-
วินทร์ เลียววาริณ3 เดือนที่ผ่านมา
ยุ่งๆ กับงานหนังสือ จนหายหน้าไปหลายวันจากประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่เล่าค้างไว้ วันนี้กลับมาเล่าเรื่องรัฐประหารในประเทศไทยต่อ
ล่าสุดคือขบถนายสิบ
ลำดับถัดมาคือกบฏพระยาทรงสุรเดช ปี ๒๔๘๒ พระยาทรงสุรเดชถูกกล่าวหาว่าพยายามยึดอำนาจจากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม
มันเริ่มจากวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๗ หลวงพิบูลสงครามไปชมการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษที่ท้องสนามหลวง หลังจบการแข่งขัน หลวงพิบูลสงครามและนายทหารติดตามก็เดินทางกลับ ขณะที่นายทหารใหญ่เข้าไปนั่งในรถยนต์ ชายแปลกหน้าคนหนึ่งก็เข้ามาประชิดรถ จ่อปืนพกไปที่หลวงพิบูลสงคราม เหนี่ยวไกสองนัดซ้อน กระสุนนัดแรกเจาะเข้าแก้มซ้ายทะลุออกต้นคอ นัดที่สองเจาะเข้าไหล่ขวาทะลุออกด้านหลัง
นายทหารติดตามส่งตัวหลวงพิบูลสงครามไปโรงพยาบาลกองเสนารักษ์ทหารบก หลวงพิบูลสงครามรอดชีวิตมาได้ มือปืนถูกจับตัวได้ ชื่อนายพุ่ม ทับสายทอง มาจากนครปฐม
นายพุ่ม ทับสายทอง ไม่ยอมปริปากว่าใครบงการให้มาฆ่า
สายตาของหลายคนหันไปจับที่พระยาทรงสุรเดช
...................................
วันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๑ หลวงพิบูลสงครามอยู่ในบ้าน ถูกคนสวนและคนรับใช้ชื่อนายลี บุญตา ยิงขณะก้าวออกจากห้องน้ำ มือปืนยิงพลาด และถูกจับได้
เช่นกัน นายลี บุญตา ไม่ยอมปริปากว่าใครบงการให้มาฆ่า
สายตาของหลายคนหันไปจับที่พระยาทรงสุรเดช
หลวงพิบูลสงครามเป็นนายทหารรุ่นน้องพระยาทรงสุรเดช ตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติ ทั้งสองก็มีความขัดแย้งกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างกองทัพ พระยาทรงสุรเดชเห็นว่ากองทัพไม่ควรรวมศูนย์อยู่ที่เมืองหลวง ควรใช้โครงสร้างกองทัพแบบประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ให้ทหารประจำตามภูมิลำเนาของตน อีกทั้งยศทหารไม่ควรเกินพันเอก แต่หลวงพิบูลสงครามเห็นว่า กองทัพควรรวมศูนย์ และยศทหารควรจะไปถึงจอมพล
ความขัดแย้งหนักขึ้นเรื่อย ๆ ครั้งหนึ่งหลวงพิบูลสงครามเปรยกับคนสนิทว่า ตนไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับพระยาทรงสุรเดชได้
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ด้วยบทบาททางการเมืองที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ หลวงพิบูลสงครามสร้างศัตรูจำนวนมาก โดยเฉพาะหลังปราบกบฏบวรเดช ส่งคนจำนวนหลายร้อยคนเข้าคุก
เมื่อเกิดเหตุกบฏนายสิบในปี ๒๔๗๘ สายตาของหลายคนก็หันไปจับที่พระยาทรงสุรเดช
ในปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๑ นายกรัฐมนตรี พระยาพหลพลพยุหเสนาตัดสินใจวางมือทางการเมือง และเสนอให้หลวงพิบูลสงครามก้าวขึ้นมาแทนเวลานั้นมีบุคคลสองคนที่เข้าชิงตำแหน่งนายกฯ คือพระยาทรงสุรเดชกับหลวงพิบูลสงคราม
ในการหยั่งเสียงครั้งแรก พระยาทรงสุรเดชได้รับเสียงสนับสนุน ๓๗ เสียง หลวงพิบูลสงครามได้รับเพียง ๕ เสียง
หนังสือพิมพ์ชุมชนลงข่าวสภาสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ระหว่างพระยาทรงสุรเดชกับหลวงพิบูลสงคราม ชุมชนตีพิมพ์ภาพพระยาทรงสุรเดชคู่กับหลวงพิบูลสงคราม พาดหัวว่า “ผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป” บรรยายใต้ภาพพระยาทรงสุรเดชว่า “สภาให้พระยาทรงฯ ๓๗ คะแนน” บรรยายใต้ภาพหลวงพิบูลสงครามว่า “หลวงพิบูลฯ ๕ แต้ม”
มันเป็นการเล่นคำ ‘ห้าแต้ม’ แปลได้อีกความหมายหนึ่งว่า พลาดพลั้ง น่าอับอายขายหน้า!
อย่างไรก็ตาม เมื่อลงคะแนนเสียงจริงในสภาผู้แทนราษฎร หลวงพิบูลสงครามกลับได้รับเสียงสนับสนุนมากกว่า และได้เป็นนายกรัฐมนตรี
สิบวันก่อนขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่สามของเมืองไทย เที่ยงวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ หลวงพิบูลสงครามกินอาหารกลางวันกับครอบครัวและเพื่อนทหารหลายคนที่บ้านพัก ระหว่างกินอาหารก็ล้มลงหมดสติ หมอรายงานว่าในอาหารมียาพิษ
ไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดบงการการวางยาพิษครั้งนี้ แต่ที่แน่ ๆ คือไม่ต้องการให้หลวงพิบูลสงครามขึ้นครองอำนาจ
อีกครั้งสายตาของหลายคนหันไปจับที่พระยาทรงสุรเดช ความขัดแย้งระหว่างหลวงพิบูลสงครามกับพระยาทรงสุรเดชถึงจุดระเบิดในวันอาทิตย์ที่ ๒๙ มกราคม ๒๔๘๒
เช้าวันนั้น เครื่องบินลำหนึ่งบินเหนือฟ้ากรุงเทพฯ รถจักรยานยนต์และรถยนต์ของตำรวจแล่นพล่านไปทั่วเมือง ตามคำสั่งของหลวงอดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตำรวจไปตรวจค้นบ้านของผู้ต้องสงสัยหลายคน ตั้งแต่วังกรมขุนชัยนาทนเรนทร วังศุโขทัย วังเทเวศร์ ตำหนัก ม.จ. ถาวรมงคล วัง ม.จ. ทองอนุวัตร์ ทองใหญ่ บ้าน ร.ท. ณ เณร ตาละลักษมณ์ บ้านนายเลียง ไชยกาล ฯลฯ
วิทยุรายงานว่าการจับกุมเกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่ของวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๔๘๒ ทางการจับกุมผู้ที่ต้องสงสัย ๕๑ คน ข้อหาก่อการกบฏ ผู้ที่ถูกจับกุมมีทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และผู้แทนราษฎร
การกวาดล้างครั้งนี้ถูกโยงกับความพยายามลอบสังหารหลวงพิบูลสงครามหลายครั้ง
การกวาดล้างใหญ่ทางการเมือง ชื่อทางการว่า กบฏพระยาทรงสุรเดช ผู้ถูกจับมีตั้งแต่ประชาชน ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ รัฐมนตรี ไปจนถึงพระราชวงศ์ชั้นสูง
ฝ่ายรัฐบาลเชื่อว่าหากพระยาทรงสุรเดชคิดจะยึดอำนาจจริง ย่อมต้องใช้เงิน เวลานั้นผู้ที่สามารถให้เงินทุนก่อรัฐประหารน่าจะเป็นพระราชวงศ์ชั้นสูง แต่ในเมื่อรัชกาลที่ ๗ ทรงสละราชสมบัติและเสด็จไปประทับที่อังกฤษแล้ว กรมพระนครสวรรค์ฯก็ทรงลี้ภัยอยู่ที่ชวา ก็เหลือแต่กรมขุนชัยนาทนเรนทรพระองค์เดียวที่ยังมีอำนาจ บารมี และเงินทองพอที่จะหนุนหลังการยึดอำนาจ
สายสืบของรัฐบาลเห็นกรมขุนชัยนาทฯเสด็จไปเชียงใหม่บ่อย ๆ ก็เดาว่าต้องทรงเกี่ยวข้องกับกลุ่มทหารที่เชียงใหม่ที่คิดยึดอำนาจ ความจริงแล้วพระองค์โปรดเสด็จไปประทับทางภาคเหนือ เพราะประชวรพระโรคหืด จึงต้องไปจังหวัดที่มีอากาศแห้งเช่นเชียงใหม่และลำปาง เคยเสด็จไปประทับกับ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ลำปางหลายครั้ง
คำสั่งจับกรมขุนชัยนาทฯมาจากเบื้องบนโดยตรง เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลได้ควบคุมพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร ที่สถานีรถไฟลำปาง แล้วนำเสด็จเข้ากรุงเทพฯ
ประชาชนชาวไทยแทบทุกคนตกใจ
การจับกุมบุคคลสำคัญระดับสูงอย่างไม่ไว้หน้า เป็นการส่งสัญญาณว่าผู้มีอำนาจไม่ประนีประนอมกับกลุ่มต่อต้าน จะเล่นแรง เล่นหนัก เล่นถึงตาย
อีกครั้งรัฐบาลตั้งศาลพิเศษ
ศาลพิเศษใช้เวลาพิจารณาคดีกบฏพระยาทรงสุรเดชนานสิบเดือนและพิพากษาตัดสินประหารชีวิตผู้ต้องหา ๒๑ คน แต่ละเว้นชีวิตสามคนเป็นจำคุกตลอดชีวิต ได้แก่ กรมขุนชัยนาทนเรนทร พระยาเทพหัสดิน และหลวงชำนาญยุทธศิลป์
นักโทษแทบทั้งหมดมีสายสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับพระยาทรงสุรเดช เช่น นายดาบพวง พลนาวี เป็นพี่เขยพระยาทรงสุรเดช ร.อ. ขุนคลี่พลพฤณฑ์ (คลี่ สุนทรารชุน) ร.อ. จรัส สุนทรภักดี ร.ท. แสง วัณณะศิริ ร.ท. สัย เกษจินดา ร.ท. เสริม พุ่มทอง เป็นลูกศิษย์ของพระยาทรงสุรเดช
กรมขุนชัยนาทฯถูกศาลพิเศษพิจารณาโทษ ทรงถูกถอดฐานันดรศักดิ์ เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งหมด นามในคุกบางขวางของพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๕ พระองค์นี้คือนายรังสิตประยูรศักดิ์ รังสิต ณ อยุธยาหรือนักโทษชายรังสิต
เล่นแรง เล่นหนัก เล่นถึงตาย
...................................
‘กบฏพระยาทรงสุรเดช’ ไม่ว่าเป็นกบฏจริงหรือข้อกล่าวหา ก็เป็นจุดสิ้นสุดของสี่ทหารเสือ
พระยาฤทธิอัคเนย์ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารหลวงพิบูลสงคราม ได้รับข้อเสนอสองข้อ เข้าคุกหรือออกนอกประเทศ
พระยาฤทธิอัคเนย์เลือกไปลี้ภัยที่ปีนัง ถูกประกาศจับ มีค่าหัวหนึ่งหมื่นบาทรออยู่ที่บ้าน
พระประศาสน์พิทยายุทธก็ตกอยู่ในชะตากรรมของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่โชคดีที่ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ช่วยเพื่อนไว้ โดยเสนอให้หลวงพิบูลสงครามส่งไปเป็นทูตที่เบอร์ลิน
สำหรับพระยาทรงสุรเดช รัฐบาลส่งคนไปเจรจา
“เจ้าคุณเป็นกบฏ เรามีข้อเสนอสองทาง หนึ่งคือโทษสถานหนักถึงขั้นประหารชีวิต สองคือเดินทางออกนอกประเทศ”
พระยาทรงสุรเดชไม่เหลือทางเลือกใด กล้ำกลืนความคับแค้น เดินทางออกจากประเทศไทยทางรถไฟไปกัมพูชาพร้อมกับนายทหารคนสนิท ร.อ. สำรวจ กาญจนสิทธิ์
บั้นปลายชีวิตของพระยาทรงสุรเดชตกระกำลำบากในต่างแดน เลี้ยงชีพโดยทำขนมกล้วยขาย และรับจ้างซ่อมรถจักรยาน ครอบครัวล่มสลาย
นายทหารใหญ่ผู้ปราดเปรื่องที่สุดคนหนึ่งเสียชีวิตในต่างแดนอย่างคนยากไร้อนาถาเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๗ อายุ ๕๒ ปี จากโลกไปด้วยความตรอมตรมจากพิษการเมือง
เกมชิงอำนาจในช่วงต้นของระบอบประชาธิปไตยไทยเป็นการฆ่ากันตรง ๆ ระหว่างคนที่กอดคอกันมา
ออสการ์ ไวล์ด เขียนว่า “เพื่อนแท้แทงท่านตรงข้างหน้า”
แต่ในโลกการเมืองไม่มีเพื่อนแท้
โลกการเมืองคือโลกของการแทงมีดใส่กัน
ความแตกต่างอยู่ที่ใครแทงก่อน
.........................
จากชุด ประวัติศาสตร์ที่เราลืม / วินทร์ เลียววาริณ
ตอนนี้มีโปรโมชั่นสุดคุ้ม สั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6
0- แชร์
- 31
-
ประเทศที่มีชื่อเรียกว่าสหรัฐอเมริกา เกิดขึ้นโดยชาวยุโรปรุกรานแผ่นดินของชาวพื้นเมือง (อินเดียนแดง) ประเมินว่าชาวอินเดียนแดงถูกฆ่าไปราว 4 ล้านคน นักประวัติศาสตร์บางคนเสริมว่าส่วนหนึ่งตายเพราะโรคภัยที่ชาวยุโรปนำไปให้ ไม่ว่าทางใด มันก็คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลก ตามมาด้วยการกลืนชาติ (ethnic cleansing) ทำให้ตัวตนคนพื้นเมืองปลาสนาการไปตลอดกาล
แล้วแผ่นดินอเมริกาก็ตกเป็นของคนผิวขาวโดยสิ้นเชิง
American Primeval เป็นมินิซีรีส์เล่าเรื่องประวัติศาสตร์มืดท่อนหนึ่งของการสร้างชาติสหรัฐฯ ในปี 1857 เกิดการสังหารหมู่นักเดินทาง (settlers) ที่มุ่งหน้าไปตั้งถิ่นฐานทางตะวันตก ในเขต Mountain Meadows พื้นที่ยูทาห์ เรียกเหตุการณ์นี้ว่า The Mountain Meadows Massacre รัฐบาลเชื่อว่าพวกมอร์มอนอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ โดยใช้อินเดียนแดงเผ่า Paiute ช่วย
พวกมอร์มอนเป็นสาวกศาสนาคริสต์นิกายใหม่ กลุ่ม Church of Jesus Christ of Latter-day Saints (LDS Church) ก่อตั้งที่นิวยอร์ก ปัจจุบันใหญ่เป็นอันดับ 4 ในอเมริกา
หลังเหตุการณ์การสังหารหมู่นักเดินทาง ก็เกิดความขัดแย้งระหว่างพวกกองกำลังมอร์มอนที่เขตยูทาห์กับรัฐบาลสหรัฐฯ
American Primeval เล่าเรื่องท่อนนี้
ในหนังอิงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ ตัวละครผู้ว่าการรัฐยังก์ซ่องสุมผู้คนเพื่อหมายยึดครองดินแดนยูทาห์ทั้งหมด โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ ปลูกฝังให้ผู้คนเชื่อว่าพวกเขาเป็น The Chosen (ผู้ที่พระเจ้าเลือก) และดินแดนนั้นเป็นดินแดนพันธสัญญา (Promised land) ดังนั้นพวกเขาจึงมีความชอบธรรมในการฆ่าเพื่อครอบครองดินแดนนั้น
มาถึงจุดนี้เราอาจจะอุทานว่า เรื่องนี้คุ้นๆ สหรัฐฯขยายดินแดนไปทางตะวันตกได้ด้วยพวก settlers เมื่อหันมามองโลกปัจจุบัน อิสราเอลก็มี settlers ไปตั้งถิ่นที่กาซาไม่น้อยกว่าห้าแสนคน เป้าหมายเดียวกันคือกลืนชาติปาเลสไตน์ให้หายไป เหมือนที่เกิดขึ้นกับอินเดียนแดงในสหรัฐฯ
ใช่ เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ประเทศที่มีชื่อเรียกว่าอิสราเอล ก็เกิดขึ้นโดยชาวยิวที่เรียกว่าไซออนนิสต์ยึดครองแผ่นดินปาเลสไตน์โดยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการกลืนชาติ ทุกวันนี้อิสราเอลก็ยังเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์ตายทุกวันโดยชาวโลกทำอะไรไม่ได้
ที่น่าขันขื่นมีสองข้อคือ ข้อหนึ่ง ชาวยิวหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของฮิตเลอร์ แต่กลับกระทำเรื่องเดียวกันทุกประการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ให้สิ้นซาก
ข้อสอง สหรัฐฯฆ่าคนพื้นเมืองจนเหี้ยน และผ่านไปสองศตวรรษหลังประกาศอิสรภาพ ก็ช่วยไซออนนิสต์ฆ่า 'คนพื้นเมือง' ปาเลสไตน์อีกรอบ
ดังนั้นแม้หนังเรื่องนี้แม้ไม่เอ่ยถึงยิวสักคำ แต่มันอดไม่ได้ที่ต้องเปรียบเทียบเรื่องนี้กับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เพราะไม่ว่าคนเขียนบทจะตั้งใจหรือไม่ ตัวหนังพูดเรื่องศาสนา พูดเรื่อง The Chosen พูดเรื่อง Promised land พูดเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพื่อยึดครองดินแดนที่คัมภีร์บอกว่าเป็นดินแดนพันธสัญญา ทุกบริบทตรงกันเป๊ะ
ในท่อนหนึ่งของ American Primeval อินเดียนแดงถามตัวละคร 'Abish' ที่ตกเป็นเชลยว่า "Why do your people have so much hunger to kill?" - ทำไมพวกคุณจึงกระหายอยากฆ่านัก?
Abish ตอบว่า "ความกลัวกระมัง ฉันคิดว่าอย่างนั้นนะ หรือบางทีสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจ สิ่งนี้... โลกของพวกคุณไม่เหมือนโลกของเรา"
ตัวละครอินเดียนแดงจึงพูดเชิงปลงตกว่า "That is life."
American Primeval จัดเป็นหนัง western ก็จริง แต่มันไปลึกกว่าหนังตระกูลนี้ทั่วไป แม้เป็นหนังต่อสู้กันสไตล์หนัง western แต่มันไม่ใช่หนังยิงกันธรรมดา มันสะท้อนการเมือง ความสกปรกของการตั้งประเทศ การเข่นฆ่า การเอาตัวรอด และการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ
ในเรื่องนี้ทั้งคนดีและคนเลวต่างก็ดิ้นรนเอาตัวรอด หรือพูดใหม่ได้ว่า ในเรื่องนี้มีแต่คนสีเทาๆ
American Primeval เขียนบทโดย Mark L. Smith คนเขียนบท The Revenant ของ Alejandro G. Iñárritu
กำกับโดย Peter Berg คนสร้าง Lone Survivor และได้นักแสดงคนหนึ่งจากเรื่องนั้นมานำในเรื่องนี้คือ Taylor Kitsch
บทแน่น ผู้กำกับคุมหนังอยู่ หนังเดินเรื่องเร็ว กระชับ สนุก โหด เหี้ยม ดิบ เถื่อน เต็มไปด้วยภาพสยองขวัญ เป็นหนัง western ที่ดิบที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยดูมา
หนังจับเราอยู่ตลอด แม้หนังจะโหด เลือดสาด แต่คนดูก็ไม่อาจหยุดดูได้ หนังรักษาโทนและอารมณ์ของเรื่องได้สม่ำเสมอ ตัวละครมาก แต่โดยโครงสร้างพล็อตเรื่องไม่ซับซ้อนมากนัก เราตามติดตัวละคร ลุ้นไปกับตัวละครและเหตุการณ์ นี่ไม่ใช่งานเขียนบทและการกำกับง่ายๆ
ในท่อนท้าย หนังอาจจะออกแนวเมโลดรามาไปบ้าง (ก็นะ! เอาสักหน่อย! ไม่งั้นเรื่องหม่นหมองมาก) แต่ในภาพรวม มันเป็นหนังทรงพลังเรื่องหนึ่ง มันรวมความสนุกและสาระเข้าด้วยกัน และตบหน้าสังคม
นี่ไม่ใช่หนังฟีลกู๊ด พระเอกช่วยเหลือคนแล้วขี่ม้าหายไปในแสงตะวันสนธยา ทั้งเรื่องคือโลกที่มืดหม่น โหดร้าย
ที่น่าเศร้าคือ เราก็ยังอยู่ในโลกใบนั้น
ในตอนที่ 5 ตัวละครร้อยเอก Edmund Dellinger ทหารรัฐบาลเขียนบันทึกในไดอารีว่า "เมื่อวานนี้ผมเห็นหมีกริซลีตัวหนึ่งว่ายข้ามแม่น้ำเคนยามอรุณรุ่ง ผมประจักษ์แสงตะวันอาบขนสีทองของมันหลังใบหู แสงรัศมีสีทองโอบศีรษะใหญ่ของมัน ผมรู้สึกถ่อมตัวและตื่นตาในอำนาจและความสง่าของสัตว์ตัวนี้ มีความรู้สึกว่ามีพลังอำนาจที่เหนือกว่าเราจะรู้ควบคุมโลก มีคำตอบต่อคำถามนั้น แต่ขณะนี้ยังคงมองไม่เห็น ผมมีความหวังว่ามีความเป็นไปได้ที่มีสันติภาพและความงดงามสำหรับเราทั้งหมด ผมมีความหวังว่าความงามที่ผมมองเห็นบนแผ่นดินนี้มีอำนาจเหนือความมืดมน ผมมีความหวังว่าในวันที่มืดที่สุดและยากจะจัดการที่สุด ความรักจะเป็นสถานที่พักใจที่ปลอดภัย นำทางเราทั้งหลายออกจากไฟนรกแห่งความกลัวซึ่งขับคนไปยังมุมเงียบของนรกที่มืดและโหดร้าย ผมมีความหวังว่าอำนาจแห่งความรักจะช่วยเราทั้งหลาย"
ที่น่าเศร้าคือ ในโลกที่เราอยู่ ผู้คนลืมไปแล้วว่าความรักเป็นอย่างไร
วินทร์ เลียววาริณ
23-7-2510/10
ฉายทาง Netflixวินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
0 วันที่ผ่านมา -
เมื่อเล่าถึงซูเปอร์แมนตัวจริง คริสโตเฟอร์ รีฟ แล้ว ก็ต้องเล่าถึงบุคคลที่ทำให้เขายืนหยัดเป็นซูเปอร์แมนต่อไปได้ คือภรรยาของเขา ดานา เป็นสุดยอดผู้หญิงคนหนึ่ง
เมื่อ คริสโตเฟอร์ รีฟ ฟื้นขึ้นจากอาการโคม่าที่โรงพยาบาลและรับรู้ว่าเขากลายเป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงไปนั้น สิ่งแรกที่เขาคิดคือการฆ่าตัวตายให้พ้นทุกข์
ดานา ภรรยาของเขาบอกว่าขอผ่านเวลาสักสองปีก่อนได้หรือไม่ เธอบอกเขาว่า "หากถึงตอนนั้นคุณยังไม่หาย ฉันจะช่วยฆ่าคุณเอง"
สองปีผ่านไป เขาเลิกล้มความคิดที่จะฆ่าตัวตาย
เธอบอกคนอื่นในภายหลังด้วยเสียงหัวเราะว่า "ฉันก็สัญญากับเขาไปยังงั้นแหละ... สัญญาแบบพวกเซลส์แมนไง"
ดานาเป็นหญิงสาวสวย เป็นนักแสดงและนักร้องที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ หลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุตกม้าและเป็นอัมพาตถาวร เธอก็เลิกอาชีพการงานของเธอ ไปเคียงข้างเขาให้มีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป
ดานาไม่เคยสิ้นความหวังที่จะหาทางรักษาสามี พวกเขาเสาะหานักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาประสาทวิทยาและต่อมาก็ก่อตั้งมูลนิธิ องค์กรวิจัยงานทางวิทยาศาสตร์เพื่อช่วยเหลือคนเป็นอัมพาต พยายามต่อสู้เพื่อให้รัฐสนับสนุนการวิจัยปลูกถ่ายสเตม เซลล์ ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลไม่สนับสนุน ด้วยเหตุผลทางการเมืองที่อิงกับศาสนาและคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยบอกว่า มันเป็นเรื่องเหนือกงการของมนุษย์ที่ไปก้าวก่าย 'ผลงาน' ของพระเจ้า
เก้าปีถัดมา เขาก็จากเธอไป
เก้าปีสำหรับคนที่เป็นอัมพาตอาจดูยาวนานเหมือนอนันตกาล แต่สำหรับเขา มันเป็นของขวัญ ทุก ๆ วันที่เขายังหายใจได้เป็นวันพิเศษ เขายังคงเล่นและกำกับหนัง ร่วมกิจกรรมการกุศลต่าง ๆ ทั้งที่ต้องนั่งบนเก้าอี้เข็นตลอดเวลา
เขาบอกว่า เขาโชคดียิ่งที่มีคู่ชีวิตเช่นเธอ ทั้งสองแต่งงานมานานสิบสองปี รักกันมาก และเพราะความรักนี้เองที่ทำให้เขาอยู่นานขนาดนั้น
เมื่อเขาจากโลกไปนั้น เธอบอกว่า แสงสว่างของเธอดับวูบ เธอสูญเสียเพื่อนที่ดีที่สุดไปแล้ว
...................
เธอนั่งทำงานในห้องทำงานของเขา บนผนังแขวนโปสเตอร์หนังใส่กรอบ เรื่อง In the Gloaming (ในแสงสลัว - 1997) ภาพยนตร์ที่เขากำกับให้เอชบีโอ ทุกสิ่งในห้องนี้ดูเรียบร้อยกว่านี้เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ เขาไม่ชอบให้ข้าวของเกะกะ
แต่ตอนนี้ไม่มีร่างของเขา
"ตอนนี้ - มากกว่าที่เคยเป็น ฉันรู้สึกว่าคริสอยู่กับฉัน ขณะที่ฉันกำลังเผชิญหน้าความท้าทายนี้ เช่นที่เป็นมาเสมอ ฉันมองเขาเป็นสุดยอดตัวอย่างของคนที่ต่อสู้อุปสรรคด้วยพลัง ความกล้าหาญ และความหวัง"
เธอซ่อนความเศร้าไว้ภายใน แล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ สานต่องานของเขา นั่นคือเรี่ยไรเงินให้มากพอสำหรับการวิจัยของมูลนิธิ โดยเฉพาะเมื่อปราศจากสามีผู้มีชื่อเสียง การเรี่ยไรเงินไม่ใช่งานง่าย การโน้มน้าวใจคนในรัฐบาลยิ่งยากเย็น ใบหน้าของเธอเป็นที่คุ้นตาคนในวอชิงตันมากขึ้น เมื่อเธอพยายามล็อบบี้กฎหมายบางฉบับเพื่อให้สามารถวิจัยการปลูกถ่ายสเตม เซลล์
ชีวิตและงานเดินหน้าต่อไป มูลนิธิมอบเงินสนับสนุนโครงการต่าง ๆ มากมายเพื่อชีวิตที่ดีกว่า จนถึงวันนี้มูลนิธิให้เงินสนับสนุนการวิจัยมากกว่า 55 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และโครงการใหม่ของเธอเองอีก 8 ล้านเหรียญ
สิบเดือนหลังจากเขาจากไป หมอบอกเธอว่าเธอเป็นมะเร็งปอด เป็นข่าวที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเธอไม่สูบบุหรี่ หลายคนเชื่อว่าความเศร้าที่รุมเร้าเธอหลังจากความตายของเขาน่าจะมีส่วนอย่างมากที่ทำให้เธอล้มป่วย
"ฉันเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับความโศกเศร้าว่า มันมักหมุนเป็นวงจริง ๆ..." เธอเล่าในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง "...คริสกับฉันเคยพูดกันเมื่อเขาประสบอุบัติเหตุว่า 'เอาละ นี่อาจจะเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับเรา แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็มีกันและกันที่จะช่วยฟันฝ่ามันไปด้วยกัน' ..."
อีกครั้ง - ในแสงสลัว - เธอต้องฟันฝ่าโรคร้ายด้วยตัวเองคนเดียว
หลังจากผ่านการรักษาด้วยกัมมันตภาพรังสี และสูญเส้นผม เธอสวมวิกที่ยืมมาจากเพื่อน ออกงานการกุศล เธอยังร้องเพลงด้วยรอยยิ้มราวกับไม่มีเรื่องร้ายใด ๆ เกิดขึ้นกับเธอ
อาจเป็นความรักอันท่วมท้นที่ไม่มีวันเหือดแห้งของเขาที่มีต่อเธอที่ทำให้เธอเข้มแข็งต่อไป เธอบอกว่า "มันเป็นเรื่องที่ออกจะลี้ลับสักหน่อย แต่ใครบางคนบอกว่า 'เขาจะอยู่กับคุณเสมอไป'... ฉันคิดว่าใครคนหนึ่งต้องรักคุณมากถึงขนาดที่เกิดพลังงานที่จะอยู่ร่วมกับคุณ และนั่นเป็นความรู้สึกสบายอย่างหนึ่ง และมันรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นจริง"
อาจเป็นเพราะความรักของมนุษย์ไม่มีวันเหือดแห้ง ที่ทำให้มนุษยชาติอยู่รอดมาถึงวันนี้
ความรักสามารถทำให้คนคนหนึ่งลุกขึ้นยืน ก้าวเดินไปข้างหน้า ความรักอันแท้จริงทำให้เราแลเห็นคุณค่าของชีวิต ทั้งของเราเองและของผู้อื่น มีแต่รักแท้ที่ทำให้เราเกิดเมตตาต่อสรรพชีวิตโดยไม่มีข้อแม้
เพราะนี่เป็นโลกที่แสนยุ่งเหยิงและเศร้าสลัวเสมอ เราจึงต้องการแสงสว่างของความรักขับไล่ความสลัวนั้น
ดานา รีฟ จากโลกไปเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2549 หนึ่งปีกับห้าเดือนหลังจากคนที่เธอรักตายไป เธอมีอายุเพียง 44 ปี
แต่ช่วงชีวิตของเธอไม่นับว่าสั้นแม้แต่น้อย เพราะโลกของเธอคือโลกแห่งความสว่างไสว
บางทีความรักของคนบางคู่ยิ่งใหญ่เกินไปที่จะถูกจำกัดด้วยเวลา เป็นความรัก - เช่นที่เธอว่า - ขนาดที่เกิด 'พลังงานที่จะอยู่ร่วมกัน'
นั่นเป็นความรู้สึกสบายอย่างหนึ่ง และมันรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นจริง
วินทร์ เลียววาริณ
23-7-25จากหนังสือ ความฝันโง่ ๆ
(หนังสือหมดแล้ว และจะไม่ตีพิมพ์อีก)1 วันที่ผ่านมา -
รอจนหนังเกือบออกจากโรงแล้ว จึงค่อยไปดู
Jurassic World Rebirth
เขียนบทโดย David Koepp คนเขียนตอนแรก
กำกับโดย Gareth Edwards คนทำ Godzilla (2014), Rogue One: A Star Wars Story (2016), The Creator (2023)
หนังเรื่องนี้ชื่อ Rebirth ทั้งที่ความจริงควรตั้งชื่อว่า Jurassic World Recycle จะถูกต้องกว่า
ไม่ใช่ lazy writing หรอกนะ แต่เป็น cliche writing
แต่สำหรับนายทุน มันก็คงเป็น Rebirth จริงๆ เพราะตอนนี้โกยไปเกือบ 650 ล้าน
แต่คงเป็นตอนสุดท้ายที่ผมจะดู ไม่ไหวแล้ว เต็มกลืน (เอ๊ะ! คราวก่อนก็พูดอย่างนี้!)
คงไม่ต้องให้คะแนนนะ เดี๋ยวจะเคืองกันเปล่าๆ
วินทร์ เลียววาริณ
22-7-25ฉายในโรงภาพยนตร์
วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
1 วันที่ผ่านมา -
เมื่อพูดถึงซูเปอร์แมนในหนัง ก็ต้องพูดถึงซูเปอร์แมนตัวจริง
คริสโตเฟอร์ รีฟ ผู้ที่ชาวโลกรู้จักดีที่สุดในบท 'ซูเปอร์แมน' บนจอเงิน ประสบอุบัติเหตุตกจากหลังม้า เป็นอัมพาตตั้งแต่ลำคอลงมา
ในชั่วข้ามคืน เขากลายเป็นคนพิการที่ต้องพึ่งพารถเข็นไปตลอดชีวิต
ก่อนมาเป็นดาราภาพยนตร์นั้น เขาเคยเป็นนักแสดงละครบรอดเวย์คู่กับนักแสดงรุ่นใหญ่ แคธรีน เฮพเบิร์น
เฮพเบิร์นคงมองเห็นแววนักแสดงของเขา และพูดล้อเล่นว่ารีฟ "จะดูแลฉันตอนฉันแก่"
รีฟกล่าวว่า "ผมไม่คิดว่าผมจะอยู่นานขนาดนั้นหรอกครับ มิสเฮพเบิร์น"
เขาคิดจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง แต่ภรรยาของเขาบอกว่า "ฉันยังรักคุณไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไรก็ตาม คุณยังเป็นตัวคุณ"
คำกล่าวนี้ทำให้เขามีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป และยังคงทำงานในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการแสดงและการกำกับภาพยนตร์ อีกทั้งก่อตั้งมูลนิธิเพื่อคนเป็นอัมพาต หาเงินมาเป็นทุนวิจัยงานด้าน สเตม เซลล์ เพื่อช่วยคนพิการผ่านทางวิทยาศาสตร์
ภาพที่ชาวโลกเห็นคือชายที่นั่งในรถเข็น พูดเสียงแหบอู้อี้ ร่างกายร่วงโรยทางกายลงไปทุกวัน แต่จิตใจแข็งประหนึ่งหินผา ทำงานไม่หยุดหย่อน
คริสโตเฟอร์ รีฟ กล่าวว่า "ความฝันของเรามากมายดูเป็นไปไม่ได้ในทีแรก แล้วมันก็ดูเหมือนไม่น่าจะเกิดขึ้น และแล้ว... เมื่อเรามุ่งมั่นแน่วแน่ มิช้ามันก็กลายเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นที่จะกลายเป็นจริง"
วันที่เขาลาโลกไปนั้น ชาวโลกต่างยอมรับว่า เขาเป็นซูเปอร์แมนตัวจริง
มนุษย์เราพานพบอุปสรรคทุกวัน คนที่พ่ายแพ้คือคนที่ใจยอมแพ้ก่อนที่จะสู้
ความเจ็บปวด ความขมขื่น ความยากลำบากของอุปสรรคเป็นด่านที่ขวางทางเราทุกคน ช้าหรือเร็วเราก็ต้องพานพบมัน
คนชนะไม่ได้ชนะเพราะเก่งกว่า แต่เพราะไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
เราทุกคนเป็นซูเปอร์แมนได้ ถ้าตั้งใจที่จะ 'บิน' ให้ได้
วินทร์ เลียววาริณ
22-7-25จาก อาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
48 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 165 บาท = บทความละ 3 บาท+ (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/85/อาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก1 วันที่ผ่านมา -
คำตอบสำเร็จรูปของท่านรัฐมนตรีรักชาติ
ก. "เย็นไว้ๆ เดี๋ยวมันก็คลี่คลายเอง"
ข. "เราจะตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องนี้"
ค. "ใจเย็นๆ เราขอศึกษาข้อมูลก่อน"
ง. "เรากำลังทำงานอยู่"
จ. "เรากำลังพิจารณาอย่างรอบคอบ"
ฉ. "ผมยังไม่ได้รับรายงาน"
ญ. "ขอตัวก่อนนะ ผมต้องไปทำงานเพื่อประชาชน"
...................................
นักข่าวสัมภาษณ์ท่านรัฐมนตรีรักชาติ
"ท่านครับ ท่านจะจัดการยังไงกับปัญหาเจ้าอาวาส มีข่าวฉาวไม่หยุดหย่อน"
(ตอบด้วยข้อ ก. "เย็นไว้ๆ เดี๋ยวมันก็คลี่คลายเอง")
"ตอนนี้เขมรกล่าวหาว่าไทยวางกับระเบิดเอง ท่านคิดว่าไงครับ?"
(ตอบด้วยข้อ ข. "เราจะตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องนี้")
"ท่านจะจัดการอังเคิลยังไง? มากวนทุกวันเลย"
(ตอบด้วยข้อ ค. "ใจเย็นๆ เราขอศึกษาข้อมูลก่อน")
"ท่านจะคิดว่านายกฯยุบสภาดีหรือลาออกดี?"
(ตอบด้วยข้อ ง. "เรากำลังทำงานอยู่")
"ท่านจะจัดการ tariff ทรัมป์อย่างไร?"
(ตอบด้วยข้อ จ. "เรากำลังพิจารณาอย่างรอบคอบ")
"ท่านส่งใครไปเจรจาแล้วยัง?"
(ตอบด้วยข้อ ฉ. "ผมยังไม่ได้รับรายงาน")
"สรุปคือท่านไม่มีคำตอบในทุกเรื่อง?"
(ตอบด้วยข้อ ญ. "ขอตัวก่อนนะ ผมต้องไปทำงานเพื่อประชาชน")
วินทร์ เลียววาริณ
22-7-252 วันที่ผ่านมา