-
วินทร์ เลียววาริณ1 เดือนที่ผ่านมา
ในบทรีวิว Dept. Q ผมพูดถึงซีรีส์สองชุดของผู้สร้างคนเดียวกันคือ Godless และ The Queen's Gambit
ข่าวดีคือยังสามารถดูได้จาก Netflix
จึงถือโอกาสนำรีวิวย้อนหลังมาให้อ่าน
..........................
(รีวิว Godless)คาวบอยหนุ่มลูบไล้ม้าป่าอย่างอ่อนโยน สัมผัสลำตัวม้าเหมือนลูบคนรัก นานเท่านาน ม้าป่านิ่ง และในที่สุด ด้วยสัมผัสเบา ๆ มันก็คู้เข่าลงนอนราบกับพื้น
มันเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ม้าป่าเชื่อง มันยังเป็นวิธีบอกม้าว่า ต่อไปนี้เขาจะเป็นผู้ดูแลมัน ให้อาหารและน้ำแก่มัน เป็นการสร้างความไว้วางใจต่อกัน
ในโลกโหดร้ายของการแสวงหาดินแดนใหม่ทางตะวันตก คนกับม้าต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
ทว่าม้าป่าที่แท้สามารถปราบได้จริงหรือ?
นี่เป็นภาพยนตร์ซีรีส์ 7 ตอนเรื่อง Godless มันไม่ใช่หนังชีวิตของม้า มันเป็นชีวิตของคน ทว่าหนังอาจอยากบอกว่า คนบางประเภทก็เหมือนม้าป่า ไม่สามารถทำให้เชื่องได้
Godless เป็นหนังคาวบอย (ฝรั่งเรียกตระกูลนี้ว่า western) ฉากคือสหรัฐอเมริกายุคบุกเบิกดินแดนใหม่ แกนหลักของเรื่องความขัดแย้งของคน โดยใช้องค์ประกอบของฉากอเมริกายุคนั้น รถไฟ การปล้น การฆ่า โสเภณี ฯลฯ มารองรับ
มันเป็นเรื่องของการต่อสู้ การหักหลัง การทรยศ การแก้แค้น บนเส้นแบ่งอันรางเลือนระหว่างความดีกับความชั่ว
ที่หลุดจากหนังคาวบอยอื่น ๆ คือ นี่อาจเป็นหนังคาวบอยเรื่องแรกที่เน้น feminism แสดงบทบาทของสตรีเท่าเทียมบุรุษ
และนี่ก็อาจเป็นเรื่องแรก ๆ ที่ให้เวลากับฉากม้าเยอะมาก คนรักม้าน่าจะชอบ
หนังให้ความบันเทิงสูง รุนแรง เลือดสาด ตัดกับฉากหลังที่สงบงาม
บทกระชับ ถ่ายสวย ฉากสวย ฉากเกี่ยวกับม้าสวย เช่น ม้าข้ามน้ำ ฉากกองโจรม้าไล่ล่าม้าพระเอก สวยงามอย่างยิ่ง ไปจนถึงฉากประจันหน้ายิงสนั่นในตอนท้าย (ฝรั่งเรียก showdown)
แซ่บอีหลี ดีลิเฌียส!
9.5/10
..........................
(รีวิว Queen's Gambit)
ผมเริ่มเล่นหมากรุกฝรั่งตอนเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีสอง เพื่อนๆ เล่นกันและกรุณาสอนให้ พวกเราเล่นทั้งหมากรุกไทย จีน และฝรั่ง ผมชอบหมากรุกฝรั่งมากกว่า เพราะก้าวของหมากไปไกลกว่า ต้องคิดกว้าง ส่วนหมากรุกจีนนั้นไม่ไหว ยอมแพ้
อย่างไรก็ตาม ผมเล่นหมากรุกฝรั่งเพื่อผ่อนคลาย ไม่ใช่เล่นเอาชนะ เพราะไม่มีสติปัญญามองเกมหลายหมากล่วงหน้า แต่ในเมื่อเล่นเองไม่รอด ก็ให้ตัวละครเล่นหมากรุกเก่ง ก็คือตัวเอกในนวนิยายเรื่อง ปีกแดง ที่ใช้ฉากโซเวียต แผ่นดินแห่งเซียนหมากรุก
ภาพยนตร์เกี่ยวกับหมากรุกมีมากมายนับไม่ถ้วน เช่น Searching for Bobby Fischer, Dangerous Moves, Pawn Sacrifice, Knights of the South Bronx ฯลฯ
ล่าสุดเป็นมินิซีรีส์เจ็ดตอนของ Netflix ชื่อ The Queen's Gambit
วลี Queen's Gambit เป็นชื่อเรียกวิธีการเปิดเกมรูปแบบหนึ่งของหมากรุกสากล ใช้มานานตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 (Queen คือหมากสำคัญที่สุดของเกม)
Queen's Gambit ในชื่อเรื่องอาจมีนัยเพิ่มอีกนิดคือ Queen อาจหมายถึงตัวเอกของเรื่องที่เป็นผู้หญิง
หนังเล่าการเดินทางในชีวิตของเด็กหญิงคนหนึ่งในโลกที่หดหู่หม่นหมองและด้อยโอกาส กับการเดินทางหนีโลกแห่งความจริงเข้าไปในโลกของเกมที่เก่าแก่ที่สุดเกมหนึ่งของมนุษยชาติ
พื้นที่ในโลกของเธอแบ่งออกเป็นตาราง 64 ช่อง และเธอก็จมชีวิตอยู่ในนั้น และมีแต่คนที่จมทั้งชีวิตภายใน 64 ช่องนั้น จึงอาจจะได้เป็นเซียน
มันจึงเป็นหนังดรามาที่ใช้ฉากหมากรุก หรือเป็นหนังหมากรุกที่เป็นดรามา
นี่ไม่ใช่เรื่องจริง The Queen's Gambit สร้างมาจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ Walter Tevis เรื่องของเด็กหญิงกำพร้าวัยแปดขวบที่เป็นอัจฉริยะทางหมากรุก และการเล่นหมากรุกเปลี่ยนชีวิตเธอ
มันเป็นทั้งหนังดรามา หนังทริลเลอร์ หนังกีฬา หนังนิยายจีนกำลังภายใน และกึ่งหนังซูเปอร์ฮีโร
แต่หากวิเคราะห์โครงสร้างของหนัง มันก็คือ Seabiscuit เวอร์ชั่นหมากรุก ใช้ฉากย้อนยุคเช่นกัน เล่าถึงความลำบากของการฝึกฝนเพื่อขึ้นมาเป็น 'จอมยุทธ์' ในยุทธจักรหมากรุก
แม้ไม่ใช่คอนเส็ปต์ใหม่ แต่หนังและบทสร้างได้กระชับ จังหวะจะโคนลงตัว เก็บรายละเอียดและเกร็ดต่างๆ นักแสดงหลักเล่นได้ดี และหนังทำได้สนุกมาก
หนังให้เกร็ดความรู้หลายเรื่องเกี่ยวกับโลกของหมากรุกฝรั่ง และทำได้สมจริง เพราะได้ที่ปรึกษาเป็นเซียน คือแกรนด์มาสเตอร์ แกร์รี คาสปารอฟ
บางท่อนอาจจะเป็นดรามามากไปนิด หลุดๆ ไปบ้าง แต่โดยรวมเป็นหนังชุดที่ดูสนุกอย่างยิ่ง แลเห็นความพิถีพิถันของงาน แต่ที่สำคัญที่สุดคือการกำกับที่เอาอยู่ ทำให้เป็นแม่เหล็กดูแล้วหยุดไม่ได้
The Queen's Gambit เป็นบทพิสูจน์ว่า การทำหนังที่ดีไม่ได้อยู่ที่ไอเดียใหม่สดอย่างเดียว มันอยู่ที่การเคลื่อนจังหวะแต่ละก้าวของหนัง เหมือนการเล่นหมากรุกของแกรนด์มาสเตอร์ และนี่ก็ทำให้หนังที่ดูเหมือนสูตรสำเร็จธรรมดากลายเป็นหนังสนุกและจับคนดูอยู่
เมื่อวัดด้วยมาตรนี้ มันก็สมควรได้คะแนน 10/10
...................................
วินทร์ เลียววาริณ
15-7-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
(มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)
1- แชร์
- 37
-
เชื่อว่าผู้อ่านที่มีอายุเกิน 40 น่าจะทันเกม "He loves me, he loves me not" (บางทีเรียก "She loves me, she loves me not")
ต้นตำรับภาษาฝรั่งเศสคือ effeuiller la marguerite
เป็นเกมที่เราเด็ดกลีบดอกไม้ออกทีละกลีบ เด็ดแต่ละกลีบจะเอ่ยว่า "รัก" / "ไม่รัก" สลับกันไป
กลีบสุดท้ายคือคำไหน ก็คือคำตอบ
น่าจะมีนัยของความลังเลว่ารักใครคนนั้น หรือใครคนนั้นรักเราหรือเปล่า
การเมืองวันนี้ก็เล่นเกมนี้ นั่นคือ "ยุบ" / "ไม่ยุบ"
กลีบสุดท้ายจะออกเป็นอะไร จนปัญญารู้
รู้แต่ว่ามันไม่ใช่ดอกกุหลาบแน่ น่าจะเป็นดอก xxx มากกว่า
ว.ล.
3-9-251 วันที่ผ่านมา -
อาจารย์ชราเดินกระย่องกระแย่งด้วยไม้เท้าไปหยุดที่หน้าชั้น นั่งลง เอ่ยกับนักศึกษาทั้งหมดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าแต่เปี่ยมรอยยิ้มว่า "เพื่อนเอ๋ย ฉันเดาว่าพวกคุณทั้งหมดมาที่นี่เพื่อเรียนวิชาจิตวิทยาสังคม ฉันสอนวิชานี้มายี่สิบปีแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันพูดได้ว่า มีความเสี่ยงที่จะลงทะเบียนเรียนวิชานี้ เพราะฉันมีโรคร้ายแรงอย่างหนึ่ง ฉันอาจจะมีชีวิตอยู่ไม่จบเทอม"
มอร์รี ชวาร์ทซ์ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแบรนดิส แห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ วัยเจ็ดสิบกว่า เขาสอนหนังสือมาสามสิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยขาดงานเลย แต่นี่อาจเป็นการสอนหนังสือเทอมสุดท้ายของเขา
เขากำลังจะตายด้วยโรค Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) ร่างกายของเขาสูญเสียการควบคุมตัวทีละน้อย ทีละส่วน
มอร์รีสอนหนังสือให้เหล่านักศึกษาสายพันธุ์บุปผาชน ลูกศิษย์หลายคนของมอร์รีเป็นพวกหัวก้าวหน้า ยุคซิกซ์ตี้เป็นห้วงเวลาของการ 'ปฏิวัติวัฒนธรรม' มหาวิทยาลัยที่เขาสอนมีนโยบายต่อต้านสงครามอย่างที่สุด เมื่อรู้ว่านักศึกษาที่เกรดต่ำจะต้องถูกเกณฑ์เป็นทหารไปรบในเวียดนาม เหล่าอาจารย์ก็ไม่ให้เกรด ครั้นฝ่ายบริหารบอกว่า หากไม่ให้เกรด นักศึกษาเหล่านั้นจะสอบตกหมด และต้องไปรบ มอร์รีก็เสนอว่า "งั้นเราก็ให้เกรด เอ. พวกเขาหมดก็แล้วกัน"
สิ่งที่มอร์รีสอนไม่ใช่การเล็กเชอร์ แต่เป็นการสนทนากัน พวกเขาคุยเรื่องประสบการณ์มากกว่าทฤษฎี ภาพของมอร์รีที่ไปร่วมประท้วงกับเหล่านักศึกษาที่วอชิงตันเป็นภาพที่ชาวมหาวิทยาลัยชินตา
มอร์รีสอนการใช้ชีวิตให้เต็มที่ โลกไม่ได้มีแต่ห้องเรียนหรือเงินตรา โลกยังมีสิ่งที่เรียกว่าความรัก ความงดงามของครอบครัว ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูก และความกล้าหาญในการดำเนินชีวิตต่อไปกลางอุปสรรคที่โหดร้ายที่สุด
ความกล้าหาญนี่เองที่ทำให้เขารับมือกับโรคร้ายด้วยรอยยิ้ม
แน่ละ ไม่ทุกวันที่เขายิ้มได้ แต่การมองโลกในแง่ดีก็ทำให้เขาเดินหน้าต่อไป
มอร์รีบอกว่า "มีบางเช้าที่ฉันร้องไห้และร้องไห้ และเศร้ากับตัวเอง บางเช้าฉันโกรธและขมขื่นมาก แต่มันก็ไม่คงอยู่นาน แล้วฉันก็ลุกขึ้นแล้วบอกว่า ฉันต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป"
เพราะบางครั้งความกล้าหาญที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปยิ่งใหญ่กว่าความกล้าที่จะตาย
มอร์รีชอบเต้นรำ แม้ว่าหลายคนจะบอกว่ามันไม่ใช่การเต้นรำก็ตาม เขาเต้นไม่เป็นท่า แต่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและมีชีวิตชีวา แต่เมื่อถึงจุดที่เขาไม่สามารถบังคับร่างกายของเขา มอร์รีก็ต้องยุติการเคลื่อนไหวเช่นนั้นตลอดกาล แต่หัวใจของเขาไม่เคยหยุดเต้นรำ
เขาเดินยากลำบากขึ้นทุกที จนในที่สุดก็เดินไม่ได้โดยสิ้นเชิง เขานั่งบนรถเข็น มีคนอุ้มเขาขึ้นจากรถเข็นไปนอนบนเตียง และจากเตียงกลับไปที่รถเข็น เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย
มอร์รีบอกกับศิษย์ที่มาเยี่ยมเขาว่า "...วัฒนธรรมที่เรามีไม่ได้สอนให้ผู้คนรู้สึกดีกับตัวเราเอง เรากำลังสอนสิ่งที่ผิด และคุณต้องแข็งแกร่งพอที่จะบอก ถ้าวัฒนธรรมนั้นไม่ดี อย่าซื้อมัน สร้างวัฒนธรรมของคุณขึ้นมาเอง คนส่วนมากไม่สามารถทำอย่างนั้น พวกเขาไม่มีความสุขยิ่งกว่าฉันเสียอีก แม้ในสถานการณ์ที่ฉันกำลังประสบอยู่"
มอร์รีบอกว่า สิ่งหนึ่งที่เขาเรียนรู้หลังจากเป็นโรคนี้ คือ สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือการเรียนรู้ที่จะมอบความรัก และยอมให้มันเข้ามาหาเรา
ความรักเป็นเรื่องสวยงาม ครอบครัวเป็นสิ่งสวยงาม เพื่อนแท้เป็นสิ่งสวยงาม
อาการของเขาทรุดลงเรื่อย ๆ ในช่วงท้ายเขาจำต้องให้ผู้อื่นเช็ดก้นให้ แต่เขากลับมองมันเป็นประสบการณ์ที่น่าลอง "เหมือนกลับไปเป็นทารกอีกครั้ง" เขาเอ่ยยิ้ม ๆ
มอร์รีเป็นครูจนวันสุดท้ายของชีวิต เขาสอนให้คนรู้จักการใช้ชีวิต สิ่งที่มอร์รีสอนอาจไม่ใช่เครื่องมือสร้างความร่ำรวยตามกระแสนิยม แต่ขณะที่นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่เคยกลับไปเยี่ยมอาจารย์เก่า ลูกศิษย์ของมอร์รีกลับไปเยี่ยมเยียนเขาเสมอ
มอร์รีตายในเช้าวันเสาร์แห่งเดือนพฤศจิกายน ยามที่ใบไม้หลุดจากขั้วรับลมหนาวแรก จากไปเงียบ ๆ คนเดียว ในห้วงยามสั้น ๆ ที่ไม่มีใครเฝ้าดูเขา หัวใจที่ชอบเต้นรำของเขาหยุดเต้นในที่สุด
เมื่อถึงเวลาตาย เราล้วนตายด้วยตัวเราเอง
เมื่อเข้าใจอุปสรรค เมื่อไม่กลัวความเปลี่ยนแปลง ความตายก็เป็นเพียงการหลับธรรมดาอีกครั้งหนึ่งของชีวิต
หมายเหตุ : รายละเอียดชีวิตช่วงสุดท้ายของมอร์รีอยู่ในหนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie โดย Mitch Albom
ในรูปคือ มอร์รี กับลูกศิษย์ มิตช์ แอลบอม วันที่ 3 ตุลาคม 1995
วินทร์ เลียววาริณ
4-9-25จากเรื่อง ความฝันโง่ ๆ
1 วันที่ผ่านมา -
เพื่อสุขภาพที่ดี ควรเดินให้ได้หมื่นก้าวต่อวัน
1 วันที่ผ่านมา -
เมื่อผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในต่างจังหวัด ก็เข้ามาเรียนต่อที่เมืองหลวง การสอบเข้าเรียนชั้น ม.ศ. 4 ในกรุงเทพฯสมัยนั้นทำพร้อมกันทีเดียว หมายถึงต้องแข่งกับนักเรียนหลายหมื่นคนจากทั่วประเทศ ในวันสอบก่อนเข้าห้องสอบ เพื่อนคนหนึ่งถามโจทย์ผมหลายข้อ ผมตอบไม่ได้เลย จึงเอะใจว่าตัวเองเตรียมตัวมาสู้คนอื่นไม่ได้ โจทย์หลายข้อไม่เคยผ่านตาผมมาก่อน ผมเชื่อว่าเพื่อนคงไปกวดวิชามาอย่างเข้มข้น จึงไม่แปลกที่ผมสอบเข้าโรงเรียนที่ต้องการไม่ได้
เมื่อสี่สิบปีก่อน กรุงเทพฯมีโรงเรียนกวดวิชาหลายแห่ง ใครอยากสอบได้ ก็ต้องกวดวิชา “เพื่อให้ชัวร์” เด็กเมืองหลวงเข้าถึงแหล่งวิชาความรู้มากกว่าและพร้อมกว่า เด็กจากต่างจังหวัดกับเด็กกรุงเทพฯเหมือนมวยคนละชั้น
แต่การสอบไม่ติดโรงเรียนที่ตั้งเป้าไว้กลับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต เพราะมันทำให้ผมต้องเตรียมพร้อมในการศึกครั้งต่อมา คือการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย คราวนี้ผมเตรียมสอบล่วงหน้าอย่างหนักหน่วงนานถึงหนึ่งปีเต็ม ก็เข้าคณะที่ต้องการได้
ครั้นได้เรียนคณะที่ต้องการแล้ว ก็โล่งอกนึกว่าสบายแล้ว จึงใช้เวลาอ่านนิยายตามนิสัยเดิม ผลก็คือเทอมแรกผมได้รับเกรด F เป็นตัวแรกในชีวิต โดยสอบตกวิชาคำนวณ เกรด F ที่ได้รับมานี้ฉุดคะแนนรวมลงทันที กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ก็ใช้เวลาอีกหลายเทอม
ทว่าการสอบตกตั้งแต่เทอมแรกกลับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในชีวิต มันเตือนสติผมว่า ระวัง! อย่าเรียนเล่น ๆ อาจถูกรีไทร์ได้ ตั้งแต่นั้นผมก็เปลี่ยนเป็นเรียนอย่างตั้งใจ และจบไปด้วยคะแนนน่าพอใจ ที่สำคัญคือไม่ประมาทไปตลอดชีวิต
แน่นอน การสอบคัดเลือกไม่ได้ การได้รับเกรด F เป็นเรื่องน่าตกใจ น่าหดหู่ แต่เมื่อใช้มันให้เป็นบทเรียนและไฟกระตุ้น มันก็กลายเป็นของมีค่าใหญ่หลวง
ความผิดพลาดพ่ายแพ้จึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป หากรู้จักใช้มันให้เป็น
ในโลกของชีวิตการทำงาน ‘การสอบตก’ มักอยู่ในรูปของการถูกไล่ออก มันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง เจ้านายส่วนใหญ่อาจให้เหตุผลของการไล่ออกที่ไม่ตรงกับความจริงเพื่อรักษาน้ำใจของลูกน้อง เช่น บริษัทมีผลประกอบการไม่ดี, เศรษฐกิจแย่ ฯลฯ แต่ต่อให้มันเป็นเหตุผลจริง คนที่ถูกไล่ออกก็มักถามว่า “แล้วทำไมต้องเป็นเรา?”, “เราแย่ขนาดนั้นเลยหรือ?”
การถูกไล่ออกเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวด เป็นการหักความมั่นใจในตนเองด้วยเข่า แต่ก็เหมือนฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า พายุพัด เราควบคุมมันไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้
หากตั้งหลักโดยใช้สติ ใช้สมองครุ่นคิดโฟกัสที่ปัญหาจริง ก็อาจเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส และมันก็อาจกลายเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต
คนจำนวนไม่น้อยถูกไล่ออกจากงาน แล้วไปเรียนต่อ ไปสานฝันที่ค้างไว้ ทำนองว่าไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกแล้ว มันเปลี่ยนพวกเขา บังคับให้พวกเขาต้องคิดและใช้ศักยภาพให้ถึงขีดสุด
สิ่งแรกคือยอมรับความจริง สิ่งที่สองคือหาจุดผิดพลาด สิ่งที่สามคือแก้ไขหรือปรับปรุงตัวเอง หากทำอย่างนี้ได้ ความผิดพลาดนั้นก็ไม่ถือว่าเป็น ‘ความผิดพลาด’ (ลบ) แต่ถูกยกระดับเป็น ‘บทเรียน’ (บวก)
การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดจึงอาจมีค่ามากกว่าการไม่เคยพ่ายแพ้เลย
วินทร์ เลียววาริณ
3-9-25จากหนังสือ ยาเม็ดสีแดง
190 บาท 34 บทความ บทความละ 5.5 บาท
https://www.winbookclub.com/store/detail/116/ยาเม็ดสีแดงชุดกำลังใจครึ่งโหล 6 เล่ม 800.- (ลดจาก 1,255.-)
https://www.winbookclub.com/store/detail/217/S6%20ชุดกำลังใจครึ่งโหล1 วันที่ผ่านมา -
ในโลกการเมือง คำว่า kingmaker หมายถึงคนหรือกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลสร้างผู้นำคนใหม่ บริบทของคำนี้กินความกว้างกว่าการเมือง ใช้ในด้านศาสนา การทหาร การเงินได้ด้วยเช่นกัน
วันนี้ร้านพับผ่าเป็นที่ชุมนุมของ kingmaker หลายคน ข้าพเจ้าได้ยินแว่วๆ ว่าพวกเขากำลังเลือกผู้นำคนใหม่
ข้าพเจ้าถามพวกเขา "ดื่มอะไรดีครับ?"
"อะไรก็ได้ เรามีเรื่องยุ่ง ต้องเลือกผู้นำคนใหม่ ความจริงเราแค่อยากใช้สถานที่ มากกว่าจะดื่มเหล้า เพราะที่นี่เงียบดี"
"ทว่าไหนๆ ก็มาถึงศูนย์กลางสุราแล้ว ไยมิร่ำดื่มสักจอกสองจอกเล่า"
"งั้นจัดมาเลย"
ข้าพเจ้าเห็นความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาหลายสิบปีแล้ว ในประเทศนี้คนที่มีอำนาจไม่กี่คนกำหนดชะตากรรมของคนทั้งประเทศ คนเหล่านี้ชี้นิ้วให้ใครเป็นผู้นำก็ได้
ข้าพเจ้าชงค็อคเทลแก้วแรกชื่อ The King Maker สูตรดั้งเดิมทำด้วย Aperol ผสมเหล้า Vermouth ผสม Amaretto ผสม walnut bitters
ข้าพเจ้ายกเหล้าไปให้พวกเขา ได้ยินคนในกลุ่มคุยกัน
"ผมว่าจะให้อนุทินเป็นนะ เขาเป็นคนสุภาพ รอบคอบ เหมาะเป็นผู้นำ"
"แต่ผมว่าชัยเกษมเหมาะกว่า เพราะอายุมาก มีประสบการณ์ เราต้องการคนที่ช่ำชองงาน"
"ผมว่าให้ภูมิธรรมดีกว่า มีเรื่องฮาทุกวัน"
พวกเขาดื่มเหล้าจนหมด ใครคนหนึ่งว่า "อร่อยมาก ขออีกแก้วนะ"
ข้าพเจ้ารับคำ แล้วไปชงค็อคเทลแก้วที่สอง Backstabber
แปลว่าแทงข้างหลัง
ค็อคเทลแทงข้างหลังทำด้วย Dry Gin ผสมน้ำมะนาว ผสมไซรัปขิง ผสม Angostura Aromatic Bitters และไข่ขาว
ข้าพเจ้ารู้ว่าคำสัญญาในโลกการเมืองไม่มีจริง มันเป็นเรื่องผลตอบแทน และผลตอบแทนเปลี่ยนไปได้นาทีต่อนาที
ข้าพเจ้ายกเหล้าไปให้พวก kingmaker
ได้ยินพวกเขาว่า "สรุปก็คือเราไม่เอาอนุทิน ไม่เอาชัยเกษม ไม่เอาภูมิธรรม เราจะเอาคุณใจกล้า"
ข้าพเจ้างงไปวูบ ตั้งแต่ติดตามการเมืองในรอบปีที่ผ่านมา ไม่เคยได้ยินชื่อคุณใจกล้าเลย นึกไม่ออกว่าเขาสังกัดพรรคไหน
ข้าพเจ้าถาม "ขอโทษ พวกคุณกำลังเลือกนายกฯคนใหม่ของประเทศไทยใช่หรือไม่?"
"ใช่และไม่ใช่ เลือกนายกฯคนใหม่น่ะใช่ แต่ไม่ใช่ประเทศไทย เรากำลังเลือกนายกฯสมาคมพ่อบ้านใจกล้า ปรากฏว่าลงตัวที่คุณใจกล้า เขาเป็นสามีชั้นยอด ไม่เคยซักผ้าสักวัน ไม่เคยรีดผ้า ไม่เคยถูบ้าน เขาชี้นิ้วสั่งเมียได้ทุกงาน เขาจึงสมควรขึ้นเป็นนายกฯสมาคมพ่อบ้านใจกล้าแห่งประเทศไทย คุณบาร์เทนเดอร์ว่าเหมาะสมมั้ย?"
"เหมาะสมครับ"
ข้าพเจ้าระบายลมหายใจออกมาแล้วยิ้ม เป็นครั้งเดียวของประเทศนี้ที่เลือกผู้นำได้ถูกคน
วินทร์ เลียววาริณ
2-9-25..................
หมายเหตุ เหล้าทั้งหมดนี้มีจริง
พับผ่า! บาร์เทนเดอร์ (The Bartender Series 1) มีจำหน่ายแล้วในรูปอีบุ๊ค สนใจดูได้ในเว็บ winbookclub.com หรือ The Meb
2 วันที่ผ่านมา