-
วินทร์ เลียววาริณ14 วันที่ผ่านมา
ชีวิตการเขียนหนังสือของผมมาแบบบังเอิญ ผมไม่ได้เรียนมาทางสายอักษรศาสตร์ และยิ่งไม่เคยคิดจะเป็นนักเขียน มันเป็นแค่งานอดิเรกที่บังเอิญกลายเป็นอาชีพ
ผมเปลี่ยนงานจากอาชีพที่ให้เงินมากมาเป็นนักเขียนอาชีพที่รายได้ไม่แน่นอนทำไม? ทั้งที่เป็นคนไม่ชอบเสี่ยง ผมก็อยากรู้เหมือนกัน มันเหมือนหมากพาไป ถึงตาต้องเดิน ก็เดิน
ผมเปลี่ยนอาชีพแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือมาหลายรอบ ทุกครั้งที่เปลี่ยน ก็กล้า ๆ กลัว ๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนงานตอนอายุมาก และมีภาระครอบครัว น่ากลัวที่สุด!
การเปลี่ยนงานครั้งแรกคือลาจากอาชีพสถาปนิกไปเป็นนักออกแบบโฆษณา ตอนนั้นชีวิตงานสถาปนิกของผมก็ราบรื่นดี มีผลงานเข้าตาเจ้านายและลูกค้า ถ้าทำงานต่อไป ก็คงจะไปรอด
แต่วันหนึ่งนึกอย่างไรไม่รู้ คิดจะไปเรียนสายกราฟิกดีไซน์ เป็นการตัดสินใจในนาทีเดียว แล้วก็หิ้วกระเป๋าเดินทางไปอเมริกา ง่าย ๆ อย่างนั้น เรียนแล้วก็นึกอยากลองไปทำงานในวงการใหม่ ก็คือวงการโฆษณา
การเดินออกจากอาชีพหนึ่งในลักษณะนี้หมายถึงปิดโอกาสของการพัฒนาตัวเองในสายเดิมโดยปริยาย ขณะที่ยังไม่มีประสบการณ์ในทางสายใหม่เลยสักนิด
ตอนนั้นก็แค่คิดว่า “อย่างมากก็กลับมาทำอย่างเดิม” ไม่มีอะไรเสียหาย
วัยหนุ่มก็ดีอย่างนี้ ตัดสินใจได้ง่าย
แต่การเปลี่ยนงานข้ามสายครั้งแรกห่างไกลจากคำว่าง่ายหลายโยชน์ เพราะไม่มีปริญญาบัตรด้านนี้ ไม่มีประสบการณ์ มีแต่ไฟ
ไปสมัครงานหลายที่ ล้วนต้องการดูใบปริญญาทั้งนั้น
บรัษัทเกือบทุกแห่งต้องการกระดาษ ไม่ใช่ไฟ
ในที่สุดก็เล็ดลอดไปทำงานในสายโฆษณาจนได้ และไต่เต้าขึ้นไป ได้รับรางวัล และเช่นกัน มีผลงานเข้าตาเจ้านายและลูกค้า ถ้าทำงานต่อไป ก็คงจะไปรอด
แต่วันหนึ่งก็ถึงจุดเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง อุตริอยากเปลี่ยนเป็นนักเขียนอาชีพ
ตอนนั้นอายุราว ๆ 45 มีครอบครัวและภาระต้องรับผิดชอบ ขณะที่อาชีพนักเขียนนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก
แต่ก็เดินเข้าไป จนมาถึงจุดนี้
มานึกในวัยนี้ ก็ยังเสียวไส้อยู่
.............
การก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย (comfort zone) ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน แต่บางครั้งเราก็ต้องทำ เพื่อสานความฝันของเรา
สัตว์ตระกูลผีเสื้อมีการเติบโตสี่ระยะ เริ่มที่ระยะไข่ ตามด้วยระยะหนอนเมื่อตัวหนอนฟักออกจากไข่ มันจะกินเปลือกไข่ของตัวเองเป็นอาหาร แล้วจึงเริ่มกินใบพืช เมื่อโตขึ้นก็จะลอกคราบราว 4-5 ครั้ง แต่ละครั้งทำให้ตัวขยายขึ้น สีเปลี่ยนไป หลังจากนั้นก็เข้าสู่ระยะดักแด้ หนอนที่โตเต็มที่สร้างเส้นใยห่อหุ้มตนเอง และเปลี่ยนแปลงตัวเองภายในนั้น แล้วออกจากดักแด้ เป็นผีเสื้อ
มนุษย์ก็ไม่ต่างจากผีเสื้อ มีกระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ
เราควรถามตัวเองเป็นระยะ ๆ ว่า เรากำลังเป็นอะไรอยู่ หนอน?
ดักแด้? หรือผีเสื้อ?บางคนอาจเป็นผีเสื้อได้เร็ว บางคนก็ช้า บางคนก็เลือกเป็นหนอนหรือดักแด้ไปตลอดชีวิต
ไม่มีผิดหรือถูก มีแค่พอใจหรือไม่พอใจ
ถ้าไม่พอใจ หรือยังไม่บรรลุเป้า ก็ลอกคราบ แล้วเปลี่ยนตัวเองเสีย
แต่การลอกคราบไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่สำเร็จทุกครั้ง
คนส่วนมากไม่ชอบหรือไม่กล้าออกไปหาสิ่งใหม่ ไม่กล้าลองคิดใหม่ ไม่กล้าทดลองสิ่งที่ตนเองหรือองค์กรไม่กล้า บางคนไม่กล้าหางานใหม่ ไม่กล้าทำสิ่งที่แตกต่างจากความเคยชิน ไม่แม้แต่ชิมอาหารจานใหม่ นี่อาจทำให้เสียโอกาส
คำถามคือเราจำเป็นต้องออกจาก comfort zone หรือ คำตอบคือไม่จำเป็น แต่มันช่วยให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าคนที่ไม่ยอมออกมาเลย
จำได้ไหมว่าครั้งสุดท้ายที่เราก้าวออกจาก comfort zone คือเมื่อไร? ทำอะไร? รู้สึกอย่างไร?
การก้าวออกจาก comfort zone คือการเปิดโลก บางครั้งคือความล้มเหลว แต่เราไม่อาจใช้ความล้มเหลวหนึ่งหรือสองครั้งสรุปเหมารวมว่ามันไม่ถูกต้อง
เราจะออกจาก comfort zone อย่างไร
ทางหนึ่งก็คือลงมือทำ กลัวอะไร ให้ทำสิ่งนั้น จะปรับตัวเองให้ชินกับการเผชิญหน้าสิ่งที่ไม่คุ้นเคย อาจเผชิญหน้ากับสิ่งที่ท้าทายซึ่งอาจไม่อยากทำ ให้ลองทำเรื่องง่าย ๆ ที่ไม่เคยทำก่อน
ทำความเข้าใจกับความกลัวของตัวเอง เช่น กลัวล้มเหลว มองในด้านที่ดีบ้าง ถ้ากลัว ก็วางแผนให้รอบคอบหน่อย
ทางหนึ่งก็คือหาแรงบันดาลใจจากคนที่ก้าวออกจาก comfort zone แล้วประสบความสำเร็จ
มองโลกในมุมต่างบ้าง ในมุมอื่น จะเห็นตัวเองในสภาพแวดล้อมใหม่ ชีวิตใหม่ หัดมองโลกในแง่ดี มองด้านสว่างบ้าง
หลายคนอยู่ในสถานการณ์ลังเล สองจิตสองใจว่าจะเปลี่ยนสายงานดีหรือไม่
ถามตัวเองว่าต้องการอะไร มีความฝันไหม ถามตัวเองว่า ถ้าไม่ทำสิ่งที่เราฝันถึง ไม่กล้าลงมือ ตอนแก่ตัวจะเสียใจหรือไม่ ถ้าคำตอบคือน่าจะใช่ ก็หาโอกาสทำเสียก่อนที่จะแก่และไม่มีแรงทำ
เตรียมพร้อม แล้วก็ลุย
อย่าลืมว่าไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดในโลกเกิดขึ้นโดยไร้ความเสี่ยงเลย อยู่ที่เสี่ยงมากหรือเสี่ยงน้อย และเราคุมความเสี่ยงได้มากแค่ไหน
การทำงานทุกสายอาชีพล้มเหลวได้ทั้งนั้น วางแผนให้รอบคอบรัดกุม แล้วลงมือทำให้เต็มที่ไปเลย
ถ้าล้มเหลวก็ล้มเหลว ไม่ถึงตายหรอก และบางครั้งล้มเหลวก็ยังดีกว่าคาใจไปตลอดชีวิต
วินทร์ เลียววาริณ
21-4-250- แชร์
- 28
-
หลายปีมาแล้ว เมื่อเห็นเจ้าลัทธิต่างๆ ในบ้านเราหาเงินจากศาสนพาณิชย์ ผมเคยคุยเล่นๆ กับคนใกล้ตัวว่า ถ้าผมจะตั้งตัวเป็นศาสดา หาเงินในหลักร้อยล้านพันล้าน ก็คงใช้หลักจักรวาลวิทยา ผสมกับวิทยาศาสตร์ ผสมกับพุทธ พราหมณ์ ไสยศาสตร์ ฯลฯ โยงเป็นเนื้อเดียวกันตามเทคนิคการแต่งนิยาย
จักรวาลวิทยายังมีหลายเรื่องที่เราไม่รู้ โยงเข้ากับเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติได้ไม่ยาก ผสมกับไสยศาสตร์ ก็น่าจะขายเป็นแพ็คเกจชาติหน้าในสวรรค์ หรือวิธีรวยข้ามภพได้ไม่ยาก
ในสังคมที่คนจำนวนมากอยู่ในก้นหลุมดำแห่งปัญญา ผมถือว่าศาสนพาณิชย์แบบนี้ก็เป็นการขายชาติอย่างหนึ่ง ทำร้ายคน ทำร้ายสังคม ทำร้ายชาติ
ดังนั้นผมถือเป็นหน้าที่ที่จะแย้งด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆ เพื่อคานอำนาจทางปัญญา อย่างน้อยก็เสนอข้อเท็จจริงอีกมุมหนึ่ง ให้คิดก่อนเชื่อและเสียเงิน
ใครจะแย้งผมอีกทีก็ไม่ว่าอะไร ยินดีอย่างยิ่ง แต่ขอเป็นหลักฐาน ไม่ใช่ความเชื่อ
วันนี้อ่านข่าวชาวบ้านไปทำกิจกรรมชมมนุษย์ต่างดาวที่จังหวัดหนึ่ง เพื่อเชื่อมกับอำนาจเหนือธรรมชาติเบื้องบน และพบวัตถุคล้ายจานบินอยู่เหนือลานนั่งสมาธิ
อืม! นี่เป็นโลกเสรี ใครเชื่ออะไรก็ตามสบาย แต่เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเวลาพูดถึงยานมนุษย์ต่างดาวทีไร ต้องเป็นจานบินทุกที
ทำไมต้องเป็นทรงจานบิน?
คำตอบง่ายกว่าที่คิด
คาร์ล เซเกน อธิบายในหนังสือ The Demon-Haunted World ว่าคำว่า จานบิน (flying saucer) เป็นศัพท์ใหม่ที่เกิดขึ้นมาจากเหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1947
ในวันที่ 24 มิถุนายน 1947 นักบินพลเรือน เคนเนธ อาร์โนลด์ บินผ่านภูเขาเรนเนียร์ รัฐวอชิงตัน เขาเห็นบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล จึงรายงานการพบวัตถุประหลาดเก้าชิ้นซึ่งมีวิถีบินประหลาดมาก
หนังสือพิมพ์รายงานข่าวนี้ทันทีว่ามีการพบจานบินจากต่างดาวเป็นครั้งแรก
สามปีต่อมา ในวันที่ 7 เมษายน 1950 นักข่าว ซีบีเอส ชื่อ เอ็ดเวิร์ด เมอร์โรว์ สัมภาษณ์นักบิน เคนเนธ อาร์โนลด์ อธิบายว่า เรื่องทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิดกันอย่างมโหฬาร เขาบอกว่า ในวันนั้นตนเองแจ้งทางหนังสือพิมพ์ว่า วัตถุประหลาดเก้าชิ้นที่เขาพบในวันนั้นดูเหมือน "เรือที่แล่นบนน้ำอย่างรุนแรงมาก"
เขาเล่าเป็นเชิงเปรียบเทียบว่า "พวกมันบินเหมือนเราขว้างจานร่อน (saucer) ข้ามน้ำ"
หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวว่า "ยานจากต่างดาวนั้นมีรูปทรงเหมือนจานบิน (flying saucer)"
เขาบอกว่าไม่ได้เห็นจานบิน แค่เปรียบเทียบเท่านั้น
นักข่าวไม่แก้ข่าว หรือเจตนาไม่แก้ข่าว
ยานอวกาศจากต่างดาวที่พบกันในช่วงหลายปีต่อมาก็มักมีรูปร่างเป็นจานบินไปดังฉะนี้
แล้วเราก็เชื่อต่อกันมาโดยไม่ถาม ไม่คิดจะตรวจสอบ ไม่คิดจะศึกษาอะไรทั้งนั้น
เมื่อใช้นิวรอนทั้งหมดไปกับการเชื่อ ก็ไม่เหลือนิวรอนมาคิด
วินทร์ เลียววาริณ
4-5-25สนใจอ่านวิธีคิด-ข้อมูลแบบวิทยาศาสตร์แบบนี้ ขอแนะนำ ปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล, ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล และ หลับถึงชาติหน้า
0 วันที่ผ่านมา -
หลังจากใช้ชีวิตในเมืองจีนนานราวห้าปี โดเก็นก็เดินทางกลับญี่ปุ่น และวางรากฐานของสาย โซโต เซน ในญี่ปุ่น
โดเง็นเป็นพระเซนที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์เซนญี่ปุ่น ไม่เฉพาะในวงการเซน แต่ในวงการศาสนาพุทธโดยรวม ทั้งนี้เพราะการบรรลุธรรมในวิถีเซนเป็นเรื่องใหม่สำหรับชาวญี่ปุ่น
โดเง็นเขียนบทกวีว่า
การรู้แจ้งก็เฉกเช่นจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำ
พระจันทร์ไม่เปียก น้ำก็ไม่ถูกกินที่
แม้แสงจันทร์จะสาดสว่างไพศาล
กลับปรากฏบนผิวน้ำกว้างเพียงนิ้วมือเดียว
จันทร์ทั้งดวงกับแผ่นฟ้าใหญ่
สะท้อนบนน้ำค้างหยดเดียวบนใบหญ้าสรรพสัตว์ในจักรวาลนี้มีพุทธภาวะอยู่ภายในตัวอยู่แล้ว อาจเรียกชื่อแตกต่างกันออกไปบ้าง โดเก็นมองว่า อรหันต์กับปุถุชนไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด ความแตกต่างอยู่ที่ว่าใครเห็นพุทธภาวะภายในตนหรือไม่ และสามารถลอกเปลือกที่ห่อหุ้มอยู่ออกไปได้หรือไม่ เปลือกนั้นคืออวิชชา ตัณหา อุปาทาน การเข้าไปสู่พุทธภาวะจึงต้องแสวงหาจากภายในตนเอง ไม่ใช่จากภายนอก
จะว่าไปแล้วก็ไม่มีการบรรลุอะไร เพราะสิ่งที่ค้นพบนั้นก็คือของเดิมในตัวเรานี่เอง ก็คือการบรรลุธรรมชาติแท้ของตนนั่นเอง
โดเง็นเขียนว่า การมองเห็นเชื่อมกายกับจิต การฟังเสียงเชื่อมกายกับจิต ทำให้เข้าใจมันโดยเชื่อมเป็นหนึ่งเดียว
การเชื่อมในความหมายของโดเก็นคือการไม่แบ่งแยก แต่เชื่อมเป็นตัวตนเดียวกับสิ่งนั้น
"เมื่อสามารถกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งหนึ่ง จะไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เจ้ารู้ว่ากำลังนั่งตัวตรงหรือไม่ตรง จะไม่มีกาย ไม่มีจิต ไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งอื่น สิ่งที่เจ้าเชื่อมคล้ายไร้ตัวตนไป เมื่อเจ้ากลายเป็นสิ่งนั้นเสียเอง เจ้าจะกลายเป็นจักรวาล..."
เพราะในสมาธิชั้นสูง จะไม่มีสิ่งใดให้จับต้อง ไม่มีตา ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น หู กาย จิต สี เสียง กลิ่น สัมผัส นี่คือการเชื่อมเป็นหนึ่งเดียว อย่างที่อาจารย์โดเก็นกล่าวว่า "เมื่อเจ้าเดิน จงเดิน เมื่อเจ้าร้องไห้ จงร้องไห้ เมื่อเจ้าหัวเราะ จงหัวเราะ"
ในตัวอย่างเรื่องพระจันทร์ในน้ำ น้ำเป็น 'ความคิด' พระจันทร์เป็น 'วัตถุ' เมื่อไม่มีน้ำ ก็ไม่มีพระจันทร์ในน้ำ และเช่นกัน เมื่อไม่มีพระจันทร์ ก็ไม่มีพระจันทร์ในน้ำ
น้ำไม่ได้รอพระจันทร์เพื่อปรากฏเงาขึ้นมา พระจันทร์ก็มิได้ปรากฏเพื่อสร้างเงาในน้ำ ทั้งสองไม่มีเจตนาต่อกัน
นี่ก็คือมนุษย์กับจิต
วินทร์ เลียววาริณ
4-5-25................................
จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วมังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=6
เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/244/Mini%20Zen%20คู่%20Mini%20Tao
0 วันที่ผ่านมา -
วันก่อนเล่านิทานเรื่องเลือกหัวหน้าใหม่ เป็นการเล่านิทานเก่าในเวอร์ชั่นใหม่ และไม่ใช่ครั้งแรก
20 ปีก่อน มูลนิธิเด็กขอให้ผมช่วยเล่านิทานเก่าในเวอร์ชั่นใหม่ ผมตกลง รับบรี๊ฟแล้วก็เขียนเสร็จในชั่วโมงนั้น
คือเรื่อง จีนกับใบมะขาม ตีพิมพ์ใน สมุดบันทึกนิทานมูลนิธิเด็ก 2547
เป็นเล่มเล็กๆ บางคนอาจมีเก็บไว้
จะลงให้ผ่านหลังจบบทความ
คำถามคือแล้วผมเคยแต่งนิทานไหม คำตอบคือเคย ก็คือ นิทานอีแสบ ไง
นิทานอีแสบ อยู่ในนวนิยาย ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติฯ เป็นนิทานกวน-teen คน ตามในท้องเรื่อง นิทานเล่มนี้มี 40 เรื่อง ผมแต่งไว้ราว 2-3 เรื่องมั้ง
เคยคิดจะเขียนให้ครบ 24 เรื่องตามโจทย์ในนิยาย แต่ยังไม่ว่างเขียน
ทีนี้ก็มาถึงเรื่อง จีนกับใบมะขาม
...............................
จีนกับใบมะขาม
เล่าใหม่โดย วินทร์ เลียววาริณโกย้งกับโกผงเป็นชาวจีนสองคนเพื่อนตายที่หาเช้ากินค่ำในเมืองจีน ชีวิตในหมู่บ้านของพวกเขาแร้นแค้นมาก ทั้งสองมักอด ๆ อยาก ๆ วันหนึ่งโกย้งบอกโกผงว่า “เราทั้งสองจงเดินทางไปเมืองไทยเถิด ได้ยินคำร่ำลือว่า แผ่นดินนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว อุดมด้วยเรือกสวน พืชผักผลไม้บริบูรณ์”
โกผงถามว่า “เราสองคนจะทำอะไรกิน”
โกย้งตอบว่า “เรามีสองมือสองเท้า จะทำอะไรก็ได้ ตราบใดที่เราขยันขันแข็ง มีหรือจะอดตายในแผ่นดินอุดมสมบูรณ์เช่นนั้น”
ทั้งสองใช้เงินก้อนสุดท้ายเป็นค่าเดินทาง เรือสำเภาดั้นด้นฝ่าคลื่นลมจากเมืองจีนมาถึงจุดหมาย และขึ้นฝั่งทางภาคใต้ของไทย
โกย้งมองไปรอบตัว ยิ้มบอกว่า “เราไม่อดตายแล้ว ที่นี่เป็นสวรรค์โดยแท้”
โกย้งกับโกผงตัดสินใจแยกทางกันไปทำมาหากิน เพราะเห็นว่าการแยกกันไปทำงานคนละอย่างจะเพิ่มโอกาสในการสร้างตัว
ทั้งสองสัญญากันว่า หากใครประสพความสำเร็จก่อน จะช่วยเหลืออีกคน นัดหมายกันว่าอีกสองปีมาเจอกันที่ท่าเรือ
เมื่อแยกทางกันแล้ว โกผงก็ทำงานจิปาถะตามสบาย เนื่องจากเมื่อไม่มีกิน ชาวบ้านก็มักเอื้อเฟื้อมอบอาหารให้ ผลหมากรากไม้ก็หาง่าย อีกทั้งอากาศทางภาคใต้ก็เย็นสบาย ฝนตกปรอยชุ่มชื้นเสมอ โกผงจึงใช้ชีวิตตามสบาย เมื่อได้เงินมาก็หยุดทำงานนอนเล่นไปวัน ๆ ใช้เงินหมดเมื่อใดค่อยตะเกียกตะกายไปหางานทำ
เวลาผ่านไปสองปี โกผงก็ยังมีสภาพยากจนเช่นเมื่อสองปีก่อน โกผงเดินทางไปที่จุดนัดพบ เขาเห็นโกย้งในสภาพที่ไม่เหมือนเดิม โกย้งกลายเป็นเศรษฐี นั่งรถม้า มีคนขับรถ คนรับใช้หลายคนคอยปรนนิบัติ
โกย้งเล่าว่า เมื่อแยกทางมา เขาก็ทำงานทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงงอน เก็บหอมรอมริบอย่างอดทนจนได้เงินก้อนหนึ่ง นำไปลงทุนซื้อสวนใหญ่ปลูกมะขามและผลไม้อื่น ๆ กิจการดีขึ้นตามลำดับ
เมื่อรู้ว่าเพื่อนของตนไม่มีงานทำ โกย้งก็บอกให้โกผงไปทำงานกับตน โกผงทำงานที่ใหม่ นอกจากไม่ได้เปลี่ยนนิสัยทำงานวันหยุดสองวันแล้ว ยังแย่กว่าเดิม หยุดงานนานครั้งละหลาย ๆ วัน
เมื่อโกย้งถามว่าทำไมเขาไม่ทำงาน โกผงตอบว่า “แกรวยแล้ว ทำไมต้องทำงานหนักอีก ไม่จำเป็นต้องทำงานก็อยู่สบายไปตลอดชีวิตได้”
โกย้งสังเกตเห็นเพื่อนของตนเปลี่ยนไปเช่นนั้น ก็มิได้ว่ากล่าวแต่ประการใด บอกเพื่อนว่า “ถ้าเช่นนั้น ฉันจะให้แกไปทำงานง่าย ๆ “
โกผงถามว่า “งานอะไร”
“รูดใบมะขามออกจากต้น เริ่มจากต้นเล็กก่อน”
โกผงรับปากด้วยความยินดีที่ได้ทำงานเบาสบายกว่าเดิม โกผงรูดใบมะขามออกหมดต้นในสองสามวัน ไม่นานต้นมะขามนั้นก็เฉาตาย
โกผงรูดใบไม้จากต้นใหม่ต่อไป ครั้งนี้ใช้เวลารูดนานขึ้นเป็นอาทิตย์ เพราะเป็นต้นขนาดกลาง มะขามต้นนั้นไม่ตาย แต่ก็ใช้เวลาฟื้นตัวนานหลายอาทิตย์
เมื่อรูดใบหมดต้น โกผงก็ไปรูดใบจากต้นมะขามใหญ่ ครั้งนี้กินเวลานานเป็นเดือนก็ไม่หมดสักที เพราะเมื่อรูดใบหมดไปส่วนหนึ่ง ต้นมะขามก็ผลิใบใหม่ออกมา โกผงรู้สึกเหนื่อยจึงนั่งพักที่โคนต้นมะขาม สายตามองดูใบไม้ที่ถูกรูดร่วงโรยรายบนพื้น
เขานั่งคิดว่า ทำไมจึงไม่สามารถรูดใบไม้ทั้งหมดลงมาได้ ทั้ง ๆ ที่สองต้นแรกใช้เวลาเพียงไม่นาน เขานึกถึงตัวเองที่ทำงานวันเว้นวัน เงินหมดอย่างรวดเร็ว
คนที่ทำงานหนักได้เงินทองมาสะสมมากมาย ก็เหมือนมะขามใหญ่ รูดใบไม้ออกไปเท่าใดก็ไม่มีวันหมด ส่วนคนที่ขี้เกียจทำงานเช่นเขา มีเงินทองเล็กน้อย รูดใบไม้ไม่กี่วันก็หมดเกลี้ยง ไม่นานก็เฉาตายไป เขารู้แล้วว่าโกย้งมอบงานนี้ให้เขาทำเพื่อให้เขารู้จักคิด เขารู้สึกละอายใจ
โกผงกลับไปหาโกย้ง ขอทำงานที่ยากขึ้น คราวนี้เขาทำงานทุกวัน และไม่นานก็มีฐานะที่ร่ำรวย ยืนหยัดได้เหมือนมะขามใหญ่ต้นนั้น
ตีพิมพ์ใน สมุดบันทึกนิทานมูลนิธิเด็ก 2547
1 วันที่ผ่านมา -
บทความใหม่วันเสาร์ คลิกลิงก์อ่านได้เลย https://www.blockdit.com/posts/67fbd3dae2c7f2cd8aec121d
1 วันที่ผ่านมา -
โลกทุกวันนี้หาผู้นำดีๆ ยากมาก ทำให้นึกถึงนิทานเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ใครแต่ง หรือมาจากประเทศไหน
เรื่องมีอยู่ว่า...
หัวหน้าเผ่าคนหนึ่งรู้ว่าตนเองแก่แล้ว หมดกำลังวังชาลงไปเรื่อย ๆ เขาต้องการหาคนมาสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าต่อจากเขา
เขาจึงคัดลูกน้องที่มีแววห้าคน มอบเมล็ดพืชให้คนละเมล็ด บอกว่า “นี่เป็นพันธุ์พืชที่ปลูกยากมาก จงเอาเมล็ดพันธุ์นี้ไปเพาะ ให้เวลาหนึ่งปี ใครปลูกได้ต้นใหญ่ที่สุดแสดงว่ามีความสามารถเป็นผู้นำเผ่าได้ และจะได้เป็นหัวหน้าต่อจากเรา”
ผ่านไปหนึ่งปี ลูกน้องแต่ละคนก็นำพืชที่ปลูกในกระถางมาให้หัวหน้าดู แต่ละต้นใหญ่ สมบูรณ์
หัวหน้าชราตรวจดูต้นไม้เหล่านั้น ในที่สุดก็หยุดที่กระถางใบหนึ่ง มันเป็นกระถางเปล่า มีแต่ดิน ไม่มีต้นไม้ หัวหน้าถามว่า “นี่เป็นของใคร?”
ชายหนุ่มคนหนึ่งตอบว่า “เป็นของข้าฯ”
“ทำไมจึงปลูกไม่ขึ้น? เจ้าไม่ได้รดน้ำพรวนดินรึ?”
“ข้าฯรดน้ำพรวนดิน ให้มันรับแสงแดดทุกวัน แต่มันก็ไม่ยอมแตกหน่อผลิใบ ข้าฯจนปัญญา ข้าฯไม่มีความสามารถปลูกต้นไม้ชนิดนี้จริง ๆ”
หัวหน้าชราบอกชายหนุ่มคนนั้นว่า “เรามิได้ต้องการคนที่ปลูกต้นไม้เก่งมาเป็นหัวหน้าเผ่า เราต้องการคนซื่อสัตย์ต่างหาก เมล็ดพืชที่เราให้ทุกคนไปนั้นเป็นเมล็ดตาย ปลูกอย่างไรก็ไม่มีทางขึ้น เจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ จึงสมควรเป็นหัวหน้าคนใหม่”
วินทร์ เลียววาริณ
2-5-25......................
จากหนังสือเสริมกำลังใจ ยาเม็ดสีแดง
34 บทความ 190 บาท บทความละ 5.5 บาท
https://www.winbookclub.com/store/detail/116/ยาเม็ดสีแดง
S6 ชุดกำลังใจครึ่งโหล 6 เล่ม 800.- (ลดจาก 1,255.-)
https://www.winbookclub.com/store/detail/217/S6%20ชุดกำลังใจครึ่งโหล2 วันที่ผ่านมา