหรือญี่ปุ่น หรืออังกฤษ ก็มีเสน่ห์
ผ่านไปสามสิบปี ผมก็ยังฟังเพลงของนางฟ้าคนนี้อยู่ มันกลายเป็นอมตะไปแล้ว แม้แต่ฝรั่งยังเล่นเพลงของเธอ
เติ้งลี่จวินเป็นที่รู้จักทั่วเอเชียจริงๆ ตั้งแต่ที่ไต้หวันประเทศบ้านเกิดของเธอ จีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เวียดนาม ไทย
เธอบันทึกเสียงเพลงไว้ราว 1,700 เพลง ในระยะเวลาสามสิบปี เป็นนักร้องที่ทำให้เพลงจีนฮิตจริงๆ
เพลงดังๆ เช่น จันทราแทนหัวใจฉัน (月亮代表我的心) กลายเป็น signature song เพลงหนึ่งของเธอไปแล้ว
คนญี่ปุ่นก็รักเพลงของเธอ เธอร้องทั้งเพลงจีนและเพลงญี่ปุ่น
เติ้งลี่จวินเป็นตัวอย่างของมนุษย์ที่พิสูจน์ว่าคนมุมต่างๆ ของโลกสามารถเชื่อมเข้าด้วยกันได้ เสียงเพลงของเธอพิสูจน์ว่าโลกไม่มีเส้นพรมแดนจริงๆ
หากเสียงเพลงของคนคนหนึ่งสามารถเชื่อมโลกได้ ย่อมพิสูจน์ว่าความขัดแย้งในโลกสามารถรักษาได้
หรือไม่ใช่?
วินทร์ เลียววาริณ
14-12-251 วันที่ผ่านมา -

ไรอัน จอห์นสัน ผู้กำกับที่สอบไม่ผ่านจากหนัง Star Wars ตอน The Last Jedi แต่กลับสอบผ่านในหนังนักสืบชุด Knives Out
Knives Out เป็นหนังแนว ‘whodunit’ ซึ่งเป็นตระกูลหนังฆาตกรรมแบบหนึ่ง
ตามขนบนิยายฆาตกรรม ‘whodunit’ จะบอกให้ผู้อ่านหรือผู้ชมรู้ว่าเกิดคดีฆาตกรรมในที่เกิดเหตุ อาจเป็นบ้าน คฤหาสน์ หรือรถไฟ ฯลฯ ทุกคน ณ ที่เกิดเหตุจะเป็นผู้ต้องสงสัย จากนั้นนักสืบเอกของเรื่องจะคลี่คดี แทบจะถือเป็นขนบว่า ในตอนท้ายเรื่องผู้ต้องสงสัยทุกคนจะนั่งรวมกัน แล้วนักสืบของเราก็จะเฉลยว่าใครเป็นฆาตกร
เป็นที่มาของวลี whodunit (= who's done it ใครเป็นคนฆ่า)
Knives Out ตอนแรก สนุก นักสืบหลักของเรื่องคือ Benoit Blanc (แดเนียล เครก)
ภาคสองตามมาติดๆ ชื่อเรื่อง Glass Onion: A Knives Out Mystery สู้ภาคแรกไม่ได้ เพราะต้องอาศัยความบังเอิญในการเดินเรื่อง
ในการเขียนนิยายตระกูลนี้ ต้องไม่มีความบังเอิญ ทุกจุดต้องมีเหตุผลว่าทำไมอยู่ตรงนั้น
ก็มาถึงภาค 3 เพิ่งเข้า Netflix เมื่อวานนี้
ชื่อ Wake Up Dead Man
ข่าวดี เรื่องนี้ดีกว่าภาค 2 สูสีกับภาค 1 แต่ภาค 1 ดีกว่า
หนังสนุกมาก จับเราอยู่ตั้งแต่เปิดเรื่อง จังหวะหนังไหลดีตลอด
ปัญหาของ Wake Up Dead Man คือท่อนจบต้องอาศัยคำสารภาพของตัวละครมาเฉลย
นี่เป็นปัญหาของเรื่องที่มีพล็อตซับซ้อนมากๆ เช่นเรื่องนี้ ซึ่งการให้ตัวละครนักสืบเฉลยจุดที่เขาไม่มีทางรู้ได้ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของตัวละครคนหนึ่งในอดีตกาล ย่อมทำไม่ได้ จึงจำเป็นต้องพึ่งทางลัด
หนังบันเทิง มีความบังเอิญและลักลั่นประปราย นอกเหนือจากนั้น ก็ถือว่าเรื่องนี้สอบผ่าน
ให้คะแนนแค่นี้ก็แล้ว gun เพราะต่ำกว่านี้ ก็ heart bad go หน่อย
8.5/10
Netflixวินทร์ เลียววาริณ
13-12-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
(มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)
1 วันที่ผ่านมา -

เวลาเล่นฟุตบอล เมื่อคะแนนเสมอกันตอนหมดเวลา กรรมการจะต่อเวลาให้เล่นต่อ
ชีวิตเราหลายคนก็ได้ต่อเวลา เช่น รอดจากอุบัติเหตุ รอดจากการตกงาน รอดตายจากโรคร้าย
เราจำเป็นต้องประสบภัยก่อนหรือ จึงจะเห็นคุณค่าของชีวิตที่เรามี?
นี่คือบทความใหม่วันเสาร์ คลิกลิงก์อ่านได้เลย https://www.blockdit.com/posts/692d65178535799bb4b21447
1 วันที่ผ่านมา
