-
วินทร์ เลียววาริณ7 เดือนที่ผ่านมา
(หมายเหตุ ก่อนที่จะมีใครคอมเมนต์ว่าสะกดผิด พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานพิมพ์ว่า หยั่วเมือง, อยัวเมือง, ยั่วเมือง = คำเรียกสนมเอกสมัยโบราณ)
.............................
ชายสี่คนชุมนุมกันในเรือนรโหฐานหลังหนึ่งลับตาผู้คน คนที่เป็นหัวหน้าชื่อขุนพิเรนทรเทพ ที่เหลือคือขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา และหลวงศรียศ ทั้งสี่กำลังวางแผนลอบปลงพระชนม์กษัตริย์
“กรมการเมืองลพบุรีแจ้งมาว่าพบช้างเผือก หากเราทูลพระองค์ว่าการเสด็จไปคล้องช้างเป็นพระบารมีต่อราชบัลลังก์ พระองค์ก็จะเสด็จไปที่นั่น”
“คล้องช้างที่ใด?”
“ที่เพนียดวัดซอง”
“ถ้าเช่นนั้นขบวนเสด็จไปได้ทางเดียวคือชลมารค ตามลำคลองสระบัว”
“ใช่ เราจะนำกำลังไปซุ่มที่คลองบางปลาหมอ เมื่อเรือล่องไปถึงปากคลองสระบัวที่บรรจบกับคลองบางปลาหมอ ก็ปลงพระชนม์ที่นั่น”
การชิงอำนาจครานี้มิใช่เพื่อตัวเอง หากเป็นภารกิจที่ต้องกระทำ
เพื่อราษฎรหรือเพื่อตัวเอง?
..............................
อาณาจักรศรีอยุธยากำเนิดจากราชวงศ์อู่ทอง โดยใช้พระนามพระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑) เป็นชื่อราชวงศ์ ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่ากำเนิดของราชวงศ์นี้มาจากไหน บางตำนานว่าต้นราชวงศ์มีความเกี่ยวดองกับละโว้ บ้างว่าราชวงศ์นี้อาจมีเชื้อสายลาว บางทีจึงเรียกว่า ราชวงศ์ละโว้-อโยธยา หรือราชวงศ์เชียงราย
ราชวงศ์อู่ทองครองแผ่นดินนาน ๕๙ ปี ก็สิ้นสุด กษัตริย์องค์สุดท้ายคือสมเด็จพระรามราชาธิราช ถูกราชวงศ์สุพรรณภูมิชิงอำนาจในปี พ.ศ. ๑๙๕๒
แม้จะหมดอำนาจ แต่เชื้อสายของราชวงศ์อู่ทองยังดำรงบทบาทในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา ทำหน้าที่เป็นปุโรหิตดูแลกิจการพิธีกรรมในราชสำนัก ส่วนผู้หญิงมักถูกส่งไปเป็นพระสนมในพระมหากษัตริย์
ในปี พ.ศ. ๒๐๗๖ บัลลังก์อยุธยาเป็นของพระรัษฎาธิราช ยุวกษัตริย์พระชนมายุห้าพรรษา โอรสของพระอาทิตยวงศ์ (สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔)
พระอาทิตยวงศ์เสวยราชย์ในปี พ.ศ. ๒๐๗๒ สวรรคตด้วยพระโรคไข้ทรพิษในปี พ.ศ. ๒๐๗๖ มีอนุชาอีกสองพระองค์คือ พระไชยราชาและพระเฑียรราชา
พระรัษฎาธิราชครองราชย์ได้ห้าเดือน พระไชยราชาก็ชิงบัลลังก์ และสำเร็จโทษราชนัดดา ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ พระนาม สมเด็จพระไชยราชาธิราช
สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงมีพระโอรสจากพระอัครมเหสี คือพระยอดฟ้า และจากท้าวศรีสุดาจันทร์ คือพระศรีศิลป์
อันตำแหน่งพระสนมเอกของพระมหากษัตริย์เรียกว่า ท้าวศรีสุดาจันทร์ ตามธรรมเนียมวัง พระชายาองค์ใดให้กำเนิดพระโอรสที่จะสืบราชบัลลังก์ พระชายาองค์นั้นจะมีสถานภาพสูงกว่าพระชายาองค์อื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ชาติตระกูลของท้าวศรีสุดาจันทร์มิอาจก้าวขึ้นมาเป็นพระมเหสีได้ เป็นเพียงแม่หยั่วเมือง (สนมเอก)
ท้าวศรีสุดาจันทร์ผู้นี้ทรงสิริโฉมงดงามร่ำลือไปทุกทิศ ความงามของนางพานางไปสู่รั้ววัง แต่ความเฉลียวฉลาดพานางไปถึงยอดบัลลังก์ ท้าวศรีสุดาจันทร์แสดงความคิดเห็นใด ราชันย์ก็ทรงเชื่อ
ในปี พ.ศ. ๒๐๘๘ เกิดการเปลี่ยนอำนาจที่เชียงใหม่ สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงเกรงว่าล้านนาจะแผ่อำนาจเกินไป จึงทรงแต่งทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ตอนกลางปี แต่ไม่สำเร็จ ครั้นปลายปีก็ยกทัพไปตีใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้ตีได้เมืองลำพูนและเชียงใหม่ หลังจากนั้นก็เสด็จฯกลับอยุธยา
ระหว่างที่ทรงยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ พระไชยราชาธิราชทรงมอบให้ท้าวศรีสุดาจันทร์ดูแลกิจการบ้านเมือง เป็นครั้งแรกที่อำนาจอยู่ในกำมือของเชื้อสายราชวงศ์อู่ทองอีกครั้ง
..............................
วันหนึ่งพระแม่เจ้าอยู่หัวศรีสุดาจันทร์ดำเนินผ่านพระที่นั่งพิมานรัตยาหอพระหน้า ทอดพระเนตรเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ทรงถามนางกำนัล “คนผู้นั้นคือใคร?”
“คือท่านบุญศรี ตำแหน่งพันบุตรศรีเทพ ผู้เฝ้าหอพระ”
“เขามาจากที่ใด?”
“เขาสืบเชื้อสายจากเจ้าเมืองศรีเทพ”
เมืองศรีเทพเป็นเมืองลูกหลวงสมัยราชวงศ์อู่ทอง
“เขาเป็นเชื้อสายอู่ทอง?”
“ใช่พระเจ้าข้า”
“ถ้าเช่นนั้นจงนำเมี่ยงหมากไปมอบให้เขา”
นางกำนัลทำตามพระราชเสาวนีย์และกลับมาพร้อมดอกจำปา
“ท่านพันบุตรศรีเทพมอบมาให้พระองค์”
เมี่ยงหมากกับดอกจำปา อู่ทองกับอู่ทอง ความสัมพันธ์บังเกิด
เมี่ยงหมากกับดอกจำปามองเห็นโอกาสที่หายากยิ่ง
และผู้ใดจะปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดลอยไป?
การชิงอำนาจครานี้มิใช่เพื่อตัวเอง หากเป็นภารกิจที่ต้องกระทำ
เพื่อราษฎรหรือเพื่อตัวเอง?
..............................
หลังจากมีความสัมพันธ์กับพันบุตรศรีเทพ ท้าวศรีสุดาจันทร์ก็ทรงขับขุนชินราชคนเดิมออกไปอยู่ตำแหน่งอื่น ให้พันบุตรศรีเทพขึ้นดำรงตำแหน่งแทน จากนั้นก็เพิ่มอำนาจให้ชู้ โดยเลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นไปอีกเป็นขุนวรวงศาธิราช
พันบุตรศรีเทพพลันขึ้นมาเป็นใหญ่ในวงการเมืองอย่างก้าวกระโดด
เมี่ยงหมากกับดอกจำปากลายเป็นส่วนผสมใหม่ของการเมืองแห่งอยุธยา
ขุนนางคนหนึ่งนามพระยามหาเสนาไม่เห็นด้วยกับการขึ้นสู่อำนาจของขุนวรวงศาธิราช เปรยกับข้าราชการคนอื่น ๆ ว่า “แผ่นดินกลายเป็นทุรยุคไปแล้ว”
ผลก็คือราตรีหนึ่งพระยามหาเสนาถูกคนร้ายลึกลับสังหาร ตามมาด้วยคำสั่งฆ่าข้าราชการหลายคนที่ขวางทางอำนาจ ขุนนางที่เหลือก็เงียบเสียงลง ด้วยรู้ว่าพายุการเมืองกำลังแรง และน้ำเชี่ยวมิควรเอาเรือขวาง
ความขัดแย้งยังลามไปถึงพระเฑียรราชา เชษฐาแห่งสมเด็จพระไชยราชาธิราช ด้วยแรงพายุการเมือง พระเฑียรราชาทรงเลือกหนทางผนวชที่วัดราชประดิษฐาน
สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงยกทัพกลับจากเชียงราย แม่หยั่วเมืองต้อนรับพระสวามีด้วยยาพิษ
ครั้นสมเด็จพระไชยราชาธิราชสวรรคต พระยอดฟ้าก็ขึ้นครองราชย์ เนื่องจากพระชันษายังเยาว์เพียงสิบเอ็ดพรรษา นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์จึงรับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ในปี พ.ศ. ๒๐๙๑ นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์เรียกประชุมขุนนาง กล่าวว่า “สมเด็จพระยอดฟ้ายังทรงพระเยาว์ หัวเมืองเหนือก็ไม่เป็นปกติ ข้าฯเห็นว่าสมควรให้ขุนวรวงศาธิราชว่าราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่าสมเด็จพระยอดฟ้าทรงเจริญพระชนมายุสมควร”
อีกครั้งเหล่าขุนนางเห็นชอบโดยพร้อมเพรียงกัน
ลูกขุนพลอยพยักมักมีชีวิตยืนยาวกว่า
เช่นเดียวกับสตรีที่เข้าสู่จุดสูงสุดของวงการเมืองในประวัติศาสตร์ของทุกอารยธรรม นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ทรงใช้อาวุธสำคัญคือความงามและสายสัมพันธ์พิเศษเข้ากุมอำนาจ
ในวงการเมือง อำนาจมักมาพร้อมกับข้ออ้าง
เมื่อขุนวรวงศาธิราชขึ้นครองราชย์ ก็ทรงสถาปนานายจัน ช่างตีเหล็กผู้เป็นน้องชายเป็นพระมหาอุปราช แล้วสำเร็จโทษสมเด็จพระยอดฟ้าที่วัดโคกพระยาในวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๐๙๑
การ ‘ปราบดาภิเษก’ ของขุนวรวงศาธิราช ทำให้ขุนนางหลายคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และอีกกลุ่มหนึ่งไม่พอใจอย่างยิ่งที่ราชวงศ์อู่ทองยึดอำนาจเงียบ ๆ เป็นที่มาของการวางแผนลอบปลงพระชนม์ นำโดยขุนพิเรนทรเทพ เจ้ากรมพระตำรวจขวา
พวกเขาเพียงต้องรอคอยโอกาส
โอกาสมาถึงเมื่อมีข่าวจากเมืองลพบุรีว่าพบช้างเผือก
ขุนพิเรนทรเทพกล่าวกับพวกว่า “โอกาสมาถึงแล้ว”
“เราควรให้แน่ใจก่อน”
“อย่างไร?”
“เสี่ยงเทียนว่าพระเฑียรราชามีพระบารมีมากกว่าขุนวรวงศาธิราชหรือไม่”
ขุนพิเรนทรเทพกล่าวว่า “ข้าฯมิเห็นด้วย หากจะก่อการ ก็จงทำ”
แต่ขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา และหลวงศรียศ เห็นว่าควรเสี่ยงเทียน
ราตรีหนึ่งผู้ก่อการทั้งหมดก็รวมตัวกัน ณ พระอุโบสถวัดป่าแก้วเพื่อทำพิธีเสี่ยงเทียน
พวกเขาจุดเทียนสองเล่ม ผลคือเทียนของขุนวรวงศาธิราชยาวกว่าเทียนของพระเฑียรราชา
ขุนพิเรนทรเทพโกรธ คายชานหมากทิ้ง ชานหมากนั้นกระทบถูกเทียนขุนวรวงศาธิราชดับวูบ ผู้ก่อการถือเป็นนิมิตว่าการครั้งนี้สำเร็จแน่
ขุนวรวงศาธิราชรับสั่งให้กรมการเมืองลพบุรีไปจับช้าง เมื่อช้างเผือกเข้าเพนียดวัดซอง พระองค์จึงจะเสด็จไปทัศนา ก่อนไปทรงส่งอุปราชจันน้องชายไปดูแลการคล้องช้าง เป็นเวลาเดียวกับที่พระยาพิชัยกับพระยาสวรรคโลก ข้าราชการเมืองเหนือเข้าร่วมก่อการด้วย
แผนก่อการเริ่มเมื่อหมื่นราชเสน่หาลอบซุ่มยิงอุปราชจันตายที่ท่าเสื่อระหว่างทางไปเพนียด
ครั้นถึงวันคล้องช้าง ขุนวรวงศาธิราช นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ และพระธิดาเสด็จทางชลมารคเพื่อไปที่เพนียดวัดซองย่านหัวรอ
ขบวนเรือล่องถึงปากคลองสระบัวซึ่งบรรจบกับคลองบางปลาหมอ เรือพระที่นั่งก็แล่นเข้าสู่ปากเสือ กำลังทหารของขุนพิเรนทรเทพกรูเข้าจับขุนวรวงศาธิราช นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ และพระธิดา สำเร็จโทษทั้งหมดที่คลองสระบัว พระศพถูกเสียบประจานที่วัดแร้ง
ครองราชย์ได้เพียง ๔๒ วัน
หลังจากนั้นคณะผู้ก่อการไปขอให้พระเฑียรราชาลาผนวชเพื่อเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ ทรงพระนามสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
พระราชพงศาวดาร จดหมายเหตุ ตำนานทั้งหลายล้วนบอกว่าท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นคนเลวร้าย จนกระทั่งลบชื่อกษัตริย์องค์นี้ทิ้ง แม้ขุนวรวงศาธิราชจะขึ้นครองราชย์โดยผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว แต่นามนี้กลับไม่อยู่ในรายพระนามกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีเพียง ๓๓ พระองค์ ชื่อของเขาถูกลบออกจากประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์บันทึกเรื่องจากมุมมองของผู้ชนะเสมอ โลกจึงมิได้รู้ความจริงอีกด้านหนึ่ง เป็นไปได้หรือไม่ที่ท้าวศรีสุดาจันทร์ทำการนี้เพื่อทวงบัลลังก์คืนให้ราชวงศ์อู่ทอง หลังจากถูกราชวงศ์สุพรรณภูมิยึดครอง? เป็นไปได้หรือไม่ที่พระนางสมคบกับขุนวรวงศาธิราช เพราะเขาเป็นคนของราชวงศ์อู่ทองเช่นกัน? หรือเพราะตกบันไดพลอยโจน เมื่อผิดประเวณีกับขุนชินราชและทรงพระครรภ์ ก็ก่อรัฐประหาร ปราบดาภิเษก ยกบัลลังก์ให้คนรัก?
อำนาจคือไฟ ความพิศวาสก็คือไฟ การเล่นกับไฟทุกครั้งมีภยันตราย
และส่วนผสมของอำนาจกับความพิศวาสคือหายนะ
หมายเหตุ บางตำราว่าสมเด็จพระไชยราชาธิราชสวรรคตระหว่างทางกลับจากเชียงใหม่
พระเฑียรราชาสถาปนาขุนพิเรนทรเทพเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก ยกพระธิดาคือพระวิสุทธิกษัตรีย์ให้เป็นมเหสี
จาก ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม ๒ วินทร์ เลียววาริณ
.................................
ตอนนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษ 6 เล่ม
Shopee: https://s.shopee.co.th/9f3bQ2LFrC
เว็บ : https://www.winbookclub.com/store/detail/176/%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%20%E0%B9%91-%E0%B9%95%20+%20%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9
0- แชร์
- 58
-
ดาวหางมรณะจะพุ่งชนโลกเราในอาทิตย์หน้า ด้วยขนาดและความเร็วของมัน โลกจะถล่มทลาย เผ่าพันธุ์มนุษยชาติจะสูญสิ้น คุณจะทำอะไรในช่วงเจ็ดวันนี้? บ่นหรือเที่ยว? สาปแช่งหรือกินของอร่อย? ไปหาหมอดูหรืออยู่กับคนรัก?
ถ้าเรารู้ว่าจะมีชีวิตเหลืออีกไม่กี่วัน ในไม่กี่วันนั้นเราคงเลือกทำแต่เรื่องสำคัญและเรื่องจำเป็น บอกรักคนที่รัก มองดูโลกด้านที่งดงาม มองท้องฟ้า ชมเมฆ ดูนก ดูใบไม้ ดอกไม้ รักษาจิตให้สงบก่อนจากโลกไป
เป็นการทำ ‘เรื่องดี ๆ’ และเรื่องที่อยากทำก่อนจากโลกนี้ไป
ถ้าในเวลาเจ็ดวัน เราสามารถทำเรื่องดี ๆ ที่อยากทำได้ ทำไมจำกัดเรื่องดี ๆ ไว้แค่เจ็ดวันเล่า?
แม้ชีวิตเราจะยืนยาวอีกหลายสิบปี ก็สามารถทำเรื่องดี ๆ และเรื่องที่อยากทำได้ทุกวัน ไม่ต้องรอโอกาสที่ดาวหางมรณะมาเยือน
เวลาเจ็ดวันสั้นเกินกว่าจะทำเรื่องไม่สำคัญ เช่น ทะเลาะกับคนที่ไม่รู้จักในโลกโชเชียล นินทาชาวบ้าน แต่เวลาทั้งชีวิตก็สั้นเกินไปเช่นกัน
คนที่ทำงานหนักและนอนน้อยชอบพูดเล่นว่า “เอาไว้นอนหลังตายก็แล้วกัน” ความหมายคือมีเรื่องสำคัญต้องทำตอนนี้ ส่วนเรื่องไม่สำคัญให้ทำทีหลังหรือ ‘ทำหลังตาย’
เราอาจใช้หลักคิดนี้ในการจัดการอารมณ์ความรู้สึกด้านลบ
ลองเปลี่ยนวิธีมองโลกและการใช้ชีวิตอีกมุมหนึ่งว่า เรื่องไม่สำคัญ ทำหลังตายก็ได้ เพราะมันทำให้เราเสียเวลาใช้ชีวิตที่ดีขณะที่เรายังมีลมหายใจ
คิดง่าย ๆ เราจะโง่เสียเวลาฟรี ๆ ทำเรื่องไร้สาระตอนยังมีชีวิตทำไม ทำหลังตายก็แล้วกัน
สรรพสิ่งย่อมมีอายุขัยของมัน นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่าอายุโลกเราน่าจะรองรับชีวิตได้อยู่อีกประมาณ 7.5 พันล้านปี เวลานั้นทุกชีวิตบนโลกจะดับสูญ เพราะดวงอาทิตย์ของเราเริ่มหมดสิ้นพลังงาน กลายเป็นดาวยักษ์แดง มันจะขยายตัวมาเฉียดหรือชนโลกเรา เผาผลาญทุกชีวิตบนโลก
ตีเป็นตัวเลขกลม ๆ คือเจ็ดพันล้านปี
ดังนั้นถ้าจะนอนหลังตาย ก็มีเวลานอนนานถึงเจ็ดพันล้านปี
ถ้าอยากกลุ้มใจ ไปกลุ้มใจหลังตายดีกว่า เพราะจะมีเวลากลุ้มได้เต็มที่ นานอีกเจ็ดพันล้านปีกว่าโลกจะเลิกกิจการ
โกรธใคร ก็ไปโกรธหลังตาย โกรธให้พอใจ มีเวลาโกรธตั้งเจ็ดพันล้านปี
เกลียดใคร ก็เกลียดให้เต็มที่ไปเลยอีกเจ็ดพันล้านปีจนถึงวันโลกแตกจริง ๆ
อยากอิจฉานินทาใคร ก็ทำตอนหลังตาย มีเวลาเยอะ
อย่าละลายเวลาสั้น ๆ ไม่กี่ปีขณะที่เรายังหายใจได้ อย่าเสียเวลาคิด-ทำเรื่องไม่ดี อีกเจ็ดพันล้านปีค่อยทำ
ชีวิตบนโลกนั้นสั้น ใช้เวลากับเรื่องดี ๆ เรื่องที่เป็นมงคลดีกว่า
รักใครก็รักให้เต็มที่ตอนยังมีชีวิต
รักพ่อแม่ ก็ไปเยี่ยมตอนที่ยังมีชีวิต รักลูก ก็ใช้ชีวิตกับลูกให้เต็มที่ตอนยังมีลมหายใจ
อยากจะบอกรักใคร ก็บอกตอนยังมีลมหายใจ
อยากทำงานในฝัน ก็ทำตอนที่ยังอยู่บนโลก ไม่เสียเวลาไปกับการคิดว่านี่เป็นไปไม่ได้ นั่นก็เป็นไปไม่ได้
เพราะเวลาหนึ่งชีวิตของเราแม้ไม่ยาว แต่ถ้าใช้เป็น มันก็มีค่ากว่าคนที่ทำเรื่องไม่สำคัญโดยเสียเวลาทั้งชีวิตของเขา บวกอีกเจ็ดพันล้านปี
ประการสุดท้ายคือ เรามักไม่ตายเพราะดาวหางถล่มโลก
วินทร์ เลียววาริณ
13-6-25...................
จากเหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/187/เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
Shopee https://s.shopee.co.th/60Bx1VKarmShopee โปรโมชั่นคู่กับยุทธจักรวาลกิมย้ง https://s.shopee.co.th/6pl417244u
0 วันที่ผ่านมา -
(เริ่มเขียน 17.54 น. / เริ่มทำภาพประกอบ 18.15 น. / เสร็จ 18.25 น.)
ร้านเหล้าพับผ่าคืนนี้มีลูกค้าหน้าใหม่ก้าวเข้ามา วัยราว 50 ปลาย เส้นผมสีเทา สวมชุดขาวทั้งร่าง ท่าทางคงแก่เรียน มองปราดเดียว ข้าพเจ้าเดาว่าเขาน่าจะเป็นหมอ
มันเป็นต้นราตรีของวันที่แพทยสภายืนมติลงโทษแพทย์สามคน ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ข้าพเจ้าถามลูกค้าชุดขาว "ดื่มอะไรดีครับ คุณหมอ?"
เขาเลิกคิ้ว "คุณดูออกเลยหรือว่าผมเป็นหมอ?"
"ใช่"
เขาหัวเราะ "ก็ไม่ผิดนะ"
ข้าพเจ้าถาม "คุณหมอคิดยังไงกับการโหวตเสียงของแพทยสภาในวันนี้?"
"ก็ตรงตามที่ผมคาดไว้ ผมประมาณแล้วว่าตัวเลขน่าจะ 65-66 แทงหวยได้"
"จะดื่มอะไรดีครับ?"
"ผมไม่ค่อยได้ดื่ม บาร์เทนเดอร์เสนอมาซีครับ"
"แก้วแรกผมขอเสนอค็อคเทล The Good Doctor ก็แล้วกัน"
"มีค็อคเทลชื่อนี้จริงๆ หรือครับ?"
"มีจริงครับ ทำด้วยวิสกี้ไรย์ ผสม Amaro กับ Dr Pepper ใส่ส้มฝาน"
"ตกลงครับ"
ข้าพเจ้าชง The Good Doctor แล้วนำไปเสิร์ฟ เขาดื่มหมดอย่างรวดเร็ว บอก "อร่อยมากครับ ขออีกแก้ว"
"งั้นขอเสนอแก้วใหม่เลยดีกว่า คือ Penicillin cocktail"
"Penicillin? ที่เป็นชื่อยาปฏิชีวนะ?"
"ใช่ครับ เพราะวันนี้พวกหมอพิสูจน์ให้คนไทยเห็นว่า การเมืองไทยที่ติดเชื้อมานานสมควรได้รับยาปฏิชีวนะแรงๆ"
"เวรี ดีฟ ตกลง แล้ว Penicillin cocktail ทำยังไงครับ?"
"เป็นส่วนผสมของสก็อตช์ วิสกี้ น้ำมะนาว และ honey-ginger syrup"
ข้าพเจ้าเสิร์ฟ Penicillin cocktail ให้ลูกค้า เขาดื่มแล้วบอก "รสดี หวังว่ามันคงฆ่าเชืิ้อในกระเพาะของผม"
"มันฆ่าเชื้อโรคการเมืองต่างหากครับ"
"ยอดเยี่ยมครับ"
"อีกแก้วไหมครับ?"
"ไม่ดีกว่า ผมต้องไปทำงานต่อ ช่วยเช็กบิลเลย "
"สองแก้วนี้ on the house ครับ วันนี้ร้านพับผ่าฉลอง ให้หมอดื่มฟรี ผมชื่นชมพวกหมอที่ไม่หวั่นอิทธิพลการเมือง รักษาจรรยาบรรณแพทย์"
"ขอบคุณครับ"
ข้าพเจ้าเอ่ย "ยินดีครับ คุณหมอบอกว่าจะต้องไปทำงาน คุณหมอทำงานที่โรงพยาบาลไหนครับ?"
"คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ใช่หมอในโรงพยาบาล ผมเป็นหมอดูครับ ผมรับดูดวง เมื่อหัวค่ำมีนักการเมืองเรียกตัวผมไปดูดวงให้ว่าจะไปรอดหรือไม่"
"แล้วคิดว่าจะรอดมั้ย?"
เขาหัวเราะ "เจอ Penicillin cocktail น่าจะไม่รอดนะ"
วินทร์ เลียววาริณ
12-6-25..................
หมายเหตุ เหล้าทั้งหมดนี้มีจริง
พับผ่า! บาร์เทนเดอร์ (The Bartender Series 1) มีจำหน่ายแล้วในรูปอีบุ๊ค สนใจดูได้ในเว็บ winbookclub.com หรือ The Meb
1 วันที่ผ่านมา -
ผมเขียนมาบ่อยมากว่า พื้นที่ในจักรวาลส่วนใหญ่เป็นที่ว่าง บางคนนึกภาพไม่ออก
งั้นเรามาบอกเป็นตัวเลขดีกว่า อาจจะเห็นภาพมากขึ้น
ดวงดาวในดาราจักรทางช้างเผือกที่เราอยู่มีราว 2-4 แสนล้านดวง ถามว่าแต่ละดวงอยู่ห่างกันเฉลี่ยเท่าไร
ร้อยกิโล? พันกิโล? ล้านกิโล?
ไม่ๆๆ ! เราคงต้องเปลี่ยนหน่วยเป็นปีแสง
ระยะทางในจักรวาลไกลมาก เราจึงคิดหน่วยวัดระยะทางเป็นปีแสง (light year)
หนึ่งปีแสงคือระยะทางที่แสงเดินทางไปเป็นเวลาหนึ่งปี
เท่าที่เรารู้ตอนนี้ แสงเป็นสิ่งที่เดินทางเร็วที่สุดแล้ว ฉะนั้นหนึ่งปีแสงถือว่าไกลมากๆ
ค่าเฉลี่ยระยะห่างของดวงดาวต่างๆ ในทางช้างเผือกคือ 5 ปีแสง
แปลว่าหากเราเดินทางด้วยยานอวกาศที่เรามีตอนนี้ ก็คงใช้เวลาหลายสิบชั่วคน
นี่แค่ดาวดวงเดียวนะ
เวลาเราดูดาวบนฟ้ากลางคืน จะเห็นจุดดาวอยู่ใกล้กันมาก พึงรู้ว่าระยะห่างของแต่ละจุดใกล้ๆ กันนั้นคือเฉลี่ย 5 ปีแสง
แต่ท้องฟ้าที่เราเห็นตอนกลางคืนเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของทางช้างเผือก
ดังนั้นพอนึกภาพออกแล้วใช่ไหมว่า ทางช้างเผือกใหญ่แค่ไหน
และข้างนอกทางช้างเผือก ยังมีดาราจักรแบบนี้อีกเป็นหลายแสนล้านดาราจักร และทุกดาราจักรก็ขยายตัวออกไปทุกที
จักรวาลจึงเต็มไปด้วยที่ว่าง
วินทร์ เลียววาริณ
12-6-252 วันที่ผ่านมา -
โลกเรานิยมจัดอันดับในแทบทุกเรื่อง! ในทางการเงิน เศรษฐกิจและธุรกิจ เรามีมาตรของ Moody’s (Moody’s Investors Service), Standard & Poor’s และ Fitch Group จัดเรทเครดิตธุรกิจ เช่น Moody’s ให้คะแนน Aaa, Aa, A, Baa, Ba, B, Caa, Ca, C ฯลฯ Standard & Poor’s กับ Fitch ให้คะแนน AAA, AA, A, BBB, BB, B, CCC ฯลฯ
ในด้านมาตรฐานการค้ามนุษย์ ก็มีมาตรของสำนัก Office To Monitor and Combat Trafficking in Persons แบ่งเป็นระดับต่าง ๆ เช่น Tier 1, Tier 2, Tier 2 Watch List และ Tier 3
แม้แต่ในเรื่องอาหาร ก็มีหลายสำนักหลายมาตรฐาน มากมายนับไม่ถ้วน
การใช้ชีวิตของเรา ก็มีมาตรวัดเป็นสนุกกับไม่สนุก สมมุติว่าเราใช้มาตรฐานขององค์กรทางการเงินคือ A B C มาวัดชีวิตเรา ไล่จาก AAA สนุกมาก ไปจนถึง CCC ไม่สนุกมาก ก็อาจได้รายการดังต่อไปนี้
A เช่น เล่นกับหมา
AA เช่น ดูหนัง เล่นเกม
AAA เช่น เที่ยวต่างจังหวัด กินอาหารอร่อย
B เช่น คุยกับลูกค้า
BB เช่น รถติด
BBB เช่น ไปจ่ายตลาด ทำรายงานการประชุม
C เช่น พักฟื้น
CC เช่น เจาะเลือด ฉีดยา
CCC เช่น ผ่าตัด ป่วย นอนซม
หากเรามุ่งหาแต่กิจกรรม AAA และบ่นทุกครั้งที่พบ BBB และ CCC ชีวิตก็ไม่สนุก เพราะชีวิตประกอบด้วย A B C คละกัน ตลอดอายุขัยของเราทุกคน
ทางพุทธสอนให้ไม่ยึดมั่น ไม่ยึดมั่นทั้งเรื่องดีและไม่ดี
อยู่กับสุขก็มีสติ อยู่กับทุกข์ก็มีสติ จึงไม่ทรมาน
ดังนั้นดูเหมือนว่าทางดีที่สุดในการใช้ชีวิตคือ ไม่ยึดมั่นทั้ง A B C
เมื่อไม่จัดอันดับ ไม่มี A B C ก็ไม่มีข้อแม้ว่าตอนนี้สนุกหรือไม่สนุก สุขหรือทุกข์ เพราะไม่ว่าจะเจอ A B C หรือ AAA BBB CCC ก็อยู่อย่างสงบได้
........................
พระไพศาล วิสาโล เขียนในหนังสือ ลำธารริมลานธรรม เรื่องการป่วยของหลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ ว่า ในปี พ.ศ. 2549 หลวงพ่อป่วยหนักเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการหนักจนต้องรักษาในห้องไอซียู เพราะก้อนมะเร็งทำให้คอบวมเกือบเท่าหน้า และกดหลอดลมจนหายใจไม่สะดวก แต่หลวงพ่อกลับไม่แสดงอาการทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
ขณะที่ญาติโยมทั้งหลายตกใจ พยายามจะปลอบท่าน ท่านกลับเป็นฝ่ายปลอบญาติโยมว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหา
ต่อมาหมอตรวจพบก้อนเนื้อในตับอ่อนอีก ท่านรู้สึกเจ็บมาก แต่ไม่ร้องสักแอะ หมอถามท่านว่า “รู้สึกเจ็บกี่เปอร์เซ็นต์?” หลวงพ่อคำเขียนตอบว่า “เกินร้อย”
พยาบาลถามว่า “ทำไมไม่ร้อง?”
ท่านตอบว่า “ปวดแล้วจะร้องอีกทำไมให้ขาดทุน”
ท่านพูดต่ออีกว่า “อาการเอาไว้ดู ไม่ได้เอาไว้เป็น”
ก็คือหลักที่หลวงพ่อสอนศิษย์มาโดยตลอด คือมีสติรู้กายรู้ใจ ท่านว่า “เห็น อย่าเข้าไปเป็น”
นั่นคือรู้ แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับมัน ดังนี้แม้ท่านจะต้องเจ็บปวดทางกายซึ่งเป็นผลมาจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดและการฉายแสง แต่ไม่ทุกข์ร้อน
เพราะความทุกข์เกิดจากความคิด ปรุงแต่งเป็นทุกข์ เมื่อไม่ปรุงแต่งเสียอย่าง ก็ไม่เกิดทุกข์
หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ ผ่านการรักษานานแปดเดือน เข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาล ท่านพูดหลังออกจากโรงพยาบาลว่า “สนุกป่วยเกือบปี”
หากจัดอันดับตามมาตรฐานของคนทั่วไป อาการป่วยของหลวงพ่อคำเขียนไม่ใช่ระดับ CCC แต่คือ DDD หรือ FFF เลวร้ายมาก แต่เมื่อจิตไม่ปรุงแต่งโรคภัยว่าเป็นทุกข์ ก็อยู่ได้โดยไม่ทุกข์ร้อน
เราคนธรรมดาที่ไม่ค่อยหรือไม่เคยฝึกจิต อาจรู้สึกว่ามันเกินความสามารถของเรา แต่หากไม่เริ่มฝึกจิตเตรียมพร้อม เราอาจผ่านไม่พ้นด่าน CCC อย่าว่าแต่ FFF
บางทีทางแรกคืออย่ายึดมั่นถือมั่นว่า ท่อนใดในชีวิตเป็น AAA หรือ BBB หรือ CCC
เมื่อไร้การยึดมั่น ก็ไร้มาตรวัด เมื่อไร้มาตรวัด ความไม่สนุกหรือไม่สบายกายก็เป็นแค่เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ
วินทร์ เลียววาริณ
12-6-25
...................
จากเหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/187/เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
Shopee https://s.shopee.co.th/60Bx1VKarm
Shopee โปรโมชั่นคู่กับยุทธจักรวาลกิมย้ง https://s.shopee.co.th/6pl417244u2 วันที่ผ่านมา -
ตอนที่ผมได้รับรางวัลซีไรต์ครั้งแรกในปี 2540 นักเขียนนิยายจารกรรมชื่อก้องโลก เฟรเดอริก ฟอร์ไซธ์ (Frederick Forsyth) มาพูดในงานมอบรางวัลที่กรุงเทพฯ เขาเล่าถึงวิธีการทำงานของเขาว่า วันๆ เขาไม่ค่อยได้เขียนอะไร เดินไปเดินมารอบบ้าน จนลูกถาม "ทำไมพ่อไม่ทำงาน? เดินไปเดินมาอยู่นั่นแหละ"
ฟอร์ไซธ์ตอบว่า "พ่อก็กำลังทำงานไง"
"แต่ไม่เห็นนั่งที่โต๊ะทำงาน เดินไปเดินมาทั้งวัน"
ฟอร์ไซธ์บอกว่า "ตอนเดินพ่อกำลังคิดพล็อตอยู่โว้ย!"
คืนนั้นผมบอกฟอร์ไซธ์ว่า ผมอ่านหนังสือของเขาทุกเล่ม เขาตอบแบบสุภาพบุรุษอังกฤษว่า "You are very kind."
ใช่ ผมอ่านงานของฟอร์ไซธ์มาตั้งแต่ The Day of the Jackal (วันลอบสังหาร) ตามมาด้วย The Odessa File (ตามล่านาซี) หลังจากนั้นก็อ่านจากต้นฉบับภาษาอังกฤษมาโดยตลอด
จุดเด่นของฟอร์ไซธ์คือรีเสิร์ชลึก ไม่มีมั่ว ไม่มี copy and paste เช่น ในเรื่องวันลอบสังหาร เขารีเสิร์ชสภาพดินฟ้าอากาศในวันที่คนร้ายลงมือ
นี่ทำให้ตอนผมเขียน น้ำเงินแท้ ต้องรีเสิร์ชสภาพอากาศวันที่ 24 มิถุนายน 2475
ฟอร์ไซธ์เป็นนักเล่าเรื่อง (storyteller) และเล่าอย่างสมจริง เขาชี้ให้เห็นว่า การเป็นนักเขียนดีคือต้องทำงานหนัก รีเสิร์ชแน่น พล็อตดี สาระดี และเดินนำหน้าคนอ่านสักหนึ่งก้าว
เช่นเดียวกับการศึกษางานของกิมย้ง ผมก็เรียนรู้วิธีเขียนจากงานของฟอร์ไซธ์ งานนวนิยายของผมได้รับบทเรียนการทำงานของเขามาไม่มากก็น้อย คนทำงานศิลปะด้วยกันย่อมแลเห็นคุณค่าของความยากลำบากในงานแต่ละชิ้น อักษรแต่ละอักษร คำแต่ละคำ
ในโลกน้ำหมึก ไม่มีเส้นพรมแดน ไม่มีเชื้อชาติ มีแต่อิสรภาพของงานศิลปะ
RIP ญาติน้ำหมึกต่างแดน
วินทร์ เลียววาริณ
11-6-252 วันที่ผ่านมา