-
วินทร์ เลียววาริณ4 เดือนที่ผ่านมา
(ต่อจากโพสต์ https://www.facebook.com/photo?fbid=1273803317441690&set=a.208269707328395)
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ฟ. ฮีแลร์ออกหนังสือโรงเรียนรายสามเดือน ชื่อ อัสสัมชัญอุโฆษสมัย ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการ เจตนาเพื่อให้นักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญใช้ภาษาไทยได้ดีเทียบเท่าภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส นักเรียนสามารถเขียนบทความ บทกวี ตีพิมพ์ในหนังสือเล่มนี้
ฟ. ฮีแลร์เองก็เขียนงานมากมายลงในอุโฆษสมัยอย่างต่อเนื่อง ทั้ง บทความ บทกวี นิทาน
ความสามารถทางด้านกวีของ ฟ. ฮีแลร์นั้นสูงยิ่ง สามารถแปลบทกวีเป็นบทกวี ผลงานที่รู้จักกันแพร่หลายคือบทกวีแปลของนักบวชชาวอังกฤษชื่อ Frederick Longbridge
Two men look out through the same bars; One sees the mud, and one the stars.
เขาแปลว่า สองคนยลตามช่อง : คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย
ไม่ว่ากาพย์ กลอน หรือโคลง ท่านก็เขียนได้
หมุน เวียนเปลี่ยนใหม่ให้ ทันกาล
สมอง เชี่ยวปรีชาชาญ ส่งไซร้
ให้ทัน ช่วงใช้งาน ก่อเกิด ประโยชน์นา
สมัย ใหม่ย่อมต้องให้ เก่าเคล้า ระคนกัน........................
ครั้งหนึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพโปรดให้ท่านแปลจดหมายเหตุของ ฌอง ดงโน เดอ วีเซ (Jean Donneau de Visé) เรื่องของโกษาปานไปฝรั่งเศส ท่านก็แปลลงในหนังสืออุโฆษสมัย ชื่อ ทูตไทยไปเมืองฝรั่งเศส เป็นบันทึกประวัติศาสตร์สำคัญชิ้นหนึ่ง (ปัจจุบันตีพิมพ์ในชื่อ จดหมายเหตุโกศาปานไปฝรั่งเศส)
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ โจโฉชาวฝรั่งเศสก็เริ่มสร้างงานชิ้นใหม่ที่สำคัญต่อระบบการศึกษาไทย คือตำราสอนภาษาไทยเพื่อใช้สอนนักเรียนในเครือโรงเรียนอัสสัมชัญ ตั้งแต่ชั้นมูลจนถึงประถม ๔ ท่านใช้เวลาเขียนนานสิบเอ็ดปี โดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงรับหน้าที่เป็นผู้ตรวจแก้
หนังสือชุดนี้เรียกว่า ดรุณศึกษา เป็นแบบเรียนหนังสือนิทานมีภาพประกอบ ส่วนใหญ่เป็นกาพย์และกลอน เช่น พระยากง พระยาพาน ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ๒๔๕๓
ตัวอย่างเช่น
“วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล ต้องยากลำบากไป จึงจะได้สินค้ามา จงตั้งเอากายเจ้า เป็นสำเภาอันโสภา ความเพียรเป็นโยธา แขนซ้ายขวาเป็นเสาใบฯ” (ดรุณศึกษา เล่ม ๓)
ดรุณศึกษาเล่มแรกเป็นหนังสือที่ระลึกในงานพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ด้วย
ในงานบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ฟ. ฮีแลร์รับหน้าที่ประพันธ์และอ่านคำถวายพระพรชัยมงคล ในนามมิซซังโรมันคาทอลิค
ฝีมือและผลงานด้านการประพันธ์รอบด้านของนักบวชผู้นี้ ทำให้ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๔ เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงจัดตั้งสมาคมวรรณคดี ได้เชิญ ฟ. ฮีแลร์เป็นกรรมการด้วย เป็นปราชญ์ต่างชาติคนเดียวที่เป็นกรรมการของสมาคมทางภาษาและวรรณคดีไทย
..............................
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสยามในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงถูกคณะผู้ก่อการจับกุมเป็นตัวประกัน และต่อมาทรงลี้ภัยการเมืองเสด็จไปประทับที่ปีนัง ฟ. ฮีแลร์ก็ถูกทางการเพ่งเล็งด้วย แต่ท่านไม่แยแสอำนาจการเมืองใหม่ เห็นได้ชัดเจนจากเหตุการณ์ในปีถัดมา เกิดกบฏบวรเดช พระยาศราภัยพิพัฒหนึ่งในผู้ก่อการถูกจับเข้าคุก บุตรชายของพระยาศราภัยฯถูกทางการคุกคามให้ออกจากโรงเรียนอัสสัมชัญ ฟ. ฮีแลร์ เขียนข้อความบนนามบัตรฝากภรรยาของพระยาศราภัยฯส่งไปถึงนักโทษว่า ‘เรื่องบุตรนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เขาจะได้รับการศึกษาเหมือนกันกับเมื่อเจ้าคุณยังมีอิสรภาพอยู่ทุกประการ’
ท่านรักและเมตตาศิษย์ทุกคน ศิษย์คนใดเดือดร้อน ก็ช่วยเหลือเต็มกำลังเสมอ
ฟ. ฮีแลร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ผู้ปกครอง ท่านอบรมสั่งสอนศิษย์ โดยเน้นศีลธรรมและจริยธรรม สอนให้เด็กอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญู
ท่านปกครองเด็กสมฉายาของ ‘โจโฉ’ คือด้วยทั้งไม้แข็งและไม้อ่อน
ไม้แข็งคือไม้แข็งจริง ๆ เป็นหวายเส้นโตที่หวดก้นเด็กซนโดยไม่เลือกว่าเป็นลูกใคร
ไม้อ่อนคือการเอาใจใส่นักเรียน เป็นกันเอง ท่านใช้สรรพนาม ‘อั๊ว-ลื้อ’เมื่อพูดคุยกับเด็กนักเรียนรุ่นโต
ลูกศิษย์จำนวนมากของท่านได้ดีเป็นใหญ่เป็นโต เช่น ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ศาสตราจารย์สุกิจ นิมมานเหมินทร์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ฯลฯ
เมื่อภราดาคณะเซนต์คาเบรียลดำเนินการศึกษาในไทยครบห้าสิบปี มีการจัดสร้างอาคารสุวรรณสมโภช ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ออกแบบและสร้างสรรค์งานประติมากรรมชิ้นหนึ่งประดับอาคาร โดยให้สื่อความหมายตามบทกวีที่ ฟ. ฮีแลร์แต่งว่า
จงตื่นเถิดเปิดตาหาความรู้
เรียนคำครูคำพระเจ้าเฝ้าขยัน
จะอุดมสมบัติปัจจุบัน
แต่สวรรค์ดีกว่าเราอย่าลืมมันกลายเป็นประติมากรรมนูนสูงงดงามขนาดใหญ่ อยู่คู่โรงเรียนอัสสัมชัญจนทุกวันนี้
ฟ. ฮีแลร์ทำงานทั้งชีวิตโดยไม่ยอมเกษียณ ในวัยเจ็ดสิบกว่า ท่านยังไม่ยอมเลิก ครั้งหนึ่งมาสเตอร์เฉิด สุดารา ลูกศิษย์คนหนึ่ง ถามท่านว่า “อาจารย์อายุมากแล้ว ไม่คิดจะกลับบ้านที่ฝรั่งเศสหรือ”
ท่านตอบว่า “อั๊วจะกลับไปทำไม พ่อแม่พี่น้องก็ตายหมดแล้ว ที่หมู่บ้านอั๊วก็ไม่รู้จักใครอีกเลย อั๊วอยู่เมืองไทยสุขสบายดีเหมือนคนไทยคนหนึ่ง อากาศก็ชิน อาหารก็ชิน รู้จักคนเยอะแยะ ฝรั่งเศสเป็นบ้านเกิด แต่สยามเป็นเมืองนอนและเรือนตาย อั๊วจะฝากกระดูกไว้ในแผ่นดินไทยนี่แหละ”
วัยชราของท่านไม่สนุกนัก เพราะโรคเบาหวานทำให้ท่านมองไม่เห็นอยู่หลายปี โรงเรียนจัดเวรนักเรียนไปอ่านหนังสือให้ท่านฟัง บ่อยครั้งท่านก็แต่งบทกวีโดยบอกให้จด
หลังจากแพทย์โรงพยาบาลศิริราชผ่าตัดเยื่อหุ้มตาให้ ท่านก็สามารถมองเห็นได้อีกครั้ง
ฟ. ฮีแลร์ผ่านชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ ถึงแก่กรรมในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ อายุแปดสิบเจ็ดปี
ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ท่านอุทิศตนเพื่อชาวไทย เป็นครูผู้ให้ความรู้ เป็นแสงนำทาง เป็น ‘สำเภาอันโสภา’ ลำที่พาศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าข้ามฝั่งแห่งความไม่รู้
สังขารของท่านฝังในแผ่นดินที่ท่านถือเป็น ‘เมืองนอนและเรือนตาย’
ส่วน ‘สำเภาอันโสภา’ จอดไว้กลางใจของชาวไทยชั่วนิรันดร
วินทร์ เลียววาริณ
๒๒-๔-๒๕๖๘อ่านฉบับเต็มได้ใน ประวัติศาสตร์ที่เราลืม
1- แชร์
- 71
-
เชื่อว่าผู้อ่านที่มีอายุเกิน 40 น่าจะทันเกม "He loves me, he loves me not" (บางทีเรียก "She loves me, she loves me not")
ต้นตำรับภาษาฝรั่งเศสคือ effeuiller la marguerite
เป็นเกมที่เราเด็ดกลีบดอกไม้ออกทีละกลีบ เด็ดแต่ละกลีบจะเอ่ยว่า "รัก" / "ไม่รัก" สลับกันไป
กลีบสุดท้ายคือคำไหน ก็คือคำตอบ
น่าจะมีนัยของความลังเลว่ารักใครคนนั้น หรือใครคนนั้นรักเราหรือเปล่า
การเมืองวันนี้ก็เล่นเกมนี้ นั่นคือ "ยุบ" / "ไม่ยุบ"
กลีบสุดท้ายจะออกเป็นอะไร จนปัญญารู้
รู้แต่ว่ามันไม่ใช่ดอกกุหลาบแน่ น่าจะเป็นดอก xxx มากกว่า
ว.ล.
3-9-251 วันที่ผ่านมา -
อาจารย์ชราเดินกระย่องกระแย่งด้วยไม้เท้าไปหยุดที่หน้าชั้น นั่งลง เอ่ยกับนักศึกษาทั้งหมดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าแต่เปี่ยมรอยยิ้มว่า "เพื่อนเอ๋ย ฉันเดาว่าพวกคุณทั้งหมดมาที่นี่เพื่อเรียนวิชาจิตวิทยาสังคม ฉันสอนวิชานี้มายี่สิบปีแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันพูดได้ว่า มีความเสี่ยงที่จะลงทะเบียนเรียนวิชานี้ เพราะฉันมีโรคร้ายแรงอย่างหนึ่ง ฉันอาจจะมีชีวิตอยู่ไม่จบเทอม"
มอร์รี ชวาร์ทซ์ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแบรนดิส แห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ วัยเจ็ดสิบกว่า เขาสอนหนังสือมาสามสิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยขาดงานเลย แต่นี่อาจเป็นการสอนหนังสือเทอมสุดท้ายของเขา
เขากำลังจะตายด้วยโรค Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) ร่างกายของเขาสูญเสียการควบคุมตัวทีละน้อย ทีละส่วน
มอร์รีสอนหนังสือให้เหล่านักศึกษาสายพันธุ์บุปผาชน ลูกศิษย์หลายคนของมอร์รีเป็นพวกหัวก้าวหน้า ยุคซิกซ์ตี้เป็นห้วงเวลาของการ 'ปฏิวัติวัฒนธรรม' มหาวิทยาลัยที่เขาสอนมีนโยบายต่อต้านสงครามอย่างที่สุด เมื่อรู้ว่านักศึกษาที่เกรดต่ำจะต้องถูกเกณฑ์เป็นทหารไปรบในเวียดนาม เหล่าอาจารย์ก็ไม่ให้เกรด ครั้นฝ่ายบริหารบอกว่า หากไม่ให้เกรด นักศึกษาเหล่านั้นจะสอบตกหมด และต้องไปรบ มอร์รีก็เสนอว่า "งั้นเราก็ให้เกรด เอ. พวกเขาหมดก็แล้วกัน"
สิ่งที่มอร์รีสอนไม่ใช่การเล็กเชอร์ แต่เป็นการสนทนากัน พวกเขาคุยเรื่องประสบการณ์มากกว่าทฤษฎี ภาพของมอร์รีที่ไปร่วมประท้วงกับเหล่านักศึกษาที่วอชิงตันเป็นภาพที่ชาวมหาวิทยาลัยชินตา
มอร์รีสอนการใช้ชีวิตให้เต็มที่ โลกไม่ได้มีแต่ห้องเรียนหรือเงินตรา โลกยังมีสิ่งที่เรียกว่าความรัก ความงดงามของครอบครัว ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูก และความกล้าหาญในการดำเนินชีวิตต่อไปกลางอุปสรรคที่โหดร้ายที่สุด
ความกล้าหาญนี่เองที่ทำให้เขารับมือกับโรคร้ายด้วยรอยยิ้ม
แน่ละ ไม่ทุกวันที่เขายิ้มได้ แต่การมองโลกในแง่ดีก็ทำให้เขาเดินหน้าต่อไป
มอร์รีบอกว่า "มีบางเช้าที่ฉันร้องไห้และร้องไห้ และเศร้ากับตัวเอง บางเช้าฉันโกรธและขมขื่นมาก แต่มันก็ไม่คงอยู่นาน แล้วฉันก็ลุกขึ้นแล้วบอกว่า ฉันต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป"
เพราะบางครั้งความกล้าหาญที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปยิ่งใหญ่กว่าความกล้าที่จะตาย
มอร์รีชอบเต้นรำ แม้ว่าหลายคนจะบอกว่ามันไม่ใช่การเต้นรำก็ตาม เขาเต้นไม่เป็นท่า แต่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและมีชีวิตชีวา แต่เมื่อถึงจุดที่เขาไม่สามารถบังคับร่างกายของเขา มอร์รีก็ต้องยุติการเคลื่อนไหวเช่นนั้นตลอดกาล แต่หัวใจของเขาไม่เคยหยุดเต้นรำ
เขาเดินยากลำบากขึ้นทุกที จนในที่สุดก็เดินไม่ได้โดยสิ้นเชิง เขานั่งบนรถเข็น มีคนอุ้มเขาขึ้นจากรถเข็นไปนอนบนเตียง และจากเตียงกลับไปที่รถเข็น เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย
มอร์รีบอกกับศิษย์ที่มาเยี่ยมเขาว่า "...วัฒนธรรมที่เรามีไม่ได้สอนให้ผู้คนรู้สึกดีกับตัวเราเอง เรากำลังสอนสิ่งที่ผิด และคุณต้องแข็งแกร่งพอที่จะบอก ถ้าวัฒนธรรมนั้นไม่ดี อย่าซื้อมัน สร้างวัฒนธรรมของคุณขึ้นมาเอง คนส่วนมากไม่สามารถทำอย่างนั้น พวกเขาไม่มีความสุขยิ่งกว่าฉันเสียอีก แม้ในสถานการณ์ที่ฉันกำลังประสบอยู่"
มอร์รีบอกว่า สิ่งหนึ่งที่เขาเรียนรู้หลังจากเป็นโรคนี้ คือ สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือการเรียนรู้ที่จะมอบความรัก และยอมให้มันเข้ามาหาเรา
ความรักเป็นเรื่องสวยงาม ครอบครัวเป็นสิ่งสวยงาม เพื่อนแท้เป็นสิ่งสวยงาม
อาการของเขาทรุดลงเรื่อย ๆ ในช่วงท้ายเขาจำต้องให้ผู้อื่นเช็ดก้นให้ แต่เขากลับมองมันเป็นประสบการณ์ที่น่าลอง "เหมือนกลับไปเป็นทารกอีกครั้ง" เขาเอ่ยยิ้ม ๆ
มอร์รีเป็นครูจนวันสุดท้ายของชีวิต เขาสอนให้คนรู้จักการใช้ชีวิต สิ่งที่มอร์รีสอนอาจไม่ใช่เครื่องมือสร้างความร่ำรวยตามกระแสนิยม แต่ขณะที่นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่เคยกลับไปเยี่ยมอาจารย์เก่า ลูกศิษย์ของมอร์รีกลับไปเยี่ยมเยียนเขาเสมอ
มอร์รีตายในเช้าวันเสาร์แห่งเดือนพฤศจิกายน ยามที่ใบไม้หลุดจากขั้วรับลมหนาวแรก จากไปเงียบ ๆ คนเดียว ในห้วงยามสั้น ๆ ที่ไม่มีใครเฝ้าดูเขา หัวใจที่ชอบเต้นรำของเขาหยุดเต้นในที่สุด
เมื่อถึงเวลาตาย เราล้วนตายด้วยตัวเราเอง
เมื่อเข้าใจอุปสรรค เมื่อไม่กลัวความเปลี่ยนแปลง ความตายก็เป็นเพียงการหลับธรรมดาอีกครั้งหนึ่งของชีวิต
หมายเหตุ : รายละเอียดชีวิตช่วงสุดท้ายของมอร์รีอยู่ในหนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie โดย Mitch Albom
ในรูปคือ มอร์รี กับลูกศิษย์ มิตช์ แอลบอม วันที่ 3 ตุลาคม 1995
วินทร์ เลียววาริณ
4-9-25จากเรื่อง ความฝันโง่ ๆ
1 วันที่ผ่านมา -
เพื่อสุขภาพที่ดี ควรเดินให้ได้หมื่นก้าวต่อวัน
1 วันที่ผ่านมา -
เมื่อผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในต่างจังหวัด ก็เข้ามาเรียนต่อที่เมืองหลวง การสอบเข้าเรียนชั้น ม.ศ. 4 ในกรุงเทพฯสมัยนั้นทำพร้อมกันทีเดียว หมายถึงต้องแข่งกับนักเรียนหลายหมื่นคนจากทั่วประเทศ ในวันสอบก่อนเข้าห้องสอบ เพื่อนคนหนึ่งถามโจทย์ผมหลายข้อ ผมตอบไม่ได้เลย จึงเอะใจว่าตัวเองเตรียมตัวมาสู้คนอื่นไม่ได้ โจทย์หลายข้อไม่เคยผ่านตาผมมาก่อน ผมเชื่อว่าเพื่อนคงไปกวดวิชามาอย่างเข้มข้น จึงไม่แปลกที่ผมสอบเข้าโรงเรียนที่ต้องการไม่ได้
เมื่อสี่สิบปีก่อน กรุงเทพฯมีโรงเรียนกวดวิชาหลายแห่ง ใครอยากสอบได้ ก็ต้องกวดวิชา “เพื่อให้ชัวร์” เด็กเมืองหลวงเข้าถึงแหล่งวิชาความรู้มากกว่าและพร้อมกว่า เด็กจากต่างจังหวัดกับเด็กกรุงเทพฯเหมือนมวยคนละชั้น
แต่การสอบไม่ติดโรงเรียนที่ตั้งเป้าไว้กลับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต เพราะมันทำให้ผมต้องเตรียมพร้อมในการศึกครั้งต่อมา คือการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย คราวนี้ผมเตรียมสอบล่วงหน้าอย่างหนักหน่วงนานถึงหนึ่งปีเต็ม ก็เข้าคณะที่ต้องการได้
ครั้นได้เรียนคณะที่ต้องการแล้ว ก็โล่งอกนึกว่าสบายแล้ว จึงใช้เวลาอ่านนิยายตามนิสัยเดิม ผลก็คือเทอมแรกผมได้รับเกรด F เป็นตัวแรกในชีวิต โดยสอบตกวิชาคำนวณ เกรด F ที่ได้รับมานี้ฉุดคะแนนรวมลงทันที กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ก็ใช้เวลาอีกหลายเทอม
ทว่าการสอบตกตั้งแต่เทอมแรกกลับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในชีวิต มันเตือนสติผมว่า ระวัง! อย่าเรียนเล่น ๆ อาจถูกรีไทร์ได้ ตั้งแต่นั้นผมก็เปลี่ยนเป็นเรียนอย่างตั้งใจ และจบไปด้วยคะแนนน่าพอใจ ที่สำคัญคือไม่ประมาทไปตลอดชีวิต
แน่นอน การสอบคัดเลือกไม่ได้ การได้รับเกรด F เป็นเรื่องน่าตกใจ น่าหดหู่ แต่เมื่อใช้มันให้เป็นบทเรียนและไฟกระตุ้น มันก็กลายเป็นของมีค่าใหญ่หลวง
ความผิดพลาดพ่ายแพ้จึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป หากรู้จักใช้มันให้เป็น
ในโลกของชีวิตการทำงาน ‘การสอบตก’ มักอยู่ในรูปของการถูกไล่ออก มันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง เจ้านายส่วนใหญ่อาจให้เหตุผลของการไล่ออกที่ไม่ตรงกับความจริงเพื่อรักษาน้ำใจของลูกน้อง เช่น บริษัทมีผลประกอบการไม่ดี, เศรษฐกิจแย่ ฯลฯ แต่ต่อให้มันเป็นเหตุผลจริง คนที่ถูกไล่ออกก็มักถามว่า “แล้วทำไมต้องเป็นเรา?”, “เราแย่ขนาดนั้นเลยหรือ?”
การถูกไล่ออกเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวด เป็นการหักความมั่นใจในตนเองด้วยเข่า แต่ก็เหมือนฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า พายุพัด เราควบคุมมันไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้
หากตั้งหลักโดยใช้สติ ใช้สมองครุ่นคิดโฟกัสที่ปัญหาจริง ก็อาจเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส และมันก็อาจกลายเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต
คนจำนวนไม่น้อยถูกไล่ออกจากงาน แล้วไปเรียนต่อ ไปสานฝันที่ค้างไว้ ทำนองว่าไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกแล้ว มันเปลี่ยนพวกเขา บังคับให้พวกเขาต้องคิดและใช้ศักยภาพให้ถึงขีดสุด
สิ่งแรกคือยอมรับความจริง สิ่งที่สองคือหาจุดผิดพลาด สิ่งที่สามคือแก้ไขหรือปรับปรุงตัวเอง หากทำอย่างนี้ได้ ความผิดพลาดนั้นก็ไม่ถือว่าเป็น ‘ความผิดพลาด’ (ลบ) แต่ถูกยกระดับเป็น ‘บทเรียน’ (บวก)
การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดจึงอาจมีค่ามากกว่าการไม่เคยพ่ายแพ้เลย
วินทร์ เลียววาริณ
3-9-25จากหนังสือ ยาเม็ดสีแดง
190 บาท 34 บทความ บทความละ 5.5 บาท
https://www.winbookclub.com/store/detail/116/ยาเม็ดสีแดงชุดกำลังใจครึ่งโหล 6 เล่ม 800.- (ลดจาก 1,255.-)
https://www.winbookclub.com/store/detail/217/S6%20ชุดกำลังใจครึ่งโหล1 วันที่ผ่านมา -
ในโลกการเมือง คำว่า kingmaker หมายถึงคนหรือกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลสร้างผู้นำคนใหม่ บริบทของคำนี้กินความกว้างกว่าการเมือง ใช้ในด้านศาสนา การทหาร การเงินได้ด้วยเช่นกัน
วันนี้ร้านพับผ่าเป็นที่ชุมนุมของ kingmaker หลายคน ข้าพเจ้าได้ยินแว่วๆ ว่าพวกเขากำลังเลือกผู้นำคนใหม่
ข้าพเจ้าถามพวกเขา "ดื่มอะไรดีครับ?"
"อะไรก็ได้ เรามีเรื่องยุ่ง ต้องเลือกผู้นำคนใหม่ ความจริงเราแค่อยากใช้สถานที่ มากกว่าจะดื่มเหล้า เพราะที่นี่เงียบดี"
"ทว่าไหนๆ ก็มาถึงศูนย์กลางสุราแล้ว ไยมิร่ำดื่มสักจอกสองจอกเล่า"
"งั้นจัดมาเลย"
ข้าพเจ้าเห็นความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาหลายสิบปีแล้ว ในประเทศนี้คนที่มีอำนาจไม่กี่คนกำหนดชะตากรรมของคนทั้งประเทศ คนเหล่านี้ชี้นิ้วให้ใครเป็นผู้นำก็ได้
ข้าพเจ้าชงค็อคเทลแก้วแรกชื่อ The King Maker สูตรดั้งเดิมทำด้วย Aperol ผสมเหล้า Vermouth ผสม Amaretto ผสม walnut bitters
ข้าพเจ้ายกเหล้าไปให้พวกเขา ได้ยินคนในกลุ่มคุยกัน
"ผมว่าจะให้อนุทินเป็นนะ เขาเป็นคนสุภาพ รอบคอบ เหมาะเป็นผู้นำ"
"แต่ผมว่าชัยเกษมเหมาะกว่า เพราะอายุมาก มีประสบการณ์ เราต้องการคนที่ช่ำชองงาน"
"ผมว่าให้ภูมิธรรมดีกว่า มีเรื่องฮาทุกวัน"
พวกเขาดื่มเหล้าจนหมด ใครคนหนึ่งว่า "อร่อยมาก ขออีกแก้วนะ"
ข้าพเจ้ารับคำ แล้วไปชงค็อคเทลแก้วที่สอง Backstabber
แปลว่าแทงข้างหลัง
ค็อคเทลแทงข้างหลังทำด้วย Dry Gin ผสมน้ำมะนาว ผสมไซรัปขิง ผสม Angostura Aromatic Bitters และไข่ขาว
ข้าพเจ้ารู้ว่าคำสัญญาในโลกการเมืองไม่มีจริง มันเป็นเรื่องผลตอบแทน และผลตอบแทนเปลี่ยนไปได้นาทีต่อนาที
ข้าพเจ้ายกเหล้าไปให้พวก kingmaker
ได้ยินพวกเขาว่า "สรุปก็คือเราไม่เอาอนุทิน ไม่เอาชัยเกษม ไม่เอาภูมิธรรม เราจะเอาคุณใจกล้า"
ข้าพเจ้างงไปวูบ ตั้งแต่ติดตามการเมืองในรอบปีที่ผ่านมา ไม่เคยได้ยินชื่อคุณใจกล้าเลย นึกไม่ออกว่าเขาสังกัดพรรคไหน
ข้าพเจ้าถาม "ขอโทษ พวกคุณกำลังเลือกนายกฯคนใหม่ของประเทศไทยใช่หรือไม่?"
"ใช่และไม่ใช่ เลือกนายกฯคนใหม่น่ะใช่ แต่ไม่ใช่ประเทศไทย เรากำลังเลือกนายกฯสมาคมพ่อบ้านใจกล้า ปรากฏว่าลงตัวที่คุณใจกล้า เขาเป็นสามีชั้นยอด ไม่เคยซักผ้าสักวัน ไม่เคยรีดผ้า ไม่เคยถูบ้าน เขาชี้นิ้วสั่งเมียได้ทุกงาน เขาจึงสมควรขึ้นเป็นนายกฯสมาคมพ่อบ้านใจกล้าแห่งประเทศไทย คุณบาร์เทนเดอร์ว่าเหมาะสมมั้ย?"
"เหมาะสมครับ"
ข้าพเจ้าระบายลมหายใจออกมาแล้วยิ้ม เป็นครั้งเดียวของประเทศนี้ที่เลือกผู้นำได้ถูกคน
วินทร์ เลียววาริณ
2-9-25..................
หมายเหตุ เหล้าทั้งหมดนี้มีจริง
พับผ่า! บาร์เทนเดอร์ (The Bartender Series 1) มีจำหน่ายแล้วในรูปอีบุ๊ค สนใจดูได้ในเว็บ winbookclub.com หรือ The Meb
2 วันที่ผ่านมา