-
วินทร์ เลียววาริณ5 เดือนที่ผ่านมา
ผู้ที่อ่านงานของท่านพุทธทาสภิกขุมามากพอ น่าจะเคยได้ยินชื่อหนังสือสองเล่มคือ เว่ยหล่าง กับ ฮวงโป
เว่ยหล่างก็คือท่านฮุ่ยเหนิง พระสังฆปริณายกรุ่นที่ 6 แห่งโลกเซน ("โพธิ์นั้นไม่มีต้น... ฝุ่นละอองจะลงจับบนสิ่งใด")
ส่วนฮวงโป (หวางโป้ซียิ่น) เป็นรุ่นที่ 10 ห่างจากท่านเว่ยหล่างราวร้อยปี
ฮวงโปเกิดที่ฝูเจี้ยน ในสมัยราชวงศ์ถัง ไม่ค่อยมีใครรู้ประวัติของท่านมากนัก เล่ากันว่าท่านเป็นคนร่างสูง บวชที่ภูเขาหวางโป เป็นที่มาของฉายานาม หวางโป้ซียิ่น
ท่านเดินทางไปทั่วเพื่อเรียนเซนจากอาจารย์ต่าง ๆ แต่ท่านที่เป็นอาจารย์หลักก็คือไป่จ้างหวยไห่ และสืบสายธรรมจากท่านไป่จ้างหวยไห่ ("ไม่ทำงาน ไม่ต้องกิน")
ฮวงโปสืบสายการสอนตามวิธีของหม่าจู่ที่ใช้หลักการตีตะโกน หลายครั้งท่านจะตบหน้าศิษย์ให้ตื่น หลักของฮวงโปคือจิต ท่านสอนว่า "พระพุทธทุกองค์และสรรพชีวิตทั้งหลายก็คือจิตหนึ่ง จึงไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธกับสรรพชีิวิต"
ฮวงโปปฏิเสธเด็ดขาดเรื่องทวินิยม โดยเฉพาะอย่างสภาวะระหว่างการไม่รู้แจ้งกับการรู้แจ้ง
"เมื่อเจ้ากำจัดหลักการคิดเรื่องสภาวะระหว่างการไม่รู้แจ้งกับการรู้แจ้งเมื่อใด เจ้าจะพบว่า ไม่มีพุทธะอื่นใดนอกจากภายในจิตของเจ้าเอง การเกิดมายากับการกำจัดมายาก็คือมายาทั้งคู่! มายามิใช่สิ่งที่มีรากฐานบนความจริง มันมีเพราะความคิดแบบทวินิยมของเจ้านั่นเอง เพียงแต่เจ้ายุติการคิดเรื่องสภาวะระหว่างการไม่รู้แจ้งกับการรู้แจ้งเมื่อใด มายาก็จะหายไปเอง"
ท่านยังกล่าวว่า "ทางสายที่สุดก็คือการตื่นอย่างฉับพลันเพื่อที่จะรู้ว่า จิตของเราคือพุทธะ และไม่มีอะไรที่จะไปถึง หรือการใดที่จะต้องกระทำ"
ฮวงโปสอนว่า ในเมื่อทุกชีวิตมีพุทธภาวะอยู่ในตัวแล้ว การแสวงหาพุทธภาวะจึงไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง นอกจากไม่สมควรแสวงหาแล้ว การแสวงหายังจะทำให้เห็นภาพพร่าเลือน ไม่ชัดเจนอีกด้วย
ยิ่งค้นหายิ่งหลงทาง
การศึกษาทางสายที่สุด (The Way) เป็นเพียงการพูดกันเท่านั้น เพราะทางสายที่สุดมิใช่สิ่งที่ศึกษาได้ การค้นหาทางจึงเป็นความล้มเหลว
ท่านเห็นว่าศิษย์เซนมักจะยึดติดกับ 'การแสวงหา' สภาวะรู้แจ้ง ท่านเตือนศิษย์เสมอว่า นี่ยิ่งทำให้ห่างจากการรู้แจ้ง
"หากเจ้าต้องการเป็นพุทธะ เจ้าก็ไม่ต้องศึกษาหลักการลัทธิใด ๆ เรียนรู้เพียงการหลีกเลี่ยงการค้นหาหรือยึดติดตัวเจ้ากับอะไรก็ตาม"
ฮวงโปกล่าวในที่ชุมนุมศิษย์ว่า "พวกเจ้าเป็นเช่นเมล็ดข้าวของคนหมักเหล้า หากพวกเจ้าเรียนเซนเช่นนี้ จะไม่มีวันสำเร็จ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าในสมัยราชวงศ์ถังนั้นไม่มีครูสอนเซน?"
ศิษย์คนหนึ่งกล่าวว่า "แต่มันต้องมีใครแน่ ๆ ที่สอนศิษย์ และเป็นผู้ชุมนุมศิษย์ ใช่หรือไม่?"
ฮวงโปว่า "เราไม่ได้บอกว่าไม่มีเซน เราบอกว่าไม่มีครูสอนเซน!"
วลี 'เมล็ดข้าวของคนหมักเหล้า' เป็นคำกล่าวที่นิยมพูดกันในวงการเซน หมายถึงการวาดภาพอาจารย์เซนในอดีตให้สำคัญกว่าที่เป็นจริง
ความหมายคือการกินเมล็ดข้าวที่ใช้ทำเหล้าแล้วและเชื่อว่าตนเองได้รสชาติจริงของเมล็ดข้าวก่อนหมักเหล้า
ก่อนท่านจากโลกไป ได้ให้รายชื่อศิษย์สิบสามคนที่เป็นผู้สืบทอด คนที่เด่นที่สุดคือหลินฉี
เมื่อท่านมรณภาพ เพ่ยซิวเป็นผู้รวบรวมคำสอนแทบทั้งหมดของท่านฮวงโป แต่คำสอนทั้งหมดของฮวงโปก็เป็นตำราที่ไม่ใช่ตำรา และเป็นการสอนที่ไม่ใช่การสอน เพราะในมุมมองของท่าน เซนไม่มีครู เซนเป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ ต้องพบเองผ่านการศึกษาและฝึกฝน
การรู้จักเส้นทางเป็นเรื่องหนึ่ง
การเดินไปในเส้นทางนั้นด้วยตนเองเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ประโยคนี้คล้ายๆ "There's a difference between knowing the path and walking the path." ในหนังเรื่อง The Matrix
เราไม่ได้บอกว่าไม่มีเส้นทาง เราบอกว่าไม่มีครูสอนเส้นทาง!
.....................
จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
มังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=6
เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/244/Mini%20Zen%20คู่%20Mini%20Tao
0- แชร์
- 40
-
คนรุ่นหลังอาจไม่เคยได้ยินชื่อนักแต่งเพลงลูกทุ่งนาม ไพบูลย์ บุตรขัน แต่เชื่อว่าคงเคยได้ยินเพลง ค่าน้ำนม
“แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล แม่เราเฝ้าโอ้ละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปล ไม่ห่างหันเหไปจนไกล
เมื่อเล็กจนโตโอ้แม่ถนอม แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดแต่รัก ลูกปักดวงใจ เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่ นี่แหละหนาอะไร มิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม”
ที่มาของเพลงนี้ก็น่าสนใจ
ราวปี 2483 ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ไพบูลย์ บุตรขัน ทำงานที่การไฟฟ้าฯ และเริ่มป่วยด้วยโรคเรื้อน เขามักพันผ้าพันแผลไว้รอบนิ้วเหมือนนักมวยพันผ้าก่อนสวมนวม และมักหลีกเลี่ยงให้ใครสังเกตเห็นมือของเขา
เนื่องจากในช่วงสงครามโลก หยูกยาหายาก ค่ายาแพงมาก เขาจึงต้องหารายได้จากการแต่งเพลงและแต่งหนังสือนิทานสำหรับเด็ก แต่หาเท่าไรก็ไม่พอ ตอนนั้นแต่งเพลงมีรายได้เพลงละ 50 บาท
เขาทรมานจากโรคร้ายมากจนต้องพึ่งยาเสพติด ภายหลังก็ต้องไปฟื้นตัวจากยาเสพติดจนหาย
ช่วงที่เขาป่วย แม่ของเขาดูแลเขาใกล้ชิด ไม่รังเกียจหรือกลัวโรคติดต่อ ความรักที่ไร้ข้อแม้ของแม่เป็นแรงบันดาลให้ ไพบูลย์ บุตรขัน แต่งเพลงเกี่ยวกับแม่หลายเพลง เช่น ค่าน้ำนม อ้อมอกแม่ ชั่วดี ลูกแม่ ฯลฯ
ค่าน้ำนม เป็นเพลงเกี่ยวกับแม่ที่ดีที่สุดเพลงหนึ่ง
การอัดเสียงเพลง ค่าน้ำนม เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2492 ไพบูลย์ บุตรขัน ได้ครูประกิจ วาทยกร (บุตรชายพระเจนดุริยางค์) และนักแต่งเพลง สง่า อารัมภีร เรียบเรียงเสียงประสาน บรรเลงดนตรีโดยวงคณะละครศิวารมณ์ ผู้อัดแผ่นเสียงเป็นซาวด์แมนชาวอินเดีย ซึ่งบริษัทเทมาโฟนจ้างมาอัดบันทึกเสียง
วางตัวให้ บุญช่วย หิรัญสุนทร เป็นคนร้อง
ในวันอัดเสียง ครูสง่า อารัมภีร พาลูกศิษย์ชื่อ ชาญ เย็นแข ไปช่วยงานด้วย
เวลานั้น ชาญ เย็นแข เป็นนักร้องหัดใหม่สลับฉากคณะละครศิวารมณ์ที่โรงภาพยนตร์เฉลิมนคร
ชาญ เย็นแข เป็นชาวกรุงเทพฯ จบชั้นมัธยมจากโรงเรียนวัดบวรนิเวศ ชอบร้องเพลง ตั้งแต่วัยรุ่นก็เข้าประกวดร้องเพลงตามงานวัด ในชื่อ เอี่ยวพญา ร้องเพลงครั้งแรกในปี 2484 ในการประกวดงานวัดจอมสุดาราม (วัดไพรงาม) สถานีรถไฟสามเสน ได้รางวัลที่ 3 จากเพลง กลางสายลม
ต่อมาร้องเพลงประกวดชนะเลิศในงานภูเขาทอง วัดสระเกศวรวิหาร คือเพลง รำพันรัก ในปี พ.ศ. 2488 นอกจากนี้ยังทำงานเป็นนักพากย์หนังและนักจัดรายการวิทยุ หลังจากนั้นก็สมัครเป็นศิษย์ของนักแต่งเพลง สง่า อารัมภีร
ผลจากการเป็นศิษย์ของครูสง่า ทำให้เขาไปห้องอัดเสียงในวันนั้น และผลของการไปห้องอัดเสียงในวันนั้น ทำให้ชีวิตเขาพลิกผัน
สถานที่อัดเสียงเพลง ค่าน้ำนม คือห้องอัดเสียงกมลสุโกสล ชั้นบนโรงภาพยนตร์เฉลิมไทย การอัดแผ่นเสียงในสมัยนั้น ต้องอัดเสียงร้องและเสียงดนตรีพร้อมกัน บันทึกลงแผ่นเสียงครั่ง ระบบ 78 รอบต่อนาที
เวลานัดคือ 10 โมงเช้า แต่ถึงเวลาแล้ว นักร้อง บุญช่วย หิรัญสุนทร ยังไม่โผล่มา จนบ่ายนักร้องก็ยังไม่ปรากฏตัว เชื่อว่ายังไม่กลับมาจากเชียงใหม่
ทุกคนในห้องอัดเสียงกระวนกระวายใจ ต้องตัดสินใจว่าจะยกเลิกการอัดเสียง หรือหานักร้องคนใหม่
ครูสง่าจึงเสนอให้ ชาญ เย็นแข เป็นคนร้องเพลงนี้แทน คนลงทุนแย้ง เพราะยังไม่มีใครรู้จัก ชาญ เย็นแข แต่ครูสง่าเชื่อมือลูกศิษย์คนนี้ ถกกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดที่ประชุมก็ตกลงตามนั้น
ชาญ เย็นแข จึงได้ร้องเพลงด้วยเสียงสั่นเพราะความประหม่า จนหลายคนชักสงสัยว่าจะไหวหรือ ผ่านไป 4-5 รอบ ก็ร้องสำเร็จจนได้
นักร้องได้ค่าตอบแทน 50 บาท แต่ผลที่ตามมาสูงกว่านั้นมาก เพราะเมื่อแผ่นเสียงวางจำหน่าย ทำให้ ไพบูลย์ บุตรขัน เป็นนักแต่งเพลงชั้นนำ และ ชาญ เย็นแข ผู้ร้อง กลายเป็นนักร้องดัง
ชีวิตคนเป็นเรื่องแปลก บทจะเกิดก็ได้เกิด
หลังจากนั้น ชาญ เย็นแข ก็ร้องเพลงอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ชายสามโบสถ์ สามหัวใจ กลิ่นโคลนสาบควาย บัวลืมสระ ฯลฯ
ทั้งหมดเพราะครูไพบูลย์ บุตรขัน แต่งเพลงบูชาพระคุณแม่
วินทร์ เลียววาริณ
12 สิงหาคม 2568บางท่อนจากหนังสือ บุปผาสวรรค์ / วินทร์ เลียววาริณ
1 วันที่ผ่านมา -
ครั้งสุดท้ายที่ผมพบแม่เมื่อยังมีลมหายใจนั้น แววตาแม่ผิดแผกจากทุกคราว ถึงเวลานั่งรถไฟกลับไปทำงานต่อที่กรุงเทพฯแล้ว หลังจากการลาพักร้อนไปเยี่ยมบ้านเกิดไม่กี่วัน ก่อนไปสถานีรถไฟ แม่บอกผมว่า นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน
ผมไม่เชื่อในเรื่องลางสังหรณ์ แต่ผมก็รู้โดยสัญชาตญาณว่า เป็นไปได้อย่างสูงที่ผมจะไม่ได้พบแม่อีก
แม่ป่วยด้วยโรคกระดูกมานานกว่ายี่สิบปี ในวัยหกสิบกว่า กระดูกทั้งร่างบิดผิดธรรมชาติ นิ้วมือทั้งสิบหงิกเบี้ยวด้วยฤทธิ์โรคแห่งคำสาป ทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยนแปลง ครึ้มฟ้าครึ้มฝน จะเจ็บทรมานทั้งร่างราวกับเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทงกระดูกพร้อมกัน อาการเจ็บของแม่เป็นเครื่องมือพยากรณ์อากาศได้ดีกว่ากรมอุตุนิยมวิทยา เพียงเห็นแม่เจ็บ ก็รู้ทันทีว่าอากาศเปลี่ยนแปลง ฝนจะตกในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
ผมไม่ได้กลับไปเยี่ยมแม่บ่อยนัก ด้วยข้ออ้างสารพัด งานที่รัดตัว เวลาที่น้อยแสนน้อย ฯลฯ แต่บางทีเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือการทึกทักไปเองว่าแม่คงไม่เป็นไร
ประโยค "คงไม่เป็นไร" เป็นข้อแก้ตัวที่แย่ที่สุดสำหรับคนที่เรารักและรักเรา
บางทีเมื่อสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวเจ็บป่วยนาน 10-20 ปี มันก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไป และบ่อยครั้งเราก็ลืมถามไถ่ทุกข์สุขของคนที่เราบอกว่าเรารัก
นี่เป็นเรื่องหนึ่งในชีวิตที่ผมอยากให้การเดินทางย้อนเวลามีจริง และเรามีบริการการเดินทางย้อนเวลากลับไปในช่วงยามแห่งความสุขในอดีต เยี่ยมญาติมิตรผู้จากไป แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด
แต่โลกนี้ไม่มียานเวลา ทุกวินาทีเป็นเรื่องปัจจุบัน เกิดขึ้นครั้งเดียว แวบเดียวมันก็หายไปอย่างถาวร
ความรักเป็นความงาม แต่ความรักที่ไม่แสดงออกก็เหมือนดอกไม้ที่ไร้ความหอม
ความห่วงใยเป็นเรื่องดี แต่หากไม่บอก มันก็เป็นเพียงจดหมายรักไม่ติดแสตมป์ที่เก็บไว้ในลิ้นชัก ไม่เคยส่งออกไปถึงมือผู้รับ
กตัญญูคือดอกไม้งาม กตเวทิตาคือหยดน้ำที่พร่างพรมให้สดใส หยดน้ำถึงจะเล็กและอยู่ไม่นาน แต่ก็ทำให้ดอกไม้งามขึ้น
คำของแม่เป็นจริง แม่ตายไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ไม่มีเครื่องมือพยากรณ์อากาศ
แวบเดียวมันก็หายไปอย่างถาวร...
สิ่งที่ผมทำได้ก็เพียงบอกต่อคนอื่นเรื่องที่พวกเขาอาจลืม เรื่องเล็ก ๆ ประเภท "คงไม่เป็นไร"
และเพราะโลกนี้ไม่มียานเวลา เราจึงควรกระทำ 'เรื่องเล็ก ๆ' ในชีวิตให้เป็นเรื่องที่งดงามแม้เป็นวันที่อากาศไม่ดี
ขอให้ผู้อ่านที่ยังมีแม่ ใช้วันนี้ให้คุ้มค่า เพราะยานเวลาไม่เคยมีในโลก
วินทร์ เลียววาริณ วันแม่ 12 สิงหาคม 2568
(จากหนังสือ สองแขนที่กอดโลก)
https://www.winbookclub.com/store/detail/86/สองแขนที่กอดโลก1 วันที่ผ่านมา -
เมื่อวานเห็นข่าว "ไทยไม่รักษาสัญญาหยุดยิง" แล้วโตะจายโหมะเรย
ทำไมทำยังงั้นล่ะ เราเป้นคนรักสันติภาพมิใช่หรือ
จนเมื่ออ่านข่าวจึงรู้ว่าเป็นการเล่นมุขของคนไทย
หมายถึงข่าวการแข่งขันฟุตบอลหญิงชิงแชมป์อาเซียน ทีมชาติไทยปะทะกัมพูชา
ไทยยิงไม่หยุด จบที่ 7-0
คนไทยนี่ไวจริงๆ เรื่องพาดหัว อ่านแล้วขำ
แต่อีกฝ่ายคงไม่ขำ ไม่เป็นไร ที่แน่ๆ งวดนี้ได้เลขแทงแล้ว 70
เคี้ยกเคี้ยก
ว.ล.
11-8-252 วันที่ผ่านมา -
หากเราขีดเส้นตรงเส้นหนึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนเส้นทางชีวิตของเรา จะพบว่ามันเต็มไปด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายเกาะบนเส้นทางนั้น หลายคนซึ่งติดนิสัยจัดระเบียบก็วางแผนรายละเอียดแต่ละจุดแต่ละท่อนให้เข้าที่เข้าทาง จะเรียนจบเมื่ออายุ 22 แต่งงานเมื่ออายุ 29 มีลูกเมื่ออายุ 30 รีไทร์เมื่อ 55 ฯลฯ แผนเหล่านี้ทำให้การดำเนินชีวิตง่ายขึ้น แน่นอนขึ้น เจออุปสรรคน้อยที่สุด และปลอดภัย จัดเป็น ‘ชีวิตที่ดี’
แต่เหตุการณ์ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในชีวิต เราไม่สามารถจัดระเบียบได้เสมอไป เพราะเหตุการณ์ในชีวิตเราเป็นผลรวมของการกระทำในบางจุดบางท่อนของเราบวกกับตัวแปรที่เกิดจากกระทำในบางจุดบางท่อนของคนอื่น ๆ ทำให้กระทบต่อเส้นชีวิตเรา เกิดตัวแปรใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในแผนหลักของเรา การใช้ชีวิตแบบเดินตามแผนเป๊ะจึงมิเพียงทำไม่ได้ง่าย ๆ แต่ส่วนใหญ่ทำไม่ได้
ในนวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Foundation Trilogy ของ ไอแซค อสิมอฟ ตัวละครหลักคนหนึ่งซึ่งเป็นนักคณิตศาสตร์ชื่อ ฮาริ เซลดอน พัฒนาสาขาหนึ่งของคณิตศาสตร์ เรียกว่า Psychohistory วิชานี้สามารถพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตในสเกลใหญ่ได้อย่างแม่นยำ เช่น จะเกิดสงครามในปีนั้น ประชากรโลกในปีโน้นจะมีจำนวนเท่าไร ทำนายได้ล่วงหน้าเป็นหมื่น ๆ ปี
ฮาริ เซลดอน ใช้วิชานี้ทำนายว่าจักรวรรดิซึ่งครองดาราจักรทางช้างเผือกจะเสื่อมลงภายในสามร้อยปี และดาราจักรจะเข้าสู่ยุคมืดที่กินเวลาสามหมื่นปี อย่างไรก็ตาม เขาเสนอทางแก้ไขให้ เริ่มที่รวบรวมวิทยาการทั้งหมดของมนุษยชาติเป็น Encyclopedia Galactica (สารานุกรมดาราจักร) มันจะช่วยลดยุคมืดจากสามหมื่นปีเหลือแค่พันปี กลุ่มอำนาจผู้ปกครองทางช้างเผือกก็ยินยอมให้จัดทำEncyclopedia Galactica หลังจาก ฮาริ เซลดอน เสียชีวิต ชีวิตของชาวดาราจักรทั้งปวงก็ดำเนินไปตรงตามคำทำนายของเขาทุกประการ กาลเวลาผ่านไป ทุกคำทำนายของเขากลายเป็นจริงอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วทันใดนั้นคำทำนายของเขาก็ไม่ถูกอีกต่อไป เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยเล็ก ๆ บางจุดเปลี่ยนทิศทางของอนาคตไปสู่ทางที่เซลดอนมิได้ทำนายไว้ สรุปคือเส้นชีวิตของมนุษยชาติไม่ได้เป็นสิ่งที่กำหนดหรือเห็นได้ทั้งหมด เพราะมีตัวแปรมากเกินไป
หลายคนมีภาพฝังหัวว่า ชีวิตที่มีความสุขคือชีวิตที่ตระเตรียมแผนการไว้แล้ว แต่อีกหลายคนก็มีภาพฝังหัวตรงกันข้ามว่า ชีวิตที่มีความสุขคือชีวิตที่ไม่ต้องวางแผน เป็นอิสระ ไหลไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ ค่ำไหนนอนนั่น ไม่ต้องวิตก
ทว่าทั้งสองทางอาจเป็นการยึดติดทั้งคู่ การพยายามหนีการยึดติดก็อาจเป็นการยึดติดอย่างหนึ่ง!
อิสรภาพที่แท้คือการไร้ข้อกำหนดที่ตายตัว บางครั้งบางช่วง ชีวิตก็ควรมีแผน บางท่อนก็ไม่ต้องมีแผน นี่คือการใช้ชีวิตอย่างยืดหยุ่น
ในทางวิศวกรรม โครงสร้างที่อ่อนงอไม่ได้ (rigid) มักเทอะทะใหญ่โต เพราะต้องใช้ต้านแรงต่าง ๆ เช่น ลมพายุ แผ่นดินไหว ขณะที่โครงสร้างแบบยืดหยุ่น (flexible) จะเบากว่า เพราะไม่ต้องต้านแรงภายนอกมากนัก
โครงสร้างของชีวิตก็เช่นกัน การใช้ชีวิตอย่างมีอิสระก็คือการปรับแผนได้ตามสถานการณ์และใจชอบ เช่น ตั้งใจไปเล่นสเกตน้ำแข็งแต่ระหว่างทางพบคนเต้นรำบนท้องทุ่ง ก็สามารถเปลี่ยนแผนไปเต้นรำแทนและมีความสุข
อิสระอย่างนี้คือพลิกแพลงได้ ทว่ามันก็ยังหนีไม่พ้นการวางแผน เพราะการ ‘มีแผน’ กับ ‘วางแผน’ ไม่เหมือนกัน
‘มีแผน’ คือกำหนดทิศทางของชีวิตชัดเจน เช่น จะต้องมีแฟนก่อนอายุ 30 ต้องรวยก่อนอายุ 40 ต้อง ‘เออร์ลี รีไทร์’ ตอน 50 ฯลฯ ผิดไปจากแผนนี้ก็ไม่มีความสุข เพราะชีวิตไม่ได้ดังใจ นี่คือการตั้งเป้าหมายแบบไม่ยืดหยุ่น
ส่วน ‘วางแผน’ คือการใช้ชีวิตแบบรอบคอบไม่ประมาท เช่น จะไปเที่ยวยุโรปในฤดูหนาว ก็ต้องคิดว่าเอาเงินไปเท่าไรจึงพอใช้ ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวกี่ตัว จะขึ้นรถไฟต้องไปถึงสถานีกี่โมง ไม่ใช่ไปตายเอาดาบหน้า การวางแผนนี้ไม่ได้ลดทอนความสุขของการเที่ยวยุโรปแต่อย่างไร ตรงกันข้าม อาจทำให้มีความสุขมากขึ้นด้วยเพราะไม่มีการสะดุดที่เกิดจากตัวเอง
พูดง่าย ๆ คือ แผนการเป็นแค่การคิดอย่างมีประสิทธิภาพ ความสุขเป็นเรื่องทัศนคติในการใช้ชีวิต
ความสุขไม่ได้เกิดจากแผน ความสุขเกิดขึ้นระหว่างการดำเนินชีวิตแบบไม่เคร่งครัด แต่ก็ไม่เหลาะแหละ ชีวิตที่ไม่ยืดหยุ่นมักลดโอกาสมีความสุข
คนจำนวนมากเดินชีวิตตามสูตร นั่นคือทำงานถึงวัย 60 ก็หยุดทันที ปิดสวิตช์เข้าสู่โหมดพักผ่อน รอวันตาย บางคนกดสวิตช์รีไทร์ตั้งแต่ยังหนุ่ม
คนแก่หลายคนที่พ้นวัย 60 ได้วันเดียวก็รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า แต่ชีวิตไม่จำเป็นต้องเดินตามสูตรที่สังคมกำหนดให้ ความแก่ไม่ได้เริ่มเมื่อนาฬิกาชีวิตถึงเลข 60 ความแก่เริ่มเมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกเบื่อชีวิต คนที่ไม่เบื่อชีวิตไม่มีวันแก่
บางคนเรียนจบปริญญาหลายใบ แต่สอบตกในชีวิต เพราะไม่ยืดหยุ่น
ชีวิตไม่เหมือนการเรียนในมหาวิทยาลัย มีการสอบโดยไม่แจ้งล่วงหน้า คนฉลาดพร้อมเข้าสอบทุกเมื่อ เพราะทุกวันคือความสุข
วินทร์ เลียววาริณ
11-8-25จาก ชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราว
31 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 6.1 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
เล่มเดี่ยว https://www.winbookclub.com/store/detail/137/ชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราวโปรโมชั่นพิเศษชุด
https://www.winbookclub.com/store/detail/235/R4%20%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%2042 วันที่ผ่านมา -
The Zen moment วันนี้เล่าเรื่องพระโพธิธรรมหรือท่านตั๊กม้อ (ต๋าหมอ) ที่นักอ่านนิยายจีนกำลังภายในคุ้นดี
เพราะนอกจากจะเล่าเรื่องเซนแล้ว จะถือโอกาสเล่าเรื่องเบื้องหลังนวนิยาย สี่ภพ ด้วย (พูดตรงๆ คือจะมาป้ายยานั่นแหละ!)
เพราะนวนิยายเรื่องนี้ให้พระโพธิธรรมเป็นตัวละครด้วย
พระโพธิธรรมเป็นพระอินเดีย ไปเผยแผ่นิกายเซนเป็นครั้งแรกที่เมืองจีน วัดที่พระโพธิธรรมไปหาคือวัดเส้าหลินคือภูเขาซงซาน จึงนับเป็นพระสังฆปริณายกองค์แรกของเซน
องค์ที่สองคือฮุ่ยเข่อ คนที่แขนขาด
ทั้งสององค์อยู่ในนวนิยาย
ตำนานที่เล่าต่อกันมาคือพระโพธิธรรมนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำนานเก้าปี จนปรากฏเงาบนผนัง
เรื่องนี้ผมอ่านมานานปีแล้ว นึกหาเหตุผลว่ามันเป็นสัญลักษณ์หรือเปล่า
พอมาเขียน สี่ภพ ก็สบโอกาส ใส่เป็นพล็อตไปเลย
ในเมื่อเป็นไซไฟ เงาบนผนังก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสัญลักษณ์นามธรรม
ก็มาถึง0ุดที่ผมบอกว่า นวนิยาย สี่ภพ ใช้เวลาสองช่วงคือยุคท่านตั๊กม้อกับยุค กุบไล ข่าน ระยะห่างกันราว 800 ปี
ผู้อ่านบางคนถาม แล้วจะเล่ายังไง? หมายถึงจะเล่าเรื่องไปทีละรุ่นจนครบ 800 ปีหรือ?
หามิได้ นั่นง่ายไปหน่อย!
นี่ก็คือข้อดีของนิยายไซไฟ จะเขียนอะไรก็ได้ ขอเพียงหาเหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มารองรับ 800 ปีในไซไฟไม่ถือว่ายาว!
โดยส่วนตัว ผมค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ที่ออกมา แต่เดาใจไม่ได้ว่าผู้อ่านจะพอใจด้วยไหม
วินทร์ เลียววาริณ
10-8-25(พระโพธิธรรม วาดโดยอาจารย์ฮาคุอินในศตวรรษที่ 18)
อ่านที่มาของงานชุดนี้ได้ที่ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1348523389969682&set=a.208269707328395
อ่านรายละเอียดหนังสือได้ที่
https://www.facebook.com/photo?fbid=1352241359597885&set=a.208269707328395ตอนนี้พิมพ์จริงแล้ว สั่งซื้อ คลิก https://www.winbookclub.com/store/detail/254/4%20%E0%B8%A0%E0%B8%9E
ในหน้า pre-order สามารถคลิกอ่านตัวอย่าง 2 บทได้ฟรี
3 วันที่ผ่านมา