-
วินทร์ เลียววาริณ6 เดือนที่ผ่านมา
นวนิยายของกิมย้งที่ใช้เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ไกลที่สุดคือ กระบี่นางพญา (越女劍 / Sword of the Yue Maiden)
ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์หมิงเป้า ในปี 1970 และตีพิมพ์จบก่อนเรื่อง อุ้ยเซี่ยวป้อ
เป็นงานชิ้นสุดท้ายของกิมย้ง จัดเป็นนวนิยายขนาดสั้นหรือเรื่องสั้นขนาดยาว ในมุมมองของนักอ่านงานกิมย้ง ถือว่าเรื่องนี้อ่อนกว่าเรื่องอื่น ๆ
แต่ประวัติศาสตร์ที่ใช้เป็นฉากมีรสชาติเข้มข้น ประวัติศาสตร์ที่อิงจัดว่าเป็นเรื่องแรก หลายร้อยปีก่อนจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง
มาว่ากันที่พล็อตก่อน
****
จอมยุทธ์กลุ่มหนึ่งจากแคว้นอู๋เอาชนะจอมยุทธ์แคว้นเยว่ ฟ่านหลี่ ที่ปรึกษาของอ๋องโกวเจี้ยน พบเด็กสาวคนเลี้ยงแกะคนหนึ่งชื่ออาชิง มีฝีมือการต่อสู้เป็นเลิศ นางเอาชนะจอมยุทธ์แคว้นอู๋ได้ง่ายดาย
อาชิงเรียนวิชาการต่อสู้โดยเล่นฟันดาบกับค่างตัวหนึ่ง กระบวนท่าของนางไม่มีกรอบ ไร้ขีดจำกัด
โกวเจี้ยนเห็นกระบวนท่าพิชิตคู่ต่อสู้ของอาชิงแล้วประทับใจยิ่งนัก สั่งให้ทั้งกองทัพเรียนวิชาการต่อสู้จากนาง เพื่อเตรียมบุกแคว้นอู๋
เดี๋ยวค่อยเล่าพล็อตต่อ ตอนนี้ต้องรู้ประวัติศาสตร์ก่อน
ทำไมโกวเจี้ยนจึงคิดบุกแคว้นอู๋?
คำตอบคือเพื่อแก้แค้น
นี่เป็นประวัติศาสตร์จริงช่วงสงครามระหว่างแคว้นเยว่ (越國) กับแคว้นอู๋ (吳國) ในยุคสมัยที่เรียกว่า ชุนชิว
ชุนชิวเป็นทั้งชื่อยุคและชื่อหนังสือ
จะเข้าใจที่มาก็ต้องย้อนเวลาหาอดีตไปตั้งต้นที่ราชวงศ์โจวก่อน
ราชวงศ์โจวเกิดขึ้นนานก่อนจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียว เป็นราชวงศ์จีนที่ปกครองยาวนานที่สุดคือ 790 ปี เริ่มจากโจวตะวันตก ต่อด้วยโจวตะวันออกอีก 500 ปี ในช่วงหลังราชวงศ์โจวเสียการคุมแคว้นย่อย ๆ ทั้งหลาย ซึ่งรบพุ่งกัน จนจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินสำเร็จใน 221 ปีก่อนคริสตกาล
ยุคโจวให้กำเนิดปราชญ์สำคัญคือเล่าจื๊อ (เต๋า) และขงจื๊อ และนักการทหารชั้นเซียนคือ ซุนจื่อ (พิชัยสงครามซุนจื่อ)
เราเรียกยุคราชวงศ์โจวตะวันออกว่าชุนชิว หรือวสันตสารท (春秋 Spring and Autumn Period)
วสันต์ (ชุน 春) คือฤดูใบไม้ผลิ
สารท (ชิว 秋) คือฤดูใบไม้ร่วง
เปรียบการเกิดและดับของนครรัฐต่าง ๆ เหมือนฤดูกาล
ชื่อยุคชุนชิวมาจากชื่อคัมภีร์ของขงจื๊อคือ ตำราชุนชิว (春秋 The Spring and Autumn Annals) ประกอบด้วยอักษร 18,000 คำ บันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ยาว 241 ปี เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 722 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง 481 ปีก่อนคริสตกาล
เวลานั้นขงจื๊อได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาบดีใหญ่แห่งแคว้นหลู่ ต่อมาถูกบีบลงจากตำแหน่ง เหนื่อยหน่ายกับการเมือง ก็ไปเป็นปราชญ์สอนคนในแคว้นต่าง ๆ ไม่เข้าสู่วงการเมืองอีก ขงจื๊อแต่ง คัมภีร์ชุนชิว โดยบันทึกเรื่องราวของยุคสมัยต่าง ๆ เปรียบแต่ละยุคกับฤดูกาล สี่ฤดูคือวสันตฤดู (ชุน) คิมหันตฤดู (เสี้ย) สารทฤดู (ชิว) และเหมันตฤดู (ตง) เป็นฤดูกาลของแผ่นดินจีน
ถัดจากยุควสันตสารทก็คือยุครัฐศึก หรือจ้านกว๋อ (戰國時代 The Warring States Period)
นอกจากชุนชิวแล้ว ยังมีงานอีกเรื่องหนึ่งที่บันทึกเหตุการณ์ยุคโจวตะวันตก ยุควสันตสารท ยุคจ้านกว๋อ ไปจนถึงจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินสำเร็จ หนังสือเรื่องนั้นคือ เลียดก๊ก (列國) ซึ่งเป็นงานที่ประพันธ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง บันทึกประวัติศาสตร์ของแคว้นต่าง ๆ
สมัยแรกของราชวงศ์โจวมีอำนาจมาก ดูแลแว่นแคว้นต่าง ๆ ครั้นอ่อนกำลังลง แว่นแคว้นก็แตกเป็นกลุ่มย่อยมากมายถึง 148 รัฐ บางแคว้นเช่น อู๋และฉู่ แยกตัวเป็นแว่นแคว้นอิสระ รบพุ่งกัน
สำหรับประวัติศาสตร์ที่ใช้เป็นฉากของ กระบี่นางพญา คือสงครามระหว่างแคว้นเยว่กับแคว้นอู๋
แคว้นอู๋ปกครองโดยอ๋องเหอหลี มีกำลังสำคัญสองคน หนึ่งคือ อู่จื่อชี (伍子胥) ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ อีกคนหนึ่งคือ ซุนจื่อ (孫子)
ซุนจื่อมีชื่อเดิมว่า ซุนหวู่ (孫武) เป็นแม่ทัพ นักวางแผน นักปรัชญา ยุคราชวงศ์โจวตะวันออก เป็นผู้แต่ง พิชัยสงครามซุนจื่อ (孫子兵法 The Art of War) เป็นตำราพิชัยสงครามที่เก่าแก่ที่สุดเล่มหนึ่งของโลก
แคว้นอู๋ก่อศึกกับแคว้นฉู่ รบกันนาน ในที่สุดก็ยึดเมืองหลวงฉู่ได้ อ๋องเหอหลีพยายามล่วงเกินนางผอหยิง สนมของฉู่อ๋อง แต่ไม่สำเร็จเพราะนางมีมีดป้องกันตัวเอง
แคว้นฉู่ขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉิน ในที่สุดอ๋องเหอหลีก็ยกทัพกลับไป
ส่วนแคว้นเยว่ปกครองโดยโกวเจี้ยน (勾踐) ซึ่งเป็นโอรสของหยิ่นฉางอ๋อง (允常)
สงครามระหว่างแคว้นเยว่ (越國) กับแคว้นอู๋ (吳國) เริ่มจากเจ้าหญิงแคว้นเยว่ที่อภิเษกกับเจ้าชายแคว้นอู๋ ทรงหนีกลับแผ่นดินเกิด จุดประกายให้เกิดความหมองหมางของสองแคว้น ตามมาด้วยสงคราม
แคว้นอู๋ฉวยโอกาสที่เยว่ผลัดแผ่นดิน หลังจากอ๋องหยิ่นฉางสวรรคต โกวเจี้ยนขึ้นครองราชย์ โจมตีเยว่
ในยุทธการจ้วนหลี่ (槜李之战) ฝ่ายเยว่เอาชนะฝ่ายรุกราน เหอหลีอ๋อง (闔閭) แห่งแคว้นอู๋ทรงบาดเจ็บสาหัสจากการรบ ก่อนสิ้นพระชนม์สั่งโอรส ฟูช่า (夫差) ให้แก้แค้น ตรัสสั้น ๆ ว่า “จงอย่าลืมเยว่”
แคว้นเยว่ถูกแคว้นอู๋ยึดครองสามปีต่อมา แคว้นอู๋จับโกวเจี้ยนและเสนาบดีฟ่านหลี่ไปเป็นตัวประกัน โกวเจี้ยนเป็นข้ารับใช้อ๋องฟูช่า
เมื่ออยู่ในถ้ำเสือ โกวเจี้ยนก็ทำทุกอย่างเพื่อให้อู๋อ๋องวางใจว่าตนสิ้นฤทธิ์แล้ว
เล่ากันว่าครั้งหนึ่งอู๋อ๋องมีอาการปวดท้อง หมอหลวงไม่พบสมุฏฐานของโรค โกวเจี้ยนจึงชิมอุจจาระของอู๋อ๋อง และบอกว่าร่างกายเย็นเกินไป ให้กินของร้อน ฟูช่าก็หายประชวร
นี่อาจเป็นตำนานเสริมเติมให้มีสีสัน แต่ชี้ให้เห็นความแน่วแน่ของโกวเจี้ยนที่จะล้างแค้น
โกวเจี้ยนอยู่ในรัฐอู๋สามปี จึงได้รับอนุญาตให้กลับคืนสู่เยว่
ตลอดเวลาที่อยู่ในแคว้นศัตรู โกวเจี้ยนวางแผนแก้แค้นทุกลมหายใจ เมื่อกลับแผ่นดินเกิด ก็รวบรวมกำลังคน ที่ปรึกษาเช่น เหวินจง และฟั่นหลี่ สะสมกำลังเตรียมรบ อีกทางหนึ่งก็หาทางทำให้อู๋อ่อนแอลง โดยบ่อนทำลายจากภายใน
ระหว่างที่รอการแก้แค้น โกวเจี้ยนใช้ชีวิตแบบทรมานตนเอง กินอาหารเหมือนชาวนา กินดีสัตว์ทุกวัน เพื่อให้ไม่ลืมความขมขื่นของการเสียเอกราช แล้วสร้างกองทัพ
นวนิยาย กระบี่นางพญา อิงประวัติศาสตร์ท่อนนี้
ในเรื่อง กระบี่นางพญา ฟ่านหลี่มีหน้าที่ดูแลให้อาชิงฝึกกองทัพ
อาชิงตกหลุมรักฟ่านหลี่ แต่รู้ในเวลาต่อมาว่าฟ่านหลี่มีคนรักแล้ว
หลังจากอ๋องโกวเจี้ยนเอาชนะฟูช่า และยึดครองอู๋สำเร็จ ฟ่านหลี่ก็กลับไปหาคนรักของเขา
ใครคือคนรักคนนั้น? ตรงนี้กิมย้งหักมุม
อาชิงรู้สึกอิจฉา ต้องการฆ่าคนรักของฟ่านหลี่ และไปหานางที่เป็นศัตรูหัวใจ
อาชิงชี้ลำไม้ไผ่ไปที่นาง ขณะจ้องมองสตรีผู้นี้ พลันตกตะลึงในความงามของนาง ความรู้สึกอยากฆ่าค่อย ๆ จางหายไป กลายเป็นความรู้สึกใหม่ว่า สตรีเบื้องหน้างดงามนัก อาชิงไม่เคยนึกว่าโลกนี้มีหญิงงามขนาดนี้
ที่แท้คนรักของฟ่านหลี่ชื่อ ไซซี นางเพิ่งกลับบ้านเกิดหลังจากจบสิ้นภารกิจอุบายนางงามในดินแดนศัตรู
ฟ่านหลีจะพาไซซีไปจากที่นั่น แต่ทันใดนั้นสีหน้านางก็แสดงความเจ็บปวด ลำไผ่ของอาชิงไม่ได้สัมผัสร่างนาง แต่พลังลมปราณของอาชิงผ่านลำไผ่เข้าไปสู่ไซซี ทำให้นางเกิดความเจ็บปวด สองมือกุมหน้าอกที่รวดร้าว สีหน้าแสดงอาการเจ็บปวดอย่างมาก ทว่ามันเป็นภาพที่อาชิงตะลึง เพราะทำให้ไซซียิ่งงดงาม “จนมันสามารถทำให้วิญญาณบุรุษปลิดปลิวเมื่อเห็นนาง”
นี่คือที่มาของอุปมา ‘ไซซีแตะอก’ (西子捧心) ความหมายคือความงามของสตรีถูกขับเน้นเมื่อเจ็บปวด
หลังจากนั้นอาชิงก็จากไป เพราะไม่มีทางสู้ไซซีได้ในการมัดใจชาย
วิทยายุทธ์สูงส่งเพียงใด ก็มิอาจสู้นางเบื้องหน้าได้
เรื่องแรกๆ ของกิมย้ง ตัวเอกจะฝึกวิทยายุทธ์ระดับสุดยอด จึงขึ้นมาเป็นใหญ่
ในเรื่อง อุ้ยเซี่ยวป้อ กิมย้งหักมุมว่า ไม่ต้องมีวิทยายุทธ์ ใช้ความกะล่อนอย่างเดียว ก็เป็นหนึ่งได้
ส่วนเรื่องสุดท้ายของกิมย้งนี้ บอกว่าวิทยายุทธ์สู้ชะตาไม่ได้ เพราะเก่งแค่ไหนก็สู้ความงามของไซซีไม่ได้ในการชนะใจชาย
ประวัติศาสตร์ท่อนนี้ยังมีต่อ รออ่านพรุ่งนี้ก็แล้วกัน
ใครรอไม่ได้ ก็ซื้อหนังสือ แล้วอ่านแบบ fast track
แน่ะ! ขายยาก็มี fast track กับเขาด้วย
วินทร์ เลียววาริณ
3-3-25.....................
ยุทธจักรวาลกิมย้ง
https://www.winbookclub.com/store/detail/186/ยุทธจักรวาลกิมย้งโปรโมชั่นพิเศษ กิมย้ง + เหตุผล + Mini Zen
เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/189/โปรโมชั่น%203%20in%201%20ชุด%20S2Shopee https://s.shopee.co.th/9KTdTiEz8m
หรือชุดรวมรส
ชุดรวมมิตร 3 (R3) ยุทธจักรวาลกิมย้ง + รอยยิ้มใต้สายฝน + ฆาตกรรมกลางทะเล + 16 องศาเหนือ + หลับถึงชาติหน้า ราคาเต็ม 1,260 เหลือเพียง 880.- (ลด 380)
https://s.shopee.co.th/30ZZw8Rzcp0- แชร์
- 69
-
นานปีมาแล้ว ครั้งที่ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน เป็นหัวข้อของวิวาทะกัน นักวิชาการคนหนึ่งบอกว่า "ประวัติศาสตร์ไม่ซ้ำรอย" แย้งกับที่ผมเขียนในคำนำหนังสือเล่มนั้นว่า "มิเพียงแต่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย คนไทยเรายังไม่มีความสามารถในการเรียนรู้อีกด้วย!"
ภาพการเมืองวันนี้ดูเหมือนจะตอกย้ำอีกหนว่า "ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย"
เรากำลังพูดถึงประโยค “มันจบแล้วครับนาย”
ต้นเหตุของประโยคนี้มาจากวันหนึ่งในปี ๒๕๕๐ ทักษิณ ชินวัตร ติดต่อเสนอให้ สมัคร สุนทรเวช ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และเป็นนายกรัฐมนตรี ‘นอมินี’
สมัคร สุนทรเวช ตอบว่า “ตกลง แต่ผมมีเงื่อนไขข้อเดียว”
“เงื่อนไขอะไร?”
“ต้องไม่ทิ้งกัน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร”
ทักษิณรับปาก
สมัคร สุนทรเวช เริ่มบริหารประเทศไม่นาน กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกออกโรงเคลื่อนไหวขับไล่ จุดหมายคือต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯ เกิดขึ้นในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑ หน้าทำเนียบรัฐบาล แล้วย้ายไปชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนินนอก
ยกระดับการชุมนุมจากการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นขับไล่รัฐบาล สมัคร สุนทรเวช
การเมืองดูเหมือนถึงทางตัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมถอย
วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๑ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ สมัคร สุนทรเวช สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยขาดคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๖๗ เนื่องจากเป็นพิธีกรของรายการทำครัว
พรรคร่วมรัฐบาลต้องหานายกฯคนใหม่มาแทน
ทักษิณ ชินวัตร โทรศัพท์หา เนวิน ชิดชอบ “แจ้ง ส.ส. พรรคพลังประชาชนว่าให้สนับสนุนคุณสมัครเป็นนายกฯอีกรอบ”
สมัคร สุนทรเวช ปฏิเสธข้อเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีรอบที่สอง แต่เมื่อได้รับการขอร้องซ้ำ หนึ่งคืนก่อนการโหวตเลือกนายกฯ อดีตนายกฯก็ตกลง
เช้าวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๑ เนวิน ชิดชอบ ได้รับโทรศัพท์จากทักษิณ ยืนยันให้เลือก สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ ทุกอย่างดำเนินไปตามกำหนด สมัคร สุนทรเวช เดินทางไปถึงสภาฯแต่เช้า นั่งรอสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลในห้องรับรอง ขณะที่ ส.ส. พรรคพลังประชาชนกลุ่มเพื่อนเนวิน และพรรคประชาธิปัตย์ทยอยเดินทางมาประชุม แต่ไม่เห็น ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ
องค์ประชุมไม่ครบ การเลือกนายกรัฐมนตรีล้มเหลว
เหตุที่องค์ประชุมขาด ส.ส. พรรคที่เหลือเพราะพวกเขาได้รับคำสั่งให้ขาดการประชุมสภาฯ เนื่องจากในนาทีสุดท้าย แผนเปลี่ยนให้เลือก สมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี
เวลา ๑๐.๑๕ น. สมัคร สุนทรเวช เดินกลับไปขึ้นรถคนเดียว กลับบ้านอย่างเงื่องหงอย
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ทุกคนเห็นนักการเมืองชราในที่สาธารณะ
ข่าวต่อมาคือ สมัคร สุนทรเวช ป่วยด้วยโรคมะเร็งตับ และไปรักษาตัวที่สถาบันมะเร็งฮิวสตัน สหรัฐอเมริกา เชื่อกันว่าความรู้สึกคับแค้นใจที่ถูกแทงข้างหลังทำให้อาการมะเร็งเลวร้ายลง และเชื่อว่าที่สมัครเสียใจตลอดเวลาที่ป่วยหนักคือ ไม่มีเสียงถามไถ่ทุกข์สุขจากแดนไกลสักครั้งเดียว
สมัคร สุนทรเวช ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒
เหตุที่เกิดขึ้นกับ สมัคร สุนทรเวช สร้างรอยร้าวลึกกับกลุ่ม เนวิน ชิดชอบ ซึ่งใกล้ชิดสมัคร หลายคนรู้สึกว่าอดีตนายกฯถูกหักหลัง
ภาพทั้งหมดนี้ตกอยู่ในสายตาที่เฝ้าดูเงียบ ๆ ของเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ สุเทพ เทือกสุบรรณ
สุเทพ เทือกสุบรรณ เล่าในหนังสือ The Power of Change กำนัน สุเทพ เทือกสุบรรณ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเนวินกับสมัครว่า “คุณเนวินกับคุณสมัครเขาไปกันได้ และที่ต้องยอมรับคือคุณสมัครได้ชื่อว่าเป็นคนที่จงรักภักดีต่อสถาบันมาก... คุณทักษิณเห็นว่าสั่งคุณสมัครไม่ได้ทุกเรื่อง ก็เลยเปลี่ยนเอา สมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยตัวเองขึ้นมา ตรงนี้แหละที่มันทำให้คนที่ชอบพอและนิยมคุณสมัครทางการเมืองที่อยู่ในพรรคพลังประชาชนมีอาการไม่ค่อยชอบใจ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคุณเนวิน”
เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์รอเวลาที่เหมาะสม
แล้ว สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพราะศาลรัฐธรรมนูญยุบสามพรรคการเมืองในวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
.....................
สุเทพ เทือกสุบรรณ อ่านเกมออกแต่แรกว่า สมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะไม่รอด และพรรคพลังประชาชนจะถูกยุบ
สุเทพ เทือกสุบรรณ เดินสายพบนักการเมืองหลายคน เริ่มที่กลุ่ม ๑๖ ไล่คุยไปทีละคน เนวิน ชิดชอบ บรรหาร ศิลปอาชา สุวิทย์ คุณกิตติ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ สุชาติ ตันเจริญ สรอรรถ กลิ่นประทุม สมศักดิ์ เทพสุทิน
กลุ่ม ๑๖ คือกลุ่มการเมืองที่เกิดจากการรวมกันของ ส.ส. รุ่นใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยส่วนใหญ่เป็น ส.ส.พรรคชาติไทยและพรรคชาติพัฒนา แกนนำคือ เนวิน ชิดชอบ
คนแรกที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ไปคุยด้วยคือ เนวิน ชิดชอบ
สุเทพ เทือกสุบรรณ บันทึกไว้ในหนังสือ The Power of Change ว่า เวลานั้น เนวิน ชิดชอบ ไปส่งลูกเรียนที่อังกฤษและไปเยี่ยมทักษิณซึ่งพำนักอยู่ที่นั่น สุเทพ เทือกสุบรรณ นัดพบเนวินที่ร้านขายนาฬิกาแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน ต่างคนต่างทำทีไปซื้อนาฬิกา แล้วคุยกัน
สุเทพ เทือกสุบรรณ บอกเนวินว่า รัฐบาลชุดนี้ไปไม่รอด
“คุณกล้าตัดสินใจมาอยู่กับพวกผมไหม? มาเปลี่ยนขั้วทางการเมืองกัน ผมตั้งใจแล้วจะพยายามประคับประคองระบอบประชาธิปไตย คือให้การเมืองในระบอบรัฐสภาเดินได้ เพราะฉะนั้นมันต้องเปลี่ยนแปลง”
เนวินว่า “จะเอาเสียงที่ไหนมาเพียงพอ? พี่มีกี่เสียง?”
“ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องสนใจว่าผมมีเท่าไหร่ คุณทำใจไว้ก่อนก็แล้วกันว่าคุณเอาด้วยไหม ไปด้วยกันไหม แล้วในใจคุณคิดว่าจะทำเพื่อชาติบ้านเมืองไหม หรือจะหัวปักหัวปำอยู่กับระบอบทักษิณ คุณก็ไปคิดเอาก็แล้วกัน”
สุเทพเชื่อว่าเนวินรู้สึกเคืองที่ สมัคร สุนทรเวช ‘ถูกหักหลัง’ และวางไพ่ตรงจุดนี้
เนวินไม่ได้ให้คำตอบ
อย่างไรก็ตาม ขาเดินทางกลับจากกรุงลอนดอน นักการเมืองทั้งสอง ‘บังเอิญ’ โดยสารเครื่องบินเที่ยวเดียวกัน การสนทนาดำเนินต่อไป
กลับถึงไทยได้ไม่นาน พรรคพลังประชาชนก็ถูกศาลยุบ
สุเทพคุยกับสมาชิกระดับสูงของพรรคประชาธิปัตย์ว่า “เราจะตั้งรัฐบาล ให้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ”
คนในพรรคหัวเราะ ไม่มีใครเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นไปได้
การเปลี่ยนขั้วเปลี่ยนค่ายนั้น กระทำได้ในทางการเมือง แต่ในกรณีของประชาธิปัตย์กับขั้ว ทักษิณ ชินวัตร นั้นเข้าข่าย “เป็นไปไม่ได้” อีกทั้งพรรคประชาธิปัตย์มีจำนวน ส.ส. น้อยกว่าพรรครัฐบาล
แม้แต่ ชวน หลีกภัย บอกว่า “คุณสุเทพมาพูดในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นในเมื่อมาขออนุญาตแบบนี้ พวกเราก็ไม่มีเงื่อนไขอะไรที่จะไม่อนุญาต”
แต่รอยร้าวระหว่าง เนวิน ชิดชอบ กับ ทักษิณ ชินวัตร ในเรื่องการเสนอชื่อ สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีรอบที่สอง ทำให้มันเป็นไปได้
ในโลกการเมือง ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร
สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้รับอำนาจเต็มในการทำเรื่องนี้
สุเทพ เทือกสุบรรณ เขียนในหนังสือ The Power of Change ว่า “อย่างน้อยที่สุดสิ่งหนึ่งที่ทุกคนยอมรับในตัวผมก็คือคำพูดของผมเชื่อถือได้ ผมเป็นคนพูดจริงทำจริง นี่คือต้นทุนของผม”
และ “เวลาเจรจาผมไม่เอาเปรียบใคร วิธีต่อรองเจรจาของผมก็คือ ผมไปยื่นข้อเสนอให้ชนิดที่เขาปฏิเสธไม่ได้ ข้อเสนอผมก็คือว่า พวกคุณที่เคยอยู่กับทักษิณนี่เคยบริหารงานกระทรวงไหนบ้าง ผมให้กระทรวงนั้นคุณเลย คุณพอใจไหมล่ะ ถ้าไม่พอใจตรงไหนมาเจรจาได้ อย่างเช่นคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน นี่ผมให้ดูแลกระทรวงพาณิชย์ เขาแทบจะกระโดดกอดเอวผมเลย คุณสมศักดิ์ยังบอกว่า พี่สุเทพเขายื่นเงื่อนไขแบบที่ผมปฏิเสธไม่ได้ ส่วนคุณสุวิทย์ คุณกิตติ ผมก็ติดต่อให้เขาดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เขาถนัด อย่างนี้เป็นต้น”
สูตรจัดตั้งรัฐบาลของสุเทพคือ “ใครจะเอากระทรวงไหนก็เอาไป ขออย่างเดียวคือนายกรัฐมนตรีต้องเป็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
เมื่อ เนวิน ชิดชอบ ตกลง ‘แต่งงาน’ กับประชาธิปัตย์ สุเทพก็ไปหา ผบ.ทบ. พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา
นักการเมืองระดับลายครามเช่นสุเทพรู้ดีว่า การเปลี่ยนแปลงขั้วการเมืองแบบนี้ “ทหารต้องเอาด้วย”
สุเทพถาม ผบ.ทบ. ตรง ๆ ว่า “รับได้ไหมถ้าพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล โดยมีคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี”
พล.อ. อนุพงษ์ตอบว่า “ทหารก็มีวินัยของทหาร ใครเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย กองทัพก็ไม่มีปัญหา”
ถึงนาทีนั้นเหลือ บรรหาร ศิลปอาชา เพียงคนเดียวที่ยังไม่ได้ตัดสินใจแต่งงานด้วย
บรรหารไม่เชื่อว่าทหารเอาด้วย สุเทพจึงบอกบรรหารว่า “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ผมจะนัดไปพบกับกองทัพเพื่อให้ทุกคนได้รู้ ให้คุณบรรหารได้มั่นใจ แต่ว่าคนอื่น ๆ ผมตกลงหมดแล้ว ตัดสินใจกันแล้ว เหลือคุณบรรหารคนเดียว”
สุเทพนัด บรรหาร ศิลปอาชา ที่กรมทหารราบที่ ๑ ไปพบ ผบ.ทบ.
ไม่มีใครรู้รายละเอียดการคุยกันในวันนั้น รู้แต่ว่า ‘ดีล’ รวมการขอให้ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่าการกระทรวงกลาโหม
วันนั้นนักข่าวสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งถ่ายภาพสุเทพกับบรรหารเข้าไปในค่ายทหาร ก็เกิดข่าว “ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร”
ด้วยไม้ตาย ‘ให้ทุกอย่าง’ และกาวพิเศษที่เชื่อมพรรคต่าง ๆ เข้าด้วยกัน คือพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคชาติไทยพัฒนา พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา กลุ่มเพื่อนเนวิน และกลุ่มอื่น ๆ ด้วยคะแนนเสียงในสภา ๒๓๕ เสียง ในวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๗ ของประเทศไทย
แน่นอน พรรคภูมิใจไทยของเนวินคว้ากระทรวงระดับเกรดเอไปครอง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ฝ่ายทักษิณพยายามดิ้นเฮือกสุดท้าย อดีตนายกรัฐมนตรีต่อสายคุยกับ เนวิน ชิดชอบ แต่เนวินบอกนายเก่าว่า “มันจบแล้วครับนาย”
การเมืองไทยจริง ๆ มักเกิดขึ้นจากการเจรจาที่ฉากหลัง เมื่อสถานการณ์เหมาะสม เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็เป็นไปได้
ประชาชนมีหน้าที่เพียงรับทราบ
แล้ววันนี้ดูเหมือนประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยอีกครั้ง
แต่ “มันจบแล้วครับนาย” จะเกิดขึ้นหรือไม่ ประชาชนก็รอรับทราบเช่นเดิม
วินทร์ เลียววาริณ
๔ กันยายน ๒๕๖๘..................
บางท่อนจากชุดสารคดี ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม 1-5 (5 เล่ม) แถมวีรบุรุษที่เราลืม
เหมาะสำหรับเก็บประจำบ้าน ให้ลูกหลานประกอบการเรียน
1,000 บาท จากราคาปก 1,605.- แต่ละเล่มหนา 256 หน้า (รวม 1,536 หน้า)
118 เรื่อง = เรื่องละ 8.4 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
ทุกเล่มมีลายเซ็นนักเขียน เหมาะเป็นของขวัญ
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วสั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6
1 วันที่ผ่านมา -
สองวันนี้ โพสต์งาน (ตามรูป) ที่บางคนอาจสงสัยว่าเป็นงานตระกูลไหน
นี่เป็นงานแนววรรณรูป ทำกันมาหลายศตวรรษแล้ว ผมก็ทำเป็นเรื่องเป็นราวในงานชุด หนึ่งวันเดียวกัน (life in a day) ที่ผมเขียนให้นิตยสาร a day นานเกือบสิบปี ตั้งแต่ฉบับปฐมฤกษ์ในปี พ.ศ. 2543 แต่สิ่งที่ผมทำอาจแตกต่างไปจากงานวรรณรูปสมัยก่อนบ้าง เพราะใส่ กราฟิก ดีไซน์ เข้าไปด้วย
หน้าตาคล้ายโฆษณาผสมเรื่องสั้น
งานแบบนี้ต้องมีทั้งรูปและเรื่องผสมกัน จุดเด่นคือเน้นคอนเส็ปต์ของเรื่อง เพราะเมื่อมีทั้งวรรณและรูป ก็สื่อความหมายได้แรงกว่าการเล่าด้วยคำพูดอย่างเดียว
มันเป็นงานแบบที่ไร้รูปแบบตายตัว หลักการคือสื่อสารอย่างไรก็ได้ ขอให้แรง ชัด เข้าใจง่าย และที่สำคัญคือต้องน้อยที่สุด (minimalism)
งานออกแบบกราฟิก โลโก้ ก็ใช้วิธีคิดแบบนี้ องค์ประกอบน้อยที่สุด แต่แรงที่สุดงานออกแบบโลโก้ในสมัยเก่า มักมีองค์ประกอบมากมาย บางอันมากจนเลอะเทอะ โลโก้สมัยใหม่ก็ยังมีคนทำกัน ใส่ทุกอย่างเข้าไปในโลโก้เดียว ในทาง กราฟิก ดีไซน์ ไม่ถือว่าเป็นงานออกแบบที่ดี
วิธีทำงานวรรณรูปต้องคิดคอนเส็ปต์ก่อนว่า ต้องการบอกอะไร สารที่จะเสนอควรมีอันเดียว แล้วออกแบบโดยทิ้งหลักการ ขนบการเขียนทั้งหมด
ก็คือไร้กระบวนท่า ใช้อะไรก็ได้เป็นเครื่องมือ
นักเขียนนักโฆษณาที่จะทำงานแนวนี้ ต้องฝึกฝนทั้งการเล่าเรื่องด้วยคำพูด และการออกแบบด้วยภาพ แล้วท้ายที่สุดลืมทุกอย่าง แล้วใช้สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวแทงเข้าไปเลย
วินทร์ เลียววาริณ
4-9-251 วันที่ผ่านมา -
เชื่อว่าผู้อ่านที่มีอายุเกิน 40 น่าจะทันเกม "He loves me, he loves me not" (บางทีเรียก "She loves me, she loves me not")
ต้นตำรับภาษาฝรั่งเศสคือ effeuiller la marguerite
เป็นเกมที่เราเด็ดกลีบดอกไม้ออกทีละกลีบ เด็ดแต่ละกลีบจะเอ่ยว่า "รัก" / "ไม่รัก" สลับกันไป
กลีบสุดท้ายคือคำไหน ก็คือคำตอบ
น่าจะมีนัยของความลังเลว่ารักใครคนนั้น หรือใครคนนั้นรักเราหรือเปล่า
การเมืองวันนี้ก็เล่นเกมนี้ นั่นคือ "ยุบ" / "ไม่ยุบ"
กลีบสุดท้ายจะออกเป็นอะไร จนปัญญารู้
รู้แต่ว่ามันไม่ใช่ดอกกุหลาบแน่ น่าจะเป็นดอก xxx มากกว่า
ว.ล.
3-9-252 วันที่ผ่านมา -
อาจารย์ชราเดินกระย่องกระแย่งด้วยไม้เท้าไปหยุดที่หน้าชั้น นั่งลง เอ่ยกับนักศึกษาทั้งหมดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าแต่เปี่ยมรอยยิ้มว่า "เพื่อนเอ๋ย ฉันเดาว่าพวกคุณทั้งหมดมาที่นี่เพื่อเรียนวิชาจิตวิทยาสังคม ฉันสอนวิชานี้มายี่สิบปีแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันพูดได้ว่า มีความเสี่ยงที่จะลงทะเบียนเรียนวิชานี้ เพราะฉันมีโรคร้ายแรงอย่างหนึ่ง ฉันอาจจะมีชีวิตอยู่ไม่จบเทอม"
มอร์รี ชวาร์ทซ์ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแบรนดิส แห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ วัยเจ็ดสิบกว่า เขาสอนหนังสือมาสามสิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยขาดงานเลย แต่นี่อาจเป็นการสอนหนังสือเทอมสุดท้ายของเขา
เขากำลังจะตายด้วยโรค Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) ร่างกายของเขาสูญเสียการควบคุมตัวทีละน้อย ทีละส่วน
มอร์รีสอนหนังสือให้เหล่านักศึกษาสายพันธุ์บุปผาชน ลูกศิษย์หลายคนของมอร์รีเป็นพวกหัวก้าวหน้า ยุคซิกซ์ตี้เป็นห้วงเวลาของการ 'ปฏิวัติวัฒนธรรม' มหาวิทยาลัยที่เขาสอนมีนโยบายต่อต้านสงครามอย่างที่สุด เมื่อรู้ว่านักศึกษาที่เกรดต่ำจะต้องถูกเกณฑ์เป็นทหารไปรบในเวียดนาม เหล่าอาจารย์ก็ไม่ให้เกรด ครั้นฝ่ายบริหารบอกว่า หากไม่ให้เกรด นักศึกษาเหล่านั้นจะสอบตกหมด และต้องไปรบ มอร์รีก็เสนอว่า "งั้นเราก็ให้เกรด เอ. พวกเขาหมดก็แล้วกัน"
สิ่งที่มอร์รีสอนไม่ใช่การเล็กเชอร์ แต่เป็นการสนทนากัน พวกเขาคุยเรื่องประสบการณ์มากกว่าทฤษฎี ภาพของมอร์รีที่ไปร่วมประท้วงกับเหล่านักศึกษาที่วอชิงตันเป็นภาพที่ชาวมหาวิทยาลัยชินตา
มอร์รีสอนการใช้ชีวิตให้เต็มที่ โลกไม่ได้มีแต่ห้องเรียนหรือเงินตรา โลกยังมีสิ่งที่เรียกว่าความรัก ความงดงามของครอบครัว ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูก และความกล้าหาญในการดำเนินชีวิตต่อไปกลางอุปสรรคที่โหดร้ายที่สุด
ความกล้าหาญนี่เองที่ทำให้เขารับมือกับโรคร้ายด้วยรอยยิ้ม
แน่ละ ไม่ทุกวันที่เขายิ้มได้ แต่การมองโลกในแง่ดีก็ทำให้เขาเดินหน้าต่อไป
มอร์รีบอกว่า "มีบางเช้าที่ฉันร้องไห้และร้องไห้ และเศร้ากับตัวเอง บางเช้าฉันโกรธและขมขื่นมาก แต่มันก็ไม่คงอยู่นาน แล้วฉันก็ลุกขึ้นแล้วบอกว่า ฉันต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป"
เพราะบางครั้งความกล้าหาญที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปยิ่งใหญ่กว่าความกล้าที่จะตาย
มอร์รีชอบเต้นรำ แม้ว่าหลายคนจะบอกว่ามันไม่ใช่การเต้นรำก็ตาม เขาเต้นไม่เป็นท่า แต่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและมีชีวิตชีวา แต่เมื่อถึงจุดที่เขาไม่สามารถบังคับร่างกายของเขา มอร์รีก็ต้องยุติการเคลื่อนไหวเช่นนั้นตลอดกาล แต่หัวใจของเขาไม่เคยหยุดเต้นรำ
เขาเดินยากลำบากขึ้นทุกที จนในที่สุดก็เดินไม่ได้โดยสิ้นเชิง เขานั่งบนรถเข็น มีคนอุ้มเขาขึ้นจากรถเข็นไปนอนบนเตียง และจากเตียงกลับไปที่รถเข็น เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย
มอร์รีบอกกับศิษย์ที่มาเยี่ยมเขาว่า "...วัฒนธรรมที่เรามีไม่ได้สอนให้ผู้คนรู้สึกดีกับตัวเราเอง เรากำลังสอนสิ่งที่ผิด และคุณต้องแข็งแกร่งพอที่จะบอก ถ้าวัฒนธรรมนั้นไม่ดี อย่าซื้อมัน สร้างวัฒนธรรมของคุณขึ้นมาเอง คนส่วนมากไม่สามารถทำอย่างนั้น พวกเขาไม่มีความสุขยิ่งกว่าฉันเสียอีก แม้ในสถานการณ์ที่ฉันกำลังประสบอยู่"
มอร์รีบอกว่า สิ่งหนึ่งที่เขาเรียนรู้หลังจากเป็นโรคนี้ คือ สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือการเรียนรู้ที่จะมอบความรัก และยอมให้มันเข้ามาหาเรา
ความรักเป็นเรื่องสวยงาม ครอบครัวเป็นสิ่งสวยงาม เพื่อนแท้เป็นสิ่งสวยงาม
อาการของเขาทรุดลงเรื่อย ๆ ในช่วงท้ายเขาจำต้องให้ผู้อื่นเช็ดก้นให้ แต่เขากลับมองมันเป็นประสบการณ์ที่น่าลอง "เหมือนกลับไปเป็นทารกอีกครั้ง" เขาเอ่ยยิ้ม ๆ
มอร์รีเป็นครูจนวันสุดท้ายของชีวิต เขาสอนให้คนรู้จักการใช้ชีวิต สิ่งที่มอร์รีสอนอาจไม่ใช่เครื่องมือสร้างความร่ำรวยตามกระแสนิยม แต่ขณะที่นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่เคยกลับไปเยี่ยมอาจารย์เก่า ลูกศิษย์ของมอร์รีกลับไปเยี่ยมเยียนเขาเสมอ
มอร์รีตายในเช้าวันเสาร์แห่งเดือนพฤศจิกายน ยามที่ใบไม้หลุดจากขั้วรับลมหนาวแรก จากไปเงียบ ๆ คนเดียว ในห้วงยามสั้น ๆ ที่ไม่มีใครเฝ้าดูเขา หัวใจที่ชอบเต้นรำของเขาหยุดเต้นในที่สุด
เมื่อถึงเวลาตาย เราล้วนตายด้วยตัวเราเอง
เมื่อเข้าใจอุปสรรค เมื่อไม่กลัวความเปลี่ยนแปลง ความตายก็เป็นเพียงการหลับธรรมดาอีกครั้งหนึ่งของชีวิต
หมายเหตุ : รายละเอียดชีวิตช่วงสุดท้ายของมอร์รีอยู่ในหนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie โดย Mitch Albom
ในรูปคือ มอร์รี กับลูกศิษย์ มิตช์ แอลบอม วันที่ 3 ตุลาคม 1995
วินทร์ เลียววาริณ
4-9-25จากเรื่อง ความฝันโง่ ๆ
2 วันที่ผ่านมา -
เพื่อสุขภาพที่ดี ควรเดินให้ได้หมื่นก้าวต่อวัน
2 วันที่ผ่านมา