-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
เอ็มมานูเอล เชอร์แมน (Emanuel Sherman) เป็นชาวอเมริกัน เกิดปี พ.ศ. 2457 เมื่อเดินทางมาเมืองไทย ก็ซาบซึ้งในรสพระธรรม บวชเป็นพระตลอดชีวิต
พระฝรั่งรูปนี้มีความสามารถด้านวาดภาพ เขียนภาพโฆษณาไว้มาก เมื่อเป็นพระ ก็ยังใช้ความสามารถทางศิลปะวาดภาพทางศาสนา
หนึ่งในภาพที่เขาวาดชื่อ พระองค์อยู่หลังม่าน
วลี ‘พระองค์อยู่หลังม่าน’ แปลว่าอะไร?
พุทธทาสภิกขุอธิบายภาพปริศนาธรรมนี้ว่า มันเป็นการชี้ธรรมให้เห็นโดยบอกให้เราเปิดม่านบังใจเราออก
‘ม่าน’ คืออวิชชา ‘พระองค์’ คือพระพุทธองค์และพระธรรม
นี่แปลว่าธรรมนั้นอยู่ต่อหน้าเราตลอดเวลา แต่เราใช้ม่านปิดบังตัวเอง ทำให้ไม่เห็น ‘พระพุทธองค์’
แค่แหวกม่านออก ก็จะพบว่าพระองค์อยู่ที่นี่มาโดยตลอด
ท่านพุทธทาสฯเขียนเป็นบทกวีว่า
ดูให้ดี พระองค์มี อยู่หลังม่าน
อยู่ตลอด อนันตกาล ท่านไม่เห็น
เฝ้าเรียกหา ดุจเห่าหอน ห่อนหาเป็น
ไม่รู้เช่น เชิงหา ยิ่งหาไกล
เพียงแต่แหวก ม่านออก สักศอกหนึ่ง
จะตกตะลึง ใจสั่น อยู่หวั่นไหว
จะรู้จัก หรือไม่ ไม่แน่ใจ
รู้จักได้ จักปรีดี อยู่นี่เอง
เชิญพวกเรา เอาภาร การแหวกม่าน
งดงมงาย ตายด้าน หยุดโฉงเฉง
ทำลายล้าง อวิชชา อย่ามัวเกรง
ว่าไม่เก่ง ไม่สวย ไม่รวยบุญงดงามทั้งภาพ คำ และความหมาย
เมื่อเราเกิดทุกข์ ไมว่าทางกายหรือใจ หรือเกิดขึ้นทางกายแล้วส่งผลกระทบต่อใจ หรือเกิดที่ใจแล้วส่งผลกระทบถึงกาย เรารู้สึกว่าเราอยู่คนเดียว ไร้คนช่วย
หลายคนเลือกไปทางลัดหนีจากโลก เพราะรู้สึกว่าตนเองกำลังลอยคอเคว้งคว้างกลางทะเลทุกข์อยู่คนเดียว
แต่ความจริงเรามีตัวช่วยอยู่ตลอดเวลา ตัวช่วยก็คือพระธรรมของพระพุทธองค์
พระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา แค่เปิดม่านบังตาออก ก็เห็น
ทว่าเวลาทุกข์ เรามักมองไม่เห็น หรือลืมมอง
คนจำนวนมากมีนิสัยบ่นสาปแช่งชะตากรรมเมื่อประสบทุกข์
ผมรู้จักคนหลายคนที่จิตตกแล้วอยากฆ่าตัวตาย
ผมเคยผ่านประการณ์จิตตกอย่างหนักมาก่อน จึงเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ดี แต่ก็เรียนรู้ว่า ตัวช่วยสำคัญที่สุดคือสติ
เมื่อสติกลับคืน ก็เปิดม่านออก และพบพระองค์ เกิดปัญญาแก้ไขทุกข์ที่ต้นเหตุ
ปัญญาอาจมาจากธรรมของพระพุทธองค์ แต่เราต้องเปิดม่านออกก่อน
ดังนั้นยามประสบพบทุกข์ จงตั้งสติ และระลึกเสมอว่าเรามิได้อยู่คนเดียว พระองค์อยู่หลังม่านเสมอ
หลักธรรมแห่งการข้ามทุกข์มีมากมาย หลักธรรมท็อปฮิตที่ไม่เคยล้าสมัยก็คือ อริยสัจ 4 ที่สอนให้เราวิเคราะห์โครงสร้างของทุกข์ แล้วแก้ไขมันที่ต้นเหตุ
แต่จะเกิดดวงตาเห็นธรรม เห็นต้นเหตุ ก็ต้องเริ่มที่แหวกม่านออกก่อน
สำหรับคนที่ไม่มีทุกข์ ณ ขณะจิตนี้ ก็ควรระวังเสมอว่า ทุกข์ปรากฏตัวได้ทุกเมื่อทุกนาทีข้างหน้า แค่เผลอ จิตก็ปรุงแต่งสิ่งที่ประสบพบเห็นเป็นทุกข์
ชีวิตคือความไม่แน่นอน เราไม่ได้สุขตลอด แต่ก็มิได้ทุกข์ตลอด ถ้ารู้วิธีใช้สติกำกับ ก็จะรู้ล่วงหน้าก่อนที่จิตจะปรุงแต่งเป็นทุกข์
นี่ก็คือการใช้ชีวิตโดยไม่ประมาทดังที่พระพุทธองค์ตรัสสอน
วินทร์ เลียววาริณ
27-5-25..........................
ท่อนหนึ่งจาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
โปรโมชั่นพิเศษเป็นชุด https://shope.ee/2LAmmZMaOd?share_channel_code=6
1- แชร์
- 44
-
หลังจากลงเรื่องท่านรัฐมนตรีรักชาติไปได้หลายตอน เมื่อวานนี้แขกคนหนึ่งก็มาเยือนข้าพเจ้า พร้อมชายถือปืนหลายคน
เขาก็คือท่านรัฐมนตรีรักชาติผู้นี้นี่เอง
"คุณเป็นนักเขียนที่เขียนด่าผมทุกวัน?"
ข้าพเจ้ามององครักษ์ถือปืนหลายคนนั้น
"ไม่ใช่ดีกว่าครับ"
"ไม่ต้องกลัว ผมไม่ฆ่าคุณหรอก เอามือปืนมาขู่เล่นเท่านั้น"
"งั้นใช่ก็ได้ครับ ท่านมาหาผมทำไมครับ? เอาเงินมาแจกใช่ไหมครับ?"
"ไม่เอาลูกปืนมาแจกก็บุญแล้ว"
"ขอบคุณครับ"
ท่านรัฐมนตรีรักชาติจ้องหน้าข้าพเจ้า "คุณนี่เป็นอะไร ทำไมหาเรื่องมาเขียนด่าผมได้ทุกวัน"
"เอ๊ะ! เป็นเกียรติอย่างสูง ที่แท้ท่านก็อ่านงานของผมด้วย"
"เวลาคนด่าผม ผมจะมีสัมผัสพิเศษ รับรู้ได้"
"ไม่ได้ด่าครับ แค่เขียนขำๆ"
"ผมไม่ขำนะ"
"แต่คนอื่นขำครับ ปัญหาของเมืองไทยเราคือแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นเรื่องจริง อะไรเป็นเรื่องแต่ง แยกไม่ออกว่าอะไรเป็นข่าวจริง อะไรเป็นข่าวปลอม"
"แต่ผมกระเทือน"
ข้าพเจ้ากล่าวว่า "นักการเมืองรุ่นใหญ่ในอดีตคนหนึ่งเคยบอกว่า เรื่องที่แย่กว่าการด่าคือไม่มีใครเขียนถึง"
"อืม! มีเหตุผล"
"คือผมต้องทำมาหากินจากการเขียน ตอนนี้ขายหนังสือยาก เลยมาเขียนขายขำครับ"
"ทำไมขายหนังสือยาก?"
"เพราะนโยบายของท่านไม่เคยสนับสนุนการอ่านไงครับ"
"อ้าว! วกมาลงที่ผมอีก"
"ก็ท่านไม่เคยมีนโยบายสอนให้เด็ก think - analyse - many yak"
"อะไรของคุณ? ผมไม่ถนัดภาษาปะกิด"
"ก็คิด-วิเคราะห์-แยกแยะไงครับ"
"เอ๊ะ! นี่ด่าผมใช่ไหม?"
"เปล่าครับ ถ้าจะด่าก็ด่าตรงๆ ไม่ต้องวก เมืองนอกด่านักการเมืองหนักกว่านี้อีก"
"แปลว่ายังมีที่หนักกว่าเรื่องไข่เหี้ย เรื่องแท็กซี่ไม่รับ เรื่องอันธพาลห้าคนซ้อมผม?"
"ใช่ครับ"
"เอ้า! ก็อย่างที่คุณว่า ที่แย่กว่าการด่าคือไม่มีใครเขียนถึง"
ว่าแล้วท่านรัฐมนตรีรักชาติก็โบกมือสั่งองครักษ์ "พวกเรากลับ"
"อ้อ! ท่านครับ ผมขออนุญาตเอาเรื่องที่เราคุยกันไปโพสต์นะครับ วันนี้ไม่มีอะไรจะโพสต์"
"เฮ้อ! กูไม่น่ามาเลย"
วินทร์ เลียววาริณ
29-5-250 วันที่ผ่านมา -
ผมชอบคำของ Lope de Vega กวีและนักเขียนบทละครชาวสเปนในศตวรรษที่ 16-17 ซึ่งเขียนว่า “With a few flowers in my garden, half a dozen pictures and some books, I live without envy.”
“เมื่อมีดอกไม้สักหลายดอกในสวน รูปภาพสักห้าหกภาพ และหนังสือสักหลายเล่ม ข้าพเจ้าก็มีชีวิตอยู่โดยปราศจากความอิจฉา”
เมื่อมีดอกไม้ในสวนยกระดับหัวใจ มีภาพสวยๆ ขับกล่อมวิญญาณ มีหนังสือดีเปิดหน้าต่างโลก ชีวิตยังต้องการอะไรมากไปกว่านี้?
วลี ‘ดอกไม้สวย’ ‘รูปภาพงาม’ ‘หนังสือดี’ มิได้จำกัดแค่ดอกไม้ รูปภาพ และหนังสือ ‘ดอกไม้’ หมายถึงธรรมชาติทั้งปวง ‘รูปภาพ’ หมายถึงศิลปะ ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ ภาพวาด ‘หนังสือ’ หมายถึงความรู้ ความบันเทิง ซึ่งรวมภาพยนตร์ ละคร ฯลฯ
นี่เป็นการมองชีวิตและใช้ชีวิตอย่างคนมีอารมณ์ศิลป์ รักธรรมชาติ และรู้จักซาบซึ้งชื่นชมความงามของสรรพสิ่งรอบตัวเรา แต่ไม่ทุกคนรู้สึกเช่นนี้ จึงน่าสงสัยว่า การมองแบบนี้มาจากยีนของเรา หรือสภาพแวดล้อม ผมก็ไม่มีคำตอบ
มองดูตัวเอง ตั้งแต่เด็ก ผมชอบดูฝนตก สามารถเหม่อมองเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาจากฟ้าได้นาน ๆ ดูเม็ดฝนหล่นกระทบพื้นดินกระเซ็นแตกกระจาย ชอบดูแอ่งน้ำฝนที่ขังบนพื้น และเมื่อค้นพบความงามของรูปภาพและหนังสือ ก็ไม่ต้องการอะไรอีก
ความงามของดอกไม้ ธรรมชาติ ความงดงามของบทกวี หนังสือ ทำให้การอยู่ในโลกใบนี้สนุกขึ้น
ผมนึกไม่ออกว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไรหากไม่มีดอกไม้ ไม่มีจิตรกรรม และวรรณกรรม
มันคงเป็นโลกที่ต่างจากนี้มากทีเดียว
แต่นี่อาจเป็นเพียงมุมมองของคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง เพราะดูเหมือนคนจำนวนมากในโลกไม่ได้ดูสามสิ่งนี้แล้ว และอยู่ได้ปกติดี
เป็นคำตอบเดียวกับที่เราได้เมื่อถามคนไม่น้อยว่า ไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะไหม ไปดูนิทรรศการจิตรกรรมไหม อ่านวรรณกรรมเล่มนั้นเล่มนี้ไหม ดูดวงดาวกลางฟ้าราตรีไหม เหตุผลคือไม่มีเวลา ไม่มีอารมณ์ และไม่รู้ดูไปทำไม
เหตุผลข้อสุดท้ายน่าสนใจ เพราะกิจกรรมเหล่านี้ไม่ดูไม่อ่านก็ไม่ตาย
แต่ความจริงคือมีกิจกรรมอีกมากมายที่เข้าข่าย “ไม่ดูไม่อ่านก็ไม่ตาย” เช่น ดูหนัง ดูละคร ดูคลิป อ่านข่าว หรือนินทา
ไม่ดูไม่อ่านก็ไม่ตายเหมือนกัน
ดังนั้นอะไรเล่าทำให้การชมดอกไม้ในสวน ดูภาพจิตรกรรม ประติมากรรม อ่านหนังสือ มีคุณค่ากว่าดูหนัง ดูละคร ดูคลิป อ่านข่าว หรือนินทา?
คำตอบคือสามสิ่งนี้ไม่ได้มีคุณค่ากว่ากิจกรรมอื่น ๆ พวกมันก็ไม่ใช่ปัจจัย 4 อยากเสพก็เสพ ไม่อยากเสพก็ไม่ต้องเสพ
ข้อแตกต่างเดียวคือ ‘สวน’, ‘หนังสือ’ และ ‘ภาพ’ อาจทำให้เราเข้าใกล้จิตวิญญาณของเรามากกว่า ทำให้เราเชื่อมกับจักรวาลมากกว่า นั่นคือการเข้าใจตัวตนแท้จริงของเรา ที่มาของเรา และสาระการดำรงอยู่ของเรา
พูดแบบไม่ต้องตีความคือ สิ่งหนึ่งที่ทำให้สามสิ่งนี้มีค่ากว่าสิ่งอื่น ๆ อาจเป็นห้วงยามที่เราอยู่จมในความหมองเศร้า ในวันที่โลกภายนอกหม่นมัว เหล่านี้ทำให้โลกภายในของเราสว่างไสว ซึ่งกิจกรรมอื่น ๆ อาจให้ได้ไม่เท่า
เบนจามิน แฟรงกลิน เขียนว่า “คนที่น่าสงสารที่สุดคือคนที่อ่านหนังสือไม่ออกผู้หงอยเหงาในวันฝนตก”
และชีวิตเราจะพานพบ ‘ฝนตก’ เป็นระยะ ๆ เราจะหดหู่หม่นหมองเป็นระยะ ๆ สามสิ่งนี้อาจช่วยได้
เรื่องบางเรื่องในโลกต้องใช้ธรรมชาติและศิลปะเป็นยา
(รูปดอกไม้ในสวนของผม ถ่ายเมื่อเดือนเมษายน ปี 2557)
วินทร์ เลียววาริณ
29-5-25..........................
ท่อนหนึ่งจาก ชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราว
โปรโมชั่นพิเศษเป็นชุด https://shope.ee/Vj8bA8a4u?share_channel_code=60 วันที่ผ่านมา -
I learned that it is the weak who are cruel, and that gentleness is to be expected only from the strong.
Leo Rosten
1 วันที่ผ่านมา -
วันนี้โฆษกรายการ 'ทวงสัญญา' สัมภาษณ์ท่านรัฐมนตรีรักชาติออกอากาศสด "ท่านรักชาติคะ ท่านจำโครงการที่ท่านเสนอตอนหาเสียงว่า จะทำถนนเจ็ดชั่วโคตรให้เสร็จ ตอนนี้คานยังหล่นใส่รถยนต์เลยค่ะ"
"ผมจำไม่ได้ว่าผมสัญญา ชาวบ้านน่าจะจำผิดนะ"
"แล้วท่านจำโครงการที่ท่านสัญญาไว้ตอนหาเสียงว่า จะสร้างห้องสมุดใหม่ให้ชุมชนได้ไหมคะ? จนป่านนี้พวกเขายังหาห้องสมุดไม่เจอค่ะ"
"ผมจำไม่ได้ ผมไม่น่าจะสัญญานะ"
"ท่านจำคำสัญญาที่ท่านบอกตอนหาเสียงว่า ท่านจะปราบยาเสพติดให้เหี้ยนได้มั้ยคะ? แต่ตอนนี้ยาเสพติดเกลื่อนเมือง"
"ผมจำไม่ได้ว่าผมสัญญา"
"ท่านรักชาติคะ ท่านจำคำสัญญาที่ท่านบอกตอนหาเสียงว่า จะขจัดแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารให้หมดสิ้นไปจากผืนแผ่นดินไทยได้มั้ยคะ?"
"ผมจำไม่ได้ว่าผมสัญญา"
"ตกลงท่านจำอะไรได้บ้างคะ?"
"ผมจำได้ว่าผมไม่ได้สัญญา"
........................
หลังออกรายการ ท่านรัฐมนตรีรักชาติเดินออกจากสถานีโทรทัศน์ ตรงไปที่จอดรถ ท่านมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นรถยนต์ส่วนตัวของท่าน
รถของท่านถูกขโมย!
ไม่น่าเชื่อว่าจะมีมิจฉาชีพบังอาจขโมยรถของท่านรัฐมนตรี
ท่านรัฐมนตรีรักชาติเดินทางไปที่ สน. ทันที เพื่อแจ้งความเรื่องรถหาย
นายร้อยเวรเห็นหน้าท่านก็ยกมือไหว้ "สวัสดีครับท่าน ผมเพิ่งดูรายการสัมภาษณ์ของท่านเมื่อครู่ก่อนนี่เอง"
"ก็เพราะไปรายการบ้านั่น รถผมจึงถูกขโมย"
"รถอะไรครับ? ท่านพอจำได้ไหมครับ?"
"อ้าว! ทำไมถามอย่างนั้น? ผมไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์นะ"
"ก็เพราะเมื่อกี้ในรายการที่สัมภาษณ์ท่าน ท่านจำอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว ตกลงรถอะไรหายครับ? บอกคร่าวๆ ก็ได้เพราะความจำท่านมีปัญหา"
"รถที่หายคือ Bugatti La Voiture Noire สีดำ รุ่นที่สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ Bugatti Type 57 SC Atlantic ตัวถังทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ชิ้นเดียว ขนาดความยาว 178.9 นิ้ว หรือ 4,544 มม. กว้าง 80.2 นิ้ว หรือ 2,038 มม. สูง 47.7 นิ้ว หรือ 1,212 มม. ใช้ quad-turbocharge 8 ลิตร เครื่องยนต์ W16 ระบบเชื้อเพลิงเป็น Turbocharge Direct Injection มี central fin อันเดียว ท่อไอเสียหกท่อ โครงนอกเป็นแบบ exposed backbone ช่องตะแกรงกันชนหน้าเป็นแบบ 3D printed รถยนต์มีพลัง 1,500 แรงม้าในแต่ละล้อ torque 1,180 lb-ft เร่งเครื่องจาก 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงในสามวินาที เกียร์เป็นแบบ 7-speed dual-clutch ไฟหน้าเป็น clusters LEDs ในครอบแก้ว ระบายอากาศผ่านรูสามเหลี่ยมบน twin scoops..."
ร้อยเวรเงียบไปครู่หนึ่ง
"แล้วท่านใช้เงินจากไหนซื้อ หรือว่าใครให้ยืมครับ?"
"จำไม่ได้"
วินทร์ เลียววาริณ
28-5-25เรื่องนี้ดัดแปลงจากขำขันที่เคยได้ยินมา
1 วันที่ผ่านมา -
เมื่อ สตีฟ จ็อบส์ ชวนคนในอีกบริษัทหนึ่งมาร่วมงานกับเขานั้น ใครคนนั้นมีการงานที่มั่นคงกว่าบริษัท Apple มาก แต่ภายในชั่วโมงนั้นชายคนนั้นก็ตัดสินใจได้ว่าจะไปทำงานกับจ็อบส์
ใครคนนั้นชื่อ ทิม คุก
ไม่ทุกคนจะกล้าเปลี่ยนใจจากงานมั่นคงสู่อนาคตที่ไม่แน่นอน แต่การที่ ทิม คุก ตัดสินใจไป ก็เพราะเขามองเห็นภาพอนาคตว่าเขาจะยืนอยู่ตรงจุดที่ได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ และมันสนุกกว่าการทำงานที่มั่นคง แต่ ‘เซม-เซม’
เอาละ ไม่ใช่ทุกคนในโลกที่จะได้รับคำชวนจาก สตีฟ จ็อบส์ ไปร่วมงานด้วย และไม่ทุกคนจะได้ไปยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ แต่หากเราเป็น ทิม คุก ในวันนั้น เราจะกล้าทิ้งงานมั่นคงไปหางานที่ไม่แน่ว่าจะมีอนาคตหรือ?
หลายปีมานี้หลายคนมาขอคำปรึกษาผมเรื่องเปลี่ยนงาน ทุกคนอยากก้าวไปข้างหน้าสู่อนาคตที่ดีกว่า แต่กลัวความไม่แน่นอน กล้า ๆ กลัว ๆ จึงต้องการคำปรึกษา
ความจริงหากตอบด้วยสัญชาตญาณล้วน ๆ การเปลี่ยนงานก็เหมือนการตกหลุมรัก วูบแรกก็รู้แล้ว
การถามผมก็อาจไม่ผิดคนนัก เพราะผมเปลี่ยนงานหลายครั้งแบบหักฉาก ตีโค้งไปคนละทิศ หลายการตัดสินใจเปลี่ยนชีวิต และหลายการตัดสินใจทำได้ยาก โดยเฉพาะการตัดสินใจเปลี่ยนงานครั้งสุดท้ายซึ่งกระโจนเข้ามาเป็นนักเขียนอาชีพเมื่อราวยี่สิบปีก่อน ในวัยสี่สิบกว่า ซึ่งไม่ค่อยมีคน(กล้า)ทำกันนัก
ผมกลัวการเปลี่ยนงานมาตลอดชีวิต แต่กลับเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เช่น เปลี่ยนจากสายสถาปัตย์เป็นสายโฆษณา เปลี่ยนจากสายโฆษณาเป็นสายหนังสือ แต่การตัดสินใจครั้งสุดท้ายนั้นตัดสินใจได้ในเวลาไม่กี่วินาที
เพราะอะไร? เพราะผมมองไปที่จุดหมาย ไม่ใช่เงินเดือนและความมั่นคง
หลายคนเปลี่ยนงานเพราะมีหินก้อนหนึ่งข้างหน้าว่างให้เหยียบ เช่น มีตำแหน่งว่าง มีข้อเสนอเพิ่มเงินเดือน เป็นต้น
คนส่วนมากจะเปลี่ยนงานโดยมองที่รายละเอียดปลีกย่อย เช่น จะได้เงินเดือนเพิ่มเท่าไร ได้โบนัสกี่เดือน ระยะทางจากบ้านไปออฟฟิศไกลแค่ไหน เวลาทำงานยาวไหม ต้องทำงานวันเสาร์ไหม ฯลฯ
เมื่อก้อนหินข้างหน้าเป็นข้อเสนอใหม่ที่ดีกว่า ก็ก้าวไปเหยียบไว้ เมื่อเห็นก้อนใหม่ที่ดีกว่านั้น ก็เปลี่ยนอีก
นี่คือการเปลี่ยนงานแบบช็อตสั้น คิดแบบสั้น ๆ ไปทีละท่อน เรียกว่า stepping stones
นี่ไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก แค่บอกว่าเป็นการเปลี่ยนงานแบบช็อตสั้น
แต่ยังมีการเปลี่ยนงานอีกแบบหนึ่ง คือคิดช็อตยาว เหมือนยิงลูกสนุกเกอร์ข้ามโต๊ะ
ช็อตยาวคือมองที่จุดหมายเป็นหลัก ถามตัวเองว่าต้องการอะไร อยากทำอะไร ในอีกห้าปี สิบปี อยากยืนอยู่ตรงไหน แล้วใช้จุดหมายนั้นเป็นตัวกำหนดทาง
ถ้าใช้วิธีนี้ ก็จะตัดสินใจเรื่องเปลี่ยนงานได้ง่ายมาก นั่นคือจะย้ายบริษัทต่อเมื่องานที่ใหม่ทำให้เราไปถึงจุดหมายได้เร็วขึ้น มั่นคงขึ้น
ถ้าใช้วิธีนี้ ก็จะสำรวจตัวเองเป็นระยะว่า บริษัทเดิมที่เราทำงานอยู่ยังอยู่บน path นั้นไหม และเราพัฒนาคุณสมบัติของตนเองให้พร้อมสำหรับก้าวต่อไปแค่ไหนแล้ว
ถ้าบริษัทเก่าไม่อยู่บน path ของเรา ก็ได้เวลาเริ่มมองหาบริษัทใหม่ที่อยู่บน path และทำให้เราไปถึงจุดหมาย
และถามตัวเองเสมอว่า ตนเองได้พัฒนาคุณสมบัติจนพร้อมสำหรับการก้าวสู่ path ใหม่หรือเปล่า ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ ทำงานเช้าชามเย็นชาม แล้วเชื่อว่าเทวดาจะช่วยเสกฝีมือมาใส่ให้
หลักการมองช็อตยาวก็เป็นอย่างนี้ ที่เหลือเป็นแค่รายละเอียดปลีกย่อยซึ่งไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด เช่น เรื่องเงิน เรื่องโบนัส เรื่องทำงานกี่ชั่วโมง ไปจนถึงชื่อตำแหน่งบนนามบัตรว่าเท่ไหม
ผมเปลี่ยนงานครั้งสุดท้ายมายี่สิบกว่าปีแล้ว เงินไม่มากเหมือนสายเก่า เส้นทางนี้ขรุขระ แต่ไม่มีวันใดรู้สึกเสียใจที่เปลี่ยนงาน เหมือนปลาที่กระโดดออกจากกระชัง ดิ่งลงสู่ห้วงสมุทร เบื้องหน้ามืดสลัว มีแสงสว่างสาดลงมาบ้างเป็นระยะ และว่ายไปข้างหน้าโดยมั่นใจว่าไม่หลงทาง
วินทร์ เลียววาริณ
28-5-25..........................
ท่อนหนึ่งจาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
โปรโมชั่นพิเศษเป็นชุด https://shope.ee/2LAmmZMaOd?share_channel_code=6
1 วันที่ผ่านมา