-
วินทร์ เลียววาริณ3 เดือนที่ผ่านมา
ผมดูหนังของฉีเคอะตั้งแต่เรื่องแรกของเขา ที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งที่สิงคโปร์ คือเรื่อง The Butterfly Murders (蝶變) หนังแปลกแหวกแนวฉีกจากงานกำลังภายในทั่วไป ผมชอบจากนั้นก็ดูมาเรื่อยๆ เมื่อมีโอกาส ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ยอมรับว่าเขามีลูกบ้าพอตัว
ฉีเคอะจับหนังกำลังภายในงานของกิมย้งครั้งแรกเรื่อง กระบี่เย้ยยุทธจักร ชื่อหนังที่เรารู้จักกันดีคือ เดชคัมภีร์เทวดา
ฉีเคอะกล้าหาญและแหกคอกที่เอาตังฮึงปุกป่าย (มิชายมิหญิง) มาเป็นตัวเอก และให้นักแสดงหญิงหลินชิงเสียมารับบท ถือว่าแหวกแนวมาก
หนังประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่กิมย้งเกลียดมัน
กิมย้งรับไม่ได้ที่ฉีเคอะเอางานของเขาไป 'ตีความ' (สุภาพกว่าคำว่า 'ปู้ยี่ปู้ยำ') แบบนี้ และไม่อนุญาตให้ฉีเคอะเอาหนังสือของเขาไป 'ตีความ' อีก
ตอนนี้กิมย้งจากโลกไปแล้ว ก็ถึงคิว 'ตีความ' มังกรหยก
มังกรหยก เป็นนวนิยายเรื่องที่สามของกิมย้ง เป็นจุดเปลี่ยนแปลงของวรรณกรรม กิมย้งร่วมกับเนี่ยอู้เซ็งสร้างตระกูลวรรณกรรม (genre) ใหม่ สร้างยุทธภพแบบใหม่ขึ้นมา กิมย้งเป็นคนประดิษฐ์พรรคกระยาจกและอื่นๆ อีกมากมาย มังกรหยกเป็นหมุดหมายสำคัญของโลกหนังสือ
กิมย้งถือเป็นปรมาจารย์นิยายกำลังภายใน หรือบู๊เฮียบ (武侠)
บู๊คือการต่อสู้ วิทยายุทธ์สำนักต่าง ๆ มีทั้งเพลงมวยและเพลงอาวุธ อาวุธลับ ฯลฯ
เฮียบคือความกล้าหาญ คุณธรรม ความเสียสละ
นิยายตระกูลนี้คือการต่อสู้ในโลกสมมุติที่เรียกว่ายุทธจักร หรือบางเรื่องก็ใช้ฉากประวัติศาสตร์จริง เช่นที่กิมย้งทำ
ถ้าหลุดออกจากธรรมนูญนี้ก็คือนิยายตระกูลอื่น ไม่ใช่นิยายบู๊เฮียบ
ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา การสร้างหนังกำลังภายในเริ่มแบบ old school คือการต่อสู้ด้วยวิชาต่างๆ กระโดดขึ้นหลังคาหรือยอดไม้บ้าง แต่ยังหลุดจากหลักฟิสิกส์ไม่มากนัก
ต่อมามันก็เปลี่ยนไปเป็นแฟนตาซี นั่นคือวิชาการต่อสู้พิสดารพันลึก หลุดพ้นกฎฟิสิกส์ทุกข้อ เช่น จอมยุทธ์เหาะได้ ฟาดฝ่ามือที แผ่นดินภูผาแตกกระจาย รัศมีเฮ้ากวงแผ่ไปทั่ว
นี่ไม่ใช่บู๊เฮียบแล้ว นี่คือนิยายแฟนตาซี
มังกรหยก ถูกสร้างเป็นหนังนับครั้งไม่ถ้วน เนื่องจากหนังสือมีเนื้อหายาว มีหลายมิติ ดังนั้นสามารถสร้างเป็นหนังคนละเรื่องกันได้
ก็มาถึง มังกรหยก ฉบับล่าสุด (射雕英雄传:侠之大者) หรือ Legends of the Condor Heroes: The Gallants
ถ้ากิมย้งยังมีชีวิตอยู่ ดูหนังเรื่องนี้แล้วคงไม่ปลื้ม เพราะมันไม่ใช่บู๊เฮียบ มันคือ Lord of the Rings และ Dracula Untold ฉบับจีน ที่มีความเป็นนิยายกำลังภายในสัก 30 เปอร์เซ็นต์
ตัวละครพิษประจิมอาวเอี๊ยงฮงกลายเป็นลอร์ดเซารอน มีพลัง anti-gravity บินได้ มีพลังรังสีแผ่รอบตัว
นี่ยังไม่ได้บอกว่าหนังเรื่องนี้ดีหรือไม่ดี แค่บอกว่ามันไม่ใช่หนังกำลังภายใน มันเป็นหนังแฟนตาซี
เอาละ จะมาแนวแฟนตาซีก็ได้ เพราะเป็นสิทธิของผู้กำกับ จะให้ก๊วยเจ็งถือปืนอย่างโรเมโอใน Romeo + Juliet ฉบับ บาซ เลอร์แมนน์ ก็ได้ คำถามคือแล้วหนังทำได้ดีหรือไม่
หนังเปิดฉากเหมือนรวม recap ของเหตุการณ์ต่างๆ เป็นท่อนๆ แล้วคาดหวังว่าคนดูจะเข้าใจเอาเอง หนังใช้องค์ประกอบของนวนิยายของกิมย้งแบบแตะนิดหน่อย เราไม่รู้ว่าอินทรีสองตัวมาทำไม มันทำได้แค่ประกอบฉาก (เพราะนิยายกิมย้งเขียนถึง) หนังพูดถึงจอมยุทธ์ห้าคน แต่ใช้แค่อาวเอี้ยงฮงเป็นตัวหลัก อั้งฉิกกงโผล่หน้ามานิดหน่อย ที่เหลืออีกสามคนแค่เปรยๆ (เพราะนิยายกิมย้งเขียนถึง)
หนังหยิบชิ้นส่วนต่างๆ ในนิยายมายำใหม่ โดยไม่ปูเรื่องว่าทำไม เราไม่เห็นพัฒนาการของตัวละคร เราไม่รู้ว่าคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งมาจากไหน มีเพื่ออะไร เราไม่รู้ว่าเป็นที่หนึ่งในยุทธจักรแล้วจะทำไม ในความเห็นส่วนตัวของผม ปัญหาของหนังเรื่องนี้คือ sequence การเดินเรื่องที่สะดุดเป็นระยะ
หนังมีโมเมนต์ดีหลายท่อน (ฉากสนามรบสุดท้ายคล้ายยืมมาจากฉากเฉียวฟงกลางสองทัพใน แปดเทพอสูรมังกรฟ้า) แต่ก็มีโมเมนต์ "มาทำไม" และ "อิหยังวะ" อีกหลายจุด
มังกรหยก ฉบับนวนิยายนั้นมีองค์ประกอบมากมาย กิมย้งที่เป็นราชาแห่งซับพล็อตเขียนเรื่องย่อยรองรับ แต่ละเรื่องย่อยสนุกในตัวมันเอง โดยที่หนังสามารถเดินไปได้โดยไม่ต้องพึ่งแฟนตาซี เพราะเมื่อเปลี่ยนตระกูลหนังเป็นแฟนตาซี อารมณ์ก็เปลี่ยน
หากชอบหนังแนว Lord of the Rings เรื่องนี้ก็ดูได้เพลินๆ หากไม่ถือสาว่าจอมยุทธ์บินได้ มีพลังอย่าง Dr. Strange ก็น่าจะเอนจอยหนัง พระเอกก็หล่อ นางเอกก็สวย แต่หากเป็นคองานหนังสือของกิมย้งที่เน้นบู๊กับเฮียบอย่างเคร่งครัด เก็บเงินไปซื้อ คดีเปลนม หรือ Mini Stoic ดีกว่า เพราะว่าเรื่องนี้ดูเผินๆ เป็นนิยายกำลังภายใน แต่ไม่ใช่
6/10
ฉายในโรงภาพยนตร์วินทร์ เลียววาริณ
24-2-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
0- แชร์
- 66
-
ผมเรียนจบสถาปัตย์มา ไปทำงานสายอื่นหลายสาย บางคนอาจเห็นว่า "เสียของ"
หลายปีหลังจากที่ผมเปลี่ยนสายงานจากวงการสถาปัตยกรรมไปทำงานโฆษณา ฝรั่งคนหนึ่งบอกผมว่า "น่าเสียดายความรู้ที่คุณเรียนมาจัง"
น่าเสียดายที่เรียนมาอย่างหนึ่ง แต่ไปทำงานอีกอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะงานโฆษณา งานรับใช้นายทุนที่กรอกหัวคนด้วยการตลาดแบบกำไรสูงสุด
คนจำนวนมากมีกรอบคิดว่า เราเรียนอะไรมาก็ควรทำสายอาชีพนั้น ด้วยเหตุผลว่า เป็นการเสียทรัพยากร เสียภาษีรัฐที่ช่วยส่งเสียให้เรียนจบ เสียเวลา ฯลฯ หลายคนจึงทนทำงานที่ตนเองไม่ชอบอยู่จนวันสุดท้ายของชีวิต
ทว่าหากมองด้วยมุมมองนี้ เราจะตอบคำถามเรื่องคนเรียนจบกฎหมายแล้วทำงานด้านกฎหมายตรงตามที่เรียน แต่ไปรับใช้อาชญากรหรือนักการเมืองสกปรกอย่างไร เพราะเสียทรัพยากร เสียภาษีรัฐเหมือนกัน
ผมเชื่อว่า มนุษย์เรามีเสรีภาพที่จะเลือก (อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง) คนเราควรก้าวเดินไปตามทางที่พึงใจ มิใช่เพราะเรียนมาอย่างหนึ่งก็ต้องทากาวแปะตัวเองติดอยู่กับมันทั้งชีวิต มิใช่เพราะเกิดมาในสถานะหนึ่ง ก็ต้องยึดติดกับสถานะนั้นไปจนวันตาย
ผมจึงไม่ต่อต้านที่คนเรียนจบวิศวฯไปขายยา จบพยาบาลไปเป็นแอร์โฮสเตส จบหมอไปเป็นนักเขียน เพราะคนจำนวนมากตอนเลือกเรียนมหาวิทยาลัย ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร
คนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็อาจเปลี่ยนใจได้ เมื่อเจอชีวิตจริง
ชีวิตก็คือการปรับตัว เคลื่อนไปตามสายน้ำ ไม่ต้องตามค่านิยมมากเกินไปจนไม่มีความสุข แต่ก็ยอมอดทนที่จะไม่มีความสุข
กลับมาที่ชีวิตของผมเอง หากถามว่าเสียของหรือเปล่า ผมตอบได้ว่าไม่เสียของ ผมเรียนรู้วิธีคิดแบบศาสตร์ผสานศิลป์มาตั้งแต่แรก และใช้หลักการนี้ในทุกสายงานที่เปลี่ยน ผลลัพธ์อาจต่างกัน แต่กระบวนการทำงานเหมือนกัน
บรรทัดสุดท้ายก็คงต้องถามผู้อ่านว่า อยากให้ผมออกแบบตึกหรือว่าเขียนหนังสือล่ะ
วินทร์ เลียววาริณ
20-6-251 วันที่ผ่านมา -
ผมเกิดมาเป็นเด็กขี้โรค ป่วยง่าย ป่วยบ่อย ปวดหัวบ้าง ปวดท้องบ้าง คัดจมูกบ้าง เป็นหวัดแบบขาประจำ ผูกขาดรายเดือน ตากแดดนิดก็ตัวร้อน เจอลมเย็นหน่อยก็จาม ป่วยเป็นหวัดที ก็ยาวนานกว่าคนอื่น
ทว่ามองอีกมุมหนึ่ง การเกิดเป็นคนร่างกายไม่แข็งแรงก็มีจุดดีข้อหนึ่งคือ ร่างกายส่งสัญญาณเตือนมากกว่าและเร็วกว่าคนอื่น
มันเป็นคำเตือนจากร่างกายว่า “กำลังจะป่วยนะ” เช่น เริ่มร้อนใน หรือครั่นเนื้อครั่นตัว หรือลมหายใจเริ่มมีกลิ่น หรือเหงื่อเย็น ฯลฯ
หลายครั้งที่รู้ตัวทัน ก็แก้ไขทัน
ครั้นอายุมากขึ้น เรียนรู้คำเตือนต่าง ๆ ดีขึ้น จึงป่วยน้อยลง
ร่างกายคนที่แข็งแรงมักมีความทนทานกว่า ตากแดดตากฝนก็ไม่แสดงอาการอะไร กินอาหารแปลก ๆ ท้องไส้ก็ไม่เคยผิดสำแดง
มีคนประเภทหนึ่งที่ทั้งปีทั้งชาติแข็งแรง ไม่เคยป่วย แต่พอล้มป่วย ก็ตายเลย ร่างกายไม่แสดงอาการอะไรเลยจนถึงขั้นสุดท้าย (อาจเป็นบุญก็ได้นะ!)
ระบบการเตือนของร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน ร่างกายคนบางคนเตือนช้ามาก โดยเฉพาะเนื้อร้าย มันงอกเงียบ ๆ ในร่างกายเรา บ่อยครั้งเสียงเตือนมาช้าเกินไป
ผมเองเคยมีประสบการณ์พบ ‘คำเตือน’ แบบพบยากในร่างกายโดยบังเอิญ หากพบช้ากว่านั้น ก็ถึงขั้นตาย
นี่คือโชคดี
นี่ก็คือเหตุผลที่ต่อให้ร่างกายแข็งแรงแค่ไหน ก็ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ รู้ก่อนแก้ได้ก่อน
หลายเรื่องในโลกนี้ใช้เงินซื้อได้ เช่น ให้คนอื่นติดคุกแทน แต่เราไม่สามารถให้คนอื่นป่วยแทน มีเงินเท่าไรก็ซื้อสุขภาพดีไม่ได้ เราต้องดูแลตนเอง กินอยู่อย่างถูกต้องด้วยตัวเราเอง
ดังนั้นทุกครั้งที่เห็นหรือได้ยินคนอื่นเจ็บป่วยล้มตาย ก็ให้ถือเป็นสัญญาณเตือน แล้วรีบแก้ไขปรับตัว เสมือนหนึ่งเราเป็นคนคนนั้น
ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท
ในการใช้ชีวิต ไม่ว่าในด้านส่วนตัวหรือการงาน ก็สามารถมองสัญญาณเตือนจากคนอื่นได้เสมอ แต่ไม่ทุกคนโชคดีเจอคำเตือนแต่เนิ่น ๆ หรือมองไม่เห็นว่ามันเป็นคำเตือน
เห็นเพื่อนร่วมงานถูกไล่ออก ก็ให้ถือเป็นสัญญาณเตือนว่า ถ้าเราไม่ระวัง ก็มีสิทธิ์ถูกให้ออกจากงานได้
เห็นอัตราคนว่างงานเพิ่ม ก็ให้ถือเป็นสัญญาณเตือนว่า ทำงานให้ดี มีคนมากมายข้างนอกรอเสียบงานของเราอยู่
เห็นพนักงานจบใหม่มาพร้อมคุณสมบัติใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเรา ก็ให้ถือเป็นสัญญาณเตือนว่า เราต้องอัพเกรดตัวเอง
เห็นลูกค้าไม่ค่อยยิ้มเหมือนเดิม ก็ให้ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าลูกค้าอาจจะหลุดได้ ถ้าไม่ดูแลให้ดี
โชคดีที่คำเตือนหลายเรื่อง เราเรียนรู้จากคนอื่น แต่ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างประมาท เรานั่นแหละจะเป็นตัวอย่างคำเตือนให้คนอื่นได้เรียนรู้ วินทร์ เลียววาริณ
20-6-25
...................
จากหนังสือ มากกว่าสามสิบสอง
49 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 250 บาท = บทความละ 5.10 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/195/มากกว่าสามสิบสอง
https://s.shopee.co.th/9UlyhN6c1q
โปรโมชั่นคอมโบ https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201
Shopee https://s.shopee.co.th/9UlyhN6c1q
โปรโมชั่นคอมโบ https://s.shopee.co.th/8zpi6W2V3T1 วันที่ผ่านมา -
ในราตรีที่ฟ้ามืดหม่น การเมืองอึมครึม พรรคร่วมรัฐบาลปั่นป่วนรวนเรเพราะข่าวคลิปเสียงที่อังเคิลผู้ไม่ปรารถนาดีผู้หนึ่งปล่อยออกมา ลูกค้าร้านพับผ่ากลับแน่นร้าน
ลูกค้าคนล่าสุดเป็นชายวัยกลางคน หน้าตาเหน็ดเหนื่อยราวกับแบกโลกมาทั้งวัน
ข้าพเจ้าเห็นใจเขา วันนี้คนไทยล้วนแบกโลก และปรารถนาใช้สุราดับทุกข์ ไม่เช่นนั้นร้านเหล้าของข้าพเจ้าคงไม่แน่นเช่นนี้
ลูกค้าพลิกดูเมนูค็อคเทลหลายร้อยชื่อของร้าน แล้วเอ่ยกับข้าพเจ้า "ผมอยากดื่มเหล้าลุงทรยศ"
ข้าพเจ้าตอบ "เราไม่มีค็อคเทลลุงทรยศครับ มีแต่ลุงขี้เมา"
"อ้อ! งั้นหรือ?"
"มันเรียกว่าค็อคเทล Drunk Uncle แปลว่าอังเคิลขี้เมา"
"เอ้า! ได้ ลุงเหมือนกัน วันนี้อยากดื่มลุง ว่าแต่ว่า Drunk Uncle ทำยังไง?"
"ทำด้วยสก็อตช์ Islay ผสม Cynar amaro ผสมมาร์ตินีและ Rossi bianco vermouth และเปลือกส้ม"
"ดื่มแล้วเมามั้ย?"
"ถ้าเป็นอังเคิลคอแข็งก็ไม่เมา"
"งั้นขอแก้วนึง"
ข้าพเจ้าเอ่ย "ขอโทษจริงๆ หมดแล้วครับ คืนนี้คนสั่ง Drunk Uncle ทุกโต๊ะเลย"
"ไม่เป็นไร งั้นขอแก้วใหม่ อยากดื่มค็อคเทลแห่งการทรยศ มีมั้ย?"
"มีครับ เรียกว่าค็อคเทล Sweet Betrayal Cocktail"
"Betrayal แปลว่าการทรยศ?"
"ใช่ครับ มันทำด้วยเหล้า dark rum ผสม amaretto และน้ำเชอร์รี"
"งั้นขอแก้วนึง"
"ขอโทษจริงๆ หมดแล้วครับ คืนนี้คนสั่งค็อคเทลแห่งการทรยศทุกโต๊ะเลย"
ลูกค้าส่ายหน้า "โชคไม่ดี งั้นคุณมีค็อคเทล 9 นาทีไหม?"
"ทำไมต้อง 9 นาที?"
"ความยาวเท่าคลิปเสียง"
ข้าพเจ้ายิ้ม "มีครับ 9 Minutes cocktail หรือที่เรียกว่า Take 9 ทำด้วยเหล้ารัม Cruzan 9 Spiced Rum ผสม dry vermouth ผสมลิเคียว Blue Curacao ผสม Grenadine และใส่เปลือกส้ม"
"งั้นขอแก้วนึง"
"ขอโทษจริงๆ หมดแล้วครับ คืนนี้คนสั่งค็อคเทล 9 นาทีทุกโต๊ะเลย"
เขาถอนใจ
"งั้นขอค็อคเทลแทงข้างหลัง"
"แทงข้างหลังแบบทรยศ?"
"ใช่"
"มีครับ ชื่อค็อคเทล Backstabber"
"Backstabber แปลว่าแทงข้างหลัง?"
"ใช่ครับ ทำด้วย Hayman's London Dry Gin น้ำมะนาว ไซรัปขิง Angostura Aromatic Bitters และไข่ขาว"
เขามองตาข้าพเจ้า
"อย่าบอกนะว่าคุณไม่มี และคืนนี้คนสั่งค็อคเทล Backstabber ทุกโต๊ะเลย"
"ใช่ครับ ของหมดแล้วครับ"
"แล้วคุณเหลืออะไร?"
"เหลือแต่น้ำบัวบกครับ"
"อร่อยมั้ย?"
"ไม่แน่ใจว่าอร่อยมั้ย แต่แก้ช้ำในได้"
วินทร์ เลียววาริณ
19-6-25..................
หมายเหตุ เหล้าทั้งหมดนี้มีจริง
พับผ่า! บาร์เทนเดอร์ (The Bartender Series 1) มีจำหน่ายแล้วในรูปอีบุ๊ค สนใจดูได้ในเว็บ winbookclub.com หรือ The Meb
1 วันที่ผ่านมา -
"Politicians and diapers have one thing in common: they should both be changed regularly… and for the same reason."
(นักการเมืองและผ้าอ้อมมีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน มันควรถูกเปลี่ยนสม่ำเสมอ ด้วยเหตุผลเดียวกัน)
มาร์ก ทเวน เป็นนักเขียนที่มีวาจาคมกริบดั่งมีดโกน ชอบด่านักการเมืองเสมอ ดังนั้นประโยคคมๆ ประโยคนี้ ย่อมเป็นเขาพูด ใช่ไหม?
คำตอบคือไม่ใช่
ไม่มีหลักฐานใดเลยที่ชี้ว่านี่เป็นคำพูดของ มาร์ก ทเวน
แต่มันก็ถูกยกมาอ้างต่อมาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้
เชื่อว่าเป็นการประดิษฐ์คำของใครสักคนในยุคหลัง แล้วยกให้เป็นคำของ มาร์ก ทเวน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันไม่ใช่คำของ มาร์ก ทเวน แต่เนื้อหาของคำนี้ก็ยังน่าจะถูกนะ... ว่าไหม?
เคี้ยกเคี้ยก
วินทร์ เลียววาริณ
19-6-251 วันที่ผ่านมา -
(ต่อจากตอนที่แล้ว https://www.facebook.com/photo?fbid=1315006533321368&set=a.208269707328395)
เล่าเรื่องคุณบริสุทธิ์ไปหาหมอต่อนะ
หลังจากคุณบริสุทธิ์ยกมือไหว้ตู้เอทีเอ็ม พยาบาลก็พาเขาไปพบหมอ
จักษุแพทย์บอกว่านัยน์ตาของคุณบริสุทธิ์โดยรวมอยู่ในสภาพดี ปัญหาเดียวของคุณบริสุทธิ์คือสายตาสั้นมาก สมควรไปตัดแว่นได้แล้ว ไม่งั้นก็จะไหว้ตู้เอทีเอ็มอีกแน่ๆ
คุณบริสุทธิ์กลับถึงบ้าน แจ้งมาดามจินตหราเพื่อของบตัดแว่นตา ภรรยาสั่นศีรษะ บอกว่า “แว่นอันเก่าของคุณก็ยังใช้ได้อยู่ ตัดใหม่ทำไมให้เปลืองเงิน ค่าแว่นเดี๋ยวนี้แพงเหลือเกิน กรอบแว่นธรรมดา ๆ อันละหมื่น ถูก ๆ ก็เจ็ดแปดพัน ค้ากำไรเกินควรชัด ๆ”
“แล้วทีคุณซื้อของไม่จำเป็นมากมาย ผมไม่พูดซักคำ คุณซื้ออุปกรณ์ครัวใหม่ ๆ มาแล้วก็ไม่ได้ใช้ เอาไว้โชว์แขกเท่านั้น คุณซื้อรองเท้าใหม่เดือนละสองสามคู่ ผมก็ไม่ว่า คุณซื้อเสื้อผ้าใหม่ทุกเดือน ผมก็ไม่ว่า คุณเสียเงินซื้อน้ำหอมที่แพงพอกับแว่นตา แล้วก็ไม่ใช้ บอกว่าไม่ชอบแล้ว คุณใช้จ่ายเงินทองสิ้นเปลืองแแบบนี้ ผมหมดตัวแน่ แต่ทีผมต้องใช้แว่นเพราะความจำเป็น คุณกลับบอกว่าไม่จำเป็น สุขภาพผมไม่สำคัญหรือไง ทำไมคุณทำอย่างนี้ ทำไมคุณเป็นคนแบบนี้ หา!”
หลายประโยคยาว ๆ เหล่านี้ คุณบริสุทธิ์พูดในใจ (ฉลาดไหม?)
คุณบริสุทธิ์เข้าใจว่าภรรยาต้องการประหยัดเงิน แต่คิดมากไปไย วาจาของหล่อนศักดิ์สิทธิ์กว่าของเขา อย่าว่าแต่เขามอบหมายภรรยาให้ดูแลเรื่องการเงินของครอบครัว
วันต่อมาคุณบริสุทธิ์ตื่นขึ้นตอนเช้า เดินตรงไปที่ครัว มาดามจินตหรากำลังหั่นผักอยู่ คุณบริสุทธิ์คว้าหมับที่ตะโพกภรรยา หอมแก้มหล่อน ถามว่า “วันนี้ทำอะไรกินจ๊ะ ที่รัก หอมจังเลยจ้ะ แล้วนี่ตะโพกเธอแน่นจังเลย”
พลันเสียงภรรยาดังจากด้านหลัง “มากไปแล้ว ไอ้แก่ นั่นเป็นคนใช้ ไม่ใช่เมียมึง เมียมึงนั่งอยู่นี่”
คุณบริสุทธิ์ตะลึง หันไปที่ต้นเสียง ก็คือมาดามจินตหรา ส่วนหญิงสาวผู้หั่นผักคือสาวใช้
มาดามจินตหราตรงเข้ามาคว้าแขนคุณบริสุทธิ์ ดึงออกจากครัว
คุณบริสุทธิ์ร้องด้วยน้ำเสียงตกใจ “นี่เธอจะทำอะไร?”
“ก็พามึงไปตัดแว่นใหม่ไง”
สวัสดีวันพฤหัส ขอให้มีความสุขทั้งวัน สายตาแจ่มชัด
.........................
จากนวนิยายขำขัน เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์ฯ (นวนิยายแนวใหม่ที่นำขำขันตลกๆ ระดับ ‘ขำกลิ้ง’ 400 เรื่องมายำเป็นนวนิยาย)
ค่าคลายเครียดแค่ 330 บาท เฉลี่ยขำละ 80 สตางค์ หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/188/เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์กับนางสาวภุมรี%20ศจีรมย์%20สมถวิล%20จินตหรา%20พารัก%2520ปักเสน่ห์%20เรวดี%20ศรีสกาว
โปรโมชั่น https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201
Shopee เดี่ยว https://s.shopee.co.th/1VjWGyXzed
https://s.shopee.co.th/9A8xPCjmLp2 วันที่ผ่านมา