-
วินทร์ เลียววาริณ8 เดือนที่ผ่านมา
(หมายเหตุ ก่อนที่จะมีใครคอมเมนต์ว่าสะกดผิด พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานพิมพ์ว่า หยั่วเมือง, อยัวเมือง, ยั่วเมือง = คำเรียกสนมเอกสมัยโบราณ)
.............................
ชายสี่คนชุมนุมกันในเรือนรโหฐานหลังหนึ่งลับตาผู้คน คนที่เป็นหัวหน้าชื่อขุนพิเรนทรเทพ ที่เหลือคือขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา และหลวงศรียศ ทั้งสี่กำลังวางแผนลอบปลงพระชนม์กษัตริย์
“กรมการเมืองลพบุรีแจ้งมาว่าพบช้างเผือก หากเราทูลพระองค์ว่าการเสด็จไปคล้องช้างเป็นพระบารมีต่อราชบัลลังก์ พระองค์ก็จะเสด็จไปที่นั่น”
“คล้องช้างที่ใด?”
“ที่เพนียดวัดซอง”
“ถ้าเช่นนั้นขบวนเสด็จไปได้ทางเดียวคือชลมารค ตามลำคลองสระบัว”
“ใช่ เราจะนำกำลังไปซุ่มที่คลองบางปลาหมอ เมื่อเรือล่องไปถึงปากคลองสระบัวที่บรรจบกับคลองบางปลาหมอ ก็ปลงพระชนม์ที่นั่น”
การชิงอำนาจครานี้มิใช่เพื่อตัวเอง หากเป็นภารกิจที่ต้องกระทำ
เพื่อราษฎรหรือเพื่อตัวเอง?
..............................
อาณาจักรศรีอยุธยากำเนิดจากราชวงศ์อู่ทอง โดยใช้พระนามพระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑) เป็นชื่อราชวงศ์ ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่ากำเนิดของราชวงศ์นี้มาจากไหน บางตำนานว่าต้นราชวงศ์มีความเกี่ยวดองกับละโว้ บ้างว่าราชวงศ์นี้อาจมีเชื้อสายลาว บางทีจึงเรียกว่า ราชวงศ์ละโว้-อโยธยา หรือราชวงศ์เชียงราย
ราชวงศ์อู่ทองครองแผ่นดินนาน ๕๙ ปี ก็สิ้นสุด กษัตริย์องค์สุดท้ายคือสมเด็จพระรามราชาธิราช ถูกราชวงศ์สุพรรณภูมิชิงอำนาจในปี พ.ศ. ๑๙๕๒
แม้จะหมดอำนาจ แต่เชื้อสายของราชวงศ์อู่ทองยังดำรงบทบาทในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา ทำหน้าที่เป็นปุโรหิตดูแลกิจการพิธีกรรมในราชสำนัก ส่วนผู้หญิงมักถูกส่งไปเป็นพระสนมในพระมหากษัตริย์
ในปี พ.ศ. ๒๐๗๖ บัลลังก์อยุธยาเป็นของพระรัษฎาธิราช ยุวกษัตริย์พระชนมายุห้าพรรษา โอรสของพระอาทิตยวงศ์ (สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔)
พระอาทิตยวงศ์เสวยราชย์ในปี พ.ศ. ๒๐๗๒ สวรรคตด้วยพระโรคไข้ทรพิษในปี พ.ศ. ๒๐๗๖ มีอนุชาอีกสองพระองค์คือ พระไชยราชาและพระเฑียรราชา
พระรัษฎาธิราชครองราชย์ได้ห้าเดือน พระไชยราชาก็ชิงบัลลังก์ และสำเร็จโทษราชนัดดา ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ พระนาม สมเด็จพระไชยราชาธิราช
สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงมีพระโอรสจากพระอัครมเหสี คือพระยอดฟ้า และจากท้าวศรีสุดาจันทร์ คือพระศรีศิลป์
อันตำแหน่งพระสนมเอกของพระมหากษัตริย์เรียกว่า ท้าวศรีสุดาจันทร์ ตามธรรมเนียมวัง พระชายาองค์ใดให้กำเนิดพระโอรสที่จะสืบราชบัลลังก์ พระชายาองค์นั้นจะมีสถานภาพสูงกว่าพระชายาองค์อื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ชาติตระกูลของท้าวศรีสุดาจันทร์มิอาจก้าวขึ้นมาเป็นพระมเหสีได้ เป็นเพียงแม่หยั่วเมือง (สนมเอก)
ท้าวศรีสุดาจันทร์ผู้นี้ทรงสิริโฉมงดงามร่ำลือไปทุกทิศ ความงามของนางพานางไปสู่รั้ววัง แต่ความเฉลียวฉลาดพานางไปถึงยอดบัลลังก์ ท้าวศรีสุดาจันทร์แสดงความคิดเห็นใด ราชันย์ก็ทรงเชื่อ
ในปี พ.ศ. ๒๐๘๘ เกิดการเปลี่ยนอำนาจที่เชียงใหม่ สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงเกรงว่าล้านนาจะแผ่อำนาจเกินไป จึงทรงแต่งทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ตอนกลางปี แต่ไม่สำเร็จ ครั้นปลายปีก็ยกทัพไปตีใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้ตีได้เมืองลำพูนและเชียงใหม่ หลังจากนั้นก็เสด็จฯกลับอยุธยา
ระหว่างที่ทรงยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ พระไชยราชาธิราชทรงมอบให้ท้าวศรีสุดาจันทร์ดูแลกิจการบ้านเมือง เป็นครั้งแรกที่อำนาจอยู่ในกำมือของเชื้อสายราชวงศ์อู่ทองอีกครั้ง
..............................
วันหนึ่งพระแม่เจ้าอยู่หัวศรีสุดาจันทร์ดำเนินผ่านพระที่นั่งพิมานรัตยาหอพระหน้า ทอดพระเนตรเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ทรงถามนางกำนัล “คนผู้นั้นคือใคร?”
“คือท่านบุญศรี ตำแหน่งพันบุตรศรีเทพ ผู้เฝ้าหอพระ”
“เขามาจากที่ใด?”
“เขาสืบเชื้อสายจากเจ้าเมืองศรีเทพ”
เมืองศรีเทพเป็นเมืองลูกหลวงสมัยราชวงศ์อู่ทอง
“เขาเป็นเชื้อสายอู่ทอง?”
“ใช่พระเจ้าข้า”
“ถ้าเช่นนั้นจงนำเมี่ยงหมากไปมอบให้เขา”
นางกำนัลทำตามพระราชเสาวนีย์และกลับมาพร้อมดอกจำปา
“ท่านพันบุตรศรีเทพมอบมาให้พระองค์”
เมี่ยงหมากกับดอกจำปา อู่ทองกับอู่ทอง ความสัมพันธ์บังเกิด
เมี่ยงหมากกับดอกจำปามองเห็นโอกาสที่หายากยิ่ง
และผู้ใดจะปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดลอยไป?
การชิงอำนาจครานี้มิใช่เพื่อตัวเอง หากเป็นภารกิจที่ต้องกระทำ
เพื่อราษฎรหรือเพื่อตัวเอง?
..............................
หลังจากมีความสัมพันธ์กับพันบุตรศรีเทพ ท้าวศรีสุดาจันทร์ก็ทรงขับขุนชินราชคนเดิมออกไปอยู่ตำแหน่งอื่น ให้พันบุตรศรีเทพขึ้นดำรงตำแหน่งแทน จากนั้นก็เพิ่มอำนาจให้ชู้ โดยเลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นไปอีกเป็นขุนวรวงศาธิราช
พันบุตรศรีเทพพลันขึ้นมาเป็นใหญ่ในวงการเมืองอย่างก้าวกระโดด
เมี่ยงหมากกับดอกจำปากลายเป็นส่วนผสมใหม่ของการเมืองแห่งอยุธยา
ขุนนางคนหนึ่งนามพระยามหาเสนาไม่เห็นด้วยกับการขึ้นสู่อำนาจของขุนวรวงศาธิราช เปรยกับข้าราชการคนอื่น ๆ ว่า “แผ่นดินกลายเป็นทุรยุคไปแล้ว”
ผลก็คือราตรีหนึ่งพระยามหาเสนาถูกคนร้ายลึกลับสังหาร ตามมาด้วยคำสั่งฆ่าข้าราชการหลายคนที่ขวางทางอำนาจ ขุนนางที่เหลือก็เงียบเสียงลง ด้วยรู้ว่าพายุการเมืองกำลังแรง และน้ำเชี่ยวมิควรเอาเรือขวาง
ความขัดแย้งยังลามไปถึงพระเฑียรราชา เชษฐาแห่งสมเด็จพระไชยราชาธิราช ด้วยแรงพายุการเมือง พระเฑียรราชาทรงเลือกหนทางผนวชที่วัดราชประดิษฐาน
สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงยกทัพกลับจากเชียงราย แม่หยั่วเมืองต้อนรับพระสวามีด้วยยาพิษ
ครั้นสมเด็จพระไชยราชาธิราชสวรรคต พระยอดฟ้าก็ขึ้นครองราชย์ เนื่องจากพระชันษายังเยาว์เพียงสิบเอ็ดพรรษา นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์จึงรับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ในปี พ.ศ. ๒๐๙๑ นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์เรียกประชุมขุนนาง กล่าวว่า “สมเด็จพระยอดฟ้ายังทรงพระเยาว์ หัวเมืองเหนือก็ไม่เป็นปกติ ข้าฯเห็นว่าสมควรให้ขุนวรวงศาธิราชว่าราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่าสมเด็จพระยอดฟ้าทรงเจริญพระชนมายุสมควร”
อีกครั้งเหล่าขุนนางเห็นชอบโดยพร้อมเพรียงกัน
ลูกขุนพลอยพยักมักมีชีวิตยืนยาวกว่า
เช่นเดียวกับสตรีที่เข้าสู่จุดสูงสุดของวงการเมืองในประวัติศาสตร์ของทุกอารยธรรม นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ทรงใช้อาวุธสำคัญคือความงามและสายสัมพันธ์พิเศษเข้ากุมอำนาจ
ในวงการเมือง อำนาจมักมาพร้อมกับข้ออ้าง
เมื่อขุนวรวงศาธิราชขึ้นครองราชย์ ก็ทรงสถาปนานายจัน ช่างตีเหล็กผู้เป็นน้องชายเป็นพระมหาอุปราช แล้วสำเร็จโทษสมเด็จพระยอดฟ้าที่วัดโคกพระยาในวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๐๙๑
การ ‘ปราบดาภิเษก’ ของขุนวรวงศาธิราช ทำให้ขุนนางหลายคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และอีกกลุ่มหนึ่งไม่พอใจอย่างยิ่งที่ราชวงศ์อู่ทองยึดอำนาจเงียบ ๆ เป็นที่มาของการวางแผนลอบปลงพระชนม์ นำโดยขุนพิเรนทรเทพ เจ้ากรมพระตำรวจขวา
พวกเขาเพียงต้องรอคอยโอกาส
โอกาสมาถึงเมื่อมีข่าวจากเมืองลพบุรีว่าพบช้างเผือก
ขุนพิเรนทรเทพกล่าวกับพวกว่า “โอกาสมาถึงแล้ว”
“เราควรให้แน่ใจก่อน”
“อย่างไร?”
“เสี่ยงเทียนว่าพระเฑียรราชามีพระบารมีมากกว่าขุนวรวงศาธิราชหรือไม่”
ขุนพิเรนทรเทพกล่าวว่า “ข้าฯมิเห็นด้วย หากจะก่อการ ก็จงทำ”
แต่ขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา และหลวงศรียศ เห็นว่าควรเสี่ยงเทียน
ราตรีหนึ่งผู้ก่อการทั้งหมดก็รวมตัวกัน ณ พระอุโบสถวัดป่าแก้วเพื่อทำพิธีเสี่ยงเทียน
พวกเขาจุดเทียนสองเล่ม ผลคือเทียนของขุนวรวงศาธิราชยาวกว่าเทียนของพระเฑียรราชา
ขุนพิเรนทรเทพโกรธ คายชานหมากทิ้ง ชานหมากนั้นกระทบถูกเทียนขุนวรวงศาธิราชดับวูบ ผู้ก่อการถือเป็นนิมิตว่าการครั้งนี้สำเร็จแน่
ขุนวรวงศาธิราชรับสั่งให้กรมการเมืองลพบุรีไปจับช้าง เมื่อช้างเผือกเข้าเพนียดวัดซอง พระองค์จึงจะเสด็จไปทัศนา ก่อนไปทรงส่งอุปราชจันน้องชายไปดูแลการคล้องช้าง เป็นเวลาเดียวกับที่พระยาพิชัยกับพระยาสวรรคโลก ข้าราชการเมืองเหนือเข้าร่วมก่อการด้วย
แผนก่อการเริ่มเมื่อหมื่นราชเสน่หาลอบซุ่มยิงอุปราชจันตายที่ท่าเสื่อระหว่างทางไปเพนียด
ครั้นถึงวันคล้องช้าง ขุนวรวงศาธิราช นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ และพระธิดาเสด็จทางชลมารคเพื่อไปที่เพนียดวัดซองย่านหัวรอ
ขบวนเรือล่องถึงปากคลองสระบัวซึ่งบรรจบกับคลองบางปลาหมอ เรือพระที่นั่งก็แล่นเข้าสู่ปากเสือ กำลังทหารของขุนพิเรนทรเทพกรูเข้าจับขุนวรวงศาธิราช นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ และพระธิดา สำเร็จโทษทั้งหมดที่คลองสระบัว พระศพถูกเสียบประจานที่วัดแร้ง
ครองราชย์ได้เพียง ๔๒ วัน
หลังจากนั้นคณะผู้ก่อการไปขอให้พระเฑียรราชาลาผนวชเพื่อเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ ทรงพระนามสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
พระราชพงศาวดาร จดหมายเหตุ ตำนานทั้งหลายล้วนบอกว่าท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นคนเลวร้าย จนกระทั่งลบชื่อกษัตริย์องค์นี้ทิ้ง แม้ขุนวรวงศาธิราชจะขึ้นครองราชย์โดยผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว แต่นามนี้กลับไม่อยู่ในรายพระนามกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีเพียง ๓๓ พระองค์ ชื่อของเขาถูกลบออกจากประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์บันทึกเรื่องจากมุมมองของผู้ชนะเสมอ โลกจึงมิได้รู้ความจริงอีกด้านหนึ่ง เป็นไปได้หรือไม่ที่ท้าวศรีสุดาจันทร์ทำการนี้เพื่อทวงบัลลังก์คืนให้ราชวงศ์อู่ทอง หลังจากถูกราชวงศ์สุพรรณภูมิยึดครอง? เป็นไปได้หรือไม่ที่พระนางสมคบกับขุนวรวงศาธิราช เพราะเขาเป็นคนของราชวงศ์อู่ทองเช่นกัน? หรือเพราะตกบันไดพลอยโจน เมื่อผิดประเวณีกับขุนชินราชและทรงพระครรภ์ ก็ก่อรัฐประหาร ปราบดาภิเษก ยกบัลลังก์ให้คนรัก?
อำนาจคือไฟ ความพิศวาสก็คือไฟ การเล่นกับไฟทุกครั้งมีภยันตราย
และส่วนผสมของอำนาจกับความพิศวาสคือหายนะ
หมายเหตุ บางตำราว่าสมเด็จพระไชยราชาธิราชสวรรคตระหว่างทางกลับจากเชียงใหม่
พระเฑียรราชาสถาปนาขุนพิเรนทรเทพเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก ยกพระธิดาคือพระวิสุทธิกษัตรีย์ให้เป็นมเหสี
จาก ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม ๒ วินทร์ เลียววาริณ
.................................
ตอนนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษ 6 เล่ม
Shopee: https://s.shopee.co.th/9f3bQ2LFrC
เว็บ : https://www.winbookclub.com/store/detail/176/%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%20%E0%B9%91-%E0%B9%95%20+%20%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9
0- แชร์
- 63
-
เราเคยได้ยินเรื่องคนแก่ปีนเขา คนตาบอดปีนเขา คนพิการปีนเขา เหล่านี้เป็นข่าวแปลก แต่ไม่ประหลาด โลกมีคนนานาชนิดปีนเขา
แต่ปลาปีนเขาน่าจะเป็นข่าวประหลาดแน่ ๆ !
ปลาปีนเขาไม่ใช่สำนวนเปรียบเทียบ มีความหมายตรงตามคำ นั่นคือเป็นปลาปีนเขาจริง ๆ
มันเป็นปลาสายพันธุ์ Goby ลำตัวยาวราวเจ็ดเซนติเมตร ไม่มีขา ไม่มีมือ แต่มีนิสัยชอบปีนเขา! (Goby มีกว่าสองพันสายพันธุ์ สปีชีส์ที่ปีนเขาคือ Sicyopterus stimpsoni หรือ rock-climbing goby สามารถปีนเขาสูงถึงร้อยเมตร)
เมื่อพูดถึง ‘เขา’ ก็ไม่ได้หมายถึงเนินดินเตี้ย ๆ ที่ไหน แต่เป็นภูผาสูงชันที่มีสายน้ำตกแรงสาดเทลงมาครืนครั่นชั่วนาตาปี อย่าว่าแต่ปลาเลย ต่อให้เป็นนักปีนเขาอาชีพที่มีเครื่องมือครบครันก็ปีนผาน้ำตกนี้ด้วยความยากลำบาก
Goby เป็นปลาที่ใช้ชีวิตอยู่ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม ในฤดูสืบพันธุ์ของทุกปี จะเห็นฝูงปลา Goby จำนวนมากเกาะบนหน้าผาน้ำตกยึดตัวเองกลางสายน้ำแรงที่สาดซัดใส่ตัวตลอดเวลา พวกมันเริ่มปีนเขาจากแอ่งน้ำตกเบื้องล่าง ค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปข้างบนทีละนิ้ว ทีละคืบ โดยใช้ปาก ครีบ และหางช่วยไต่ ระยะทางจากธารข้างล่างถึงยอดผา เช่น ผาน้ำตกที่เกาะฮาวาย เทียบกับขนาดตัวของปลา Goby แล้ว ก็ประหนึ่งมนุษย์ไต่เขาเอเวอเรสต์!
ทุกปีปลาเหล่านี้เดินทางมาจากมหาสมุทรถึงปากน้ำ ในบางสายพันธุ์ ก่อนหน้าที่จะปีนเขา ร่างกายของปลาจะเปลี่ยนสภาพให้เหมาะกับการปีนป่าย มันจะเกาะบนก้อนหินนิ่ง ๆ นานราวสามสิบหกชั่วโมง ในช่วงนี้ตัวปลาจะเปลี่ยนแปลง ปากจะเลื่อนตำแหน่งจากหัวลงไปที่ลำตัว และปากขยายขนาดให้สามารถดูดและเกาะได้ดีขึ้น
แล้วมันก็เดินหน้า! เคลื่อนตัวโดยใช้ปากกับครีบยึดผาเหมือนตีนตุ๊กแก ครีบของมันมีลักษณะเป็นจานดูด วิวัฒนาการมาเพื่อทำหน้าที่เกาะและปีนเขา บางพันธุ์ก็ใช้หางช่วยดัน แม้จะปรับตัวให้ปีนป่ายได้ดีขึ้น กระนั้นนี่ก็เป็นการเดินทางที่อันตรายที่สุด ปลาจำนวนมากถูกน้ำซัดตกลงไปตาย แต่ที่เหลือก็ไต่ขึ้นไปไม่หยุดอย่างทรหด ปลาตัวแล้วตัวเล่าที่อ่อนแรงถูกสายน้ำตกซัดร่วงลงไป ที่ยังมีชีวิตก็ไต่เขาต่อไป ประมาณว่าปลาเก้าในสิบไปไม่ถึงจุดหมายบนยอดผา
ในที่สุดปลาที่เหลือก็ไต่ถึงยอดผา พวกมันเดินทางถึงจุดหมายแล้ว! เหนือผานั้นเป็นแอ่งน้ำใหญ่ น้ำใสนิ่ง ปลาเหล่านั้นหย่อนตัวลงไปในแอ่งว่ายไปมา ที่นี่มีอาหาร แต่ไม่มีศัตรู ที่นี่คือสวรรค์ของพวกมัน ที่นี่พวกมันจะวางไข่แพร่พันธุ์
อุปสรรคใหญ่หลวงนัก แต่รางวัลคือบ้านที่ปลอดภัย
หลังการวางไข่ ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วจะถูกสายน้ำพัดร่วงลงไปและไหลสู่มหาสมุทร เมื่อลูกปลาโตขึ้นก็หวนกลับมาที่แหล่งน้ำจืดใกล้บ้าน หลายปีหลัง เมื่อพร้อม พวกมันก็ไต่เขาสู่สวรรค์
...............................
ชีวิตคือการไต่เขา ภูผาของแต่ละคนสูงไม่เท่ากัน ชันไม่เท่ากัน บ้างเดินสบาย บ้างชันและขรุขระ บ้างมีสายน้ำแห่งอุปสรรคแรงสาดซัดตลอดทาง
เป้าหมายยิ่งอยู่สูง ก็ยิ่งกินแรงปีนป่ายขึ้นไปให้ถึง คนที่ตั้งเป้าหมายไว้สูงต้องไต่นานกว่าและเหนื่อยกว่าคนอื่น
บางคนถอดใจล้มเลิก แต่การหยุดอยู่กับที่ในหลายสถานการณ์ อาจมีอันตรายกว่าเดินหน้า เพราะหยุดคือตาย
และในเมื่อหยุดก็ตาย ทำไมไม่ลองปีนป่ายต่อไป? ลองกัดฟันลุยหน้าต่อไป ก็มีโอกาสเดินหน้าไปจนถึงแอ่งน้ำเบื้องบน
โลกเปลี่ยนไป การแข่งขันหนักหน่วงขึ้น เราอาจพบว่าเราต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เพราะต่อให้อยู่เฉย ๆ กระแสเชี่ยวกรากของความเปลี่ยนแปลงก็จะซัดเราตกลงไป
ในการปีนป่ายภูผาแห่งชีวิต ความสำเร็จถูกกำหนดด้วยความอึด ความอดทน การปรับตัว และหัวใจสู้เต็มร้อย บางครั้งบางช่วงการเดินทางอาจจะช้า ไปได้ทีละนิ้ว ทีละคืบ แต่หากไม่หยุด ก็มีโอกาสไปแตะสวรรค์
ชีวิตคือการเดินทางไกล แต่เนื่องจากเป็นระยะทางไกลและกินเวลานาน จึงเปิดโอกาสให้เราปรับตัว ปรับแต่งเครื่องมือและเพิ่มอุปกรณ์เสริมเพื่อให้เหมาะกับการเดินทาง คนที่ปรับตัวได้ดีคือคนที่มีโอกาสไปถึงจุดหมาย
อุปกรณ์เสริมของเราคือความรู้ ทักษะ การมองการณ์ไกล การคาดคะเน การวิเคราะห์ การเรียนรู้จากความผิดพลาดและไม่ซ้ำรอยมัน
โอกาสของแต่ละคนไม่เท่ากัน เด็กด้อยโอกาสจำนวนหลายร้อยล้านคนทั่วโลกไม่มีเครื่องมือพื้นฐานที่เรียกว่าการศึกษา ไม่มีเงิน แต่คนไม่น้อยก็มีความอุตสาหะดิ้นรนปีนเขาก้าวพ้นชีวิตยากจน จนถึงจุดหมาย
ที่น่าเศร้าก็คือ คนบางคนเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่เพียบพร้อม มีเครื่องมือที่เรียกว่าการศึกษา มีอุปกรณ์เสริมมากมาย แต่กลับไม่ยอมปีนป่าย จะรอคนแบกขึ้นไปอย่างเดียว อย่างนี้ก็ต้องอายปลาปีนเขา!
ปราชญ์โบราณว่า อยากได้ผลไม้ ก็ต้องปีนต้นไม้ หรือลงมือเด็ดเอง อยากประสบความสำเร็จ ก็ต้องลงแรง อยากก้าวพ้นความลำบาก ก็ต้องยอมลำบากก่อน
ไม่มีอะไรดี ๆ ที่ได้มาง่าย ๆ อย่าคาดหวังให้ใครแบกเราขึ้นเขา ปีนขึ้นสู่แอ่งน้ำแห่งสวรรค์ด้วยตนเองแน่นอนกว่า
วินทร์ เลียววาริณ
4 สิงหาคม 2568....................
จากหนังสือ ชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราว
31 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 6.1 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วเล่มเดี่ยว https://www.winbookclub.com/store/detail/137/ชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราว
โปรโมชั่นพิเศษชุด https://www.winbookclub.com/store/detail/235/R4%20%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%204
0 วันที่ผ่านมา -
ขอแจ้งข่าวให้ทราบว่า ผมตัดสินใจพิมพ์จริงนิยายชุด สี่ภพ (เป่ย หนาน ตง ซี)
หลังจากทำ pre-order มาสามวัน แม้ยอดจองยังไม่บรรลุเป้า แต่มีศักยภาพว่าจะไม่ขาดทุน
รอบก่อนเสี่ยงกว่านี้ ยอดสั่งจอง คดีเปลนม ไม่ถึง แต่ก็พิมพ์
ก็ขอเสี่ยงพิมพ์ สี่ภพ แล้วไปตายดาบหน้า
ดังนั้นท่านที่ไม่แน่ใจว่าจะพิมพ์จริงหรือไม่ ก็หายห่วงได้ พิมพ์จริงแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผมยังส่งอาร์ตเวิร์กเข้าโรงพิมพ์ไม่ได้ ต้องรอยอดบริจาคห้องสมุดก่อน
ดังนั้นจึงขอขีดเส้นตายสำหรับผู้ต้องการเข้าร่วมโครงการเติมหัวใจใส่ห้องสมุด เป็นวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2568
'เส้นตาย' หมายถึงโอนเงินเรียบร้อยนะครับ ถ้าโอนมาหลังจากนั้น จะนำไปใช้ในเล่มต่อไป อาจเป็นปีหน้า หรือไม่ก็คืนเงินให้
พอได้ยอดบริจาคชัดเจน ก็จะใส่ชื่อผู้บริจาคในหนังสือ ก่อนจะส่งโรงพิมพ์ได้ ทุกคนที่บริจาคจะได้รับใบตอบรับจากกระทรวงศึกษาธิการ หลังจากส่งหนังสือเข้าห้องสมุดแล้ว
วินทร์ เลียววาริณ
3 สิงหาคม 2568ป.ล. ช่วงนี้อาจต้องโฆษณาขายยาถี่หน่อย เพราะยังไม่อยากกินแกลบ โปรด see heart
คลิก https://www.winbookclub.com/store/detail/254/4%20%E0%B8%A0%E0%B8%9E
1 วันที่ผ่านมา -
ผมไม่ได้โพสต์เรื่องกรณีพิพาทไทย-กัมพูชามาหลายวัน ไม่ใช่เพราะยุ่งเกินไป
ตรงกันข้าม ได้คิด ได้เขียน ได้ทำภาพ 'เสียด-colour' และ 'dak-done' ไว้ แต่ตัดสินใจไม่โพสต์ดีกว่า หลายไอเดียแรงไป
กลัวอังเคิลส่งมือปืนมายิง
เวลาเห็นข่าวอะไรที่ทำให้หงุดหงิด เช่น ผู้มีอำนาจไม่ทำงาน หรือเจอพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ สมองจะคิดไอเดียด่าคนทันที
นิสัยไม่ดี อย่าเอาอย่างนะ
ตอนที่ทำก็รู้สึกดี แต่เมื่ออารมณ์หงุดหงิดตกตะกอน ก็มักจะล้มเลิกความคิดที่จะโพสต์
พระว่าถูกหมากัด ถ้าลงไปกัดกับมัน เราก็จะกลายเป็นหมาไปด้วย
ต้องหวดด้วยไม้เรียวแรงๆ
แต่มองซ้ายมองขวาก็ยังไม่เห็นไม้เรียว ไม่รู้ใครยืมไป
วินทร์ เลียววาริณ
3-8-251 วันที่ผ่านมา -
ราวสองสัปดาห์ก่อน ตอนที่เอา สี่ภพ ฉบับตัวอย่างให้ซือแป๋ น. นพรัตน์ ดู ซือแป๋อุทานว่า มันคุ้นตามาก เหมือนหนังสือยุคโบราณ
จึงตอบว่าตั้งใจจะสร้างงานแบบเรโทร แก่แล้ว ทำอะไรก็มักมีอาการโหยหาอดีต (nostalgia)
หนังสือกำลังภายในสมัยนั้นเป็นปกแข็ง ขนาดประมาณ 13.5 x 18.5 ซม. ก็เล็กกว่าหนังสือปกติของผมหน่อย (14.5 x 21 ซม.)
การจัดหน้าในสมัยนั้นใช้ตัวพิมพ์ตะกั่ว ตัวหนังสือมีอยู่ไม่กี่แบบ ช่องไฟใหญ่
จุดหนึ่งที่น่าสังเกตคือ ประโยคคำพูดมักขึ้นย่อหน้าใหม่เสมอ อาจเพราะการเรียงพิมพ์สมัยนั้นยังใช้ตัวตะกั่ว ย่อหน้าบ่อย ๆ ทำให้บรรทัดสั้นลง อาจเพราะการตัดบรรทัดทำถี่ ๆ เพื่อให้ได้จำนวนบรรทัดเยอะ และทำให้หนังสือหนา จะได้ขายได้ราคาขึ้น ถือเป็นเรื่องปกติในยุคนั้น (แม้ในยุคนี้ก็ยังทำกัน)
การจัดหน้าของหนังสือชุดนี้ใช้หนังสือในยุคนั้นเป็นต้นแบบ ขนาดหนังสือก็เท่ากัน (เล็กกว่าขนาดหนังสือปกติของผมหน่อย)
มันเป็นงานศิลปะการพิมพ์ที่เป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นเมื่อผมออกแบบปกและจัดหน้า ผมก็ใช้งาน ๕๐ ปีก่อนเป็นต้นแบบ เลขหน้า ชื่อเรื่อง ชื่อคนแปลอยู่ด้านบน ชื่อบทเป็นตัวหนา เริ่มบทตรงกลางหน้า
เอ้า! เรื่องเขียนดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่รู้แน่ๆ ว่าหน้าตามันเหมือนของเก่า
ขายดีไซน์ไว้ก่อน!
วินทร์ เลียววาริณ
3-8-25อ่านรายละเอียดงานชุดนี้ได้ที่ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1348523389969682&set=a.208269707328395
pre-order คลิก https://www.winbookclub.com/store/detail/254/4%20%E0%B8%A0%E0%B8%9E
1 วันที่ผ่านมา -
กระบวนการไปสู่การรู้แจ้งของเซนนั้นอาจแบ่งออกเป็นสามทางคือ เวิ่นต๋า (การถามตอบอย่างฉับพลัน), ซานเซน (ปริศนาธรรมโกอาน) และซาเซน (การนั่งสมาธิ)
เวิ่นต๋าเป็นการรู้แจ้งโดยผ่านการสนทนาถามตอบกัน (เวิ่นต๋า - 問答) แนวทางนี้ก็คล้ายการปฏิบัตินั่งสมาธิ แต่เป็นการถามตอบอย่างฉับพลันโดยไม่ต้องคิดนาน เพราะยิ่งคิดนานยิ่งปรุงแต่งมาก
การคิดแบบเวิ่นต๋าไม่ต้องปรุงแต่งเหตุผลใด ๆ เป็นการใช้ปริศนาธรรมในการบรรลุซาโตริเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น
ถาม : อะไรคือพุทธะ?
ตอบ : ป่านนี้หนักสามตำลึงถาม : ทำไมพระโพธิธรรมจึงมาจากตะวันตก?
ตอบ : ต้นสนในสวน
คำตอบแบบนี้มักทำให้ผู้ศึกษาเซนอึ้งใบ้รับประทาน และอาจต้องขบคิดนานเป็นปี ๆ กว่าจะเข้าใจ หากอ่านระหว่างบรรทัดให้ดีจะพบว่า บ่อยครั้งคำตอบของบางเรื่องเป็นการ 'เบรก' ความคิดของศิษย์ที่วิ่งไปผิดทิศ
พระสังฆปริณายกองค์ที่หกแห่งจีน ฮุ่ยเหนิง สั่งสอนเรื่องเวิ่นต๋าว่า "ถ้าใครคนหนึ่งถามเจ้าเรื่องการเป็นอยู่ (being) จงตอบด้วยเรื่องความไม่เป็นอยู่ ถ้าเขาถามเรื่องความไม่เป็นอยู่ จงตอบด้วยเรื่องความเป็นอยู่ ถ้าเขาถามเรื่องสามัญชน จงตอบด้วยเรื่องของปราชญ์ ถ้าเขาถามเรื่องปราชญ์ จงตอบด้วยเรื่องของสามัญชน ด้วยวิธีแห่งทวิลักษณ์นี้จะทำให้เข้าใจเรื่องทางสายกลาง ทุก ๆ คำถามที่ได้รับ จงตอบด้วยสิ่งตรงข้าม"
และนี่ก็เป็นหลักที่เซนใช้มาโดยตลอด นั่นคือตอบแบบไม่ตอบและบ่อยครั้งเข้าข่าย 'กวนตีน' ทว่ามีแต่คำตอบ 'กวนตีน' แบบนี้จึงสามารถ'กวนสมอง' ให้เข้าใจและมองทะลุ
สัปดาห์หน้า เราค่อยมาว่าถึงซานเซน (sanzen / 參禪)
วินทร์ เลียววาริณ
3-8-25
.............................
จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วมังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=6
1 วันที่ผ่านมา