-
วินทร์ เลียววาริณ1 เดือนที่ผ่านมา
มองโกลจะไม่เป็นมองโกลที่โลกรู้จักในวันนี้หากมิใช่เพราะเตมูจิน และเตมูจินก็จะอาจจะมิได้กลายเป็น เจ็งกิส ข่าน ที่โลกรู้จัก หากมิใช่เพราะผู้หญิงคนหนึ่ง
แต่เตมูจินคือใครกันแน่?
เตมูจินเกิดในชนเผ่าบอจิจิน ซึ่งเป็นเผ่าย่อยของคียัต บิดาชื่อเยซูไก
คำว่า เตมูจิน แปลว่า ช่างตีเหล็ก บิดาเขาตั้งตามชื่อของศัตรูชาวตาดคนหนึ่งที่เขานับถือ
เมื่ออายุเก้าขวบ บิดาของเตมูจินตายเพราะถูกพวกตาตาร์วางยาพิษ ครอบครัวของเขาต้องหนีไปอยู่ที่อื่น เกือบเอาชีวิตไม่รอดในฤดูหนาวอันโหดร้าย ต่อมาเขาถูกศัตรูจับเป็นนักโทษ สวมคาไม้รอบลำคอเพื่อไม่ให้หนี แต่ยามคนหนึ่งช่วยเขาหนีไปได้ การหนีของเขาทำให้หลายคนเริ่มแลเห็นแววคนกล้าในตัวเขา
แต่จุดเปลี่ยนแปลงคือเมียเขาถูกจับตัวไป
เมียของเตมูจินชื่อ บอตี อูจิน เตมูจินแต่งงานกับนางไม่นาน วันหนึ่งพวกเมอร์คิตก็บุกมาจับตัวไป เตมูจินหนีไปได้
การจับตัวนี้เป็นการแก้แค้นพ่อของเตมูจินที่ชิงผู้หญิงชาวเมอร์คิตคนหนึ่งไปเป็นเมีย แล้วให้กำเนิดเตมูจิน
เตมูจินโกรธแค้นมาก หาทางชิงเมียคืน หลายเดือนต่อมา ด้วยความช่วยเหลือของจามูกา เพื่อนวัยเด็ก และโตรูล ผู้นำกลุ่มเกอราอิต พี่ร่วมสาบานของพ่อ
เตมูจิน จามูกา และโตรูลยกกำลังสองหมื่นคนไปช่วยเมียเตมูจิน ด้วยความแค้น เตมูจินทำลายพวกเมอร์คิตจนราบ วันนั้นพวกเขาฆ่าพวกเมอร์คิตไปสามร้อยคน ยึดทรัพย์สมบัติและผู้หญิงของเมอร์คิต เด็ก ๆ กลายเป็นทาส
ตอนที่ช่วยมาได้ เมียของเตมูจินอยู่ในสภาพครรภ์แก่ หลังจากนั้น บอตี อูจิน ก็ให้กำเนิดทารกคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่ลูกของเขา ชื่อ โจชิ
การบุกไปช่วยเมียออกมาจากเงื้อมมือพวกเมอร์คิตเปลี่ยนชีวิตเขา ชัยชนะครั้งนั้นทำให้พวกมองโกลเผ่าอื่น ๆ ร่วมกับเขามากขึ้น มันเป็นจุดหักเหของชีวิตของเตมูจิน พาเขาไปสู่เส้นทางของนักรบผู้กระหายสงคราม
เตมูจินเห็นว่าหากจะอยู่รอด พวกมองโกลทุกเผ่าควรรวมตัวกันเหนียวแน่น
ในปี 1193 เตมูจินกับจามูกาแตกคอกันเรื่องโจรขโมยม้า หัวหน้าหลายเผ่าเข้ากับเตมูจิน รวมทั้งทหารหมื่นคนของจามูกา เตมูจินได้รับเลือกเป็นข่านในวันต่อมา บางเผ่าเกรงการขึ้นสู่อำนาจของเตมูจิน ก็ไปร่วมกับจามูกา
จามูกากับเตมูจินรบกัน จามูกามีกำลังทหารมากกว่า คือสามหมื่นคน เตมูจินจำต้องถอย หลังเสร็จศึก จามูกาสั่งต้มทหารเตมูจิน 70 คนตายทั้งเป็น ทำให้ทหารหมื่นคนของจามูกาขยาดแขยง และตีจากไปเข้ากับเตมูจิน
ในปี 1194 โตรูลช่วยเตมูจินบุกพวกตาตาร์ พ่อของเตมูจินถูกตาตาร์ฆ่า ปู่ของโตรูลก็ถูกตาตาร์บุกเข้าไปฆ่า เหตุการณ์นี้เองที่ทำให้คนจีนเรียกโตรูลว่า หวังหัน แปลว่าเจ้าข่าน
ในปี 1201 จามูกาและมองโกลรวมสิบสามกลุ่ม เช่น พวกเมอร์คิต ตาตาร์ ไหน่หมัน ทำสงครามกับเตมูจิน เรียกว่า ยุทธการสิบสามด้าน (The Battle of the Thirteen Sides)
มันเป็นการรบที่นองเลือดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งระหว่างพวกมองโกล เตมูจินชนะศึก จามูกาหนีรอดไปพึ่ง ทาหยัง ข่าน แห่งเผ่าไหน่หมัน
และในการรบครั้งนี้ เขาได้ศัตรูคนหนึ่งมาเป็นทหารคู่กาย คือเจอเปหรือเจ๋อเปี๋ย
ใน มังกรหยก อาจารย์ที่สอนวิชายิงธนูให้ก๊วยเจ๋งคือเจอเป
ช่วงหนึ่งของการรบในยุทธการสิบสามด้าน ลูกศรดอกหนึ่งเฉียดลำคอเตมูจินได้รับบาดเจ็บ หลังจากชนะศึก เตมูจินถามเชลยศึกว่าใครเป็นคนยิง
ทหารหนุ่มเผ่าเบห์ซูดชื่อ เจอกาได (Jirqo’adai/Zurgadai) บอกว่าตนเป็นผู้ยิง เขาบอกว่าเขายิงพลาดไป
เจอกาไดบอกเตมูจินว่ามีสองทางให้เดิน หนึ่งคือฆ่าเขา สองคือไว้ชีวิต เขาจะรับใช้ข่านไปจนตาย
เตมูจินชอบใจนิสัย ความกล้าหาญ และฝีมือ จึงยกโทษให้ และชุบเลี้ยงเจอกาได ตั้งชื่อใหม่เป็นเจอเป ภาษามองโกลแปลว่าลูกธนู
ภายในสามปีเจอเปก้าวขึ้นเป็นขุนศึกมือดีของ เจ็งกิส ข่าน เท่าเทียมกับอีกสองขุนศึกมูคาลีกับซูบูไต (ซู่ปู้ไถ)
สำหรับโตรูล เป็นพันธมิตรกับเจ็งกิส ข่าน นานหลายปี จนกระทั่งปี 1203 ลูกชายของโตรูล ชื่อ เซงกัม โน้มน้าวใจพ่อให้หักหลังเตมูจิน
เซงกัมไม่พอใจที่บิดาตนชื่นชมเตมูจินมากกว่าลูกแท้ ๆ พวกเขาวางแผนลอบสังหารเตมูจินขณะไปงานแต่งงาน แต่ชาวเกอราอิตคนหนึ่งเตือนเตมูจินถึงแผนการร้ายนี้ก่อน เป็นผลให้เกิดการรบกันที่เรียกว่า Battle of Khalkhaljid Sands เซงกัมบาดเจ็บในการต่อสู้
ในการศึกครั้งนี้ เตมูจินรบกับจามูกาและโตรูล เตมูจินชนะ แต่บุตรชายวัยเจ็ดขวบ โอโกไดบาดเจ็บและหายไป แต่คนของเขาช่วยไว้ได้
สู้กันสามวัน โตรูลแพ้ หนีไปพึ่งพวกไหน่หมัน แต่ถูกพวกไหน่หมันฆ่าเพราะเข้าใจผิด ไม่เชื่อว่าเขาเป็นโตรูล ส่วนเซงกัมหนีไปซีเสี้ย
เตมูจินตามล่าจามูกา จนในปี 1204 เกิดการรบกันที่ภูเขาอัลไต ในยุทธการ Battle of Chakirmaut เตมูจินมีคนน้อยกว่า แต่สั่งบุก ทาหยัง ข่าน ตายในสนามรบ ส่วนลูกชายของ ทาหยัง ข่านชื่อ กูคูลุก และจามูกาหนีไปได้
จามูกาถูกตามล่าและจับได้ในที่สุด
ตำนานเล่าว่าเตมูจินไม่ต้องการฆ่าจามูกา แต่จามูกาไม่รับมิตรภาพ บอกมีอาทิตย์เพียงดวงเดียวบนท้องฟ้า และขอตายอย่างชายชาติทหาร
ปี 1205 เตมูจินตามล่าเซงกัมไปถึงอาณาจักรซีเสี้ย เซงกัมถูกฆ่าตายในสนามรบ
ถึงจุดนี้ก็ไม่เหลือศัตรู
สำหรับกูคูลุกที่หนีรอดไปได้ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ไปพึ่งอาณาจักรเหลียวตะวันตก จักรพรรดิซีเหลียวแต่งตั้งกูคูลุกเป็นที่ปรึกษา เป็นขุนพลคุมกำลังทหาร เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมหันต์ เพราะการช่วยกูคูลุกก็คือการเลี้ยงอสรพิษ กูคูลุกอยู่ที่ซีเหลียวได้สามปี ก็ทรยศต่อผู้ช่วยชีวิต ก่อรัฐประหาร จับจักรพรรดิไว้เป็นจักรพรรดิหุ่น เมื่อจักรพรรดิตาย ก็ขึ้นครอง อำนาจที่ซีเหลียว
แต่ไม่นานเกินรอ มองโกลก็ยกทัพมาถึงหน้าบ้าน
เจ็งกิส ข่าน ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว ฆ่ากูคูลุกและทำลายอาณาจักรเหลียวตะวันตกไปพร้อมกัน
กูคูลุกหนีไปได้สองปี ก็ถูกนายพรานคนหนึ่งจับตัวส่งให้มองโกล เขาถูกจับตัดหัว ศีรษะถูกเสียบประจาน ลูกสาวกูคูลุกถูกส่งไปเป็นเมียของโตลุยให้กำเนิดลูกชายคนหนึ่งชื่อ ฮูตู่ตู ต่อมาร่วมรบกับ โอโกได ข่าน ในสงครามยึดอาณาจักรซ่ง และตายในการรบ
จงอย่าเป็นศัตรูกับ เจ็งกิส ข่าน!
ป.ล. เหลียวตะวันตกจะถูกใช้เป็นฉากหนึ่งของนวนิยาย สี่ภพ
วินทร์ เลียววาริณ
15 สิงหาคม 2568(ภาพมองโกล ไม่ทราบชื่อจิตรกร)
2- แชร์
- 64
-
1 วันที่ผ่านมา
-
เล่ากันว่าคนป่าเผ่าหนึ่งในแอฟริกามีพฤติกรรมการนอนอย่างหนึ่งคือนอนเรียงเป็นวงล้อมรอบกองไฟ โดยให้เท้าอยู่ใกล้กองไฟ ขณะที่ศีรษะอยู่ด้านนอก
คนเมืองอย่างเรา ๆ มักจะถามเหมือนกันว่า "ถ้างั้นสัตว์ป่าก็อาจย่องเข้ามาขบหัวคนนอนแล้วคาบไปหม่ำ"
คำตอบของคนป่าคือ "ใช่"
ทำไมเป็นเช่นนั้น?
คำตอบคือ "เมื่อถูกเสือหรือสิงโตขบหัว ตายไปก็จบ แต่หากนอนโดยเอาเท้ายื่นออกด้านนอก เมื่อเสือหรือสิงโตกัดเท้า ก็จะพิการหากินไม่ได้ แย่กว่าตายทันทีเสียอีก"
อืม! บางทีคนป่าเผ่านี้มองการณ์ไกลและคิดรอบคอบกว่าเราหลายขุม!
นี่ก็คือการรู้จักจัดอันดับความสำคัญ (priority) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการประสบความสำเร็จ
ในทศวรรษ 1960 มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแห่งสหรัฐอเมริกาทำการทดลองอย่างหนึ่งที่เรียกว่า Mashmallow Test พวกเขาศึกษาพฤติกรรมของเด็กวัยสี่ขวบกลุ่มหนึ่ง
เด็กทุกคนได้รับขนมมาร์ชแมลโลว์หนึ่งชิ้น พร้อมกับคำสัญญาว่า "หากหนูไม่กินมาร์ชแมลโลว์ชิ้นนี้ในยี่สิบนาที จะได้รับมาร์ชแมลโลว์อีกชิ้นหนึ่ง"
เด็กหลายคนรอจนเวลาผ่านไปยี่สิบนาทีและได้รับมาร์ชแมลโลว์อีกชิ้นหนึ่ง แต่เด็กหลายคนไม่รอ บางคนก็รอสักครู่หนึ่ง แล้วก็พ่ายแพ้ความเย้ายวนของมาร์ชแมลโลว์หอมหวานในมือ กินขนมก่อนครบยี่สิบนาที
ผู้ทำการวิจัยได้ติดตามความก้าวหน้าในการเรียนของเด็กกลุ่มนี้ไปจนเติบโตเป็นวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ได้ผลลัพธ์ออกมาว่า เด็กที่ทนความเย้ายวนของมาร์ชแมลโลว์ และรอคอยจนครบยี่สิบนาทีประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าเด็กซึ่งไม่อาจทนความเย้ายวนของขนมได้ พวกเขาทนการล่อลวงได้ดีกว่า รู้จักคิดพิเคราะห์ว่า อะไรเป็น 'หัว' อะไรเป็น 'เท้า' จึงประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า
อย่างไรก็ตาม การประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นคนละเรื่องกับการประสบความสุขในชีวิต
เพราะคนที่กินมาร์ชแมลโลว์ก่อนอาจจะมีความสุขกว่าก็ได้
แต่นี่ก็มิได้หมายความว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจะไม่มีความสุขในชีวิต เพราะคนที่กินมาร์ชแมลโลว์ทีหลังอาจจะมีความสุขกว่าก็ได้เช่นกัน เนื่องจากได้กินถึงสองชิ้น!
มนุษย์เรามีเสรีภาพที่จะเลือกใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้
บางคนเอาเรื่องความสำเร็จมาก่อนครอบครัว บางคนเอาเรื่องเงินทองมาก่อนความชอบ บางคนแต่งงานเพื่อความก้าวหน้า ฯลฯ
นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก เพราะวิธีการใช้ชีวิตอย่างไรเป็นเสรีภาพส่วนบุคคล ไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก
ความสำเร็จในชีวิตกับความสุขจึงเป็นทางสองสาย จะให้ขนานกันก็ได้ ไขว้กันก็ได้ เชื่อมเป็นทางสายเดียวกันก็ได้
ทว่าการรู้จักมองว่า อะไรเป็น 'หัว' อะไรเป็น 'เท้า' เป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
และท้ายที่สุดแล้ว บางทีความสุขก็คือการรักษาสมดุลระหว่างการใช้ 'หัว' กับการใช้ 'หัวใจ'
วินทร์ เลียววาริณ
9-10-25.................
จาก สองแขนที่กอดโลก 49 บทความกำลังใจ
ได้รับคัดเลือกเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 3.8 บาท
https://www.winbookclub.com/store/detail/86/สองแขนที่กอดโลก1 วันที่ผ่านมา -
งานหนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์รอบนี้ เริ่มพรุ่งนี้ 9-19 ตุลาคม
บูธของผมอยู่เลขที่ F-21 Hall 6
ผมไปพบผู้อ่านทุกวัน ราว 12.00 - 13.00 น. และ 18.00 - 20.00 น. (บวกลบ)
ถ้าเจอก็ทักทายกันนะครับ
1 วันที่ผ่านมา -
ชายคนหนึ่งไปหาหมอเพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับเรื้อรังมาหลายสิบปี เขาเคยหาหมอมาแล้วหลายคน แต่ก็แก้ปัญหานี้ไม่สำเร็จ หมอคนล่าสุดถามเขาว่า “ทำไมนอนไม่หลับ คิดอะไรหรือ?”
“ผมกลัวผี ผมคิดเสมอว่ามีผีอยู่ใต้เตียง”
หมอเสนอว่าเขาควรพบจิตแพทย์ เขาก็ทำตามคำแนะนำนั้น
จิตแพทย์สอนวิธีการทำสมาธิจิต การย้ายจุดสนใจจากใต้เตียงไปที่อื่น ฯลฯ แต่อาการนอนไม่หลับของเขาก็ไม่หาย จนในที่สุดเขาก็เลิกไปหาจิตแพทย์โดยสิ้นเชิง
หลายปีต่อมา เขาพบจิตแพทย์คนเดิมอีกครั้งโดยบังเอิญ หมอถามไถ่อาการนอนไม่หลับของเขา เขาตอบว่า มันหายไปนานแล้ว ตอนนี้เขาหลับสนิททุกคืน
“หายไปได้อย่างไรครับ?” หมอสงสัย
“มีอยู่วันหนึ่งผมเห็นคนนอนอยู่ริมถนน ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ผมย้ายเตียงออกจากห้อง นอนบนพื้นแทน ไม่มีเตียงก็ไม่มีใต้เตียง ไม่มีใต้เตียงก็ไม่มีผีอีกต่อไป”
ขำขันเรื่องนี้มีกลิ่นเซนอยู่บ้าง แต่ประเด็นของมันคือการแก้ที่ต้นเหตุ หรือ สมุทัย หนึ่งในสี่ของอริยสัจ 4
บริษัทหลายแห่งแก้ปัญหาพนักงานมาสายบ่อย ๆ โดยตั้งกฎปรับหรือหักเงินเดือน แต่หากผู้บริหารวิเคราะห์อย่างละเอียด อาจพบว่าบทปรับไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว บางองค์กรศึกษาต้นเหตุจริง ๆ ของปัญหา เช่น บางคนบ้านอยู่ไกลมาก หรือต้องดูลูก ก็แก้โดยใช้นโยบายจัดเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นขึ้น หรือทำงานที่บ้าน หรือกระทั่งตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กในสำนักงาน เป็นวิธีหนึ่งในการซื้อใจพนักงานได้ด้วย
การแก้ปัญหาจึงต้องวิเคราะห์สาเหตุจริง ๆ ของปัญหา ก็คือ สมุทัย หนึ่งในสี่ของอริยสัจ 4 ใช้ได้ทั้งในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ
แต่บ่อยครั้งเรามองไม่เห็นสมุทัย เพราะอยู่ใกล้มันเกินไป บางครั้งตำแหน่งของการมองปัญหาก็สำคัญ
เราอาจมัวแต่มองที่ปัญหา ‘ใต้เตียง’ จนลืมมอง ‘เตียง’
เมื่อหลุดจากกรอบของกระบวนท่า ก็เป็นอิสระ มองเห็นภาพชัดเจนขึ้น
ไม่มีเตียงก็ไม่มีใต้เตียง
ไม่มีใต้เตียงก็ไม่มีผี
วินทร์ เลียววาริณ
8-10-25.................
ย่อความจาก ความสุขเล็ก ๆ ก็คือความสุข
57 บทความกำลังใจสั้นและยาว ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 3.3 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/165/ความสุขเล็ก%2520ๆ%20ก็คือความสุข2 วันที่ผ่านมา -
ดังที่เล่ามาแล้วว่าคุณบริสุทธิ์เผลอซื้อเป็ดขาดตัวจากร้านกวงติงมาอย่างไร
วันรุ่งขึ้นคุณบริสุทธิ์บ่นกับเพื่อนเรื่องความกวงติงของอาแปะร้านกวงติง
คุณบริสุทธิ์ว่า "อาแปะแก ‘กวงติง’ สมชื่อจริง ๆ ว่ะ”
“ความจริงแกไม่ได้ชื่อกวงติงหรอกนะ ชื่อจริงคือกวงหยง ชื่อเต็มคือเติ้งกวงหยง”
“ชื่อดาราหนังไต้หวันนี่หว่า”
“ใช่ แต่แกกวนตีนชาวบ้านมาก จึงพากันตั้งชื่อแกใหม่ว่า กวงติง ผลก็คือคนจำชื่อร้านนี้ได้ดีกว่าชื่อกวงหยง แกก็เลยตามเลย ใช้ชื่อนี้มาตลอด”
“แกมาจากไหน จึงกวงติงได้ขนาดนี้? เป็นเพราะพันธุกรรมหรือ?”
“ความจริงแกเป็นเซียนเป็ดนะ หากเปรียบวงการเป็ดพะโล้เป็นวงการบู๊ลิ้ม แกก็เทียบเท่าท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อหรือเตียซำฮง แกเคยเปิดร้านเป็ดพะโล้ที่กรุงเทพฯ ร้านแกดังมาก ใคร ๆ ก็ไปกิน นี่มึงเจอลูกเล่นกวงติงของแกมาล่ะซี”
คุณบริสุทธิ์เล่าเรื่องที่ไปซื้อเป็ด ‘ขาดตัว’ ให้เขาฟัง บูลย์หัวเราะชอบใจ กล่าวว่า “แค่นี้ถือว่าเล็กน้อยว่ะ มีคนเจอการกวนตีนหนักกว่ามึงอีก”
“จริงเรอะ?”
“จริง จะเล่าให้ฟัง...”
แล้วบูลย์ก็เล่าเรื่องชีวิตของเติ้งกวงหยงให้คุณบริสุทธิ์ฟัง
.............................
กวงหยงเป็นเด็กกำพร้า ร่อนเร่พเนจรไปทั่วเมืองจีน จนในที่สุดไปทำงานเป็นเด็กทำความสะอาดในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เซี่ยงไฮ้ เจ้าของร้านเป็นพ่อครัวผู้เชี่ยวชาญเรื่องเป็ดระดับปรมาจารย์
กวงหยงทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้ช่วยพ่อครัว และด้วยความบากบั่น ก็เป็นพ่อครัวในที่สุด ปรมาจารย์ก็สอนวิชาเป็ดสูตรต่าง ๆ ให้โดยไม่หวงวิชา
เมื่อปรมาจารย์เสียชีวิต กวงหยงอพยพย้ายมาอยู่ที่เมืองไทย เปิดแผงลอยขายเป็ดตุ๋นในซอยแห่งหนึ่งที่เยาวราช รสชาติเป็นที่เลื่องลือ ดังนั้นผ่านไปไม่กี่ปี เขาก็เปิดร้านเป็ดเติ้งกวงหยง ขึ้นชื่อเรื่องเป็ดชนิดต่าง ๆ
เมื่อถึงวัยห้าสิบ กวงหยงก็ไม่ได้ปรุงอาหารเอง ปล่อยให้ลูกน้องทำ ให้แม่ครัวสั่งวัตถุดิบเอง ส่วนเป็ดนั้นสั่งตรงมาจากเมืองจีน
วันหนึ่งลูกค้าคนหนึ่งมาเยือนร้าน วัยราว 70-80 กว่า ผมขาวโพลน กิริยาสุขุมลุ่มลึก นัยน์ตาแจ่มใส เขานั่งลงที่มุมร้าน แล้วสั่งเป็ด
ลูกค้าวัยชราสั่งเป็ดแต้จิ๋ว เมื่อบริกรเสิร์ฟเป็ดที่โต๊ะ ลูกค้าผู้นี้ก็ยกเป็ดขึ้นมาทั้งตัว หันตูดเป็ดขึ้นมาดม แล้วเรียกกวงหยงมา
เจ้าของร้านถามว่า “มีอะไรหรือท่าน?”
ลูกค้าบอกว่า “นี่ไม่ใช่เป็ดแต้จิ๋ว นี่เป็นเป็ดฮกเกี้ยน”
กวงหยงงุนงง “ทำไมไม่ใช่? ลูกน้องผมสั่งตรงมาจากเมืองจีน”
“ถ้าลูกน้องคุณดูเป็ดไม่เป็น ก็โกงคุณ”
กวงหยงเป็นเซียนเป็ด จึงรู้ความแตกต่างระหว่างเป็ดแต้จิ๋วกับเป็ดฮกเกี้ยน แกรู้ว่าพ่อครัวของแกก็ทำถูกชนิดแล้ว แกรู้ว่าลูกค้าคนนี้ต้องการทดสอบแก แต่ในฐานะเจ้าของร้าน แกไม่สามารถชี้นิ้วว่าลูกค้าได้ แกเพียงแต่กล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสดมตูดเป็ดก็รู้เลยหรือ?”
“แน่นอน เป็ดตัวนี้มาจากตำบลเฉินเป่ย มณฑลฮกเกี้ยน เป็ดเฉินเป่ยต่างจากเป็ดที่อื่น ๆ เพราะน้ำในเฉินเป่ยเป็นน้ำที่ไหลมาจากช่วงปลายแม่น้ำแยงซี จึงนำดินจากภูเขาเซ่งหลงซานมาด้วย ดินที่เซ่งหลงซานนั้นพิเศษกว่าที่อื่น มันมีกำมะถันและดินถนำผสมอยู่เล็กน้อย รสชาติดินเซ่งหลงซานจึงออกมาทางตูดเป็ด ผู้เชี่ยวชาญดมก็รู้”
กวงหยงย่อมรู้ว่าลูกค้ามั่ว หาเรื่องกินฟรี แต่ตำนานที่ลูกค้าแต่งสนุก จนแกอยากรู้ว่าลูกค้าจะเล่าเรื่องอะไรอีก ก็ทำเป็นไม่รู้ บอกว่า “ขออภัย งั้นท่านผู้อาวุโสสั่งเป็ดตัวใหม่ก็แล้วกัน”
“ผมขอสั่งเป็ดไหหลำก็แล้วกัน”
เมื่อเป็ดไหหลำมาวางบนโต๊ะ ลูกค้าผู้นี้ก็ยกเป็ดขึ้นมาดมตูด กล่าวว่า “นี่ไม่ใช่เป็ดไหหลำ มันเป็นเป็ดชานตง”
กวงหยงแกล้งทำตาค้าง
“ท่านผู้อาวุโสดมตูดเป็ดก็รู้เลยหรือว่าเป็นเป็ดชานตง?”
ลูกค้ารายนั้นคุย “ไม่ยาก เป็ดชานตงกินกุ้งปลาเป็นอาหาร กุ้งปลาที่ชานตงนั้นว่ายในน้ำกร่อยกับดินเลนที่ไหลมาจากแม่น้ำชวนแซยี่ ผสมกับน้ำทะเล กลิ่นไม่ปรากฏในเนื้อเป็ดหรอก ทว่าดมได้จากตูดเป็ด”
“นับถือ นับถือ”
คราวนี้ลูกค้าทั้งร้านก็มาล้อมดูคนทั้งสองคุยกันเรื่องเป็ด
“งั้นท่านสั่งเป็ดตัวใหม่ก็แล้วกัน”
เช่นเดิม เป็ดตัวที่สามที่สั่งก็ผิดอีกในสายตาลูกค้า
“นี่ไม่ใช่เป็ดที่ผมสั่งนะ นี่เป็นเป็ดจากมณฑลเหมยเยี่ยน กวางตุ้ง เป็ดที่นั่นกินต้นหม่อนผสมใยบัว กลิ่นของหม่อนและใยบัวของมณฑลเหมยเยี่ยนเป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์ แม้ไม่ปรากฏในเนื้อเป็ด แต่ดมได้จากตูดเป็ด”
กวงหยงประสานมือคารวะลูกค้า
“ขอเรียนถาม ท่านผู้อาวุโสมาจากเมืองจีนใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง ทั้งชีวิตผมเดินทางชิมเป็ดไปทั่วแผ่นดินจีน เมื่อครบแล้ว ก็มาลองกินเป็ดในแผ่นดินไทย”
“นี่ย่อมแสดงว่าท่านรู้จักทุกพื้นที่ในแผ่นดินจีนอย่างทะลุปรุโปร่ง”
ลูกค้าพยักหน้า กล่าวว่า “ถูกต้อง ผมรู้จักพื้นที่ทุกตารางนิ้วในจีน จึงรู้เรื่องเป็ดในทุกมณฑล แค่ดมตูดเป็ดก็รู้ว่าเป็ดมาจากไหน”
กวงหยงเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านช่วยอะไรผมอย่างหนึ่งได้ไหม?”
“ว่ามาเลย”
“ผมเป็นลูกกำพร้า ตลอดชีวิตมิรู้ว่ารากเหง้าผมมาจากที่ไหนในเมืองจีน ผมอยากรู้ชาติกำเนิดของผมจริง ๆ ท่านช่วยดมตูดผมหน่อยนะ”
ว่าแล้วก็ถกกางเกงลง หันก้นไปที่ลูกค้า...
บูลย์ว่า “ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครเรียกแกว่า กวงหยง อีก ทุกคนเรียกแกว่ากวงติง”
วินทร์ เลียววาริณ
7-10-25....................
บางท่อนจาก เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์ฯ
(นวนิยายแนวใหม่ที่นำขำขันตลกๆ ระดับ ‘ขำกลิ้ง’ 400 เรื่องมายำเป็นนวนิยาย)
ค่าคลายเครียดแค่ 330 บาท เฉลี่ยขำละ 80 สตางค์หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วโปรโมชั่น https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201
Shopee
เดี่ยว https://s.shopee.co.th/1VjWGyXzed
https://s.shopee.co.th/9A8xPCjmLp3 วันที่ผ่านมา