-
วินทร์ เลียววาริณ5 เดือนที่ผ่านมา
ยุ่งๆ กับงานหนังสือ จนหายหน้าไปหลายวันจากประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่เล่าค้างไว้ วันนี้กลับมาเล่าเรื่องรัฐประหารในประเทศไทยต่อ
ล่าสุดคือขบถนายสิบ
ลำดับถัดมาคือกบฏพระยาทรงสุรเดช ปี ๒๔๘๒ พระยาทรงสุรเดชถูกกล่าวหาว่าพยายามยึดอำนาจจากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม
มันเริ่มจากวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๗ หลวงพิบูลสงครามไปชมการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษที่ท้องสนามหลวง หลังจบการแข่งขัน หลวงพิบูลสงครามและนายทหารติดตามก็เดินทางกลับ ขณะที่นายทหารใหญ่เข้าไปนั่งในรถยนต์ ชายแปลกหน้าคนหนึ่งก็เข้ามาประชิดรถ จ่อปืนพกไปที่หลวงพิบูลสงคราม เหนี่ยวไกสองนัดซ้อน กระสุนนัดแรกเจาะเข้าแก้มซ้ายทะลุออกต้นคอ นัดที่สองเจาะเข้าไหล่ขวาทะลุออกด้านหลัง
นายทหารติดตามส่งตัวหลวงพิบูลสงครามไปโรงพยาบาลกองเสนารักษ์ทหารบก หลวงพิบูลสงครามรอดชีวิตมาได้ มือปืนถูกจับตัวได้ ชื่อนายพุ่ม ทับสายทอง มาจากนครปฐม
นายพุ่ม ทับสายทอง ไม่ยอมปริปากว่าใครบงการให้มาฆ่า
สายตาของหลายคนหันไปจับที่พระยาทรงสุรเดช
...................................
วันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๑ หลวงพิบูลสงครามอยู่ในบ้าน ถูกคนสวนและคนรับใช้ชื่อนายลี บุญตา ยิงขณะก้าวออกจากห้องน้ำ มือปืนยิงพลาด และถูกจับได้
เช่นกัน นายลี บุญตา ไม่ยอมปริปากว่าใครบงการให้มาฆ่า
สายตาของหลายคนหันไปจับที่พระยาทรงสุรเดช
หลวงพิบูลสงครามเป็นนายทหารรุ่นน้องพระยาทรงสุรเดช ตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติ ทั้งสองก็มีความขัดแย้งกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างกองทัพ พระยาทรงสุรเดชเห็นว่ากองทัพไม่ควรรวมศูนย์อยู่ที่เมืองหลวง ควรใช้โครงสร้างกองทัพแบบประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ให้ทหารประจำตามภูมิลำเนาของตน อีกทั้งยศทหารไม่ควรเกินพันเอก แต่หลวงพิบูลสงครามเห็นว่า กองทัพควรรวมศูนย์ และยศทหารควรจะไปถึงจอมพล
ความขัดแย้งหนักขึ้นเรื่อย ๆ ครั้งหนึ่งหลวงพิบูลสงครามเปรยกับคนสนิทว่า ตนไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับพระยาทรงสุรเดชได้
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ด้วยบทบาททางการเมืองที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ หลวงพิบูลสงครามสร้างศัตรูจำนวนมาก โดยเฉพาะหลังปราบกบฏบวรเดช ส่งคนจำนวนหลายร้อยคนเข้าคุก
เมื่อเกิดเหตุกบฏนายสิบในปี ๒๔๗๘ สายตาของหลายคนก็หันไปจับที่พระยาทรงสุรเดช
ในปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๑ นายกรัฐมนตรี พระยาพหลพลพยุหเสนาตัดสินใจวางมือทางการเมือง และเสนอให้หลวงพิบูลสงครามก้าวขึ้นมาแทนเวลานั้นมีบุคคลสองคนที่เข้าชิงตำแหน่งนายกฯ คือพระยาทรงสุรเดชกับหลวงพิบูลสงคราม
ในการหยั่งเสียงครั้งแรก พระยาทรงสุรเดชได้รับเสียงสนับสนุน ๓๗ เสียง หลวงพิบูลสงครามได้รับเพียง ๕ เสียง
หนังสือพิมพ์ชุมชนลงข่าวสภาสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ระหว่างพระยาทรงสุรเดชกับหลวงพิบูลสงคราม ชุมชนตีพิมพ์ภาพพระยาทรงสุรเดชคู่กับหลวงพิบูลสงคราม พาดหัวว่า “ผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป” บรรยายใต้ภาพพระยาทรงสุรเดชว่า “สภาให้พระยาทรงฯ ๓๗ คะแนน” บรรยายใต้ภาพหลวงพิบูลสงครามว่า “หลวงพิบูลฯ ๕ แต้ม”
มันเป็นการเล่นคำ ‘ห้าแต้ม’ แปลได้อีกความหมายหนึ่งว่า พลาดพลั้ง น่าอับอายขายหน้า!
อย่างไรก็ตาม เมื่อลงคะแนนเสียงจริงในสภาผู้แทนราษฎร หลวงพิบูลสงครามกลับได้รับเสียงสนับสนุนมากกว่า และได้เป็นนายกรัฐมนตรี
สิบวันก่อนขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่สามของเมืองไทย เที่ยงวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ หลวงพิบูลสงครามกินอาหารกลางวันกับครอบครัวและเพื่อนทหารหลายคนที่บ้านพัก ระหว่างกินอาหารก็ล้มลงหมดสติ หมอรายงานว่าในอาหารมียาพิษ
ไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดบงการการวางยาพิษครั้งนี้ แต่ที่แน่ ๆ คือไม่ต้องการให้หลวงพิบูลสงครามขึ้นครองอำนาจ
อีกครั้งสายตาของหลายคนหันไปจับที่พระยาทรงสุรเดช ความขัดแย้งระหว่างหลวงพิบูลสงครามกับพระยาทรงสุรเดชถึงจุดระเบิดในวันอาทิตย์ที่ ๒๙ มกราคม ๒๔๘๒
เช้าวันนั้น เครื่องบินลำหนึ่งบินเหนือฟ้ากรุงเทพฯ รถจักรยานยนต์และรถยนต์ของตำรวจแล่นพล่านไปทั่วเมือง ตามคำสั่งของหลวงอดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตำรวจไปตรวจค้นบ้านของผู้ต้องสงสัยหลายคน ตั้งแต่วังกรมขุนชัยนาทนเรนทร วังศุโขทัย วังเทเวศร์ ตำหนัก ม.จ. ถาวรมงคล วัง ม.จ. ทองอนุวัตร์ ทองใหญ่ บ้าน ร.ท. ณ เณร ตาละลักษมณ์ บ้านนายเลียง ไชยกาล ฯลฯ
วิทยุรายงานว่าการจับกุมเกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่ของวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๔๘๒ ทางการจับกุมผู้ที่ต้องสงสัย ๕๑ คน ข้อหาก่อการกบฏ ผู้ที่ถูกจับกุมมีทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และผู้แทนราษฎร
การกวาดล้างครั้งนี้ถูกโยงกับความพยายามลอบสังหารหลวงพิบูลสงครามหลายครั้ง
การกวาดล้างใหญ่ทางการเมือง ชื่อทางการว่า กบฏพระยาทรงสุรเดช ผู้ถูกจับมีตั้งแต่ประชาชน ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ รัฐมนตรี ไปจนถึงพระราชวงศ์ชั้นสูง
ฝ่ายรัฐบาลเชื่อว่าหากพระยาทรงสุรเดชคิดจะยึดอำนาจจริง ย่อมต้องใช้เงิน เวลานั้นผู้ที่สามารถให้เงินทุนก่อรัฐประหารน่าจะเป็นพระราชวงศ์ชั้นสูง แต่ในเมื่อรัชกาลที่ ๗ ทรงสละราชสมบัติและเสด็จไปประทับที่อังกฤษแล้ว กรมพระนครสวรรค์ฯก็ทรงลี้ภัยอยู่ที่ชวา ก็เหลือแต่กรมขุนชัยนาทนเรนทรพระองค์เดียวที่ยังมีอำนาจ บารมี และเงินทองพอที่จะหนุนหลังการยึดอำนาจ
สายสืบของรัฐบาลเห็นกรมขุนชัยนาทฯเสด็จไปเชียงใหม่บ่อย ๆ ก็เดาว่าต้องทรงเกี่ยวข้องกับกลุ่มทหารที่เชียงใหม่ที่คิดยึดอำนาจ ความจริงแล้วพระองค์โปรดเสด็จไปประทับทางภาคเหนือ เพราะประชวรพระโรคหืด จึงต้องไปจังหวัดที่มีอากาศแห้งเช่นเชียงใหม่และลำปาง เคยเสด็จไปประทับกับ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ลำปางหลายครั้ง
คำสั่งจับกรมขุนชัยนาทฯมาจากเบื้องบนโดยตรง เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลได้ควบคุมพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร ที่สถานีรถไฟลำปาง แล้วนำเสด็จเข้ากรุงเทพฯ
ประชาชนชาวไทยแทบทุกคนตกใจ
การจับกุมบุคคลสำคัญระดับสูงอย่างไม่ไว้หน้า เป็นการส่งสัญญาณว่าผู้มีอำนาจไม่ประนีประนอมกับกลุ่มต่อต้าน จะเล่นแรง เล่นหนัก เล่นถึงตาย
อีกครั้งรัฐบาลตั้งศาลพิเศษ
ศาลพิเศษใช้เวลาพิจารณาคดีกบฏพระยาทรงสุรเดชนานสิบเดือนและพิพากษาตัดสินประหารชีวิตผู้ต้องหา ๒๑ คน แต่ละเว้นชีวิตสามคนเป็นจำคุกตลอดชีวิต ได้แก่ กรมขุนชัยนาทนเรนทร พระยาเทพหัสดิน และหลวงชำนาญยุทธศิลป์
นักโทษแทบทั้งหมดมีสายสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับพระยาทรงสุรเดช เช่น นายดาบพวง พลนาวี เป็นพี่เขยพระยาทรงสุรเดช ร.อ. ขุนคลี่พลพฤณฑ์ (คลี่ สุนทรารชุน) ร.อ. จรัส สุนทรภักดี ร.ท. แสง วัณณะศิริ ร.ท. สัย เกษจินดา ร.ท. เสริม พุ่มทอง เป็นลูกศิษย์ของพระยาทรงสุรเดช
กรมขุนชัยนาทฯถูกศาลพิเศษพิจารณาโทษ ทรงถูกถอดฐานันดรศักดิ์ เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งหมด นามในคุกบางขวางของพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๕ พระองค์นี้คือนายรังสิตประยูรศักดิ์ รังสิต ณ อยุธยาหรือนักโทษชายรังสิต
เล่นแรง เล่นหนัก เล่นถึงตาย
...................................
‘กบฏพระยาทรงสุรเดช’ ไม่ว่าเป็นกบฏจริงหรือข้อกล่าวหา ก็เป็นจุดสิ้นสุดของสี่ทหารเสือ
พระยาฤทธิอัคเนย์ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารหลวงพิบูลสงคราม ได้รับข้อเสนอสองข้อ เข้าคุกหรือออกนอกประเทศ
พระยาฤทธิอัคเนย์เลือกไปลี้ภัยที่ปีนัง ถูกประกาศจับ มีค่าหัวหนึ่งหมื่นบาทรออยู่ที่บ้าน
พระประศาสน์พิทยายุทธก็ตกอยู่ในชะตากรรมของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่โชคดีที่ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ช่วยเพื่อนไว้ โดยเสนอให้หลวงพิบูลสงครามส่งไปเป็นทูตที่เบอร์ลิน
สำหรับพระยาทรงสุรเดช รัฐบาลส่งคนไปเจรจา
“เจ้าคุณเป็นกบฏ เรามีข้อเสนอสองทาง หนึ่งคือโทษสถานหนักถึงขั้นประหารชีวิต สองคือเดินทางออกนอกประเทศ”
พระยาทรงสุรเดชไม่เหลือทางเลือกใด กล้ำกลืนความคับแค้น เดินทางออกจากประเทศไทยทางรถไฟไปกัมพูชาพร้อมกับนายทหารคนสนิท ร.อ. สำรวจ กาญจนสิทธิ์
บั้นปลายชีวิตของพระยาทรงสุรเดชตกระกำลำบากในต่างแดน เลี้ยงชีพโดยทำขนมกล้วยขาย และรับจ้างซ่อมรถจักรยาน ครอบครัวล่มสลาย
นายทหารใหญ่ผู้ปราดเปรื่องที่สุดคนหนึ่งเสียชีวิตในต่างแดนอย่างคนยากไร้อนาถาเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๗ อายุ ๕๒ ปี จากโลกไปด้วยความตรอมตรมจากพิษการเมือง
เกมชิงอำนาจในช่วงต้นของระบอบประชาธิปไตยไทยเป็นการฆ่ากันตรง ๆ ระหว่างคนที่กอดคอกันมา
ออสการ์ ไวล์ด เขียนว่า “เพื่อนแท้แทงท่านตรงข้างหน้า”
แต่ในโลกการเมืองไม่มีเพื่อนแท้
โลกการเมืองคือโลกของการแทงมีดใส่กัน
ความแตกต่างอยู่ที่ใครแทงก่อน
.........................
จากชุด ประวัติศาสตร์ที่เราลืม / วินทร์ เลียววาริณ
ตอนนี้มีโปรโมชั่นสุดคุ้ม สั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6
0- แชร์
- 39
-
สมรภูมิในสงครามโลกครั้งที่สองบ่อยครั้งอยู่กลางอากาศ เมื่อเครื่องบินประจัญบานของสองฝ่ายยิงกัน เครื่องบินใครถูกยิงหนักก็ร่วง นักบินมักเสียชีวิต ลำไหนโชคดีถูกยิงเบาหน่อย นักบินก็พาเครื่องบินกลับฐานได้ บ่อยครั้งเครื่องบินที่กลับถึงฐานถูกยิงจนพรุน
กองทัพอากาศสหรัฐฯพยายามคิดหาวิธีเพิ่มสมรรถนะของเครื่องบิน ให้ถูกยิงตกน้อยที่สุด พวกเขาขอให้นักคณิตศาสตร์นาม อับราฮัม วัลด์ (Abraham Wald) แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ช่วยวิเคราะห์ปัญหาเครื่องบินถูกยิง
ในมุมมองของคนทั่วไป จุดที่เครื่องบินถูกยิงมากที่สุดคือจุดเปราะบาง ควรเสริมเหล็กให้หนาขึ้น แต่วัลด์มองต่างมุม เขาเห็นว่า ในเมื่อเครื่องบินถูกยิงจนพรุน แล้วยังสามารถบินกลับฐานได้ ก็แสดงว่าจุดที่ถูกยิงไม่ต้องเสริมอะไร
ตรงกันข้าม ควรไปเสริมจุดที่ไม่มีรอยกระสุนมากกว่า เพราะอาจแปลว่ามันเป็นจุดที่ถูกยิงแล้วร่วง จึงไม่ได้บินกลับมาให้เห็น
การมองด้านข้างแบบนี้ถูกนำไปพัฒนาเครื่องบินรบในช่วงสงครามให้ทำงานดีขึ้น
มนุษย์จำนวนไม่น้อยก็มักมีกรอบคิดอย่างนี้ ลงทุนในส่วนที่ไม่จำเป็น เช่น ลงทุนปรับปรุงหน้าตามากกว่าสมอง หรือปรับปรุงภาพลักษณ์มากกว่าความสามารถจริง
และเมื่อพบปัญหาจริง ๆ ก็มักโดนยิงตก!
วินทร์ เลียววาริณ
8-9-25จาก กอดหนาม
51 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 260 บาท = บทความละ 5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/241/กอดหนาม
โปรโมชั่นคู่กับเล่มอื่น https://www.winbookclub.com/store/detail/243/%28S11%29%20กอดหนาม%20+%20ปฎิบัติการผ่าสมองไอน์สไตน์%20+%20Mini%20Tao
Shopee เดี่ยว https://s.shopee.co.th/qUBWxp70F1 วันที่ผ่านมา -
วงการการเมืองไทยเป็นเหมือนตลาดหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนในแต่ละบริษัท (พรรค) คาดหมายผลกำไรและ 'เงินปันผล' ที่เรียกกันว่า 'โควตา' โอกาสที่คนนอกบริษัทจะเข้ามาทำงาน (หรือพูดหยาบๆ ว่า 'ชุบมือเปิบ') นั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก
สองวันนี้มีข่าวนายกฯคนใหม่ทาบทามมือเศรษฐกิจ 'คนนอก' หลายคนมาทำงานด้วย
คำว่า 'คนนอก' มีนัยว่ามือสะอาด ทางการเมืองถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ส่วนจะเกิดขึ้นเพราะเป็นยุทธศาสตร์ทางการเมืองหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นของบทความนี้
ประเด็นของบทความนี้คือคำถามว่า คนนอก 'น้ำดี' ควรทำงานให้คนการเมืองที่อาจจะ 'ไม่ค่อยดี' หรือไม่
ตัวอย่างชัดที่สุดคือกรณี ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ กับจอมเผด็จการ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ทั้งสองคนเป็นคนละทางกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งเป็นนักวิชาการมือสะอาด ซื่อสัตย์ อีกคนหนึ่งมาจากการยึดอำนาจ ยิงเป้าคนเป็นว่าเล่น
แต่น้ำดีอย่าง ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ กลับยอมทำงานให้จอมเผด็จการ สฤษดิ์ ธนะรัชต์
ทำไม? คำตอบคือเพื่อประโยชน์ของชาติ
เป็นที่รับรู้ชัดเจนมาตลอดว่า ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มือสะอาด ฉลาดเฉลียว ขวางทางคอร์รัปชั่นมาโดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เคยเล่าว่า ในช่วงปลายที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ครองอำนาจ มีคนสามคนถือเขาเป็นศัตรู ทั้งสามล้วนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ได้แก่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และพล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ภายใต้ความขัดแย้งและแรงกดดัน ผู้ใหญ่จึงส่งเขาไปทำงานที่ประเทศอังกฤษ
ป๋วยเป็นลูกคนจีน ฐานะไม่ดี ชีวิตต้องดิ้นรนแต่เด็ก อาศัยที่รักดี ก็เรียนจบธรรมศาสตร์บัณฑิตรุ่นแรกจากมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
เขาสอบชิงทุนรัฐบาลได้ ไปเรียนปริญญาตรี สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์และการคลัง ที่ London School of Economics & Political Science มหาวิทยาลัยลอนดอน เรียนสามปีก็จบด้วยคะแนนสูง เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
เมื่อกองทัพญี่ปุ่นบุกเมืองไทยในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2484 รัฐบาลไทยโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ร่วมวงไพบูลย์กับญี่ปุ่น ประกาศสงครามกับสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา รัฐบาลไทยออกคำสั่งให้คนไทยในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาเดินทางกลับ ป๋วยเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ไม่ทำตามคำสั่ง ตรงกันข้ามกลับเข้าร่วมขบวนการเสรีไทย ต่อต้านญี่ปุ่น ป๋วยมีบทบาทเจรจากับรัฐบาลอังกฤษให้ยอมรับขบวนการเสรีไทย
ป๋วยและเสรีไทยรวม 36 คนสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพบกอังกฤษ เรียกว่า กลุ่มช้างเผือก ใช้ชื่อว่า เข้ม เย็นยิ่ง เดินทางไปกับกองทัพเรืออังกฤษ จากลิเวอร์พูลไปที่ เมืองปูนา อินเดีย ฝึกหลักสูตรการทหารนานหกเดือน และเป็นเสรีไทยชุดแรกที่มาปฏิบัติการในไทย เป้าหมายเพื่อติดต่อ รูธ หรือ ปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าเสรีไทย
กว่าจะติดต่อกับรูธได้ ป๋วยก็ต้องผ่านวิบากกรรมระหว่างการเข้ามาปฏิบัติการ ถูกชาวบ้านจับไปส่งตำรวจ ถูกจับข้อหาสายลับส่งตัวไปกรุงเทพฯ แต่เสรีไทยที่กรุงเทพฯช่วยจัดการจนได้พบ ปรีดี พนมยงค์
ปรีดี พนมยงค์ ส่งป๋วยกลับไปอังกฤษอีกครั้ง เพื่อเจรจาให้รัฐบาลอังกฤษยอมรับขบวนการเสรีไทยเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรม และยอมให้ถอนเงินสำรองที่รัฐบาลไทยฝากไว้ที่ธนาคารกลางอังกฤษ
หลังสงครามโลก ดร. ป๋วยเดินทางกลับประเทศไทย และปฏิเสธการทำงานกับบริษัทเอกชนทุกแห่ง ทิ้งโอกาสและผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่เอกชนเสนอให้ เขาเลือกเข้ารับราชการ เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดินที่ส่งเขาไปเรียนที่ต่างประเทศ
ดร. ป๋วยรับราชการในตำแหน่งเศรษฐกร กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ไต่เต้าขึ้นเป็นผู้ช่วยฝ่ายวิชาการของปลัดกระทรวงการคลัง กรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และในปี พ.ศ. 2496 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้เงินบาทมีเสถียรภาพและเงินสำรองระหว่างประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น
ในปี พ.ศ. 2496 จอมพลสฤษดิ์ต้องการซื้อสหธนาคารกรุงเทพจำกัด แต่ถูก ดร. ป๋วยขัดขวางโดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม เนื่องจากธนาคารแห่งนี้กระทำผิดระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องถูกปรับเป็นเงินหลายล้านบาท จอมพลสฤษดิ์ไปพบ ดร. ป๋วย ขอร้องเชิงบังคับให้ยกเลิกการปรับ แต่ ดร. ป๋วยไม่ยอม ในที่สุดธนาคารก็เสียค่าปรับ
จอมพลสฤษดิ์โกรธ ดร. ป๋วยมาก ผลก็คือปลายปีนั้น ดร. ป๋วยถูกสั่งย้ายพ้นจากตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ไปรับราชการเป็นผู้เชี่ยวชาญการคลัง กระทรวงการคลัง
มิเพียงขวางทางจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เขายังขัดขา พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์
ในเวลานั้นอธิบดีกรมตำรวจผู้นี้มีอำนาจล้นฟ้า ไม่กี่ปีก่อนหน้านั้น อัศวินตำรวจในสังกัดได้สังหารโหดสี่รัฐมนตรีกลางกรุง เพียงคิดจะขวางทางอธิบดีกรมตำรวจ ก็เป็นเรื่องอันตรายยิ่ง
นอกจากตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พล.ต.อ. เผ่าได้เสนอให้รัฐบาลเปลี่ยนบริษัทพิมพ์ธนบัตร จาก บริษัท ธอมัส เดอ ลา รู เป็นบริษัทแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
ดร. ป๋วยขัดขวางเรื่องนี้ ให้เหตุผลว่าผลงานของบริษัท ธอมัส เดอ ลา รู ได้มาตรฐานกว่า การปลอมธนบัตรทำได้ยากกว่า อีกทั้งกล่าวว่าบริษัทที่พล.ต.อ. เผ่าเสนอไม่น่าเชื่อถือ และมีชื่อเรื่องการวิ่งเต้น
รัฐบาลทำตามคำแนะนำของ ดร. ป๋วย เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจแก่ พล.ต.อ. เผ่าเป็นอย่างมาก
เพื่อความปลอดภัยและลดแรงกดดันรอบทิศ พระบริภัณฑ์ยุทธกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงขอให้ ดร.ป๋วย ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจการคลัง ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทยในอังกฤษ
คนดีคนซื่อสัตย์อยู่ในเมืองไทยลำบาก
ผ่านไปร่วมสองปี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก่อรัฐประหาร จอมพล ป. หนีไปเขมรและญี่ปุ่นตามลำดับ และไม่ได้กลับเมืองไทยอีกเลย
ส่วน พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ก็ไปลี้ภัยที่สวิตเซอร์แลนด์ และไม่ได้กลับเมืองไทยอีกเช่นกัน
แล้วก็ถึงคราวคิดบัญชี ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ จอมพลสฤษดิ์สั่งตามตัว ดร. ป๋วยมาทันที เมื่อพบตัวแล้วกล่าวว่า “ผมต้องการให้คุณมาทำงานกับผม”
ศัตรูที่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้นหายาก ศัตรูที่หาญกล้าต่อกรอำนาจที่เหนือกว่าเพื่อรักษาประโยชน์ของประชาชนยิ่งหายาก
ปี พ.ศ. 2502 จอมพลสฤษดิ์แต่งตั้งให้ ดร. ป๋วยเป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
ต่อมาระหว่างที่ประชุมคณะรัฐมนตรีดีบุกโลกที่ลอนดอน ดร. ป๋วยได้รับโทรเลขจากจอมพลสฤษดิ์ให้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดร. ป๋วยปฏิเสธไม่ขอรับตำแหน่งนี้ ให้เหตุผลว่าตนได้สาบานตอนเข้าเป็นเสรีไทยว่า จะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ยกเว้นแต่เกษียณอายุราชการไปแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่า การร่วมคณะเสรีไทยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง จอมพลสฤษดิ์จึงแต่งตั้ง ดร. ป๋วยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ต่อมาจอมพลสฤษดิ์ก็แต่งตั้ง ดร. ป๋วยเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง ดร. ป๋วยในวัย 43 ปีจึงคุมทั้งนโยบายด้านการเงิน การคลัง และงบประมาณของประเทศ หากมิใช่เพราะจอมพลสฤษดิ์เห็นว่า ดร. ป๋วยเป็นคนซื่อสัตย์ ทำงานเพื่อแผ่นดินจริง ๆ ย่อมไม่ยกตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งให้
ตลอดหลายปีนั้นจอมพลสฤษดิ์ไม่ก้าวก่ายงานของ ดร. ป๋วยเลย เพราะเชื่อว่าเขาจะทำงานสุดความสามารถและสุจริต และอีกประการ ก็คงรู้ว่าก้าวก่ายไม่สำเร็จแน่ ความประพฤติของ ดร. ป๋วยตรงดุจทวนเหล็ก ซื้อไม่ได้
ครั้งหนึ่งจอมพลสฤษดิ์พูดกับ ดร. ป๋วยว่า “บ้านของคุณเป็นเรือนไม้เล็ก ๆ อยู่ไม่สบาย ผมจะสร้างตึกให้ใหม่เอาไหม?”
ดร. ป๋วยตอบขอบคุณ แต่ปฏิเสธ
เมื่อถูกถามหลายหน ก็ตอบว่า “ภรรยาผมไม่ชอบอยู่ตึก”
ตลอดสิบสองปีที่ ดร. ป๋วยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นห้วงสมัยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยถูกการเมืองแทรกแซงน้อยที่สุด เขาสามารถรักษาเสถียรภาพเงินตราได้อย่างแข็งแกร่ง เริ่มนวัตกรรมต่าง ๆ ทางการเงิน อดีตเสรีไทย นายเข้ม เย็นยิ่ง เป็นบุคคลที่ต่างประเทศยกย่องนับถืออย่างยิ่ง
และเมื่อการเมืองไทยพลิกผันสู่ความโสมมอีกครั้งในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นายเข้ม เย็นยิ่ง ก็ต้องลี้ภัยในต่างประเทศ
สิบเอ็ดปีต่อมา เมื่อนายเข้ม เย็นยิ่ง กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทยสองพันคนยืนต้อนรับเขาด้วยน้ำตา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักศึกษายืนต้อนรับ ถือป้ายข้อความว่า ‘ปลื้มใจนักเตี่ยกลับบ้าน’
คนดีจริงตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
คนเก่งที่ซื่อสัตย์ แม้แต่คนเกลียดก็คารวะ
คนจริงที่หาญต้านอำนาจเถื่อน แม้แต่ศัตรูก็ยำเกรง
ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นบทเรียนสำหรับคนมือสะอาดที่มีความรู้ว่า จงอย่ากลัวที่จะทำดีเพื่อแผ่นดินเลย ถ้าอยู่ในตำแหน่งและโอกาสที่จะช่วยลดจำนวนโควตาทางการเมือง ก็จงทำเถิด
วินทร์ เลียววาริณ
7 กันยายน 2568..........................
บางท่อนจาก สามก๊กบนเส้นขนาน
หนังสือแนวประวัติศาสตร์เปรียบเทียบไทยกับจีน เล่าเรื่องที่คนไทยทุกคนน่าจะรู้ การเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในสามก๊ก อาจจะช่วยให้เข้าใจกลไกและโครงสร้างทางการเมืองของเราชัดเจนขึ้น
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/155/สามก๊กบนเส้นขนาน%20%28ปกอ่อน%29
โปรโมชั่นแพ็คคู่สุดคุ้ม https://www.winbookclub.com/store/detail/246/โปรโมชั่นแพ็คคู่%20สามก๊ก%2520ฉบับ%20วินทร์%20เลียววาริณ%20+%20สามก๊กบนเส้นขนาน
1 วันที่ผ่านมา -
นานปีก่อนหน้าที่มังกรเซนพระสังฆปริณายกองค์ที่สองแห่งจีน ต้าจู่ฮุ่ยเข่อต้องคำสั่งประหารชีวิตโดยการใส่ร้ายจากเจ้าลัทธิอื่น ๆ นั้น ท่านอาศัยในพื้นที่แถบแม่น้ำแยงซี และมีโอกาสพบชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง
ชายผู้นั้นมีอายุราวสี่สิบปี บอกอาจารย์ฮุ่ยเข่อว่า "ข้าพเจ้ามีโรคภัยคุกคาม ได้โปรดชี้แนะทางสำนึกบาปแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด"
มังกรเซนแขนเดียวกล่าวว่า "นำบาปของเจ้ามา แล้วอาตมาจะชำระให้"
ชายผู้นั้นนิ่งไปครู่ใหญ่ กล่าวว่า "ข้าพเจ้าหามันไม่พบ"
"เช่นนั้นเจ้าก็ได้สำนึกบาปแล้ว!"
อาจารย์ฮุ่ยเข่อพบว่าชายผู้นี้เป็นคนเฉลียวฉลาดและใฝ่ธรรม ในที่สุดก็บวชให้เขาและกล่าวว่า "เจ้าเป็นอัญมณีที่เปล่งประกาย"
และนี่เองกลายเป็นชื่อใหม่ของพระใหม่ เซิงค่าน แปลว่า ภิกขุอัญมณี
ตำนานเล่าว่า นับแต่นั้นอาการป่วยไข้ของพระเซิงค่านก็ค่อย ๆ หายไป
เซิงค่านติดตามอาจารย์ฮุ่ยเข่อหกปี ซึ่งรวมช่วงเวลาที่อาจารย์ถูกฝ่ายศัตรูตามปองร้าย อาจารย์ได้ถ่ายมอบบาตร จีวร สังฆาฏิที่สืบทอดมาจากพระพุทธองค์ต่อให้เซิงค่าน เป็นพระสังฆปริณายกองค์ที่สามของจีน
เนื่องจากถูกศัตรูตามล่า ในช่วงเวลาที่วัดวาอารามทางเหนือของจีนถูกทำลาย ในช่วง ค.ศ. 574-577 โดยคำสั่งของจักรพรรดิโจวหวู่ตี้ ห้ามนับถือและประกอบพิธีของศาสนาต่าง ๆ ให้พระคืนสู่ฆราวาส อาจารย์ฮุ่ยเข่อจึงสั่งให้เซิงค่านอยู่ตามป่าเขาจนกว่าจะถึงเวลาเหมาะสม ค่อยออกมาเผยแผ่ธรรมต่อไป
ประวัติของเซิงค่านรู้กันน้อยมาก ไม่มีใครรู้แน่ว่าท่านมาจากไหน ครอบครัวทำอะไร ราวกับว่าจู่ ๆ ท่านก็ปรากฏขึ้นมาบนโลกเป็นพระสังฆปริณายกองค์ที่สามแห่งจีน
เซิงค่านกล่าวว่า "ตัวตนที่แท้ย่อมไม่มี 'อื่น ๆ' และ 'ตัวตน' เมื่อจำต้องแยกแยะ เรากล่าวเพียงว่า 'ไม่ใช่สอง' เนื่องจากเมื่อไม่ใช่สอง ทุกอย่างก็จะเหมือนกัน..."
ท่านสอนว่า "เมื่อจิตไม่ถูกรบกวน ก็เป็นเช่นไม่มีจิต"
และ "เมื่อรู้แจ้งจากภายใน เราจะไปในความว่างเปล่าแห่งโลก"
อาจารย์เซิงค่านอาศัยอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรแถบตะวันตกเฉียงใต้ของอานฮุย พเนจรไปตามที่ต่าง ๆ นานสิบปี ท่านมีชื่อเสียงในฐานะผู้เขียนบทกวีเซน ซิ่นซินหมิง (Verses on Faith-Mind / 信心銘) แปลว่า บทกวีความเชื่อแห่งจิต ซึ่งเป็นงานเซนแรก ๆ ที่ใช้เป็นแบบฝึกหัดสำหรับนักศึกษาเซนในยุคต่อมา
ซิ่นซินหมิง มีกลิ่นของปรัชญาเต๋าแทรกอยู่มาก เช่นเรื่องของสุญตา สอนให้โอบรับทั้งเรื่องดีและไม่ดีในชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน ตำราของท่านเป็นเช่นอัญมณีที่ส่องประกายนำทางคนจำนวนมาก
แนวคิดของท่านเซิงค่านก็เช่นพระโพธิธรรมและอาจารย์ฮุ่ยเข่อ สอนให้ไม่ยึดติดกับทวิลักษณ์ ลืมเรื่องคำพูดและความคิดเสีย เน้นที่ปัญญา ดังที่เขียนไว้ในบทแรกของ ซิ่นซินหมิง คือ
วิถีทางที่แท้มิใช่เรื่องยาก
นอกเสียจากว่าเจ้าจะเลือก
เพียงเป็นอิสระจากความเกลียดและความรัก
จึงเผยตัวตนที่เข้าใจแจ่มแจ้งผู้รู้บางท่านตีความหมายของ 'การไม่เลือก' ว่า เซนไม่ยึดติดกับคำพูด การใช้คำพูดคือการทำให้ต้องเลือกและการทำความเข้าใจ นั่นคือกับดักของความคิดอย่างหนึ่ง
เซียงเหยียนจี้เสียน อาจารย์เซนในศตวรรษที่ 9 กล่าวว่า "เซนก็เหมือนชายคนหนึ่งที่ห้อยตัวเหนือหน้าผาสูงชัน มือของเขาจับแต่อากาศขาแกว่งไปมา มีแต่ปากของเขาเท่านั้นที่กัดกิ่งไม้บนหน้าผานั้น ใครอีกคนหนึ่งอยู่เบื้องล่างถามเขาว่า "ทำไมพระโพธิธรรมจึงมาเมืองจีน?" (หมายความว่า อะไรคือสาระของเซน) ถ้าเขาไม่ตอบ เขาก็ล้มเหลว ถ้าเขาตอบเขาก็จะร่วงลงไปตาย เขาควรทำเช่นไร?
ข้อความใน ซิ่นซินหมิง นี้มีกลิ่นอายของเต๋าอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังพูดถึงเรื่องอกรรม (อู๋เหวย) ของเต๋า
เต๋าเป็นปรัชญาที่ก่อร่างโดยปรมาจารย์เล่าจื๊อราวหนึ่งพันปีก่อนหน้ายุคของเซิงค่าน เนื่องจากเซนได้รับอิทธิพลมาจากเต๋าไม่น้อย ศัพท์หลายคำของเซนจึงยืมมาจากเต๋า แม้แต่คำว่า เต๋า ที่ใช้ในเซน! เต๋า แปลว่า ทางเดิน แต่ในทางเซนมีความหมายถึงธรรมชาติเดิมที่มีอยู่แล้ว พุทธทาสภิกขุอธิบายว่า มันก็มีความหมายทำนองเดียวกับจิตหนึ่งและพุทธะ
วิถีทางที่แท้หรือทางสายที่สุดของเล่าจื๊อคือความไม่ปรารถนาสิ่งใด ละวางความหยิ่งทระนง ความอาวรณ์ ละทิ้งรูปแบบพิธีการทั้งหลาย
ปรัชญาเต๋ามองไม่เห็นประโยชน์ของการดิ้นรนแสวงหาสิ่งสูงสุด เห็นว่าความยุ่งยากทั้งมวลที่เกิดขึ้นในโลกเกิดจากการกระทำ จึงสมควรแก้ด้วย อู๋เหวย (การกระทำโดยไม่ฝืน การกระทำที่สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่ดิ้นรนเพื่อหวังผล)
สำหรับคนที่ใช้ชีวิตหลายปีในการเดินทางพเนจรเช่นท่านเซิงค่าน หนทางเป็นมากกว่า 'หนทาง'
ทุกสายทางของชีวิตสามารถเป็นทางสายที่สุดได้ และการไปสู่จุดหมายมิได้อยู่ที่ 'ทาง' หากอยู่ที่ 'ใจ'
หลังจากถ่ายทอดธรรมให้ศิษย์นาม เต้าซิ่น แล้ว ท่านก็เดินทางเผยแผ่ธรรมไปทั่ว มีลูกศิษย์ลูกหาไม่น้อย
วันหนึ่งในปี ค.ศ. 606 ยามที่ท้องฟ้าแจ่มใส ต่อหน้าศิษย์ทั้งหลายใต้ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง อัญมณีที่เปล่งประกายในโลกแห่งธรรมมาหลายสิบปีก็ละสังขาร
หลังจากที่อาจารย์เซิงค่านละสังขารจากโลกไป จักรพรรดิเสวียนจง แห่งราชวงศ์ถังถวายเกียรติท่านโดยสถาปนาท่านในตำแหน่ง เจียนจื่อ (鑑智) แปลว่า ปัญญาแห่งกระจกเงา
ชีวิตก็คือกระจกเงาสะท้อนให้เห็นสัจธรรมของความเปลี่ยนแปลง
และชาวเซนย่อมเข้าใจว่า การเปลี่ยนแปลงกับการไม่เปลี่ยนแปลงเป็นการมองต่างมุมของสิ่งเดียวกัน
เมื่อเข้าใจความแตกต่างของความไม่แตกต่าง ก็เข้าใจเซน
วินทร์ เลียววาริณ
7-9-25.............................
จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
มังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=61 วันที่ผ่านมา -
จักรวาลเริ่มต้นจากความไม่มีอะไร จุดเริ่มต้นนั้นเรียกว่า singularity จากจุด singularity กลายเป็น บิ๊ก แบง คือจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง รวมทั้งเวลา
เราเชื่อว่าเวลาเกิดตอนบิ๊ก แบง แต่เราไม่รู้ว่าเวลาคืออะไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
จุดกำเนิดจักรวาล (หรือ บิ๊ก แบง) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดเวลา ก่อนหน้าเกิด บิ๊ก แบง ไม่มีเวลา เรียกว่า a day without a yesterday
อ่านบทความใหม่ได้จาก https://www.blockdit.com/posts/6878b03707472d530d01b81a
2 วันที่ผ่านมา -
ช่วงนี้เพื่อนๆ ผมพากันรณรงค์ออกกำลังกายกัน ตั้งเป้าเดินให้ได้วันละหมื่นก้าว
ผมก็เป็นพวกไม่ค่อยเชื่อใครง่ายๆ ด้วยซี เดินหมื่นก้าวดีจริงหรือ?
ก็ต้องหันไปดูธรรมชาติ
เพราะธรรมชาติมักให้คำตอบที่ดีที่สุด
ข้อมูลบอกว่ากระต่ายกระโดดโลดเต้นตลอดวัน อายุแค่ 3-8 ปี ก็เด๊ด
ส่วนเต่าอยู่นิ่งๆ ไม่เคยออกกำลังกาย เดินวันสองสามก้าว ปรากฏว่าเต่าอายุยืนถึง 150 ปี บางตัวอยู่ถึง 200 ปี
ชักเริ่มลังเลแล้วเรา!
นอนดีกว่ามั้ง
เคี้ยกเคี้ยก
ว.ล.
6-9-253 วันที่ผ่านมา