• วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    ประเทศที่มีชื่อเรียกว่าสหรัฐอเมริกา เกิดขึ้นโดยชาวยุโรปรุกรานแผ่นดินของชาวพื้นเมือง (อินเดียนแดง) ประเมินว่าชาวอินเดียนแดงถูกฆ่าไปราว 4 ล้านคน นักประวัติศาสตร์บางคนเสริมว่าส่วนหนึ่งตายเพราะโรคภัยที่ชาวยุโรปนำไปให้ ไม่ว่าทางใด มันก็คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลก ตามมาด้วยการกลืนชาติ (ethnic cleansing) ทำให้ตัวตนคนพื้นเมืองปลาสนาการไปตลอดกาล

    แล้วแผ่นดินอเมริกาก็ตกเป็นของคนผิวขาวโดยสิ้นเชิง

    American Primeval เป็นมินิซีรีส์เล่าเรื่องประวัติศาสตร์มืดท่อนหนึ่งของการสร้างชาติสหรัฐฯ ในปี 1857 เกิดการสังหารหมู่นักเดินทาง (settlers) ที่มุ่งหน้าไปตั้งถิ่นฐานทางตะวันตก ในเขต Mountain Meadows พื้นที่ยูทาห์ เรียกเหตุการณ์นี้ว่า The Mountain Meadows Massacre รัฐบาลเชื่อว่าพวกมอร์มอนอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ โดยใช้อินเดียนแดงเผ่า Paiute ช่วย

    พวกมอร์มอนเป็นสาวกศาสนาคริสต์นิกายใหม่ กลุ่ม Church of Jesus Christ of Latter-day Saints (LDS Church) ก่อตั้งที่นิวยอร์ก ปัจจุบันใหญ่เป็นอันดับ 4 ในอเมริกา

    หลังเหตุการณ์การสังหารหมู่นักเดินทาง ก็เกิดความขัดแย้งระหว่างพวกกองกำลังมอร์มอนที่เขตยูทาห์กับรัฐบาลสหรัฐฯ

    American Primeval เล่าเรื่องท่อนนี้

    ในหนังอิงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ ตัวละครผู้ว่าการรัฐยังก์ซ่องสุมผู้คนเพื่อหมายยึดครองดินแดนยูทาห์ทั้งหมด โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ ปลูกฝังให้ผู้คนเชื่อว่าพวกเขาเป็น The Chosen (ผู้ที่พระเจ้าเลือก) และดินแดนนั้นเป็นดินแดนพันธสัญญา (Promised land) ดังนั้นพวกเขาจึงมีความชอบธรรมในการฆ่าเพื่อครอบครองดินแดนนั้น

    มาถึงจุดนี้เราอาจจะอุทานว่า เรื่องนี้คุ้นๆ สหรัฐฯขยายดินแดนไปทางตะวันตกได้ด้วยพวก settlers เมื่อหันมามองโลกปัจจุบัน อิสราเอลก็มี settlers ไปตั้งถิ่นที่กาซาไม่น้อยกว่าห้าแสนคน เป้าหมายเดียวกันคือกลืนชาติปาเลสไตน์ให้หายไป เหมือนที่เกิดขึ้นกับอินเดียนแดงในสหรัฐฯ

    ใช่ เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ประเทศที่มีชื่อเรียกว่าอิสราเอล ก็เกิดขึ้นโดยชาวยิวที่เรียกว่าไซออนนิสต์ยึดครองแผ่นดินปาเลสไตน์โดยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการกลืนชาติ ทุกวันนี้อิสราเอลก็ยังเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์ตายทุกวันโดยชาวโลกทำอะไรไม่ได้

    ที่น่าขันขื่นมีสองข้อคือ ข้อหนึ่ง ชาวยิวหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของฮิตเลอร์ แต่กลับกระทำเรื่องเดียวกันทุกประการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ให้สิ้นซาก

    ข้อสอง สหรัฐฯฆ่าคนพื้นเมืองจนเหี้ยน และผ่านไปสองศตวรรษหลังประกาศอิสรภาพ ก็ช่วยไซออนนิสต์ฆ่า 'คนพื้นเมือง' ปาเลสไตน์อีกรอบ

    ดังนั้นแม้หนังเรื่องนี้แม้ไม่เอ่ยถึงยิวสักคำ แต่มันอดไม่ได้ที่ต้องเปรียบเทียบเรื่องนี้กับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เพราะไม่ว่าคนเขียนบทจะตั้งใจหรือไม่ ตัวหนังพูดเรื่องศาสนา พูดเรื่อง The Chosen พูดเรื่อง Promised land พูดเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพื่อยึดครองดินแดนที่คัมภีร์บอกว่าเป็นดินแดนพันธสัญญา ทุกบริบทตรงกันเป๊ะ

    ในท่อนหนึ่งของ American Primeval อินเดียนแดงถามตัวละคร 'Abish' ที่ตกเป็นเชลยว่า "Why do your people have so much hunger to kill?" - ทำไมพวกคุณจึงกระหายอยากฆ่านัก?

    Abish ตอบว่า "ความกลัวกระมัง ฉันคิดว่าอย่างนั้นนะ หรือบางทีสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจ สิ่งนี้... โลกของพวกคุณไม่เหมือนโลกของเรา"

    ตัวละครอินเดียนแดงจึงพูดเชิงปลงตกว่า "That is life."

    American Primeval จัดเป็นหนัง western ก็จริง แต่มันไปลึกกว่าหนังตระกูลนี้ทั่วไป แม้เป็นหนังต่อสู้กันสไตล์หนัง western  แต่มันไม่ใช่หนังยิงกันธรรมดา มันสะท้อนการเมือง ความสกปรกของการตั้งประเทศ การเข่นฆ่า การเอาตัวรอด และการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ

    ในเรื่องนี้ทั้งคนดีและคนเลวต่างก็ดิ้นรนเอาตัวรอด หรือพูดใหม่ได้ว่า ในเรื่องนี้มีแต่คนสีเทาๆ

    American Primeval เขียนบทโดย Mark L. Smith คนเขียนบท The Revenant ของ Alejandro G. Iñárritu

    กำกับโดย Peter Berg คนสร้าง Lone Survivor และได้นักแสดงคนหนึ่งจากเรื่องนั้นมานำในเรื่องนี้คือ Taylor Kitsch

    บทแน่น ผู้กำกับคุมหนังอยู่ หนังเดินเรื่องเร็ว กระชับ สนุก โหด เหี้ยม ดิบ เถื่อน เต็มไปด้วยภาพสยองขวัญ เป็นหนัง western ที่ดิบที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยดูมา

    หนังจับเราอยู่ตลอด แม้หนังจะโหด เลือดสาด แต่คนดูก็ไม่อาจหยุดดูได้ หนังรักษาโทนและอารมณ์ของเรื่องได้สม่ำเสมอ ตัวละครมาก แต่โดยโครงสร้างพล็อตเรื่องไม่ซับซ้อนมากนัก เราตามติดตัวละคร ลุ้นไปกับตัวละครและเหตุการณ์ นี่ไม่ใช่งานเขียนบทและการกำกับง่ายๆ

    ในท่อนท้าย หนังอาจจะออกแนวเมโลดรามาไปบ้าง (ก็นะ! เอาสักหน่อย! ไม่งั้นเรื่องหม่นหมองมาก) แต่ในภาพรวม มันเป็นหนังทรงพลังเรื่องหนึ่ง มันรวมความสนุกและสาระเข้าด้วยกัน และตบหน้าสังคม

    นี่ไม่ใช่หนังฟีลกู๊ด พระเอกช่วยเหลือคนแล้วขี่ม้าหายไปในแสงตะวันสนธยา ทั้งเรื่องคือโลกที่มืดหม่น โหดร้าย

    ที่น่าเศร้าคือ เราก็ยังอยู่ในโลกใบนั้น

    ในตอนที่ 5 ตัวละครร้อยเอก Edmund Dellinger ทหารรัฐบาลเขียนบันทึกในไดอารีว่า "เมื่อวานนี้ผมเห็นหมีกริซลีตัวหนึ่งว่ายข้ามแม่น้ำเคนยามอรุณรุ่ง ผมประจักษ์แสงตะวันอาบขนสีทองของมันหลังใบหู แสงรัศมีสีทองโอบศีรษะใหญ่ของมัน ผมรู้สึกถ่อมตัวและตื่นตาในอำนาจและความสง่าของสัตว์ตัวนี้ มีความรู้สึกว่ามีพลังอำนาจที่เหนือกว่าเราจะรู้ควบคุมโลก มีคำตอบต่อคำถามนั้น แต่ขณะนี้ยังคงมองไม่เห็น ผมมีความหวังว่ามีความเป็นไปได้ที่มีสันติภาพและความงดงามสำหรับเราทั้งหมด ผมมีความหวังว่าความงามที่ผมมองเห็นบนแผ่นดินนี้มีอำนาจเหนือความมืดมน ผมมีความหวังว่าในวันที่มืดที่สุดและยากจะจัดการที่สุด ความรักจะเป็นสถานที่พักใจที่ปลอดภัย นำทางเราทั้งหลายออกจากไฟนรกแห่งความกลัวซึ่งขับคนไปยังมุมเงียบของนรกที่มืดและโหดร้าย ผมมีความหวังว่าอำนาจแห่งความรักจะช่วยเราทั้งหลาย"

    ที่น่าเศร้าคือ ในโลกที่เราอยู่ ผู้คนลืมไปแล้วว่าความรักเป็นอย่างไร

    วินทร์ เลียววาริณ
    23-7-25

    10/10
    ฉายทาง Netflix

    วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)

    1
    • 1 แชร์
    • 31

บทความล่าสุด