• วินทร์ เลียววาริณ
    1 เดือนที่ผ่านมา

    (ต่อจากโพสต์ https://www.facebook.com/photo?fbid=1273803317441690&set=a.208269707328395)

    ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ฟ. ฮีแลร์ออกหนังสือโรงเรียนรายสามเดือน ชื่อ อัสสัมชัญอุโฆษสมัย ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการ เจตนาเพื่อให้นักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญใช้ภาษาไทยได้ดีเทียบเท่าภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส นักเรียนสามารถเขียนบทความ บทกวี ตีพิมพ์ในหนังสือเล่มนี้

    ฟ. ฮีแลร์เองก็เขียนงานมากมายลงในอุโฆษสมัยอย่างต่อเนื่อง ทั้ง บทความ บทกวี นิทาน

    ความสามารถทางด้านกวีของ ฟ. ฮีแลร์นั้นสูงยิ่ง สามารถแปลบทกวีเป็นบทกวี ผลงานที่รู้จักกันแพร่หลายคือบทกวีแปลของนักบวชชาวอังกฤษชื่อ Frederick Longbridge  

    Two men look out through the same bars; One sees the mud, and one the stars.

    เขาแปลว่า สองคนยลตามช่อง : คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย

    ไม่ว่ากาพย์ กลอน หรือโคลง ท่านก็เขียนได้

    หมุน เวียนเปลี่ยนใหม่ให้  ทันกาล
    สมอง เชี่ยวปรีชาชาญ  ส่งไซร้
    ให้ทัน ช่วงใช้งาน  ก่อเกิด ประโยชน์นา
    สมัย ใหม่ย่อมต้องให้ เก่าเคล้า ระคนกัน

    ........................

    ครั้งหนึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพโปรดให้ท่านแปลจดหมายเหตุของ ฌอง ดงโน เดอ วีเซ (Jean Donneau de Visé) เรื่องของโกษาปานไปฝรั่งเศส ท่านก็แปลลงในหนังสืออุโฆษสมัย ชื่อ ทูตไทยไปเมืองฝรั่งเศส เป็นบันทึกประวัติศาสตร์สำคัญชิ้นหนึ่ง (ปัจจุบันตีพิมพ์ในชื่อ จดหมายเหตุโกศาปานไปฝรั่งเศส)

    ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ โจโฉชาวฝรั่งเศสก็เริ่มสร้างงานชิ้นใหม่ที่สำคัญต่อระบบการศึกษาไทย คือตำราสอนภาษาไทยเพื่อใช้สอนนักเรียนในเครือโรงเรียนอัสสัมชัญ ตั้งแต่ชั้นมูลจนถึงประถม ๔ ท่านใช้เวลาเขียนนานสิบเอ็ดปี โดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงรับหน้าที่เป็นผู้ตรวจแก้

    หนังสือชุดนี้เรียกว่า ดรุณศึกษา เป็นแบบเรียนหนังสือนิทานมีภาพประกอบ ส่วนใหญ่เป็นกาพย์และกลอน เช่น พระยากง พระยาพาน ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ๒๔๕๓

    ตัวอย่างเช่น

    “วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล ต้องยากลำบากไป จึงจะได้สินค้ามา จงตั้งเอากายเจ้า เป็นสำเภาอันโสภา ความเพียรเป็นโยธา แขนซ้ายขวาเป็นเสาใบฯ” (ดรุณศึกษา เล่ม ๓)

    ดรุณศึกษาเล่มแรกเป็นหนังสือที่ระลึกในงานพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ด้วย

    ในงานบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ฟ. ฮีแลร์รับหน้าที่ประพันธ์และอ่านคำถวายพระพรชัยมงคล ในนามมิซซังโรมันคาทอลิค

    ฝีมือและผลงานด้านการประพันธ์รอบด้านของนักบวชผู้นี้ ทำให้ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๔ เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงจัดตั้งสมาคมวรรณคดี ได้เชิญ ฟ. ฮีแลร์เป็นกรรมการด้วย เป็นปราชญ์ต่างชาติคนเดียวที่เป็นกรรมการของสมาคมทางภาษาและวรรณคดีไทย

    ..............................

    หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสยามในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงถูกคณะผู้ก่อการจับกุมเป็นตัวประกัน และต่อมาทรงลี้ภัยการเมืองเสด็จไปประทับที่ปีนัง ฟ. ฮีแลร์ก็ถูกทางการเพ่งเล็งด้วย แต่ท่านไม่แยแสอำนาจการเมืองใหม่ เห็นได้ชัดเจนจากเหตุการณ์ในปีถัดมา เกิดกบฏบวรเดช พระยาศราภัยพิพัฒหนึ่งในผู้ก่อการถูกจับเข้าคุก บุตรชายของพระยาศราภัยฯถูกทางการคุกคามให้ออกจากโรงเรียนอัสสัมชัญ ฟ. ฮีแลร์ เขียนข้อความบนนามบัตรฝากภรรยาของพระยาศราภัยฯส่งไปถึงนักโทษว่า ‘เรื่องบุตรนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เขาจะได้รับการศึกษาเหมือนกันกับเมื่อเจ้าคุณยังมีอิสรภาพอยู่ทุกประการ’

    ท่านรักและเมตตาศิษย์ทุกคน ศิษย์คนใดเดือดร้อน ก็ช่วยเหลือเต็มกำลังเสมอ

    ฟ. ฮีแลร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ผู้ปกครอง ท่านอบรมสั่งสอนศิษย์ โดยเน้นศีลธรรมและจริยธรรม สอนให้เด็กอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญู

    ท่านปกครองเด็กสมฉายาของ ‘โจโฉ’ คือด้วยทั้งไม้แข็งและไม้อ่อน

    ไม้แข็งคือไม้แข็งจริง ๆ เป็นหวายเส้นโตที่หวดก้นเด็กซนโดยไม่เลือกว่าเป็นลูกใคร

    ไม้อ่อนคือการเอาใจใส่นักเรียน เป็นกันเอง ท่านใช้สรรพนาม ‘อั๊ว-ลื้อ’เมื่อพูดคุยกับเด็กนักเรียนรุ่นโต

    ลูกศิษย์จำนวนมากของท่านได้ดีเป็นใหญ่เป็นโต เช่น ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์  ศาสตราจารย์สุกิจ นิมมานเหมินทร์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ฯลฯ

    เมื่อภราดาคณะเซนต์คาเบรียลดำเนินการศึกษาในไทยครบห้าสิบปี มีการจัดสร้างอาคารสุวรรณสมโภช ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ออกแบบและสร้างสรรค์งานประติมากรรมชิ้นหนึ่งประดับอาคาร โดยให้สื่อความหมายตามบทกวีที่ ฟ. ฮีแลร์แต่งว่า

    จงตื่นเถิดเปิดตาหาความรู้
    เรียนคำครูคำพระเจ้าเฝ้าขยัน
    จะอุดมสมบัติปัจจุบัน
    แต่สวรรค์ดีกว่าเราอย่าลืม

    มันกลายเป็นประติมากรรมนูนสูงงดงามขนาดใหญ่ อยู่คู่โรงเรียนอัสสัมชัญจนทุกวันนี้

    ฟ. ฮีแลร์ทำงานทั้งชีวิตโดยไม่ยอมเกษียณ ในวัยเจ็ดสิบกว่า ท่านยังไม่ยอมเลิก ครั้งหนึ่งมาสเตอร์เฉิด สุดารา ลูกศิษย์คนหนึ่ง ถามท่านว่า “อาจารย์อายุมากแล้ว ไม่คิดจะกลับบ้านที่ฝรั่งเศสหรือ”

    ท่านตอบว่า “อั๊วจะกลับไปทำไม พ่อแม่พี่น้องก็ตายหมดแล้ว ที่หมู่บ้านอั๊วก็ไม่รู้จักใครอีกเลย อั๊วอยู่เมืองไทยสุขสบายดีเหมือนคนไทยคนหนึ่ง อากาศก็ชิน อาหารก็ชิน รู้จักคนเยอะแยะ ฝรั่งเศสเป็นบ้านเกิด แต่สยามเป็นเมืองนอนและเรือนตาย อั๊วจะฝากกระดูกไว้ในแผ่นดินไทยนี่แหละ”

    วัยชราของท่านไม่สนุกนัก เพราะโรคเบาหวานทำให้ท่านมองไม่เห็นอยู่หลายปี โรงเรียนจัดเวรนักเรียนไปอ่านหนังสือให้ท่านฟัง  บ่อยครั้งท่านก็แต่งบทกวีโดยบอกให้จด

    หลังจากแพทย์โรงพยาบาลศิริราชผ่าตัดเยื่อหุ้มตาให้ ท่านก็สามารถมองเห็นได้อีกครั้ง

    ฟ. ฮีแลร์ผ่านชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ ถึงแก่กรรมในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ อายุแปดสิบเจ็ดปี

    ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ท่านอุทิศตนเพื่อชาวไทย เป็นครูผู้ให้ความรู้ เป็นแสงนำทาง เป็น ‘สำเภาอันโสภา’ ลำที่พาศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าข้ามฝั่งแห่งความไม่รู้

    สังขารของท่านฝังในแผ่นดินที่ท่านถือเป็น ‘เมืองนอนและเรือนตาย’

    ส่วน ‘สำเภาอันโสภา’ จอดไว้กลางใจของชาวไทยชั่วนิรันดร

    วินทร์ เลียววาริณ
    ๒๒-๔-๒๕๖๘

    อ่านฉบับเต็มได้ใน ประวัติศาสตร์ที่เราลืม

    Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6 

    เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/176/%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%20%E0%B9%91-%E0%B9%95%20+%20%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9 

    1
    • 0 แชร์
    • 29

บทความล่าสุด