-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
บทความใหม่วันเสาร์ คลิกลิงก์อ่านได้เลย https://www.blockdit.com/posts/67fbd3dae2c7f2cd8aec121d
0- แชร์
- 3
-
วันก่อนเล่านิทานเรื่องเลือกหัวหน้าใหม่ เป็นการเล่านิทานเก่าในเวอร์ชั่นใหม่ และไม่ใช่ครั้งแรก
20 ปีก่อน มูลนิธิเด็กขอให้ผมช่วยเล่านิทานเก่าในเวอร์ชั่นใหม่ ผมตกลง รับบรี๊ฟแล้วก็เขียนเสร็จในชั่วโมงนั้น
คือเรื่อง จีนกับใบมะขาม ตีพิมพ์ใน สมุดบันทึกนิทานมูลนิธิเด็ก 2547
เป็นเล่มเล็กๆ บางคนอาจมีเก็บไว้
จะลงให้ผ่านหลังจบบทความ
คำถามคือแล้วผมเคยแต่งนิทานไหม คำตอบคือเคย ก็คือ นิทานอีแสบ ไง
นิทานอีแสบ อยู่ในนวนิยาย ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติฯ เป็นนิทานกวน-teen คน ตามในท้องเรื่อง นิทานเล่มนี้มี 40 เรื่อง ผมแต่งไว้ราว 2-3 เรื่องมั้ง
เคยคิดจะเขียนให้ครบ 24 เรื่องตามโจทย์ในนิยาย แต่ยังไม่ว่างเขียน
ทีนี้ก็มาถึงเรื่อง จีนกับใบมะขาม
...............................
จีนกับใบมะขาม
เล่าใหม่โดย วินทร์ เลียววาริณโกย้งกับโกผงเป็นชาวจีนสองคนเพื่อนตายที่หาเช้ากินค่ำในเมืองจีน ชีวิตในหมู่บ้านของพวกเขาแร้นแค้นมาก ทั้งสองมักอด ๆ อยาก ๆ วันหนึ่งโกย้งบอกโกผงว่า “เราทั้งสองจงเดินทางไปเมืองไทยเถิด ได้ยินคำร่ำลือว่า แผ่นดินนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว อุดมด้วยเรือกสวน พืชผักผลไม้บริบูรณ์”
โกผงถามว่า “เราสองคนจะทำอะไรกิน”
โกย้งตอบว่า “เรามีสองมือสองเท้า จะทำอะไรก็ได้ ตราบใดที่เราขยันขันแข็ง มีหรือจะอดตายในแผ่นดินอุดมสมบูรณ์เช่นนั้น”
ทั้งสองใช้เงินก้อนสุดท้ายเป็นค่าเดินทาง เรือสำเภาดั้นด้นฝ่าคลื่นลมจากเมืองจีนมาถึงจุดหมาย และขึ้นฝั่งทางภาคใต้ของไทย
โกย้งมองไปรอบตัว ยิ้มบอกว่า “เราไม่อดตายแล้ว ที่นี่เป็นสวรรค์โดยแท้”
โกย้งกับโกผงตัดสินใจแยกทางกันไปทำมาหากิน เพราะเห็นว่าการแยกกันไปทำงานคนละอย่างจะเพิ่มโอกาสในการสร้างตัว
ทั้งสองสัญญากันว่า หากใครประสพความสำเร็จก่อน จะช่วยเหลืออีกคน นัดหมายกันว่าอีกสองปีมาเจอกันที่ท่าเรือ
เมื่อแยกทางกันแล้ว โกผงก็ทำงานจิปาถะตามสบาย เนื่องจากเมื่อไม่มีกิน ชาวบ้านก็มักเอื้อเฟื้อมอบอาหารให้ ผลหมากรากไม้ก็หาง่าย อีกทั้งอากาศทางภาคใต้ก็เย็นสบาย ฝนตกปรอยชุ่มชื้นเสมอ โกผงจึงใช้ชีวิตตามสบาย เมื่อได้เงินมาก็หยุดทำงานนอนเล่นไปวัน ๆ ใช้เงินหมดเมื่อใดค่อยตะเกียกตะกายไปหางานทำ
เวลาผ่านไปสองปี โกผงก็ยังมีสภาพยากจนเช่นเมื่อสองปีก่อน โกผงเดินทางไปที่จุดนัดพบ เขาเห็นโกย้งในสภาพที่ไม่เหมือนเดิม โกย้งกลายเป็นเศรษฐี นั่งรถม้า มีคนขับรถ คนรับใช้หลายคนคอยปรนนิบัติ
โกย้งเล่าว่า เมื่อแยกทางมา เขาก็ทำงานทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงงอน เก็บหอมรอมริบอย่างอดทนจนได้เงินก้อนหนึ่ง นำไปลงทุนซื้อสวนใหญ่ปลูกมะขามและผลไม้อื่น ๆ กิจการดีขึ้นตามลำดับ
เมื่อรู้ว่าเพื่อนของตนไม่มีงานทำ โกย้งก็บอกให้โกผงไปทำงานกับตน โกผงทำงานที่ใหม่ นอกจากไม่ได้เปลี่ยนนิสัยทำงานวันหยุดสองวันแล้ว ยังแย่กว่าเดิม หยุดงานนานครั้งละหลาย ๆ วัน
เมื่อโกย้งถามว่าทำไมเขาไม่ทำงาน โกผงตอบว่า “แกรวยแล้ว ทำไมต้องทำงานหนักอีก ไม่จำเป็นต้องทำงานก็อยู่สบายไปตลอดชีวิตได้”
โกย้งสังเกตเห็นเพื่อนของตนเปลี่ยนไปเช่นนั้น ก็มิได้ว่ากล่าวแต่ประการใด บอกเพื่อนว่า “ถ้าเช่นนั้น ฉันจะให้แกไปทำงานง่าย ๆ “
โกผงถามว่า “งานอะไร”
“รูดใบมะขามออกจากต้น เริ่มจากต้นเล็กก่อน”
โกผงรับปากด้วยความยินดีที่ได้ทำงานเบาสบายกว่าเดิม โกผงรูดใบมะขามออกหมดต้นในสองสามวัน ไม่นานต้นมะขามนั้นก็เฉาตาย
โกผงรูดใบไม้จากต้นใหม่ต่อไป ครั้งนี้ใช้เวลารูดนานขึ้นเป็นอาทิตย์ เพราะเป็นต้นขนาดกลาง มะขามต้นนั้นไม่ตาย แต่ก็ใช้เวลาฟื้นตัวนานหลายอาทิตย์
เมื่อรูดใบหมดต้น โกผงก็ไปรูดใบจากต้นมะขามใหญ่ ครั้งนี้กินเวลานานเป็นเดือนก็ไม่หมดสักที เพราะเมื่อรูดใบหมดไปส่วนหนึ่ง ต้นมะขามก็ผลิใบใหม่ออกมา โกผงรู้สึกเหนื่อยจึงนั่งพักที่โคนต้นมะขาม สายตามองดูใบไม้ที่ถูกรูดร่วงโรยรายบนพื้น
เขานั่งคิดว่า ทำไมจึงไม่สามารถรูดใบไม้ทั้งหมดลงมาได้ ทั้ง ๆ ที่สองต้นแรกใช้เวลาเพียงไม่นาน เขานึกถึงตัวเองที่ทำงานวันเว้นวัน เงินหมดอย่างรวดเร็ว
คนที่ทำงานหนักได้เงินทองมาสะสมมากมาย ก็เหมือนมะขามใหญ่ รูดใบไม้ออกไปเท่าใดก็ไม่มีวันหมด ส่วนคนที่ขี้เกียจทำงานเช่นเขา มีเงินทองเล็กน้อย รูดใบไม้ไม่กี่วันก็หมดเกลี้ยง ไม่นานก็เฉาตายไป เขารู้แล้วว่าโกย้งมอบงานนี้ให้เขาทำเพื่อให้เขารู้จักคิด เขารู้สึกละอายใจ
โกผงกลับไปหาโกย้ง ขอทำงานที่ยากขึ้น คราวนี้เขาทำงานทุกวัน และไม่นานก็มีฐานะที่ร่ำรวย ยืนหยัดได้เหมือนมะขามใหญ่ต้นนั้น
ตีพิมพ์ใน สมุดบันทึกนิทานมูลนิธิเด็ก 2547
1 วันที่ผ่านมา -
โลกทุกวันนี้หาผู้นำดีๆ ยากมาก ทำให้นึกถึงนิทานเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ใครแต่ง หรือมาจากประเทศไหน
เรื่องมีอยู่ว่า...
หัวหน้าเผ่าคนหนึ่งรู้ว่าตนเองแก่แล้ว หมดกำลังวังชาลงไปเรื่อย ๆ เขาต้องการหาคนมาสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าต่อจากเขา
เขาจึงคัดลูกน้องที่มีแววห้าคน มอบเมล็ดพืชให้คนละเมล็ด บอกว่า “นี่เป็นพันธุ์พืชที่ปลูกยากมาก จงเอาเมล็ดพันธุ์นี้ไปเพาะ ให้เวลาหนึ่งปี ใครปลูกได้ต้นใหญ่ที่สุดแสดงว่ามีความสามารถเป็นผู้นำเผ่าได้ และจะได้เป็นหัวหน้าต่อจากเรา”
ผ่านไปหนึ่งปี ลูกน้องแต่ละคนก็นำพืชที่ปลูกในกระถางมาให้หัวหน้าดู แต่ละต้นใหญ่ สมบูรณ์
หัวหน้าชราตรวจดูต้นไม้เหล่านั้น ในที่สุดก็หยุดที่กระถางใบหนึ่ง มันเป็นกระถางเปล่า มีแต่ดิน ไม่มีต้นไม้ หัวหน้าถามว่า “นี่เป็นของใคร?”
ชายหนุ่มคนหนึ่งตอบว่า “เป็นของข้าฯ”
“ทำไมจึงปลูกไม่ขึ้น? เจ้าไม่ได้รดน้ำพรวนดินรึ?”
“ข้าฯรดน้ำพรวนดิน ให้มันรับแสงแดดทุกวัน แต่มันก็ไม่ยอมแตกหน่อผลิใบ ข้าฯจนปัญญา ข้าฯไม่มีความสามารถปลูกต้นไม้ชนิดนี้จริง ๆ”
หัวหน้าชราบอกชายหนุ่มคนนั้นว่า “เรามิได้ต้องการคนที่ปลูกต้นไม้เก่งมาเป็นหัวหน้าเผ่า เราต้องการคนซื่อสัตย์ต่างหาก เมล็ดพืชที่เราให้ทุกคนไปนั้นเป็นเมล็ดตาย ปลูกอย่างไรก็ไม่มีทางขึ้น เจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ จึงสมควรเป็นหัวหน้าคนใหม่”
วินทร์ เลียววาริณ
2-5-25......................
จากหนังสือเสริมกำลังใจ ยาเม็ดสีแดง
34 บทความ 190 บาท บทความละ 5.5 บาท
https://www.winbookclub.com/store/detail/116/ยาเม็ดสีแดง
S6 ชุดกำลังใจครึ่งโหล 6 เล่ม 800.- (ลดจาก 1,255.-)
https://www.winbookclub.com/store/detail/217/S6%20ชุดกำลังใจครึ่งโหล2 วันที่ผ่านมา -
ไม่กี่วันก่อน มีข่าวไฟดับที่สเปนและปอร์ตุเกส เป็นการดับขนานใหญ่ ทำให้นึกได้ว่าเมืองไทยก็เคยมีไฟดับขนานใหญ่ อย่างน้อยสองครั้ง
ครั้งแรกคือวันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2521 ไฟฟ้าดับทั่วประเทศไทย เกิดจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพระนครใต้ขัดข้อง ส่งให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าอื่นๆ ทั่วประเทศที่มีระบบการทำงานเชื่อมกันขัดข้องไปด้วย
วันนั้นไฟดับไปเกือบสิบชั่วโมง
อีกครั้งคือเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 เกิดไฟดับไปทั่วภาคใต้ ตั้งแต่ชุมพรลงไป ก็เกิดข่าวลือว่าสงสัยจะเกิดรัฐประหาร!
ตอนผมเป็นเด็ก หาดใหญ่ไฟดับเป็นประจำ จนเรามีไฟฉาย เทียนไข ตะเกียงน้ำมัน และตะเกียงเจ้าพายุพร้อมเสมอ
ตอนที่ไฟดับก็มักมีคนเล่าเรื่องผี สยองขวัญมาก
มาถึงยุคนี้ คนส่วนมากไม่ได้เตรียมพร้อมหากเกิดไฟดับ ไปต่อไม่ถูก
โลกมาถึงยุคที่เราใช้พลังงานกันมากเกินตัว และคิดว่าสาธารณูปโภคต้องพร้อมสำหรับเรา แต่เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นได้เสมอ
นี่วันสองวันก่อน สำนักมูดี้ส์ก็ทำให้เราอารมณ์มูดดี้ไปด้วย เพราะปรับลดค่าอะไรสักอย่างที่บอกว่าสภาพเศรษฐกิจของไทยไม่สดใสนัก ตัวเลขนักท่องเที่ยวก็ลด
ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท อย่าใช้จ่ายเกินตัว
ผงซักฟอกก็ประหยัดหน่อย อย่าใช้มาก ขยี้แรงๆ ก็ช่วยได้
วินทร์ เลียววาริณ
2 พฤษภาคม 25682 วันที่ผ่านมา -
เมื่อเดือนก่อนผมเกลานิยายกำลังภายใน สี่ภพ เสร็จแล้ว ตอนนี้อยู่ในมือบรรณาธิการ
ระหว่างที่รอว่าจะมีการรื้อมากน้อยแค่ไหน ช่วงเดือนที่ผ่านมา ผมก็นั่งลูบคมดินสอ
เขียนเรื่องสั้นหักมุมจบ (twist-ending) ทุกวัน
เรื่องสั้นในตระกูลเดียวกับเรื่องชุด สมุดปกดำกับใบไม้สีแดง ร้อยคม แมงโกง
การเขียนเรื่องสั้นตระกูลนี้เป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง เหมือนเล่นเกม นอกจากเล่นกับตัวละครแล้ว ยังต้องเล่นกับคนอ่านว่า ทำยังไงไม่ให้เดาออก
ผมสนุกกับงานตระกูลนี้มาก พล็อตไหลมาเรื่อยๆ
ในงานสามชุดที่ตีพิมพ์ไปแล้ว (ราว 60 เรื่อง) ประกอบด้วยเรื่องสั้นหลายเกรด บางเรื่องก็ออกมาดี เกรด A บางเรื่องก็ธรรมดา ได้เกรด B หรือ C เป็นความปกติของการเขียนนิยาย
ในบรรดาหลายสิบเรื่องที่เขียนมา เรื่องสั้นที่ตัวเองรู้สึกพอใจ ก็เช่น มนุษยธรรม, ดวง, ความมืด มือปืน คำสั่งฆ่า, จดหมายรัก, ใต้ซากตึก, ไม้ไอติม, มือระเบิด, ปล้นห้านาที เป็นต้น
เรื่องสั้นชุดใหม่ที่กำลังเขียนที่พอใจก็มี 3-4 เรื่อง
เรื่องล่าสุดที่เพิ่งเขียนเสร็จเมื่อวานนี้เดิมไปต่อไม่ได้ แต่พอเปลี่ยนตระกูลจากหักมุมจบเป็นเรื่องผี กลับลงตัว
เออ! อย่างนี้ก็มีด้วย!
การเขียนนิยายตอนนี้ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว เขียนไปเรื่อยๆ พลิกแพลงได้ตลอดเวลา
ผมคงสนุกกับงานมาก จนในวันกรรมกรยังทำงาน
วินทร์ เลียววาริณ
1-5-253 วันที่ผ่านมา -
ราวสี่สิบปีมาแล้ว เพื่อนผมคนหนึ่งสวมเสื้อยืดแบรนด์เนม มีตราอะไรบางอย่างที่อกเสื้อ ถามเขาว่าตัวละเท่าไร เขาบอกว่าไม่กี่สิบบาท เพราะเป็นสินค้าริมถนนของปลอม ตอนนั้นเขามีธุรกิจของตัวเองแล้ว มีปัญญาซื้อเสื้อแบรนด์เนมของจริงแน่นอน แต่เขาซื้อสินค้าจากริมทาง ซึ่งทั้งหมดติดยี่ห้อดังทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม ถึงใส่ของปลอม ก็ดูเหมือนเขาใส่ของจริง
มันขึ้นอยู่กับคนสวม คนบางคนใช้สินค้าแบรนด์เนมของจริง คนอื่นก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นของจริง
ปัจจุบันเพื่อนคนนี้รวยมาก แต่ยังขับรถมือสอง สวมเสื้อผ้าธรรมดา ไม่มีอะไรในตัวที่เป็นแบรนด์เนม
ผมก็มีนิสัยคล้ายเพื่อนคนนี้ (แต่ความรวยเทียบไม่ได้!) จึงคบกันได้ ในชีวิตไม่เคยซื้อของแบรนด์เนมเพราะยี่ห้อเลย แต่ก็ไม่ได้ต่อต้าน ถ้าซื้อก็เพราะชอบดีไซน์จริงๆ บางครั้งยังแกะชื่อยี่ห้อออก
ตอนนี้ในวัยชรา ผมรู้สึกเฉยๆ ในเรื่องนี้แล้ว ใครมีเงิน อยากทำอะไรก็ทำ ถ้าใส่แบรนด์เนมแล้วสบายใจ ก็เอาเลย
แต่ในฐานะคนทำงานออกแบบ ผมไม่รู้สึกว่ากระเป๋าใบละหลายหมื่นหรือแสนจำนวนมากออกแบบดี ผมเห็นดีไซน์นาฬิกาเรือนละ 20-30 ล้านบางเรือนแล้วมองไม่ออกจริงๆ ว่ามันดีไซน์ดี ในความเห็นและรสนิยมส่วนตัว ถ้าเป็นงานดีไซน์แบบ minimalism ของ ดีเทอร์ รัมส์ จ่ายเป็นแสนยังว่าสมราคา
ช่วงสิบวันที่ผ่านมา มีข่าวชาวโลกพากันตกใจที่รู้ว่าสินค้าแบรนด์เนมระดับโลกผลิตในเมืองจีน เราคนไทยคงเฉยๆ เพราะเรารู้มานานแล้วว่าจีนผลิตทุกอย่าง
วัตถุนิยมกลืนกินโลกมานานแล้ว แล้วค่อยๆ คืบคลานกลืนกินวิญญาณของคน มันไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก แต่น่าเสียดายที่คนจำนวนมากไม่รู้ว่า รสนิยมดีไม่จำเป็นต้องแพง แต่อีโก้เป็นของแพง
สถานะในสังคมเป็นของชั่วคราว ท้ายที่สุดมันก็ back to basic เราใช้วัตถุที่หน้าที่ใช้สอย เก้าอี้ตัวละเก้าหมื่นหรือตัวละเก้าร้อย ก็นั่งได้เหมือนกัน ความแตกต่างอยู่ที่ความเหมาะสมและกาลเทศะ
อภิมหาเศรษฐีหลายคนในโลกโดยสารเครื่องบินชั้นประหยัด ใช้นาฬิการาคาถูก ใช้รถยนต์ธรรมดา อยู่บ้านเก่า เพราะพวกเขาไม่มีอะไรต้องพิสูจน์อีกแล้ว
ค่าของคนไม่ได้พิสูจน์ด้วยยี่ห้อสินค้า มันพิสูจน์ด้วยสิ่งที่ทำ
ถ้าเรายังต้องพึ่งยี่ห้อรถยนต์ ยี่ห้อนาฬิกา ยี่ห้อเสื้อผ้าเพื่อแสดงว่าเราเป็น somebody ก็อาจสะท้อนว่าเรายังเป็น nobody
วินทร์ เลียววาริณ
1-5-253 วันที่ผ่านมา