-
วินทร์ เลียววาริณ6 เดือนที่ผ่านมา
ปีนี้นายกฯไทยไปพบผู้นำจีน ครบ 50 ปีพอดีที่นายกฯไทยอีกท่านหนึ่งไปพบผู้นำจีน
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช พบเหมาเจ๋อตง
ไปทำไม? ก็เพราะการเมืองโลกเปลี่ยนไป
ในปี พ.ศ. 2518 กองทัพเวียดนามเหนือบุกเข้ากรุงไซ่ง่อนในวันที่ 30 เมษายน ภัยคอมมิวนิสต์ประชิดไทยขนาดลมหายใจรดต้นคอ
ประเทศไทยต้องตามเกมให้ทัน มิฉะนั้นทฤษฎีโดมิโนอาจจะเกิดขึ้นจริง อินโดจีนและแหลมทองอาจกลายเป็นพื้นที่สีแดงทั้งหมด
เวลานั้นผู้นำไทยเป็นพลเรือน ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช พล.ต. ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช มีภาพลักษณ์ต่อต้านคอมมิวนิสต์มาตลอด แต่เมื่อคำนึงถึงผลประโยชน์และเอกราชของบ้านเมือง ก็ยอมเปลี่ยนเกม ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของเกมการเมืองโลก
กลยุทธ์ใหม่ของไทยคือปรับความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
ความคิดนี้ถูกต่อต้านจากฝ่ายทหารหลายคน แต่รัฐบาลเห็นว่า การเป็นมิตรกับสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นจะส่งผลดีต่อไทยในภาพรวมมากกว่า โดยเฉพาะด้านความมั่นคง เพราะไทยอยู่ในตำแหน่งอันตรายยิ่งยวด จีนสนับสนุนเวียดนามทำสงครามกับสหรัฐฯ จึงสามารถ ‘ปราม’ เวียดนามหากคิดรุกรานไทย
นอกจากนี้จีนที่เป็นผู้สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย อาจลดการสนับสนุนลง ทำให้การปราบปรามง่ายขึ้น
รัฐบาลไทยตั้งคณะทำงานเจรจาเปิดความสัมพันธ์กับจีน นำโดยนายอานันท์ ปันยารชุน เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน และผู้แทนถาวรประจำองค์การสหประชาชาติ ทีมงานประกอบด้วย เตช บุนนาค ชวาล ชวณิชย์ จากกรมการเมือง สุจินดา ยงสุนทร จากกรมสนธิสัญญา
รัฐบาลไทยส่งนักการทูตไทยไปติดต่อ ‘หลังบ้าน’ กับทางรัฐบาลจีนเพื่อขอสถาปนาความสัมพันธ์
ในวันที่ 17 มิถุนายน 2518 อานันท์ ปันยารชุน และคณะไปเจรจากับฝ่ายจีน การเจรจาเกิดขึ้นในบรรยากาศที่เป็นมิตร และตกลงกันได้
จุดที่ทำให้การเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่นคือ ‘ความเป็นพี่น้อง’ ของจีนกับไทย และไทยยอมรับหลักการ One China นั่นคือมีจีนประเทศเดียว
ผลที่ตามมาคือนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลของจีนเชิญนายกรัฐมนตรีไทย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการ
ในวันที่ 30 มิถุนายน 2518 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็เดินทางไปเมืองจีน พร้อม พล.ต. ชาติชาย ชุณหะวัณ และคณะ
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์พูดทีเล่นทีจริงก่อนออกเดินทางไปเมืองจีนว่า “จะไปหาญาติผู้พี่มาคุ้มครองเรา”
ประโยคนี้พูดได้เต็มปาก เพราะในความเป็นจริง จีนกับไทยใกล้ชิดกันมานานมาก
และบางคนอาจไม่รู้ว่า ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนักเขียน ภาษาสำนวนท่านสุดยอด
........................
ในการไปลงนามครั้งประวัติศาสตร์นี้ มีสื่อมวลชนไปทำข่าวนับพันคน ค่ายสยามรัฐของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ส่งนักหนังสือพิมพ์มือดี สละ ลิขิตกุล ไปทำข่าวนี้และได้บันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ไว้ สละเล่าว่าทางการจีนต้อนรับคณะผู้นำไทยอย่างอบอุ่น ดีกว่าชาติอื่น ๆ
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช กล่าวกับคนรอบตัวว่า รู้สึกตื่นเต้นและประหม่าเมื่อคิดว่าตัวเองจะต้องไปพบกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งคอมมิวนิสต์ของโลก “รู้สึกปอด ๆ อยู่เหมือนกัน”
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เข้าพบโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีจีนซึ่งอยู่ระหว่างการพักรักษาตัว โจวเอินไหล ต้อนรับฝ่ายไทยอย่างดี ทั้งสองลงนามในหนังสือสัญญาพันธไมตรีระหว่างไทยกับจีน เป็นสัญญาประวัติศาสตร์
โจวเอินไหลในเวลานั้นป่วยค่อนข้างหนัก การลงนามสัญญากระทำในพระที่นั่งแห่งหนึ่งในพระราชวัง เจ้าหน้าที่ต้องขนย้ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปที่นั่น เพื่อดูแลผู้ป่วยคนเดียวคือ โจวเอินไหล
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์เล่าว่า ขณะลงนาม มือท่านโจวเอินไหลก็สั่นตลอดเวลากินเวลาร่วมครึ่งชั่วโมงจึงลงนามเสร็จ
เสร็จจากลงนามแล้ว ก็เปิดแชมเปญดื่มตามธรรมเนียมการทูต ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ชนแก้วกับโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีจีนกระซิบว่า “ผมดื่มเหล้าไม่ได้ หมอห้ามไว้ ที่ผมดื่มเป็นน้ำชา”
โจวเอินไหลกล่าวกับ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า “ในหลายศตวรรษที่ผ่านมา ประเทศของเราทั้งสองมีการไปมา หาสู่กัน อยู่ใกล้ชิดกัน จะติดต่อทางทะเลก็สะดวกมาก ดังนั้นพูดไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับเป็นญาติกัน”
โจวเอินไหลพบผู้นำไทยเป็นชาติสุดท้าย ไม่นานหลังจากนั้นก็ถึงแก่อสัญกรรม
นายกรัฐมนตรีไทยพักที่กรุงปักกิ่งหลายวัน แต่ไม่มีกำหนดว่าจะได้เข้าพบประธานเหมาเจ๋อตุงแต่อย่างใด
..................................
วันที่ 2 กรกฎาคม เติ้งเสี่ยวผิงนำ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์และคณะไปเยี่ยมเยียนชนเผ่าต่าง ๆ ในประเทศจีน บางกลุ่มพูดภาษาไทยเหนือและอีสานได้ ระหว่างที่กำลังสนทนากับชาวพื้นเมือง รถยนต์คันหนึ่งก็แล่นมาเทียบ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตรงไปรายงานต่อเติ้งเสี่ยวผิง
รองนายกรัฐมนตรีจีนหันไปบอกนายกฯไทยว่า “ท่านประธานเหมาให้คุณเข้าพบวันนี้ก่อนเที่ยง”
เท่านั้นเองผู้นำไทยก็ต้องยุติการเยือนชนเผ่า หลบออกมาไม่ให้ใครรู้โดยเฉพาะผู้สื่อข่าว รีบกลับไปที่โรงแรม เปลี่ยนชุดทันที
นักหนังสือพิมพ์สยามรัฐ สละ ลิขิตกุล เห็นเข้า ถาม ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ว่าจะรีบไปไหน ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ตอบยิ้ม ๆ ว่า “ฮ่องเต้มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าแล้ว”
คณะบุคคลที่เข้าพบประธานเหมาเจ๋อตุงประกอบด้วย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี พล.ต. ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายอานันท์ ปันยารชุน ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายประกายเพ็ชร์ อินทุโสภณ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพียงสี่คน
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ไปพบประธานเหมาในสถานที่ที่เรียกกันว่าหอสมุด หลังคากลมสูงคล้ายโดม
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์หันไปถาม พล.ต. ชาติชายที่เดินตามมาว่า “จะเอายังไง จะสู้หรือจะถอย”
พล.ต. ชาติชายบอกว่า “ไม่ได้ ถอยไม่ได้ ต้องใจกล้าไว้ครับท่านนายกฯ เรามาถึงอย่างนี้แล้ว เอาเลย”
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ก็เดินเข้าไปหาชายผู้นั้น ก็คือผู้นำแผ่นดินจีน
ประธานเหมาเจ๋อตุงจับมือ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ตามคำบรรยายของ สละ ลิขิตกุล ว่า ‘ร้องเสียงดังโฮก ๆ’ จับมือ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์เขย่าแล้วเขย่าอีก หลังจากนั้นก็จับมือ พล.ต. ชาติชาย เขย่า ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศว่า “ท่านเคยมาเมืองจีนแล้วไม่ใช่หรือ”
พล.ต. ชาติชายตอบว่า “เคยมาแล้ว”
เหมาเจ๋อตุงว่า “คงจะชอบเมืองจีนละซี จึงมาอีก”
“ชอบมากครับ”
หลังจากนั้น ท่านเหมาไปจับมือกับ อานันท์ ปันยารชุน และ ประกายเพ็ชร์ อินทุโสภณ แล้วสองคนหลังก็ถูกพาออกไป เหลือเพียง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์กับ พล.ต. ชาติชายสองคน ท่านเหมาเชิญแขกไปนั่งที่เก้าอี้ที่จัดไว้ ส่วน เติ้งเสี่ยวผิงยืนอยู่ใกล้ ๆ
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เล่าภายหลังว่า “ท่านประธานเหมานั่งเต็มเก้าอี้แบบคนใหญ่คนโต ไอ้ผมมันเด็ก ก็ต้องนั่งขอบเก้าอี้ แล้วก็ประสานมือแบบเคารพ หรือจะว่าแบบเล่าปี่ไปหาขงเบ้งนั่นแหละ”
ไม่เหมือนผู้นำชาติอื่น ๆ ที่ ‘ใหญ่มา’ นั่งเต็มเก้าอี้ และไขว่ห้างคุยกับท่านประธาน ทำให้ท่านเหมาดูจะพอใจมากทีเดียว
ท่านเหมาบอกว่า “ที่ท่านนายกฯให้สัมภาษณ์ที่ฮ่องกงถูกต้องแล้ว”
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ฮ่องกง หนึ่งวันก่อนเข้าประเทศจีน วันนั้นนักหนังสือพิมพ์ฮ่องกงถาม ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ว่า “ประเทศไทยไม่ใช่คอมมิวนิสต์ และมีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์มาก ทำไมจึงไปผูกสัมพันธไมตรีกับประเทศจีนคอมมิวนิสต์”
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ตอบว่า “เรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นน่ะเป็นเรื่องของพรรคการเมือง แต่การไปผูกไมตรีกับจีนเป็นเรื่องของประชาชนชาวจีนกับประชาชนชาวไทย ไม่มีลัทธิ”
ประธานเหมาชมว่านายกฯไทยพูดได้ดี
“ท่านนายกฯมาหาคอมมิวนิสต์อย่างข้าพเจ้า ไม่รู้สึกกลัวหรือ?”
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ตอบว่า “ข้าพเจ้ามิได้มาหาคอมมิวนิสต์ แต่มาหาเพื่อน”
บอกว่า คนไทยมาเชื่อมสัมพันธ์กับประเทศจีนครั้งนี้เพราะเราเป็นมิตรกันมาช้านาน แต่สัมพันธภาพสะดุดลง จึงขอมาเริ่มต้นใหม่
ท่านร้อง “ห่าว ๆ” (ดี)
ปีนั้นท่านเหมาเจ๋อตุงอายุ 82 ส่วน ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช อายุ 64
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์บอกว่า “ท่านประธานยังแข็งแรงอยู่นะ”
ท่านเหมาตอบว่า “ไม่จริงหรอก แก่เต็มทีแล้ว เวลานี้ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่รับราชการกินเงินเดือนเขา” และบอกอีกว่า “อีกหน่อยก็ตายแล้วละ คนแก่ขนาดนี้ จะอยู่ได้สักแค่ไหน”
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์สัพยอกว่า “ท่านประธานตายไม่ได้นะ เพราะโลกไม่สามารถที่จะสูญเสียผู้ร้ายนัมเบอร์วันของโลกได้”
ท่านเหมาเจ๋อตุงหัวเราะชอบใจ เพราะวลี ‘ผู้ร้ายนัมเบอร์วัน’ นั้น ท่านเหมาเป็นคนพูดเองมาก่อน นายกรัฐมนตรีไทยผู้เป็นนักเขียนที่เชี่ยวชาญการใช้คำ ก็นำมาใช้เป็นมุข
ในประเด็นคอมมิวนิสต์นั้น ท่านประธานเหมาบอก ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ว่า “อย่าไปกลัวมัน” และบอกว่า “อย่าไปรบกับมันพวกคอมมิวนิสต์ เพราะถ้ามันตายกันมาก ๆ มันก็ยิ่งมาตายกันอีกไม่รู้จักหมด เพราะมันอยากดัง”
เหมาเจ๋อตุงบอกว่า การขจัดคอมมิวนิสต์ง่ายนิดเดียว คือทำให้ชาวบ้านชาวเมืองมีกินมีใช้
“อย่าไปกลัวเลยคอมมิวนิสต์ มีไม่กี่คนหรอก ดูซิ ผมเป็นประธานคอมมิวนิสต์มาตั้งกี่สิบปี ยังไม่เคยเห็นคอมมิวนิสต์ไทยมาแสดงความเคารพสักคน”
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ว่า “งั้นผมจะส่งสักสี่คนมาให้พรุ่งนี้เลย”
ท่านเหมาหัวเราะว่า “คงไม่มีเวลาต้อนรับเขา!”
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์คุยกับ ‘ผู้ร้ายนัมเบอร์วัน’ เหมือนญาติคุยกัน จนเกือบครบชั่วโมง หลังจากนั้นก็มอบของขวัญให้ท่านประธาน แล้วร่ำลากัน
หลังจากที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช พบท่านประธานเหมาเจ๋อตุงไม่นาน ผู้นำจีนก็ถึงแก่อสัญกรรม แปดเดือนหลังจากโจวเอินไหลจากโลกไป
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์เล่าว่า ภาพที่เห็นแตกต่าง ตอนอยู่ในเมืองไทย ได้ยินชื่อคอมมิวนิสต์ระดับสูง ก็รู้สึกเกรงกลัว แต่ละคนเหมือนเสือเหมือนช้าง แต่พอไปพบตัวจริง ก็เป็นคนธรรมดา คุยกันได้
การที่รัฐบาลไทยดำเนินการทางการทูตแบบหักมุม เข้าหาจีนสำเร็จลุล่วง เป็นหมากที่ได้ผล เป็นนโยบาย ‘พลิกเกม’ ที่ทำให้ประเทศไทยต้านคอมมิวนิสต์ทั้งภายในและภายนอกประเทศได้
coexist
แตกต่าง แต่อยู่ร่วมกันได้
...................................
ย่อความจาก ประวัติศาสตร์ที่เราลืม / วินทร์ เลียววาริณ
ตอนนี้มีโปรโมชั่นพิเศษ คุ้มที่สุด 6 เล่ม 1,000 บาท จากราคาปก 1,605.-
118 เรื่อง = เรื่องละ 8.4 บาทหนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
สั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6
0- แชร์
- 129
-
เชื่อว่าผู้อ่านที่มีอายุเกิน 40 น่าจะทันเกม "He loves me, he loves me not" (บางทีเรียก "She loves me, she loves me not")
ต้นตำรับภาษาฝรั่งเศสคือ effeuiller la marguerite
เป็นเกมที่เราเด็ดกลีบดอกไม้ออกทีละกลีบ เด็ดแต่ละกลีบจะเอ่ยว่า "รัก" / "ไม่รัก" สลับกันไป
กลีบสุดท้ายคือคำไหน ก็คือคำตอบ
น่าจะมีนัยของความลังเลว่ารักใครคนนั้น หรือใครคนนั้นรักเราหรือเปล่า
การเมืองวันนี้ก็เล่นเกมนี้ นั่นคือ "ยุบ" / "ไม่ยุบ"
กลีบสุดท้ายจะออกเป็นอะไร จนปัญญารู้
รู้แต่ว่ามันไม่ใช่ดอกกุหลาบแน่ น่าจะเป็นดอก xxx มากกว่า
ว.ล.
3-9-251 วันที่ผ่านมา -
อาจารย์ชราเดินกระย่องกระแย่งด้วยไม้เท้าไปหยุดที่หน้าชั้น นั่งลง เอ่ยกับนักศึกษาทั้งหมดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าแต่เปี่ยมรอยยิ้มว่า "เพื่อนเอ๋ย ฉันเดาว่าพวกคุณทั้งหมดมาที่นี่เพื่อเรียนวิชาจิตวิทยาสังคม ฉันสอนวิชานี้มายี่สิบปีแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันพูดได้ว่า มีความเสี่ยงที่จะลงทะเบียนเรียนวิชานี้ เพราะฉันมีโรคร้ายแรงอย่างหนึ่ง ฉันอาจจะมีชีวิตอยู่ไม่จบเทอม"
มอร์รี ชวาร์ทซ์ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแบรนดิส แห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ วัยเจ็ดสิบกว่า เขาสอนหนังสือมาสามสิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยขาดงานเลย แต่นี่อาจเป็นการสอนหนังสือเทอมสุดท้ายของเขา
เขากำลังจะตายด้วยโรค Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) ร่างกายของเขาสูญเสียการควบคุมตัวทีละน้อย ทีละส่วน
มอร์รีสอนหนังสือให้เหล่านักศึกษาสายพันธุ์บุปผาชน ลูกศิษย์หลายคนของมอร์รีเป็นพวกหัวก้าวหน้า ยุคซิกซ์ตี้เป็นห้วงเวลาของการ 'ปฏิวัติวัฒนธรรม' มหาวิทยาลัยที่เขาสอนมีนโยบายต่อต้านสงครามอย่างที่สุด เมื่อรู้ว่านักศึกษาที่เกรดต่ำจะต้องถูกเกณฑ์เป็นทหารไปรบในเวียดนาม เหล่าอาจารย์ก็ไม่ให้เกรด ครั้นฝ่ายบริหารบอกว่า หากไม่ให้เกรด นักศึกษาเหล่านั้นจะสอบตกหมด และต้องไปรบ มอร์รีก็เสนอว่า "งั้นเราก็ให้เกรด เอ. พวกเขาหมดก็แล้วกัน"
สิ่งที่มอร์รีสอนไม่ใช่การเล็กเชอร์ แต่เป็นการสนทนากัน พวกเขาคุยเรื่องประสบการณ์มากกว่าทฤษฎี ภาพของมอร์รีที่ไปร่วมประท้วงกับเหล่านักศึกษาที่วอชิงตันเป็นภาพที่ชาวมหาวิทยาลัยชินตา
มอร์รีสอนการใช้ชีวิตให้เต็มที่ โลกไม่ได้มีแต่ห้องเรียนหรือเงินตรา โลกยังมีสิ่งที่เรียกว่าความรัก ความงดงามของครอบครัว ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูก และความกล้าหาญในการดำเนินชีวิตต่อไปกลางอุปสรรคที่โหดร้ายที่สุด
ความกล้าหาญนี่เองที่ทำให้เขารับมือกับโรคร้ายด้วยรอยยิ้ม
แน่ละ ไม่ทุกวันที่เขายิ้มได้ แต่การมองโลกในแง่ดีก็ทำให้เขาเดินหน้าต่อไป
มอร์รีบอกว่า "มีบางเช้าที่ฉันร้องไห้และร้องไห้ และเศร้ากับตัวเอง บางเช้าฉันโกรธและขมขื่นมาก แต่มันก็ไม่คงอยู่นาน แล้วฉันก็ลุกขึ้นแล้วบอกว่า ฉันต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป"
เพราะบางครั้งความกล้าหาญที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปยิ่งใหญ่กว่าความกล้าที่จะตาย
มอร์รีชอบเต้นรำ แม้ว่าหลายคนจะบอกว่ามันไม่ใช่การเต้นรำก็ตาม เขาเต้นไม่เป็นท่า แต่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและมีชีวิตชีวา แต่เมื่อถึงจุดที่เขาไม่สามารถบังคับร่างกายของเขา มอร์รีก็ต้องยุติการเคลื่อนไหวเช่นนั้นตลอดกาล แต่หัวใจของเขาไม่เคยหยุดเต้นรำ
เขาเดินยากลำบากขึ้นทุกที จนในที่สุดก็เดินไม่ได้โดยสิ้นเชิง เขานั่งบนรถเข็น มีคนอุ้มเขาขึ้นจากรถเข็นไปนอนบนเตียง และจากเตียงกลับไปที่รถเข็น เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย
มอร์รีบอกกับศิษย์ที่มาเยี่ยมเขาว่า "...วัฒนธรรมที่เรามีไม่ได้สอนให้ผู้คนรู้สึกดีกับตัวเราเอง เรากำลังสอนสิ่งที่ผิด และคุณต้องแข็งแกร่งพอที่จะบอก ถ้าวัฒนธรรมนั้นไม่ดี อย่าซื้อมัน สร้างวัฒนธรรมของคุณขึ้นมาเอง คนส่วนมากไม่สามารถทำอย่างนั้น พวกเขาไม่มีความสุขยิ่งกว่าฉันเสียอีก แม้ในสถานการณ์ที่ฉันกำลังประสบอยู่"
มอร์รีบอกว่า สิ่งหนึ่งที่เขาเรียนรู้หลังจากเป็นโรคนี้ คือ สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือการเรียนรู้ที่จะมอบความรัก และยอมให้มันเข้ามาหาเรา
ความรักเป็นเรื่องสวยงาม ครอบครัวเป็นสิ่งสวยงาม เพื่อนแท้เป็นสิ่งสวยงาม
อาการของเขาทรุดลงเรื่อย ๆ ในช่วงท้ายเขาจำต้องให้ผู้อื่นเช็ดก้นให้ แต่เขากลับมองมันเป็นประสบการณ์ที่น่าลอง "เหมือนกลับไปเป็นทารกอีกครั้ง" เขาเอ่ยยิ้ม ๆ
มอร์รีเป็นครูจนวันสุดท้ายของชีวิต เขาสอนให้คนรู้จักการใช้ชีวิต สิ่งที่มอร์รีสอนอาจไม่ใช่เครื่องมือสร้างความร่ำรวยตามกระแสนิยม แต่ขณะที่นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่เคยกลับไปเยี่ยมอาจารย์เก่า ลูกศิษย์ของมอร์รีกลับไปเยี่ยมเยียนเขาเสมอ
มอร์รีตายในเช้าวันเสาร์แห่งเดือนพฤศจิกายน ยามที่ใบไม้หลุดจากขั้วรับลมหนาวแรก จากไปเงียบ ๆ คนเดียว ในห้วงยามสั้น ๆ ที่ไม่มีใครเฝ้าดูเขา หัวใจที่ชอบเต้นรำของเขาหยุดเต้นในที่สุด
เมื่อถึงเวลาตาย เราล้วนตายด้วยตัวเราเอง
เมื่อเข้าใจอุปสรรค เมื่อไม่กลัวความเปลี่ยนแปลง ความตายก็เป็นเพียงการหลับธรรมดาอีกครั้งหนึ่งของชีวิต
หมายเหตุ : รายละเอียดชีวิตช่วงสุดท้ายของมอร์รีอยู่ในหนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie โดย Mitch Albom
ในรูปคือ มอร์รี กับลูกศิษย์ มิตช์ แอลบอม วันที่ 3 ตุลาคม 1995
วินทร์ เลียววาริณ
4-9-25จากเรื่อง ความฝันโง่ ๆ
1 วันที่ผ่านมา -
เพื่อสุขภาพที่ดี ควรเดินให้ได้หมื่นก้าวต่อวัน
1 วันที่ผ่านมา -
เมื่อผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในต่างจังหวัด ก็เข้ามาเรียนต่อที่เมืองหลวง การสอบเข้าเรียนชั้น ม.ศ. 4 ในกรุงเทพฯสมัยนั้นทำพร้อมกันทีเดียว หมายถึงต้องแข่งกับนักเรียนหลายหมื่นคนจากทั่วประเทศ ในวันสอบก่อนเข้าห้องสอบ เพื่อนคนหนึ่งถามโจทย์ผมหลายข้อ ผมตอบไม่ได้เลย จึงเอะใจว่าตัวเองเตรียมตัวมาสู้คนอื่นไม่ได้ โจทย์หลายข้อไม่เคยผ่านตาผมมาก่อน ผมเชื่อว่าเพื่อนคงไปกวดวิชามาอย่างเข้มข้น จึงไม่แปลกที่ผมสอบเข้าโรงเรียนที่ต้องการไม่ได้
เมื่อสี่สิบปีก่อน กรุงเทพฯมีโรงเรียนกวดวิชาหลายแห่ง ใครอยากสอบได้ ก็ต้องกวดวิชา “เพื่อให้ชัวร์” เด็กเมืองหลวงเข้าถึงแหล่งวิชาความรู้มากกว่าและพร้อมกว่า เด็กจากต่างจังหวัดกับเด็กกรุงเทพฯเหมือนมวยคนละชั้น
แต่การสอบไม่ติดโรงเรียนที่ตั้งเป้าไว้กลับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต เพราะมันทำให้ผมต้องเตรียมพร้อมในการศึกครั้งต่อมา คือการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย คราวนี้ผมเตรียมสอบล่วงหน้าอย่างหนักหน่วงนานถึงหนึ่งปีเต็ม ก็เข้าคณะที่ต้องการได้
ครั้นได้เรียนคณะที่ต้องการแล้ว ก็โล่งอกนึกว่าสบายแล้ว จึงใช้เวลาอ่านนิยายตามนิสัยเดิม ผลก็คือเทอมแรกผมได้รับเกรด F เป็นตัวแรกในชีวิต โดยสอบตกวิชาคำนวณ เกรด F ที่ได้รับมานี้ฉุดคะแนนรวมลงทันที กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ก็ใช้เวลาอีกหลายเทอม
ทว่าการสอบตกตั้งแต่เทอมแรกกลับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในชีวิต มันเตือนสติผมว่า ระวัง! อย่าเรียนเล่น ๆ อาจถูกรีไทร์ได้ ตั้งแต่นั้นผมก็เปลี่ยนเป็นเรียนอย่างตั้งใจ และจบไปด้วยคะแนนน่าพอใจ ที่สำคัญคือไม่ประมาทไปตลอดชีวิต
แน่นอน การสอบคัดเลือกไม่ได้ การได้รับเกรด F เป็นเรื่องน่าตกใจ น่าหดหู่ แต่เมื่อใช้มันให้เป็นบทเรียนและไฟกระตุ้น มันก็กลายเป็นของมีค่าใหญ่หลวง
ความผิดพลาดพ่ายแพ้จึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป หากรู้จักใช้มันให้เป็น
ในโลกของชีวิตการทำงาน ‘การสอบตก’ มักอยู่ในรูปของการถูกไล่ออก มันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง เจ้านายส่วนใหญ่อาจให้เหตุผลของการไล่ออกที่ไม่ตรงกับความจริงเพื่อรักษาน้ำใจของลูกน้อง เช่น บริษัทมีผลประกอบการไม่ดี, เศรษฐกิจแย่ ฯลฯ แต่ต่อให้มันเป็นเหตุผลจริง คนที่ถูกไล่ออกก็มักถามว่า “แล้วทำไมต้องเป็นเรา?”, “เราแย่ขนาดนั้นเลยหรือ?”
การถูกไล่ออกเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวด เป็นการหักความมั่นใจในตนเองด้วยเข่า แต่ก็เหมือนฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า พายุพัด เราควบคุมมันไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้
หากตั้งหลักโดยใช้สติ ใช้สมองครุ่นคิดโฟกัสที่ปัญหาจริง ก็อาจเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส และมันก็อาจกลายเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต
คนจำนวนไม่น้อยถูกไล่ออกจากงาน แล้วไปเรียนต่อ ไปสานฝันที่ค้างไว้ ทำนองว่าไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกแล้ว มันเปลี่ยนพวกเขา บังคับให้พวกเขาต้องคิดและใช้ศักยภาพให้ถึงขีดสุด
สิ่งแรกคือยอมรับความจริง สิ่งที่สองคือหาจุดผิดพลาด สิ่งที่สามคือแก้ไขหรือปรับปรุงตัวเอง หากทำอย่างนี้ได้ ความผิดพลาดนั้นก็ไม่ถือว่าเป็น ‘ความผิดพลาด’ (ลบ) แต่ถูกยกระดับเป็น ‘บทเรียน’ (บวก)
การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดจึงอาจมีค่ามากกว่าการไม่เคยพ่ายแพ้เลย
วินทร์ เลียววาริณ
3-9-25จากหนังสือ ยาเม็ดสีแดง
190 บาท 34 บทความ บทความละ 5.5 บาท
https://www.winbookclub.com/store/detail/116/ยาเม็ดสีแดงชุดกำลังใจครึ่งโหล 6 เล่ม 800.- (ลดจาก 1,255.-)
https://www.winbookclub.com/store/detail/217/S6%20ชุดกำลังใจครึ่งโหล1 วันที่ผ่านมา -
ในโลกการเมือง คำว่า kingmaker หมายถึงคนหรือกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลสร้างผู้นำคนใหม่ บริบทของคำนี้กินความกว้างกว่าการเมือง ใช้ในด้านศาสนา การทหาร การเงินได้ด้วยเช่นกัน
วันนี้ร้านพับผ่าเป็นที่ชุมนุมของ kingmaker หลายคน ข้าพเจ้าได้ยินแว่วๆ ว่าพวกเขากำลังเลือกผู้นำคนใหม่
ข้าพเจ้าถามพวกเขา "ดื่มอะไรดีครับ?"
"อะไรก็ได้ เรามีเรื่องยุ่ง ต้องเลือกผู้นำคนใหม่ ความจริงเราแค่อยากใช้สถานที่ มากกว่าจะดื่มเหล้า เพราะที่นี่เงียบดี"
"ทว่าไหนๆ ก็มาถึงศูนย์กลางสุราแล้ว ไยมิร่ำดื่มสักจอกสองจอกเล่า"
"งั้นจัดมาเลย"
ข้าพเจ้าเห็นความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาหลายสิบปีแล้ว ในประเทศนี้คนที่มีอำนาจไม่กี่คนกำหนดชะตากรรมของคนทั้งประเทศ คนเหล่านี้ชี้นิ้วให้ใครเป็นผู้นำก็ได้
ข้าพเจ้าชงค็อคเทลแก้วแรกชื่อ The King Maker สูตรดั้งเดิมทำด้วย Aperol ผสมเหล้า Vermouth ผสม Amaretto ผสม walnut bitters
ข้าพเจ้ายกเหล้าไปให้พวกเขา ได้ยินคนในกลุ่มคุยกัน
"ผมว่าจะให้อนุทินเป็นนะ เขาเป็นคนสุภาพ รอบคอบ เหมาะเป็นผู้นำ"
"แต่ผมว่าชัยเกษมเหมาะกว่า เพราะอายุมาก มีประสบการณ์ เราต้องการคนที่ช่ำชองงาน"
"ผมว่าให้ภูมิธรรมดีกว่า มีเรื่องฮาทุกวัน"
พวกเขาดื่มเหล้าจนหมด ใครคนหนึ่งว่า "อร่อยมาก ขออีกแก้วนะ"
ข้าพเจ้ารับคำ แล้วไปชงค็อคเทลแก้วที่สอง Backstabber
แปลว่าแทงข้างหลัง
ค็อคเทลแทงข้างหลังทำด้วย Dry Gin ผสมน้ำมะนาว ผสมไซรัปขิง ผสม Angostura Aromatic Bitters และไข่ขาว
ข้าพเจ้ารู้ว่าคำสัญญาในโลกการเมืองไม่มีจริง มันเป็นเรื่องผลตอบแทน และผลตอบแทนเปลี่ยนไปได้นาทีต่อนาที
ข้าพเจ้ายกเหล้าไปให้พวก kingmaker
ได้ยินพวกเขาว่า "สรุปก็คือเราไม่เอาอนุทิน ไม่เอาชัยเกษม ไม่เอาภูมิธรรม เราจะเอาคุณใจกล้า"
ข้าพเจ้างงไปวูบ ตั้งแต่ติดตามการเมืองในรอบปีที่ผ่านมา ไม่เคยได้ยินชื่อคุณใจกล้าเลย นึกไม่ออกว่าเขาสังกัดพรรคไหน
ข้าพเจ้าถาม "ขอโทษ พวกคุณกำลังเลือกนายกฯคนใหม่ของประเทศไทยใช่หรือไม่?"
"ใช่และไม่ใช่ เลือกนายกฯคนใหม่น่ะใช่ แต่ไม่ใช่ประเทศไทย เรากำลังเลือกนายกฯสมาคมพ่อบ้านใจกล้า ปรากฏว่าลงตัวที่คุณใจกล้า เขาเป็นสามีชั้นยอด ไม่เคยซักผ้าสักวัน ไม่เคยรีดผ้า ไม่เคยถูบ้าน เขาชี้นิ้วสั่งเมียได้ทุกงาน เขาจึงสมควรขึ้นเป็นนายกฯสมาคมพ่อบ้านใจกล้าแห่งประเทศไทย คุณบาร์เทนเดอร์ว่าเหมาะสมมั้ย?"
"เหมาะสมครับ"
ข้าพเจ้าระบายลมหายใจออกมาแล้วยิ้ม เป็นครั้งเดียวของประเทศนี้ที่เลือกผู้นำได้ถูกคน
วินทร์ เลียววาริณ
2-9-25..................
หมายเหตุ เหล้าทั้งหมดนี้มีจริง
พับผ่า! บาร์เทนเดอร์ (The Bartender Series 1) มีจำหน่ายแล้วในรูปอีบุ๊ค สนใจดูได้ในเว็บ winbookclub.com หรือ The Meb
2 วันที่ผ่านมา