-
วินทร์ เลียววาริณ2 เดือนที่ผ่านมา
ชีวิตการเขียนหนังสือของผมมาแบบบังเอิญ ผมไม่ได้เรียนมาทางสายอักษรศาสตร์ และยิ่งไม่เคยคิดจะเป็นนักเขียน มันเป็นแค่งานอดิเรกที่บังเอิญกลายเป็นอาชีพ
ผมเปลี่ยนงานจากอาชีพที่ให้เงินมากมาเป็นนักเขียนอาชีพที่รายได้ไม่แน่นอนทำไม? ทั้งที่เป็นคนไม่ชอบเสี่ยง ผมก็อยากรู้เหมือนกัน มันเหมือนหมากพาไป ถึงตาต้องเดิน ก็เดิน
ผมเปลี่ยนอาชีพแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือมาหลายรอบ ทุกครั้งที่เปลี่ยน ก็กล้า ๆ กลัว ๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนงานตอนอายุมาก และมีภาระครอบครัว น่ากลัวที่สุด!
การเปลี่ยนงานครั้งแรกคือลาจากอาชีพสถาปนิกไปเป็นนักออกแบบโฆษณา ตอนนั้นชีวิตงานสถาปนิกของผมก็ราบรื่นดี มีผลงานเข้าตาเจ้านายและลูกค้า ถ้าทำงานต่อไป ก็คงจะไปรอด
แต่วันหนึ่งนึกอย่างไรไม่รู้ คิดจะไปเรียนสายกราฟิกดีไซน์ เป็นการตัดสินใจในนาทีเดียว แล้วก็หิ้วกระเป๋าเดินทางไปอเมริกา ง่าย ๆ อย่างนั้น เรียนแล้วก็นึกอยากลองไปทำงานในวงการใหม่ ก็คือวงการโฆษณา
การเดินออกจากอาชีพหนึ่งในลักษณะนี้หมายถึงปิดโอกาสของการพัฒนาตัวเองในสายเดิมโดยปริยาย ขณะที่ยังไม่มีประสบการณ์ในทางสายใหม่เลยสักนิด
ตอนนั้นก็แค่คิดว่า “อย่างมากก็กลับมาทำอย่างเดิม” ไม่มีอะไรเสียหาย
วัยหนุ่มก็ดีอย่างนี้ ตัดสินใจได้ง่าย
แต่การเปลี่ยนงานข้ามสายครั้งแรกห่างไกลจากคำว่าง่ายหลายโยชน์ เพราะไม่มีปริญญาบัตรด้านนี้ ไม่มีประสบการณ์ มีแต่ไฟ
ไปสมัครงานหลายที่ ล้วนต้องการดูใบปริญญาทั้งนั้น
บรัษัทเกือบทุกแห่งต้องการกระดาษ ไม่ใช่ไฟ
ในที่สุดก็เล็ดลอดไปทำงานในสายโฆษณาจนได้ และไต่เต้าขึ้นไป ได้รับรางวัล และเช่นกัน มีผลงานเข้าตาเจ้านายและลูกค้า ถ้าทำงานต่อไป ก็คงจะไปรอด
แต่วันหนึ่งก็ถึงจุดเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง อุตริอยากเปลี่ยนเป็นนักเขียนอาชีพ
ตอนนั้นอายุราว ๆ 45 มีครอบครัวและภาระต้องรับผิดชอบ ขณะที่อาชีพนักเขียนนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก
แต่ก็เดินเข้าไป จนมาถึงจุดนี้
มานึกในวัยนี้ ก็ยังเสียวไส้อยู่
.............
การก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย (comfort zone) ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน แต่บางครั้งเราก็ต้องทำ เพื่อสานความฝันของเรา
สัตว์ตระกูลผีเสื้อมีการเติบโตสี่ระยะ เริ่มที่ระยะไข่ ตามด้วยระยะหนอนเมื่อตัวหนอนฟักออกจากไข่ มันจะกินเปลือกไข่ของตัวเองเป็นอาหาร แล้วจึงเริ่มกินใบพืช เมื่อโตขึ้นก็จะลอกคราบราว 4-5 ครั้ง แต่ละครั้งทำให้ตัวขยายขึ้น สีเปลี่ยนไป หลังจากนั้นก็เข้าสู่ระยะดักแด้ หนอนที่โตเต็มที่สร้างเส้นใยห่อหุ้มตนเอง และเปลี่ยนแปลงตัวเองภายในนั้น แล้วออกจากดักแด้ เป็นผีเสื้อ
มนุษย์ก็ไม่ต่างจากผีเสื้อ มีกระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ
เราควรถามตัวเองเป็นระยะ ๆ ว่า เรากำลังเป็นอะไรอยู่ หนอน?
ดักแด้? หรือผีเสื้อ?บางคนอาจเป็นผีเสื้อได้เร็ว บางคนก็ช้า บางคนก็เลือกเป็นหนอนหรือดักแด้ไปตลอดชีวิต
ไม่มีผิดหรือถูก มีแค่พอใจหรือไม่พอใจ
ถ้าไม่พอใจ หรือยังไม่บรรลุเป้า ก็ลอกคราบ แล้วเปลี่ยนตัวเองเสีย
แต่การลอกคราบไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่สำเร็จทุกครั้ง
คนส่วนมากไม่ชอบหรือไม่กล้าออกไปหาสิ่งใหม่ ไม่กล้าลองคิดใหม่ ไม่กล้าทดลองสิ่งที่ตนเองหรือองค์กรไม่กล้า บางคนไม่กล้าหางานใหม่ ไม่กล้าทำสิ่งที่แตกต่างจากความเคยชิน ไม่แม้แต่ชิมอาหารจานใหม่ นี่อาจทำให้เสียโอกาส
คำถามคือเราจำเป็นต้องออกจาก comfort zone หรือ คำตอบคือไม่จำเป็น แต่มันช่วยให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าคนที่ไม่ยอมออกมาเลย
จำได้ไหมว่าครั้งสุดท้ายที่เราก้าวออกจาก comfort zone คือเมื่อไร? ทำอะไร? รู้สึกอย่างไร?
การก้าวออกจาก comfort zone คือการเปิดโลก บางครั้งคือความล้มเหลว แต่เราไม่อาจใช้ความล้มเหลวหนึ่งหรือสองครั้งสรุปเหมารวมว่ามันไม่ถูกต้อง
เราจะออกจาก comfort zone อย่างไร
ทางหนึ่งก็คือลงมือทำ กลัวอะไร ให้ทำสิ่งนั้น จะปรับตัวเองให้ชินกับการเผชิญหน้าสิ่งที่ไม่คุ้นเคย อาจเผชิญหน้ากับสิ่งที่ท้าทายซึ่งอาจไม่อยากทำ ให้ลองทำเรื่องง่าย ๆ ที่ไม่เคยทำก่อน
ทำความเข้าใจกับความกลัวของตัวเอง เช่น กลัวล้มเหลว มองในด้านที่ดีบ้าง ถ้ากลัว ก็วางแผนให้รอบคอบหน่อย
ทางหนึ่งก็คือหาแรงบันดาลใจจากคนที่ก้าวออกจาก comfort zone แล้วประสบความสำเร็จ
มองโลกในมุมต่างบ้าง ในมุมอื่น จะเห็นตัวเองในสภาพแวดล้อมใหม่ ชีวิตใหม่ หัดมองโลกในแง่ดี มองด้านสว่างบ้าง
หลายคนอยู่ในสถานการณ์ลังเล สองจิตสองใจว่าจะเปลี่ยนสายงานดีหรือไม่
ถามตัวเองว่าต้องการอะไร มีความฝันไหม ถามตัวเองว่า ถ้าไม่ทำสิ่งที่เราฝันถึง ไม่กล้าลงมือ ตอนแก่ตัวจะเสียใจหรือไม่ ถ้าคำตอบคือน่าจะใช่ ก็หาโอกาสทำเสียก่อนที่จะแก่และไม่มีแรงทำ
เตรียมพร้อม แล้วก็ลุย
อย่าลืมว่าไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดในโลกเกิดขึ้นโดยไร้ความเสี่ยงเลย อยู่ที่เสี่ยงมากหรือเสี่ยงน้อย และเราคุมความเสี่ยงได้มากแค่ไหน
การทำงานทุกสายอาชีพล้มเหลวได้ทั้งนั้น วางแผนให้รอบคอบรัดกุม แล้วลงมือทำให้เต็มที่ไปเลย
ถ้าล้มเหลวก็ล้มเหลว ไม่ถึงตายหรอก และบางครั้งล้มเหลวก็ยังดีกว่าคาใจไปตลอดชีวิต
วินทร์ เลียววาริณ
21-4-250- แชร์
- 31
-
"Politicians and diapers have one thing in common: they should both be changed regularly… and for the same reason."
(นักการเมืองและผ้าอ้อมมีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน มันควรถูกเปลี่ยนสม่ำเสมอ ด้วยเหตุผลเดียวกัน)
มาร์ก ทเวน เป็นนักเขียนที่มีวาจาคมกริบดั่งมีดโกน ชอบด่านักการเมืองเสมอ ดังนั้นประโยคคมๆ ประโยคนี้ ย่อมเป็นเขาพูด ใช่ไหม?
คำตอบคือไม่ใช่
ไม่มีหลักฐานใดเลยที่ชี้ว่านี่เป็นคำพูดของ มาร์ก ทเวน
แต่มันก็ถูกยกมาอ้างต่อมาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้
เชื่อว่าเป็นการประดิษฐ์คำของใครสักคนในยุคหลัง แล้วยกให้เป็นคำของ มาร์ก ทเวน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันไม่ใช่คำของ มาร์ก ทเวน แต่เนื้อหาของคำนี้ก็ยังน่าจะถูกนะ... ว่าไหม?
เคี้ยกเคี้ยก
วินทร์ เลียววาริณ
19-6-250 วันที่ผ่านมา -
(ต่อจากตอนที่แล้ว https://www.facebook.com/photo?fbid=1315006533321368&set=a.208269707328395)
เล่าเรื่องคุณบริสุทธิ์ไปหาหมอต่อนะ
หลังจากคุณบริสุทธิ์ยกมือไหว้ตู้เอทีเอ็ม พยาบาลก็พาเขาไปพบหมอ
จักษุแพทย์บอกว่านัยน์ตาของคุณบริสุทธิ์โดยรวมอยู่ในสภาพดี ปัญหาเดียวของคุณบริสุทธิ์คือสายตาสั้นมาก สมควรไปตัดแว่นได้แล้ว ไม่งั้นก็จะไหว้ตู้เอทีเอ็มอีกแน่ๆ
คุณบริสุทธิ์กลับถึงบ้าน แจ้งมาดามจินตหราเพื่อของบตัดแว่นตา ภรรยาสั่นศีรษะ บอกว่า “แว่นอันเก่าของคุณก็ยังใช้ได้อยู่ ตัดใหม่ทำไมให้เปลืองเงิน ค่าแว่นเดี๋ยวนี้แพงเหลือเกิน กรอบแว่นธรรมดา ๆ อันละหมื่น ถูก ๆ ก็เจ็ดแปดพัน ค้ากำไรเกินควรชัด ๆ”
“แล้วทีคุณซื้อของไม่จำเป็นมากมาย ผมไม่พูดซักคำ คุณซื้ออุปกรณ์ครัวใหม่ ๆ มาแล้วก็ไม่ได้ใช้ เอาไว้โชว์แขกเท่านั้น คุณซื้อรองเท้าใหม่เดือนละสองสามคู่ ผมก็ไม่ว่า คุณซื้อเสื้อผ้าใหม่ทุกเดือน ผมก็ไม่ว่า คุณเสียเงินซื้อน้ำหอมที่แพงพอกับแว่นตา แล้วก็ไม่ใช้ บอกว่าไม่ชอบแล้ว คุณใช้จ่ายเงินทองสิ้นเปลืองแแบบนี้ ผมหมดตัวแน่ แต่ทีผมต้องใช้แว่นเพราะความจำเป็น คุณกลับบอกว่าไม่จำเป็น สุขภาพผมไม่สำคัญหรือไง ทำไมคุณทำอย่างนี้ ทำไมคุณเป็นคนแบบนี้ หา!”
หลายประโยคยาว ๆ เหล่านี้ คุณบริสุทธิ์พูดในใจ (ฉลาดไหม?)
คุณบริสุทธิ์เข้าใจว่าภรรยาต้องการประหยัดเงิน แต่คิดมากไปไย วาจาของหล่อนศักดิ์สิทธิ์กว่าของเขา อย่าว่าแต่เขามอบหมายภรรยาให้ดูแลเรื่องการเงินของครอบครัว
วันต่อมาคุณบริสุทธิ์ตื่นขึ้นตอนเช้า เดินตรงไปที่ครัว มาดามจินตหรากำลังหั่นผักอยู่ คุณบริสุทธิ์คว้าหมับที่ตะโพกภรรยา หอมแก้มหล่อน ถามว่า “วันนี้ทำอะไรกินจ๊ะ ที่รัก หอมจังเลยจ้ะ แล้วนี่ตะโพกเธอแน่นจังเลย”
พลันเสียงภรรยาดังจากด้านหลัง “มากไปแล้ว ไอ้แก่ นั่นเป็นคนใช้ ไม่ใช่เมียมึง เมียมึงนั่งอยู่นี่”
คุณบริสุทธิ์ตะลึง หันไปที่ต้นเสียง ก็คือมาดามจินตหรา ส่วนหญิงสาวผู้หั่นผักคือสาวใช้
มาดามจินตหราตรงเข้ามาคว้าแขนคุณบริสุทธิ์ ดึงออกจากครัว
คุณบริสุทธิ์ร้องด้วยน้ำเสียงตกใจ “นี่เธอจะทำอะไร?”
“ก็พามึงไปตัดแว่นใหม่ไง”
สวัสดีวันพฤหัส ขอให้มีความสุขทั้งวัน สายตาแจ่มชัด
.........................
จากนวนิยายขำขัน เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์ฯ (นวนิยายแนวใหม่ที่นำขำขันตลกๆ ระดับ ‘ขำกลิ้ง’ 400 เรื่องมายำเป็นนวนิยาย)
ค่าคลายเครียดแค่ 330 บาท เฉลี่ยขำละ 80 สตางค์ หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/188/เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์กับนางสาวภุมรี%20ศจีรมย์%20สมถวิล%20จินตหรา%20พารัก%2520ปักเสน่ห์%20เรวดี%20ศรีสกาว
โปรโมชั่น https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201
Shopee เดี่ยว https://s.shopee.co.th/1VjWGyXzed
https://s.shopee.co.th/9A8xPCjmLp1 วันที่ผ่านมา -
พรุ่งนี้ว่าจะหาเวลาไปดูหนังใหม่ 28 Years Later
เป็นหนังเรื่องที่สามต่อจาก 28 Days Later และ 28 Weeks Later
เรื่องแรกกับเรื่องสามเป็นงานของ Danny Boyle + บทของ Alex Garland
เรื่องแรก 28 Days Later ดีมาก เรื่องที่สอง 28 Weeks Later ธรรมดา เพราะคนทำคนละทีม
เรื่องที่สามใช้ทีมเดียวกับเรื่องแรก จึงต้องไปดู แล้วค่อยมารีวิว
ตอนนี้อ่านรีวิว 28 Days Later ไปพลางก่อน
ส่่วนหนังเรื่อง ซอมบี้ชายแดนเขมร ผมขอผ่านนะ
..............................
[รีวิว 28 Days Later]
หนังเกี่ยวกับซอมบี้ในโลกภาพยนตร์มีมากมายแทบนับไม่ถ้วน จนบางคนจัดซอมบี้เป็นหนังอีกตระกูลหนึ่งไปแล้ว มีความพยายามสร้างความแปลกใหม่ให้งานตระกูลนี้ ทั้งสายทริลเลอร์ สายโรแมนติก ไปจนถึงแนวตลก ฯลฯ
ที่น่าสนใจ เช่น World War Z (2006) การหาต้นตอไวรัสซอมบี้
Zombieland (2009) หนังซอมบี้แนวตลก
Warm Bodies (2010) หนังซอมบี้แนว 'zombie romance'
Kingdom (2019-2020) ซอมบี้สัญชาติเกาหลี เป็นนิยายประวัติศาสตร์พีเรียด เล่นกับประเด็นอำนาจทางการเมือง
แต่หลายปีก่อนหน้านี้ มีหนังเรื่องหนึ่งที่เล่นประเด็นหลุดออกไปทุกราย นั่นคือ 28 Days Later
28 Days Later เป็นงานกำกับของ Danny Boyle เขียนโดย Alex Garland สองคนนี้เคยร่วมงานกันมาก่อนใน The Beach (2000) ต่อด้วยเรื่องนี้ แล้วตามด้วย Sunshine ในปีเดียวกันนั่นเอง
หลังจากนั้น Alex Garland ก็หันไปทำงานกำกับหนังดีหลายเรื่อง เช่น Ex Machina, Annihilation ส่วนใหญ่เป็นไซไฟ
28 Days Later เปิดเรื่องดี เกิดเหตุบางอย่างที่ย้อนแย้งและขันขื่น เมื่อกลุ่มคนองค์กรพิทักษ์สิทธิ์ของสัตว์หวังดีไปปล่อยชิมแปนซีในห้องแล็บของมหาวิทยาลัย แต่กลับปลดปล่อยเชื้อไวรัสในลิงออกไปสู่โลกภายนอก ตามด้วยตัวละครเอกตื่นขึ้นมาจากโคมาเมื่อ 28 วันต่อมา แล้วพบความเปลี่ยนแปลงในโลกภายนอก สร้างความพิศวง ความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น และพาผู้ชมไปผจญภัยตายดาบหน้าด้วยกัน
ขณะที่หนังซอมบี้ทั่วไปเล่นกับความรุนแรงความน่ากลัวของซอมบี้ 28 Days Later กลับเล่นกับความน่ากลัวของคนด้วยกันเอง นี่เป็นจุดหักมุมของเรื่องตระกูลนี้
จุดหักมุมนี้สร้างแรงสะเทือนอารมณ์ และเป็นจุดที่ยกระดับ 28 Days Later ขึ้นมาเป็นงานดีทันที
ใน คหสต. รู้สึกว่าหนังช่วงต้นช้าไปนิด ขณะที่ช่วงท้ายเร็วไปหน่อย แต่โดยรวมมันเป็นหนังที่แรง คอนเส็ปต์ดี มุมมองน่าสนใจ และสดใหม่กว่าหนังซอมบี้จำนวนมาก
เป็นหนังซอมบี้น้อยเรื่องมากที่ทำให้เราต้องขบคิดต่อหลังจากออกจากโรงหนังไปแล้ว เชื้อโรคอยู่ในโลกนี้มาหลายพันล้านปีแล้ว ขณะที่ โฮโม เซเปียนส์ เพิ่งปรากฏตัวบนโลกเมื่อสองแสนปีมานี้เอง แต่สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติทั้งโลก บางทีอาจเป็นคนนี่เองที่ก่อให้เกิดเชื้อซอมบี้
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ 28 Days Later ทำให้เราต้องมองเปรียบเทียบระหว่างซอมบี้กับคนว่าใครร้ายกว่ากัน
บางทีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกไม่ใช่เชื้อโรค แต่คือคนด้วยกันนี่เอง
9.5/10
วินทร์ เลียววาริณ
18-6-251 วันที่ผ่านมา -
ไม่ทุกคน ไม่ทุกฝ่ายรัก พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้นำไทยทุกยุคหลังจากนั้นสามารถเรียนรู้จากท่านคือ การรู้จักเงียบ
ทว่าไม่มีใครเรียนรู้
นี่เป็นคุณลักษณ์เฉพาะตัวของ พล.อ. เปรม ชาว Minimalist ทางการเมืองตัวจริง พูดน้อยที่สุด พูดเท่าที่จำเป็น เมื่อจำเป็นก็ลงมือเชือดนิ่มๆ จนท่านได้รับฉายาว่า นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา
สิ่งหนึ่งที่ผมถามตัวเองเสมอก็คือ ทำไมผู้นำไทยยุคหลัง พล.อ. เปรมไม่รู้จักเรียนรู้คุณสมบัติข้อนี้ เพราะส่วนมากยิ่งพูดยิ่งโชว์โง่
ปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ฝ่ายไทยพบว่าเวียดนามเคลื่อนกำลังทหารผิดปกติ เสนาธิการไทยรวมทั้ง พล.อ. เปรมอ่านออกว่าเวียดนามกำลังจะตีเขมร
ตอนนั้น เฮง สัมริน และฮุนเซน แกนนำเขมรแดงที่ถูกการเมืองภายในเล่นงาน ถูกคำสั่งฆ่าของพลพต หนีไปเวียดนาม แล้วตกลงกับเวียดนามให้ยกทัพมาโค่นล้มพลพตถ้าเวียดนามเข้าไปกำจัดเขมรแดง ชาวโลกก็ไม่ว่าอะไร เพราะพลพตโหด ฆ่าคนเป็นล้าน ปัญหาคือประเทศไทยมีเส้นพรมแดนติดเขมรถึงแปดร้อยกิโลเมตร ถ้าเวียดนามบุก ชาวเขมรหลายแสนคนจะอพยพเข้ามาที่ชายแดนไทย หรือเข้าเขตไทย เวียดนามอาจฉวยโอกาสนี้เข้ามาเปลี่ยนไทยเป็นคอมมิวนิสต์
แล้วก็จริงตามนั้น วันคริสต์มาสปี พ.ศ. ๒๕๒๑ เวียดนามยกทัพเต็มอัตราศึกด้วยกำลังทหาร ๑๕๐,๐๐๐ คน โค่นรัฐบาลเขมรแดงสำเร็จในสองอาทิตย์
เวียดนามใช้ เฮง สัมริน และฮุนเซนเป็นหมากรุกรานกัมพูชา โค่นรัฐบาลพลพต ตั้งรัฐบาลหุ่น People’s Republic of Kampuchea (PRK) เฮง สัมริน ขึ้นเป็นประธานคณะกรรมการปฏิวัติประชาชนและผู้นำ ส่วนฮุนเซนดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และในเวลาต่อมาก็เขี่ย เฮง สัมริน แล้วก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
เขมรพลันแตกแยกเป็นสี่ก๊ก ก๊กที่หนึ่งคือรัฐบาลกัมพูชาของ เฮง สัมริน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับเวียดนาม ฐานอยู่ที่พนมกระวันและตะวันตกของพระตะบอง กำลังคนราวสี่หมื่นคน
ก๊กที่สองคือกลุ่มเขมรแดงของ พลพต และเขียว สัมพันธ์ มีกำลังราวสี่หมื่นคน ก๊กที่สามคือกลุ่มซอนซาน มีกำลังราวสี่พันคน ก๊กที่สี่คือกลุ่มสมเด็จนโรดม สีหนุ
สามก๊กหลังรวมกันเรียกว่า Three United Resistance ต่อต้าน เฮง สัมริน และเป็นเป้าหมายการปราบปรามของเวียดนามกับ เฮง สัมริน
ทัพเวียดนามและเขมร เฮง สัมริน กวาดล้างกลุ่มต่อต้าน ไล่ล่าเขมรแดงมาถึงชายแดนไทย-กัมพูชา แล้วรุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทย
ข่าวกรองบอกว่าเวียดนามเสนอความคิดแก่ พคท. ให้ยืมทหารเข้ายึด ๑๗ จังหวัดภาคอีสานของไทย แล้วประกาศเป็นรัฐใหม่
....................
ค่ำวันที่ ๒๒ เดือนมิถุนายน ๒๕๒๓ กำลังเวียดนามและ เฮง สัมริน ยกกำลังสองกองร้อย โจมตีค่ายอพยพที่ชายแดนอรัญประเทศพร้อมกัน ตีค่ายอพยพบ้านหนองจาน บ้านโนนหมากมุ่น อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี และอีกหลายหมู่บ้าน
ฝ่ายไทยทราบเรื่อง กำลังฝ่ายไทยที่คุ้มครองหมู่บ้านโนนหมากมุ่นบุกไปชิงพื้นที่คืน แต่ถูกฝ่ายเวียดนามถล่ม เสียชีวิตหลายคน
ทัพไทยยึดบ้านโนนหมากมุ่นคืนได้ในเวลา ๑๕.๔๕ น. ข้าศึกตายหลายสิบคน ทหารไทยตาย ๑๒ นาย แต่สามารถผลักดันกำลังเวียดนามออกไปในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๓
ห้าวันต่อมาคือ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๒๓ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ พาคณะทูตานุทูตไปดูบริเวณชายแดนปราจีนบุรีและวัฒนานคร เห็นหมวกกะโล่และดาวแดง บอกว่าเป็นพวกเวียดนาม
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศถาม พล.อ. เปรมว่า “ทำไมทหารไทยรุกเข้าไปในเขตแดนเขมรถึงหกกิโลเมตร?”
พล.อ. เปรมตอบเรียบๆ ว่า “ไทยไม่เคยรุกล้ำใคร นอกจากเวียดนามจะรุกล้ำแผ่นดินไทย ก็เห็น ๆ อยู่แล้ว จะให้ทำอย่างไรถ้าไม่ต่อต้าน”
หน้าที่ทหารไทยคือปกป้องดินแดนไทย ใครแรงมา เราก็แรงไป ไม่ต้องพูดคำหวาน
......................
วันหนึ่งในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๒๘ ผู้นำไทยได้รับรายงานว่า เวียดนามบุกเนิน ๕๐๐ - ช่องบก หลังจากนั้นยุทธการช่องบกก็ดำเนินไปข้ามปี
เดือนมีนาคม ๒๕๓๐ การรบทวีความรุนแรงขึ้น จนเมื่อทหารไทยบุกประชิด มันก็กลายเป็นการรบแบบตะลุมบอน ใช้ดาบปลายปืน เลือดอาบแผ่นดินไทย
ไทยรบกับข้าศึกมาตลอด จนถึงจุดหนึ่ง ไทยก็ใช้กลยุทธ์ทำสงครามจรยุทธ์ ใช้กำลังทหารพรานกลุ่มเล็กออกล่าพวกเวียดนามในตอนกลางคืน ลอบเข้าไปในเขตฐานของเวียดนาม ฆ่าดักกงเงียบ ๆ ด้วยมีด แล้วหวนกลับมาฐานตอนสาง
ทหารพรานขุดคูเข้าหาฐานศัตรู เหมือนตัวตุ่นดำดินไปหาศัตรูเงียบ ๆ แทรกซึมเข้าไปในแนวข้าศึก ซุ่มโจมตี ตอดเล็กตอดน้อยให้พวกเวียดนามอ่อนกำลังลง ไม่สู้โดยไม่จำเป็น ขนอาวุธตามมา จนเข้าไปใกล้แทบลมหายใจรดต้นคอ สองฝ่ายเห็นหน้ากัน การรบแบบประชิดทำให้ฝ่ายข้าศึกไม่อาจใช้ปืนใหญ่ ขณะเดียวกันก็ชี้เป้าหมายให้แนวหลังกระหน่ำด้วยปืนใหญ่และเครื่องบินขับไล่จากกองบิน ๔ ตาคลี
การรบที่ช่องบกกินเวลานานตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๒๘ - ธันวาคม ๒๕๓๐ กองทัพไทยสูญเสียกำลังพล ๑๐๙ นาย บาดเจ็บ ๖๖๔ นาย
พ.ศ. ๒๕๓๒ เวียดนามถอนทหารออกจากกัมพูชาอย่างถาวร ปิดฉากการรบระหว่างไทยและเวียดนาม หลังจากเวียดนามคุกคามไทยมานานเกือบสิบปี
ประเทศไทยในยุคนั้นเป็นอีกห้วงเวลาหนึ่งที่หวุดหวิดเสียเมืองให้แก่ลัทธิคอมมิวนิสต์ เพราะกองทัพดำเนินนโยบายถูกจุด แผนการยุทธ์ถูกต้อง และทหารหาญพลีชีพเพื่อแผ่นดิน
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา บทบาทของทหารบ่อยครั้งออกนอกลู่นอกทาง จนเกิดประโยคคำถาม “ทหารมีไว้ทำไม?” แต่เมื่อเกิดวิกฤติร้ายแรงระดับสิ้นชาติ ทหารก็มีไว้เป็นรั้วแรกที่ต้านทานอริราชศัตรูด้วยเลือด
ช่วงเวลานั้นถ้าไม่มีนายทหารเสนาธิการระดับมันสมอง เช่น พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ และนายทหารเสนาธิการอีกหลายคนที่มองการณ์ไกล วางแผนการยุทธ์อย่างรอบคอบ เดินหมากการเมืองระหว่างประเทศอย่างชาญฉลาด รักษาสมดุลระหว่างอำนาจจีนและสหรัฐฯอย่างลงตัว วันนี้ประเทศไทยอาจจะอยู่ใต้ฟ้าดาวแดง
หลายคนร้องเพลงชาติไทยได้ แต่ไม่รู้ความหมายของประโยค "เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่"
และไม่เคยรู้จักคำพูดนี้ของ พล.อ. เปรม “ไทยไม่เคยรุกล้ำใคร... ก็เห็น ๆ อยู่แล้ว จะให้ทำอย่างไรถ้าไม่ต่อต้าน”
หน้าที่คนไทยทุกคนคือปกป้องดินแดนไทย ใครแรงมา เราก็แรงไป ไม่ต้องพูดคำหวาน ไม่ต้องพูดมาก ไม่มีทางก้มหัวให้ผู้รุกราน
นี่ก็คือบทเรียนที่ผู้นำรุ่นหลังไม่เคยเรียนรู้จากนักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา
วินทร์ เลียววาริณ
18-6-25...................................
อ่านรายละเอียดมากกว่านี้ได้จาก ประวัติศาสตร์ที่เราลืม / วินทร์ เลียววาริณ
ตอนนี้มีโปรโมชั่นพิเศษ คุ้มที่สุด 6 เล่ม 1,000 บาท จากราคาปก 1,605.-
118 เรื่อง = เรื่องละ 8.4 บาท หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว1 วันที่ผ่านมา -
ช่วงนี้มีคนพูดถึงเรื่องการศึกลวงว่า อิสราเอลอาจจะดึงอเมริกาเข้าร่วมสงครามสู้กับอิหร่าน โดยปลอมตัวเป็นอิหร่านไปถล่มฐานทัพสหรัฐฯ เพื่อทำให้สหรัฐฯเข้าใจผิด แล้วเข้าร่วมสงคราม
อุบายนี้มีศัพท์เฉพาะคือ False flag
แปลตรงตัวว่าธงปลอม
ที่มาของคำนี้คือในสมัยโบราณ พวกโจรสลัดติดธงชาติของชาติใดชาติหนึ่งหนึ่ง เพื่อลวงเรือของชาตินั้นให้หลงเชื่อว่าเป็นพวกเดียวกับตน แล้วเทียบเรือ บุกเข้าปล้น
สงครามในประวัติศาสตร์ก็ใช้อุบายนี้เยอะ
ในเรื่องการเมืองก็ใช้กัน
ส่วนคนสัญชาติไทยที่ทำร้ายชาติตัวเอง ไม่น่าจะเข้าข่าย False flag
น่าจะเป็น False Thai มากกว่า
วินทร์ เลียววาริณ
17-6-252 วันที่ผ่านมา