-
วินทร์ เลียววาริณ1 ปีที่ผ่านมา
- ตั้งไข่ประชาธิปไตย ตอน ๒ -
ราตรีรอยต่อระหว่างวันที่ ๒๓ กับ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เรือปืนหลายลำแล่นออกจากอู่เรือไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเงียบเชียบ เมื่อฟ้าสาง ปืนบนเรือก็เล็งไปยังจุดสำคัญต่าง ๆ รวมทั้งวังบางขุนพรหม ที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
รุ่งสางหลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) นำทหารเรือห้าร้อยคนติดอาวุธ เข้ายึดพระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นกำลังหน่วยแรกที่มาถึง
ทหารเรือปิดถนนราชดำเนินด้านที่เชื่อมกับลานพระบรมรูปทรงม้า วางกระสอบทรายเป็นบังเกอร์ ล้อมพระที่นั่งอนันตสมาคม
แล้วรอทหารบก
เวลาผ่านไป ทหารบกก็ยังไม่มา
หลวงสินธุสงครามชัยนึกหวาดในใจว่า หากทหารบกไม่มาตามนัด โทษประหารก็รออยู่ข้างหน้า
แต่มาถึงจุดนี้แล้ว พวกเขาไม่มีทางเลือก ต้องรอ
พวกเขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งบนกระดานชิงอำนาจแห่งวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕
.........................
เช้าวันที่ ๒๔ มิถุนายน ผู้ก่อการฝ่ายทหารบกนัดหมายพบกันที่ริมทางรถไฟถนนประดิพัทธ์ เวลาตีห้า บรรดาแกนนำตื่นตั้งแต่ตีสี่
ก่อนออกจากบ้าน พระยาพหลพลพยุหเสนาสั่งเสียกับภรรยาว่า ถ้าทำการไม่สำเร็จและต้องโทษจำคุกหรือถูกประหารชีวิต ก็ขอให้เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี และเป็นพยานว่า ทำการครั้งนี้มิได้หวังโค่นล้มราชวงศ์แต่อย่างใด
พระยาทรงสุรเดชกินข้าวผัดที่เหลือจากเมื่อเย็นวาน แล้วออกจากบ้านไปกับ ร.อ. หลวงทัศนัยนิยมที่มารับ แจ้งภรรยาว่า “ไปดูการสวนสนามที่หน้าพระลาน”
ส่วนพระประศาสน์พิทยายุทธเขียนหนังสือลาถึงภรรยา ฝากดูแลลูกหากทำการไม่สำเร็จ แล้วขับรถไปรับพระยาพหลฯที่บางซื่อ แล้วตรงไปที่จุดนัดพบเวลาตีห้า
เมื่อทุกคนมาครบ ก็ตรงไปที่กรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์ สี่แยกเกียกกาย อันเป็นสถานที่เก็บยานยนต์หุ้มเกราะ
เมื่อไปถึงกรมทหารม้า พระยาทรงสุรเดชเรียกผู้บังคับการมาพบ พูดเสียงดุ ๆ ว่า “เวลานี้เกิดกบฏกลางเมืองขึ้นแล้ว คนจีนในพระนครกำลังลุกฮือ มัวแต่หลับนอนอยู่ได้ เอารถเกราะรถรบ เอาทหารออกไปช่วยเดี๋ยวนี้”
พลันเสียงแตรก็กังวานทั่วค่าย ทหารทั้งหมดถูกปลุกตื่นขึ้น
“เตรียมตัวออกปฏิบัติการเดี๋ยวนี้”
พระยาพหลฯให้ทหารตัดโซ่กุญแจคลังกระสุน แล้วลำเลียงกระสุนออกมาขึ้นรถ
พระประศาสน์ฯพร้อม ร.อ.หลวงทัศนัยฯ สั่งให้ทหารขับรถถังและรถเกราะออกมา
ปฏิบัติการยึดกรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์สำเร็จตามแผนทุกประการ
ผู้ก่อการสั่งเคลื่อนยานยนต์หุ้มเกราะ รถถัง รถขนกระสุนและปืนกลเบา ๑๕ คัน มุ่งหน้าไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคม ส่วนทหารที่เหลือไปขึ้นรถบรรทุกของกรมทหารปืนใหญ่ที่พระยาฤทธิฯส่งมารับ เคลื่อนขบวนไปลานพระบรมรูปทรงม้าพร้อมกับทหารจากกรมทหารราบที่ ๑ และทหารจากกองพันทหารช่าง
ทหารจากหน่วยต่าง ๆ ปรากฏตัวที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ทั้งทหารบก ทหารเรือ นักเรียนนายร้อย ทั้งที่มาจริงตามแผนและที่ถูกลวงมารวมประมาณสองพันคน
รถถังและรถเกราะจอดเรียงปิดล้อมรอบพระบรมรูปทรงม้า ปิดถนนที่มาจากถนนศรีอยุธยา วัดเบญจมบพิตร วังปารุสกวัน
ผบ.สั่งให้ทหารต่างหน่วยคละกันเพื่อป้องกันไม่ให้นายทหารระดับหัวหน้าสามารถสั่งการลูกน้องตัวเองได้
คณะราษฎรมิได้ใช้ทหารรักษาวังและทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ราบที่ ๑ ทหารสองหน่วยนี้ถูกปลดอาวุธในตอนเช้า รวมทั้งกองบินทหารบกทุกกอง
กำลังคณะราษฎรเข้ายึดและควบคุมสถานที่สำคัญของราชการในกรุงเทพฯไว้ทั้งหมด ตั้งแต่พระบรมมหาราชวัง วังสวนสุนันทา สถานีวิทยุที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข กรมรถไฟหลวง กรมช่างแสง กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ สถานีรถไฟหัวลำโพง กรมอากาศยาน
พระยาพหลฯในเครื่องแบบทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ คาดปืนพกคอลท์ที่เอว ยืนบนรถหุ้มเกราะคันหนึ่ง อ่านประกาศคณะราษฎร ท่ามกลางประชาชนเฝ้าดูอย่างเนืองแน่น
หัวหน้าคณะราษฎรฝ่ายทหารประกาศว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถึงกาลสิ้นสุด และเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐอันมีรัฐธรรมนูญ ยึดอำนาจพระมหากษัตริย์สู่มือราษฎร
ผู้ก่อการร้องไชโย เหล่าทหารก็ร้องไชโยตาม
หนังสือ สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ของ ม.จ. พูนพิศมัย ดิศกุล เล่าว่า เมื่อพระยาพหลฯอ่านประกาศจบแล้ว ก็มีทหารชักปืนพกชี้ทหารผู้บังคับบัญชาทีละคนว่า “จะเข้าร่วมหรือไม่?” ทุกคนก็ยกมือยอมเข้าร่วม
ทหารมหาดเล็กคนหนึ่งชื่อ ร.ต. พุฒ หนีออกจากที่ชุมนุม ไปรายงานเหตุการณ์ให้ผู้บังคับการคือ พ.อ. พระยาสุรเดชรณชิต (ชิต ยุวนะเตมีย์) เพื่อนพระยาพหลฯซึ่งเรียนที่เยอรมนีด้วยกัน พระยาสุรเดชรณชิตก็ทำการใด ๆ ไม่ได้ เพราะรู้ช้าไป
ต่อมาพระยาพหลฯมาเกลี้ยกล่อมพระยาสุรเดชรณชิต พระยาสุรเดชฯก็ถอดหมวกทหารออกฟาด ตอบว่า “อ้ายพจน์ กูเป็นทหารของพระจุลจอมเกล้าฯ กูไม่เสียสาบาน...”
พระยาสุรเดชรณชิตถูกจับขังและปลดจากราชการทหาร และเสียชีวิตในเวลาไม่นานต่อมา ส่วน ร.ต. พุฒถูกยิงตายคาบ้าน
ในเวลาเดียวกัน หน่วยจู่โจมหลายหน่วยไปจับตัวประกันสำคัญตามที่ต่าง ๆ หน่วยหนึ่งไปจับพระยาสีหราชเดโชชัย เสนาธิการทหารบก
“เราต้องระวัง เพราะเขาพกปืนติดตัวตลอดเวลา”
หน่วยจู่โจมเข้าไปในบ้านของพระยาสีหราชเดโชชัย กล่าวกับคนในบ้านว่า “ขอเชิญพระยาสีหราชฯไปที่กองบัญชาการ”
“ท่านกำลังอาบน้ำอยู่”
ทหารที่ไปจับตัวก็ตรงไปที่ห้องน้ำ เพราะเป็นเวลาที่เจ้าของบ้านไม่พกปืน เมื่อออกจากห้องน้ำ ก็ถูกจับตัวโดยละม่อม
การจับกุมตัวประกันทั้งเจ้านายและนายทหารชั้นผู้ใหญ่เป็นไปโดยไม่มีอุปสรรค แต่งานใหญ่ที่สุดและเสี่ยงที่สุดคือการจับตัวกรมพระนครสวรรค์วรพินิต
.........................
ขณะที่การชุมนุมที่หน้าพระลานดำเนินไป รถเกราะกับรถบรรทุกทหารนำโดยพระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) พร้อม ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี และนักเรียนนายร้อยห้าสิบคน ก็ไปถึงวังบางขุนพรหม ที่ประทับของกรมพระนครสวรรค์วรพินิต
“ด้านหน้าวังมีทหารหมวดหนึ่งรักษาการณ์อยู่ ถ้าบุกเข้าไปตรง ๆ จะเกิดการยิงกันแน่”
พระประศาสน์พิทยายุทธว่า “ไปตามสารวัตรสถานีตำรวจบางขุนพรหมมานำทาง ทหารยามวังคุ้นหน้าสารวัตร คงยอมเปิดประตูให้เข้าไป”
สารวัตรยศร้อยตำรวจโทจึงนั่งรถเกราะเข้าไปด้วยกัน เมื่อถึงประตูวัง ตำรวจวังที่รักษาการณ์อยู่เห็นสารวัตร ก็เปิดประตูให้
เมื่อเข้าไปในเขตวังแล้ว ฝ่ายก่อการก็เคลื่อนกำลังไปที่ตำหนักใหญ่ พระยาอาษาพลนิกรที่ยืนอยู่หน้าตำหนักเห็นรถเกราะเข้ามา ก็ยิงปืนสวนไป ทหารรถเกราะยิงขู่ พระยาอาษาพลนิกรก็วิ่งหลบไป
พระประศาสน์ฯกล่าว “พวกนั้นรู้ว่าเรามา”
ว่าแล้วสั่งให้ทหารเตรียมสู้ และให้ตำรวจคนหนึ่งขึ้นไปกราบทูลกรมพระนครสวรรค์ฯว่าขอเข้าเฝ้า
เมื่อไม่มีใครออกมา พระประศาสน์ฯจึงสั่งให้ทหารบุกเข้าไปด้านหลัง ถึงเรือนริมแม่น้ำ ที่นั่นกรมพระนครสวรรค์ฯในชุดกุยเฮงกำลังเสด็จลงเรืออธิบดีกรมตำรวจ พระยาอธิกรณ์ประกาศ (หลุย จาติกวณิช) พร้อมกำลังตำรวจราวหนึ่งร้อยนายถวายการอารักขา
ทว่าเรือของกรมพระนครสวรรค์ฯออกไปไม่ได้ เพราะเรือรบของทหารเรือคณะราษฎรขวางอยู่ ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกัน ไม่ว่าใครยิงก่อน ก็นองเลือดเมื่อนั้น
คำสั่งของผู้ก่อการชัดเจน อย่าให้เกิดเลือดตกยางออก
พระประศาสน์พิทยายุทธเดินเข้าไปหากรมพระนครสวรรค์ฯ พระองค์ตรัสว่า “ตาวัน แกก็เป็นกบฏกับเขาด้วยรึ”
ทันใดนั้นพระยาอธิกรณ์ฯก็ชักปืนคอลท์ ๙ มม. ขึ้นมาจะยิงพระประศาสน์พิทยายุทธ ร.อ. หลวงนิเทศกลกิจและทหารคนอื่นเห็นเข้า จึงตรงเข้าไปปลดอาวุธ
พระประศาสน์พิทยายุทธทูลเชิญออกไปที่พระที่นั่งอนันตสมาคม พระองค์ไม่ทรงยอมเพราะไม่รู้ว่าคณะราษฎรจะดำเนินการตามรอยพวกบอลเชวิกครั้งยึดอำนาจในรัสเซียและสังหารพระเจ้าซาร์ และจะปลงพระชนม์พระองค์หรือไม่
ในที่สุดพระองค์ก็ทรงยินยอมให้คณะผู้ก่อการควบคุมพระองค์ เสด็จไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคม แต่เนื่องจากกรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงชุดบรรทมอยู่ ตรัสว่า “ตกลง แต่ขอฉันเปลี่ยนชุดก่อน”
ผู้ก่อการปฏิเสธ
กรมพระนครสวรรค์ฯก็ทรงถูกคุมพระองค์ไป ทั้งที่ยังทรงชุดบรรทมอยู่
ความจริงกรมพระนครสวรรค์ฯทรงได้รับรายงานการก่อรัฐประหารจากอธิบดีกรมตำรวจ พระยาอธิกรณ์ประกาศ ในช่วงเย็นของวันที่ ๒๓ มิถุนายน อธิบดีกรมตำรวจทูลถวายรายชื่อของบุคคลต่าง ๆ ในคณะราษฎร ที่คิดก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ไม่ทรงเชื่อ เนื่องจากทรงคุ้นเคยกับบุคคลเหล่านั้นในรายชื่อเหล่านั้นดี หลายคนในรายชื่อนั้น ทรงชุบเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเด็ก
อธิบดีกรมตำรวจทูลเสนอให้จับกุมกลุ่มผู้ก่อการในทันที แต่พระองค์ทรงขอตัดสินพระทัยในวันรุ่งขึ้น
ช้าเกินไป
ผู้ก่อการไปทูลเชิญกรมพระนครสวรรค์ฯจากวัง ขึ้นรถถังไปส่งที่พระที่นั่งอนันต์ฯ
เมื่อเสด็จไปถึงพระที่นั่งอนันตสมาคม พบว่ามันกลายเป็นกองบัญชาการของคณะราษฎร ทหารเต็มไปหมด สะพายปืนกลมือยืนเรียงราย
ร.ท. ประยูรกราบทูลเชิญกรมพระนครสวรรค์ฯเสด็จลงจากรถถัง ทรงถาม “จะเอาฉันไปไหน? อย่าเล่นสกปรกนะ”
“จะไม่มีอันตรายใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
เสด็จในกรมพระนครสวรรค์ฯตรัสกับ ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี “ตาประยูร แกเอากับเขาจริง ๆ พระยาอธิกรณ์ฯบอก ฉันไม่เชื่อ ฉันตั้งชื่อและทำขวัญให้แกเมื่อเกิด ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่เด็ก โกรธฉันที่ไม่ไปเผาศพพ่อแกใช่ไหม?”
ร.ท. ประยูรว่า “ถ้าบิดาข้าพระพุทธเจ้าสามารถทราบได้ คงจะเศร้าใจมากพ่ะย่ะค่ะ”
รับสั่งถาม “ใครเป็นหัวหน้า? พระองค์เจ้าบวรเดชใช่ไหม?”
ร.ท. ประยูรทูลตอบว่า “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วใครเล่า?”
“ยังกราบทูลไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ตาประยูร แกเป็นกบฏ โทษถึงต้องประหารชีวิต”
ทหารหนุ่มทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นกบฏ ไม่ได้ล้มพระราชบัลลังก์ ถ้าข้าพระพุทธเจ้าทำการสำเร็จ ใต้ฝ่าพระบาทไม่มีอันตรายแต่ประการใดพ่ะย่ะค่ะ”
มีรับสั่งถาม “พวกแกที่ยึดอำนาจนี้ต้องการอะไร? มีความประสงค์อะไร? ต้องการปาลีเมนต์ มีคอนสติติวชั่นใช่ไหม?”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
ทรงนิ่งชั่วครู่ รับสั่งว่า “แล้วมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่เวลานี้หรือ ตาประยูร?”
ร.ท. ประยูรทูลว่า “อารยประเทศทั่วโลกก็มีปาลีเมนต์กันทั่วไป ยกเว้นอาบิสซีเนียพ่ะย่ะค่ะ”
“แกอายุเท่าไร?”
“๓๒ พ่ะย่ะค่ะ”
“เด็กเมื่อวานซืนนี้เอง นี่แกรู้จักคนไทยดีแล้วหรือ แกจะต้องเจอปัญหาเรื่องคน พระราชวงศ์จักรีครองเมืองมาร้อยห้าสิบปีแล้ว รู้ดีว่าคนไทยนี่ปกครองกันได้อย่างไร อ้ายคณะของแกจะเข็นครกขึ้นเขาไหวรึ?”
ทหารหนุ่มทูลว่า “ก็ทรงปกครองให้ประชาชนงมงายกันตลอดมานับร้อยนับพันปี จะมาเอาดีหวังการยึดอำนาจการปกครองในวันนี้ให้ลงรูปลงรอยราบรื่นไปทีเดียว คงเป็นไปไม่ได้ คงจะต้องยึดอำนาจกันต่อไปอีกหลายยก เรื่องคอนสติติวชั่นและสภาปาลีเมนต์มันก็เริ่มกันสักวันหนึ่ง ถ้าไม่นับหนึ่งก็ไปนับสิบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับการดำเนินงานวันนี้ ยังไม่มีผู้ใดเสียชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
“แกเรียนอะไรมา?”
“เรียนรัฐศาสตร์จากปารีสพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ! มีความรู้มาก แกรู้จักโรเบสเปียร์ ดันตอง เพื่อนน้ำสบถฝรั่งเศสดีแน่ ในที่สุดมันผลัดกันเอากิโยตีนเฉือนคอกันทีละคน จำได้ไหม? ฉันสงสาร ฉันเลี้ยงแกมา นี่แกเป็นกบฏ รอดจากอาญาแผ่นดิน ไม่ถูกตัดหัว แต่จะต้องถูกพวกเดียวกันฆ่าตาย แกจำไว้”
ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี ทูลเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปภายในอาคาร พระยาพหลพลพยุหเสนามารอรับกรมพระนครสวรรค์วรพินิต
เมื่อพระยาสีหราชเดโชชัย เสนาธิการทหารบก เห็นพระยาพหลฯ ก็ตรงเข้าไปหมายชกหัวหน้าคณะราษฎร แต่ถูกกันตัวออกมา
กรมพระนครสวรรค์วรพินิตตรัสว่า “ฉันอยากให้พวกแกลองปกครองบ้านเมืองดูบ้าง เพราะได้เล่าเรียนกันมามากแล้ว”
.........................
ตลอดวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เหล่าทหารและพลเรือนช่วยกันกระจายข่าวการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปทั่วเมือง อ่านประกาศแถลงการณ์คณะราษฎรให้ประชาชนฟังตลอดทั้งวัน ท่ามกลางประชาชนที่มาฟังอย่างเนืองแน่น
ขณะที่กำลังฝ่ายทหารปฏิบัติการ คณะราษฎรฝ่ายพลเรือนก็ขึ้นรถยนต์ แจกจ่ายใบปลิวแถลงการณ์คณะราษฎรซึ่ง ปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้เขียน และเริ่มกระจายเสียงทางวิทยุ ประกาศการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง และวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง
สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือนแจกจ่ายแถลงการณ์ประกาศคณะราษฎร คำสั่งที่ได้รับมาคือหากทำการไม่สำเร็จ ให้ทำลายใบปลิวที่เหลือโดยทิ้งลงแม่น้ำ
วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ผ่านไปโดยไม่เกิดการเสียเลือดเนื้อท้องฟ้าแจ่มใส ชีวิตของราษฎรดำเนินไปตามปกติ การค้าขายในตลาดมิได้รับความกระทบกระเทือนแต่อย่างไร แม้ว่าจะมีประชาชนไปมุงดูเหตุการณ์ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าอย่างเนืองแน่น แต่ไม่มีเหตุร้ายในหัวเมือง ไม่มีการต่อต้าน ไม่มีใครตกใจ เสมือนหนึ่งไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ราษฎรยอมรับเหตุการณ์ในวันนั้นด้วยดี
มันดูเหมือนเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง
(ยังมีต่อ)
(ย่อความจาก ตั้งไข่ประชาธิปไตย หนังสือประวัติศาสตร์ที่เราลืม)
0- แชร์
- 189
-
วันก่อนคุยเรื่องนิทานที่ผมเล่าใหม่คือ จีนกับใบมะขาม
วันนี้จะมาว่าถึงนิทานที่ผมแต่งเอง เป็นนิทานเสียดสีสังคม
คือ นิทานอีแสบ (กวน T ชื่อ นิทานอีสป)
วันนี้ขอนำนิทานอีแสบมาเล่าสักตอน ชื่อตอน หมาที่ลืมเงาทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่ง
กาลครั้งหนึ่งมีหมาไม่ธรรมดาตัวหนึ่ง... เหตุที่มันไม่ใช่หมาธรรมดา มิใช่เพราะมันมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนหมาตัวอื่น หากคือมันยุ่งทั้งวัน
เหตุที่มันยุ่งทั้งวันเพราะมันต้องการหาเงินมาก ๆ เหตุที่มันต้องการเงินมาก ๆ เพราะมันอยากรวย เหตุที่มันอยากรวยเพราะมันเคยเป็นหมายากจนมาก่อน มันจึงสัญญากับตัวเองว่า มันจะต้องร่ำรวยให้ได้ จะไม่ยอมตายอย่างหมาข้างถนนเป็นอันขาด
นับแต่วันนั้นมา มันก็ทำงานทั้งวันยันวัน บางครั้งก็ทำงานค่ำยันค่ำเพื่อเก็บเงิน หากินจนลืมวันลืมคืน ไม่มีเวลาแม้ส่องดูเงาตนเองในน้ำ
วันหนึ่งมันเดินผ่านลำธารสายหนึ่ง นึกอย่างไรไม่รู้ ก้มดูตัวเองในน้ำ พลันมันตะลึง เมื่อพบว่าในน้ำไม่มีเงาของมันเอง
มันยืนกลางแดด ก้มลงดูพื้นที่มันเหยียบ ก็ไม่เห็นเงาของมัน
มันถามกวางที่เดินผ่านมา "ท่านเห็นเงาของข้าบ้างไหม?"
กวางบอกว่า "ไม่เห็น"
มันถามหมูป่าที่เดินผ่านมา "ท่านเห็นเงาของข้าบ้างไหม?"
หมูป่าตอบอย่างเดียวกับกวาง
มันถามต้นหญ้าที่มันยืนอยู่ "ท่านเห็นเงาของข้าบ้างไหม?"
ต้นหญ้าตอบอย่างเดียวกับกวางและหมูป่า เป็นอย่างนี้ไปทุกครั้งจนมันเลิกถาม
มันไปหาลิงซึ่งเปิดสำนักงานนักสืบ ให้ช่วยสืบหาเงาที่หายไป
"ท่านเห็นเงาของท่านครั้งสุดท้ายเมื่อใด?"
"จำไม่ได้ หลายปีที่ผ่านมา ข้าทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูเงาตัวเอง"
"เงาของท่านมีหน้าตาอย่างไร?"
"ท่านถามทำไม? ในเมื่อเป็นเงาของข้าเอง รูปร่างหน้าตาของเงาก็ย่อมสะท้อนตัวข้าเอง"
"บางตัวไม่ชอบใช้เงาตัวเอง"
หมาตัวนั้นนึกไม่ออกว่าตนเองทำเงาหายที่ไหน
นักสืบบอกว่า "ในช่วงเวลาที่ข้าตามสืบ ท่านก็ใช้เงาของผู้อื่นไปพลางก่อน การไม่มีเงาติดตัวนี่ออกจะเป็นเรื่องที่ไม่สุภาพไปหน่อย"
หมาไปหาซื้อเงาที่ร้านขายเงา ผู้ขายกล่าวว่า "ร้านของเราไม่ได้ใหญ่ที่สุดในป่านี้ แต่มีเงาให้เลือกมากที่สุด เรามีเงาของช้าง เงาของแรด เงาของสิงโต..."
"เงาของหมามีไหม?"
"ท่านจะสวมเงาหมาไปทำไม ไม่มีใครอยากได้เงาหมากัน มีแต่อยากจะเปลี่ยนทั้งนั้น เอาเงาช้างดีกว่า ดูสง่ากว่ากันเยอะ"
"แต่เงาช้างนั้นใหญ่กว่าตัวข้ามาก เมื่อสวมเงาแล้วจะดูผิดส่วน"
"ผิดนิดผิดหน่อยจะเป็นไร ในเมื่อดูสง่างามกว่าเงาหมามาก"
หมาเดินออกจากร้านนั้นพร้อมกับเงาช้าง มันรู้สึกอึดอัดที่ต้องแบกเงาอันหนักอึ้ง แต่เมื่อสัตว์อื่นที่ผ่านทางมาชมว่าเงาของมันสง่ายิ่ง มันก็รู้สึกดีขึ้น
มันสวมเงาหนักอึ้งของช้างอยู่นาน จนวันหนึ่งมันก็แบกรับเงานั้นไม่ไหว มันตัดสินใจถอดเงาช้างทิ้ง และเดินทางค้นหาเงาของมันต่อไป
มันกลายเป็นหมาที่ไร้เงา...
มันเดินทางไปที่ร้านขายเงาและซื้อเงาใหม่
เงาใหม่ของมันเป็นเงาสิงโต คราวนี้เงาของมันเบากว่าเดิม แต่กระนั้นก็ใหญ่เกินร่างมัน แต่เมื่อสัตว์อื่นชมมันว่า เงาของท่านช่างงามสง่าเช่นเจ้าป่า มันก็ยอมทนสวมเงาที่น่าอึดอัดนั้นต่อไป
หมาตัวนั้นสวมเงาสิงโตอยู่นาน จนวันหนึ่งมันก็ทนไม่ได้ มันถอดเงาสิงโตทิ้งไป มันกลายเป็นหมาที่ไร้เงาอีกครั้ง
วันหนึ่งมันพบเงาของมันทิ้งอยู่ที่ริมทาง เก่าขาดวิ่น มันหยิบเงาขาดวิ่นนั้นขึ้นมาสวม แม้จะสวมสบายกว่าเดิม แต่เงาของมันที่ปรากฏบนพื้นดูไม่ดีเลย สัตว์อื่นล้วนหัวเราะเยาะเงาที่ขาดวิ่นของมัน
แต่มันก็สวมเงานั้นต่อไป...
เงาของมันพูดกับมันว่า "ท่านรังเกียจข้าหรือ? เพราะข้าเก่าและขาดวิ่น?"
"เพราะผู้อื่นบอกว่าข้าไม่ควรสวมเงาที่เก่าขาด"
"แต่ท่านรู้ไหมว่าข้าเก่าและขาดเพราะท่านไม่เคยดูแลข้า หลายปีมานี้ เราไม่ได้คุยกันเลย"
"ข้ามัวยุ่งกับงาน"
หลังจากนั้นมันก็คุยกับเงาของมันทุกวัน ไม่นานต่อมาเงาที่ขาดวิ่นของมันก็ค่อย ๆ คืนตัว จนในที่สุดก็กลายเป็นเงาที่สมบูรณ์"
.......................
จากนวนิยาย ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85
2 วันที่ผ่านมา -
นอกเหนือจากเว็บไซต์ผมแล้ว The Meb เป็นผู้จัดจำหน่ายงานอีบุ๊คของผม รวมทั้งเรื่องสั้นๆ ราคาประหยัดอีกจำนวนหนึ่ง
แจ้งข่าวสำหรับนักอ่านอีบุ๊ค ตั้งแต่วันที่ 8-12 พฤษภาคมนี้ The Meb ลดทุกเล่ม 10% จากราคาขาย
สำหรับงานของผม มีหลายเล่มที่ลดแบบ Flash sales คือลดขั้นต่ำ 30%
จำกัด 50 ดาวน์โหลดเท่านั้น
.........................
เล่มที่ร่วม Flash sales ได้แก่
ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน
ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม ๑
ฆาตกรรมจักรราศี
คดีล่าคนเจ้าชู้
ผมก็เป็นนักเขียนการ์ตูนเล่มละบาท (รวมนิยายภาพที่ผมวาด)
มังกรเซน
#ปล่อยให้ความขำพาไปใครสนใจก็เชิญนะครับ
วินทร์ เลียววาริณ
7-5-252 วันที่ผ่านมา -
เอาละ มาถึงตอนนี้เรารู้ว่าจักรวาลกำลังขยายตัว นี่ทำให้ในปี 1931 จอร์จส์ เลอเม็ทร (Georges Lemaître) นักบวชและนักฟิสิกส์ชาวเบลเยียม เสนอทฤษฎีว่าการที่ดาราจักรเคลื่อนออกจากกันแปลว่าจักรวาลกำลังขยายตัว และการที่จักรวาลขยายตัวย่อมชี้ว่าจักรวาลเคยหดตัวจนถึงจุดจุดหนึ่งที่เรียกว่า primeval atom (อะตอมแรกเริ่ม) จุดที่เวลาและที่ว่างปรากฏขึ้นจากความไม่มี
จอร์จส์เรียกความคิดของเขาว่า สมมุติฐานของอะตอมแรกเริ่ม (Hypothesis of the Primeval Atom) ซึ่งส่วนหนึ่งได้ความคิดมาจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์
นี่ก็คือทฤษฎี บิ๊ก แบง
บิ๊ก แบง ชี้ว่าจักรวาลกำเนิดมาจากจุดรวมศูนย์หรือจุด ‘ไม่มี’ (singularity) เมื่อพลังงาน ที่ว่าง เวลา และสสารถูกสร้างขึ้น ขณะเกิด บิ๊ก แบง ที่ว่าง-เวลารวมเป็นหนึ่งเดียว เวลาจึงยังไม่มี ในสภาวะนี้ กฎของฟิสิกส์หายไป หรือไม่มีกฎของฟิสิกส์
กาลเวลาผ่านไป จักรวาลขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ เกิดดวงดาว ดาวเคราะห์ และดาราจักร
เล่าเรื่อง จอร์จส์ เลอเม็ทร สักนิด เลอเม็ทรเป็นทั้งบาทหลวงและนักฟิสิกส์ชาวเบลเยียม บวชเป็นพระในปี 1923 หลังจากจบปริญญาเอกด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
เลอเม็ทรเรียนทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ที่เคมบริดจ์ แต่เขาไม่ค่อยแน่ใจในโมเดลจักรวาลเสถียรของไอน์สไตน์ เขาก็ไม่แน่ใจค่าคงที่ cosmological constant ที่ไอน์สไตน์เสนอ เขาจึงพัฒนาความคิดเรื่อง primeval atom (อะตอมแรกเริ่ม) ซึ่งชี้ว่าจักรวาลมีจุดกำเนิดและไม่เสถียร
เลอเม็ทรถามตัวเองว่า จักรวาลจะเป็นอย่างไรหากมี “วันหนึ่งที่ไม่มีเมื่อวานนี้” (a day without a yesterday)
หาก a day without a yesterday มีจริง ก็แปลว่าจักรวาลมีจุดกำเนิด จักรวาลไม่ได้อยู่ในสภาพนี้มาแต่แรก มันเคยเป็น ‘ทารก’ มาก่อน
เลอเม็ทรเสนอไอเดียเรื่อง primeval atom ให้ไอน์สไตน์ฟัง ไอน์สไตน์บอกว่า “คณิตศาสตร์คุณเป็นเลิศ แต่การจับต้องฟิสิกส์ของคุณยังน่าเกลียดอยู่”
แม้ไอน์สไตน์ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีของเลอเม็ทร แต่ก็นับถือสติปัญญาของบาทหลวงรูปนี้ ครั้งที่ไอน์สไตน์เล็กเชอร์ทฤษฎีของเขาต่อผู้ฟังที่กรุงบรัสเซลส์ในปี 1933 ผู้ฟังคนหนึ่งถามไอน์สไตน์ว่า จะมีคนเข้าใจทฤษฎีของเขาจริง ๆ บ้างไหม
ไอน์สไตน์ตอบว่า “ที่เข้าใจแน่ ๆ คือเลอเม็ทร ที่เหลือไม่แน่ใจ”
เขายอมรับว่าเลอเม็ทรเก่ง แต่ยังไม่ยอมรับว่าจักรวาลเสถียรไม่เป็นจริง จนกระทั่งจำนนต่อหลักฐานของฮับเบิล
แล้วใครเป็นคนตั้งชื่อ บิ๊ก แบง ?
ก็คือคนที่ไม่เชื่อเรื่องจักรวาลขยายตัว - เซอร์ เฟรด ฮอยล์!
ฮอยล์ไม่ชอบใจในทฤษฎีขยายตัวนี้มาก ครั้งหนึ่งเขาสบถระหว่างออกรายการวิทยุของบีบีซี ในปี 1949 ว่า “this big bang idea...” (ไอ้ความคิด บิ๊ก แบง นี่) คำนี้ฮิตติดลมทันที!
คำถามต่อไปคือ หน้าตา บิ๊ก แบง เป็นอย่างไร?
ภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ฮอลลีวูดมีส่วนช่วยทำให้คนทั่วไปสนใจวิทยาศาสตร์ขึ้น แต่ก็มีส่วนทำให้คนเข้าใจหลายเรื่องผิดๆ คนส่วนมากนึกภาพจักรวาลขยายตัวออกจากจุดรวมศูนย์ (singularity) ว่าระเบิดออกโดยมีเสียงดังตูม มีลูกไฟใหญ่แตกตัวออกอย่างรวดเร็ว แล้วกระจายเต็มพื้นที่ว่างคืออวกาศ แต่จริงๆ แล้ว จากการคำนวณ บิ๊ก แบง ไม่ใช่การเติมเต็ม ‘ที่ว่าง’ บิ๊ก แบง คือการสร้างที่ว่างจากความไม่มี!
ลองนึกถึงการอบขนมปังลูกเกดในเตาอบ ขนาดของขนมปัง (ที่ว่าง-อวกาศ) ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นด้วยความร้อน ลูกเกดที่เกาะบนขนมปังก็เคลื่อนออกห่างจากกัน แต่ลูกเกดมีขนาดเท่าเดิม ในที่นี้ลูกเกดก็คือดาราจักร หรือสิ่งที่ถูกกำหนดด้วยแรงโน้มถ่วง) ลูกเกดแต่ละเม็ดจะแยกห่างจากกัน
พูดง่ายๆ คือ ดาราจักรไม่ได้ขยายตัว ที่ว่างรอบดาราจักรต่างหากที่ขยายตัว!
คำถาม : หากจักรวาลขยายตัว อะไรอยู่ข้างนอกนั่น? คำตอบคือไม่มีข้างนอก! ข้างนอกคือความไม่มี!
ทุกๆ นาทีที่จักรวาลขยายตัวออกไป มันไม่ได้ขยายไปเติมที่ว่าง มันสร้างที่ว่างใหม่จากความไม่มี
‘ความไม่มี’ ไม่ใช่ ‘ที่ว่าง’ !
ความไม่มี (nothingness) คือความไร้ตัวตน ส่วนที่ว่างคือ space-time (กว้าง x ยาว x ลึก x เวลา)
ผมเปรียบเทียบ บิ๊ก แบง ในนวนิยายวิทยาศาสตร์ อัฏฐสุตรา ว่า หากสรรพสิ่งในจักรวาลเป็นน้ำในแก้วใบหนึ่ง ก่อนหน้า บิ๊ก แบง ยังไม่มีแก้วใบนี้ ‘แก้วใบนี้’ เกิดขึ้นมากับ บิ๊ก แบง แล้วสรรพสิ่งจึงกำเนิดภายในแก้วใบนี้ ตั้งแต่อะตอมไปถึงโมเลกุล ตั้งแต่เซลล์ไปถึงดาราจักร
บิ๊ก แบง เสนอว่าขนาดจักรวาลไม่ใช่เป็นนิรันดร์ เพราะมันเพิ่งเกิดในช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้นท้องฟ้าจึงมืด ท้องฟ้าในอดีตกาล โดยเฉพาะช่วงแรกของการขยายตัวสว่างกว่านี้มาก เพราะทุกอย่างอัดอยู่ใกล้กันกว่านี้
คำถามต่อไปคือ บิ๊ก แบง มาได้ยังไง
มีนักวิทยาศาสตร์เสนอทฤษฎีทางเลือกว่า บิ๊ก แบง ไม่ใช่ต้นกำเนิดเวลา แต่เป็นรอยต่อระหว่างช่วงที่จักรวาลที่หดตัวช้าตัวลงกับจักรวาลที่ขยายตัวเร็วขึ้นๆ จะเป็นวงจรขยาย-หดๆ เรื่อยไปเป็นวัฏฏะ
บ้างว่า บิ๊ก แบง อาจเป็นการทะลุของจักรวาลอื่น เหมือนทรายที่ไหลจากท่อนบนของนาฬิกาทรายสู่ท่อนล่าง ผ่านรูเล็กๆ ซึ่งในกรณีนี้คือจุดซิงกูลาริตี หรืออาจเป็น ‘นาฬิกาทราย’ หลายเรือนต่อกัน โดยที่ ‘ทราย’ ไหลไปเรื่อยๆ แต่ทั้งหมดเป็นเพียงทฤษฎีที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้
ใครก็ตามที่คิดออก รับรางวัลโนเบลไปเลย
วินทร์ เลียววาริณ
7-5-25
..................................สนใจเรื่องนี้ หนังสืออ่านประกอบ
ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล https://www.winbookclub.com/store/detail/89/ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล
ปฏิบัติการผ่าสมองไอน์สไตน์
https://www.winbookclub.com/store/detail/240/ปฏิบัติการผ่าสมองไอน์สไตน์Shopee คลิกลิงก์ https://shope.ee/6KgvYw47A4?share_channel_code=6
อัฏฐสุตรา https://www.winbookclub.com/store/detail/68/อัฏฐสุตรา
2 วันที่ผ่านมา -
ไฟสัญญาณเข็มขัดนิรภัยสว่างวาบ ตามมาด้วยหน้ากากออกซิเจนห้อยลงมาทั่วเคบิน เสียงเครื่องยนต์ดังมาจากข้างนอก เครื่องบินสั่นสะเทือนเป็นระยะไปทั้งลำ คุณใจหายวูบ คุณรู้ว่าบางอย่างผิดปกติ เครื่องบินดิ่งลงไปราวกับปีกทั้งสองถูกเด็ดออก แรงสะเทือนเพิ่มขึ้น ตัวเครื่องบินเอียงไปมา ข้าวของร่วงหล่นจากชั้นเก็บ คุณเชื่อว่าคุณกำลังจะตาย
นานเท่านาน ความสั่นสะเทือนค่อยหายไป เครื่องบินรักษาระดับไว้ได้ตามเดิม ในที่สุดเครื่องบินก็แตะผืนดินโดยไม่แตกเป็นเสี่ยง ๆ คุณระบายลมหายใจยาว คุณรอดชีวิตมาได้
ทันใดนั้นคุณก็รู้สึกว่าวันที่เหลือในชีวิตของคุณคือวันฟรี คุณน่าจะเสียชีวิตแล้ว คุณรู้สึกว่าท้องฟ้าสดใสกว่าปกติ คุณอยากใช้เวลาที่เหลืออย่างมีคุณค่า คุณมองเห็นว่าชีวิตมีค่ากว่าที่คุณเคยนึกมาก่อน
เคยขึ้นเครื่องบินที่ตกหลุมอากาศหนัก ๆ ไหม? มันเป็นมรณานุสติที่ดี มันบอกว่าชีวิตเราบอบบางและชั่วคราวเพียงไร และคุณรู้สึกว่าชีวิตไม่เลวร้ายเท่าไร
เราอาจไม่นึกถึงคุณค่าของชีวิตจนเมื่อเราประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเฉียดตาย เมื่อรอดมาได้ เราจึงรู้สึกว่าชีวิตมีค่า
คนเฉียดความตายจำนวนมากบอกคล้ายกันว่า หลังรอดตายพวกเขารู้สึกเหมือนว่ามันเป็นสัญญาณจากสวรรค์ให้ใช้ชีวิตที่รอดมาได้อย่างมีค่า พวกเขารู้สึกเหมือนว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้น และส่วนมากก็เปลี่ยนวิถีชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น
ถ้าเช่นนั้นทำไมต้องรอให้เฉียดตายก่อนจึงจะเห็นคุณค่าของชีวิตเล่า? ทำไมไม่ฝึกการมองชีวิตอย่างมีคุณค่าทุกวัน เดี๋ยวนี้เลย?
เซนมีเทคนิคฝึกตายอย่างหนึ่ง โดยลองคิดว่า หลับคือตาย ตื่นคือเกิดการนอนหลับในแต่ละค่ำคืนคือห้วงยามสุดท้ายในชีวิต เมื่อคุณตื่นขึ้นมา ก็เท่ากับว่าคุณเกิดใหม่
ทุกคืนที่คุณเข้านอน ให้จินตนาการว่า ขณะจิตที่คุณหลับคือการสิ้นลมปราณ
วิธีคิดแบบนี้ทำให้คุณรู้จักปลง ปล่อยวางทุกสิ่งก่อนที่คุณจะหลับ ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดวันที่ผ่านมา คุณปล่อยวางเพราะคุณกำลังจะจากโลกไป ไม่มีประโยชน์ที่จะโกรธแค้น โศกเศร้า เสียใจ ดีใจอะไร เพราะเมื่อคุณหลับ คุณก็ได้ตายไปแล้ว
เวลาทั้งวันก็คือเหตุการณ์ทั้งชีวิต คือหนึ่งชั่วชีวิต เมื่อตายก็หมดภารกิจ หากคุณ ‘รอด’ ไปได้ ก็เท่ากับว่าคุณได้วันใหม่มาฟรี ๆ ที่เหลือทั้งชีวิตคือโบนัส เพราะความจริงคุณตายไปแล้วทุกวัน
และเมื่อคุณตื่น มันก็เป็นโบนัส คุณได้ชีวิตใหม่เป็นของแถม เหมือนสวรรค์ต่อวีซ่าอายุคุณไปอีกหนึ่งวัน
วิธีคิดแบบนี้ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตแต่ละวันอย่างรู้คุณค่า และไม่เสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ลดการยึดมั่น และที่สำคัญที่สุดคือเป็นอิสระ
ชีวิตมีค่าหรือไม่มีค่าอยู่ที่การกระทำของเรา และการกระทำของเราในแต่ละวัน จะดีหรือไม่ดีอยู่ที่การเห็นคุณค่าของชีวิต หากเรามองว่าเราเหลือเวลาเพียงหนึ่งวัน มันก็อาจจะทำให้เราใช้ชีวิตวันนั้นอย่างเต็มที่เต็มเปี่ยมขึ้น เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็ ‘ตาย’ แล้ว
และเมื่อวันนั้นเป็นวันตายของเราจริง ๆ เราก็ไม่กลัว เพราะเราฝึกตายอยู่ทุกวันแล้วด้วยเครื่องซิมูเลเตอร์แห่งจิต
และการตายจริงก็เป็นเพียงความตายอีกครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
วินทร์ เลียววาริณ
7-5-25
...........................จาก รอยยิ้มใต้สายฝน
35 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 5 บาทเศษ
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/139/รอยยิ้มใต้สายฝน2 วันที่ผ่านมา -
เรื่องจักรวาลขยายตัวนี้ มีหลักฐานจากดาราจักรเคลื่อนออกห่างจากกัน
และเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดทฤษฎีบิ๊ก แบง
ในปีแรกๆ ใครๆ ก็เชื่อว่าจักรวาลคงขยายตัวไปไม่นาน ก็หยุด บ้างก็ว่ามันคงขยายตัวไปจนหมดแรง แล้วถอยกลับ
นี่คือการมองแบบใช้สามัญสำนึก ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ใช้ไม่ได้
ผ่านไปหลายสิบปี นักดาราศาสตร์มองดูท้องฟ้าแล้วตกใจ ดาราจักรยังคงแยกตัวออกห่างจากกัน นอกจากจะไม่ช้าลงแล้ว ยังเร็วขึ้น
ผ่านไปร้อยปีหลังยุคฮับเบิล มันขยายตัวไปเร็วขึ้นทุกวัน
ก็มีคำถามว่าจักรวาลจะเคลื่อนออกไปเรื่อยๆ อย่างนี้อีกนานเท่าไร
คำตอบคือไม่รู้
ถามว่ามันขยายตัวยังไง ขยายตัวไปในพื้นที่ว่าง (space) ข้างนอกใช่ไหม?
นี่ก็เป็นการมองแบบสามัญสำนึก
คำตอบคือไม่น่าใช่ (ไม่ฟันธง แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าไม่ใช่)
มันขยายตัวไปในความไม่มี (nothingness)
ความไม่มีนี่มันเป็นนามธรรม (ต่างจากความไม่มีเงินเป็นรูปธรรม)
พูดง่ายๆ คือ เราเชื่อว่าจักรวาลกำลังสร้างพื้นที่ใหม่จากศูนย์
ใครสร้าง? ไม่รู้
สร้างไปทำไม? ไม่ทราบ
สร้างอีกนานไหม? ไม่รู้
แล้วรู้อะไรบ้าง?
รู้ว่าจักรวาลอาจจะสร้างเสร็จก่อนถนนพระราม 2
วินทร์ เลียววาริณ
6-5-253 วันที่ผ่านมา