-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
ผมชอบเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก สมัยนั้นโรงเรียนรัฐบาลไม่สอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ ป. 1 ผมเข้าโรงเรียนเอกชน จึงโชคดีได้เรียนตั้งแต่เด็ก โรงเรียนแสงทองมีครูฝรั่งหลายคน เน้นภาษาอังกฤษค่อนข้างมาก
ผมเรียนภาษาอังกฤษจากครูบาทหลวงหลายปี มีอยู่ปีหนึ่ง ครูสอนเป็นคนไทย แกมัวแต่เล่าประสบการณ์ทางเซ็กซ์ ผลคือเทอมนั้นเราไม่ค่อยได้ความรู้ภาษาอังกฤษเพิ่ม แต่เอาเถอะ ได้ความรู้อีกเรื่องหนึ่ง!
นอกจากเรียนในโรงเรียน พ่อยังสั่งให้ไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ ครูสอนภาษาอังกฤษเป็นคนจีน ชื่อครูซิ้วหมิ่น ภาษาอังกฤษของแกเป็นที่เลื่องลือในหาดใหญ่ แกเปิดบ้านสอนภาษาอังกฤษอย่างเดียว สอนเป็นชั้น ในตอนหัวค่ำมีนักเรียนจำนวนมากไปเรียน
ตำราที่ครูสอนคือ Oxford Progressive English for Adult Learners ของ A.S. Hornby ก็เรียนไปหลายเล่ม ผมพัฒนาภาษาอังกฤษจากสำนักครูซิ้วหมิ่นมาก เรียนมาหลายกระบวนท่า
ทุกอาทิตย์ผมซื้อหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนมาอ่าน ชื่อ Student Weekly (ชื่อเดิม Kaleidoscope) ของ Bangkok Post คอลัมน์ที่ผมชอบคือเกม crossword ผมพัฒนาเรื่องคำศัพท์จากการเล่นปริศนาอักษรไขว้มากทีเดียว เพราะมันบังคับให้ต้องเปิดหาคำจากพจนานุกรม
แต่พอไปถึงกรุงเทพฯ เข้าคณะสถาปัตย์ฯ จุฬาฯ ปรากฏว่าเห็นเพื่อนหลายคนพูดภาษาอังกฤษเป็นไฟ มารู้ทีหลังว่าเรียนอัสสัมฯบ้าง มาแตร์ฯบ้าง
โห! กระบวนท่าที่เราเรียนมานี่สู้เด็กกรุงเทพฯไม่ได้เลย
เพื่อนผมคนหนึ่งภาษาอังกฤษดี เขาฝึกโดยฟังเพลงฝรั่ง แกะคำเอา ผมเคยลองดู ก็ยากเหมือนกัน
ตอนผมไปทำงานที่สิงคโปร์ปี 1980 ไปเรียนภาษาอังกฤษภาคค่ำ อาจารย์ก็ให้ฟังเพลง ของวง Air Supply แล้วถอดคำออกมา ปรากฏว่าแทบสอบตก ศิษย์สำนักสำนักครูซิ้วหมิ่นหมดความมั่นใจไปเลย
ตอนที่อยู่สิงคโปร์ ดูหนังฝรั่งบ่อย หนังที่นั่นไม่มีซับไตเติลไทย มีแต่ซับไตเติลภาษาจีน ผมก็อ่านซับฯจีน!
อ้าว! แล้วกัน อย่างนี้เมื่อไรจะเก่งเล่า!
ครั้นไปเรียนและทำงานที่อเมริกา วันหนึ่งเพื่อนร่วมงานชื่อคีธทักผม "What's up?" ผมทำหน้างงๆ เขาหัวเราะ บอกว่า "ที่แท้ไม่เข้าใจ" แล้วอธิบายให้ฟัง
วันหนึ่งเราไปสำรวจพื้นที่ก่อสร้าง พบหนังสือโป๊เล่มหนึ่งตกอยู่บนพื้น เขาหัวเราะบอกว่า "wet stuff" ผมพยักหน้า เฮ้ย! เรื่องนี้ไม่ต้องอธิบาย เข้าใจ! (ก็เรียนมาตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนเก่า!)
ผมทำงานที่สำนักงานสถาปนิกที่นิวยอร์กร่วมปี วันหนึ่งเจ้านายอเมริกันพูดฟุดฟิดฟอไฟใส่ผมเป็นชุด ฟังไม่รู้เรื่อง แต่พยักหน้าหงึกๆ พอสิ้นอาทิตย์เขียนใบเบิกค่าเงินเดือน แกก็เรียกไปถามว่า ที่บอกว่าขึ้นเงินเดือนให้ ทำไมยังไม่ปรับ
อ้าว! เพิ่งรู้ว่าขึ้นเงินเดือนให้
ศิษย์สำนักสำนักครูซิ้วหมิ่นหมดความมั่นใจไปอีกรอบ
โชคดีที่ผมชอบอ่านหนังสือ เมืองนอกมีหนังสือมือสองขายเยอะ นิยายไซไฟ หนังสือทางดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ก็อ่านและเรียนจากหนังสือพวกนี้ อีกอย่างได้พูดภาษาอังกฤษทุกวัน ผ่านไปหลายปี ภาษาก็ดีขึ้น ก็เรียนภาษาอังกฤษถูลู่ถูกังมาอย่างนี้
กลับมาเมืองไทย ผมก็อ่านแต่หนังสือภาษาอังกฤษ ต่อเนื่องกันหลายปี ก็พัฒนาไปอีกขั้น
ทุกอย่างคงอยู่ที่การฝึก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ละคนคงต้องหาวิธีที่ตนเองชอบ
ภาษาอังกฤษสำคัญมาก ตะวันตกมีหนังสือจำนวนมากที่ไม่มีในไทย ไม่ทุกเล่มแปลเป็นไทย ดังนั้นหากสามารถอ่านตรงได้ จะช่วยพัฒนาสมอง ได้เปรียบกว่าคนอื่นที่อ่านวงแคบ
คำแนะนำของผมคือ ไหนๆ เราไม่อาจหนีจากภาษานี้ได้ในชาตินี้ ก็เรียนให้ดีไปเลย จริงไหม?
วินทร์ เลียววาริณ
3 ดีเซ็มเบอร์ 20250- แชร์
- 4
-

ซามูไรคือนักรบที่รับใช้ขุนนาง กำเนิดราวศตวรรษที่ 12 ยุคสิ้นสุดของซามูไรในญี่ปุ่นคือราวปี 1870 สมัยเมจิ (ปลายศตวรรษที่ 19)
ปี 1853 สหรัฐฯส่งเรือรบไปทอดสมอที่อ่าวโตเกียว บังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ ญี่ปุ่นรู้ว่าลัทธิล่าอาณานิคมมาถึงแล้ว ก็เปิดประเทศ และปฏิรูปประเทศเป็นสังคมอุตสาหกรรม สร้างกองทัพแบบใหม่ให้รับมือต่างชาติได้
ซามูไรกลายเป็นส่วนเกินในประวัติศาสตร์
นี่คือเรื่องจริง
คราวนี้มาเล่าเรื่องแต่งบ้าง
นักสู้ 292 คนมาชุมนุมกันที่วัด Tenryū-ji ที่เกียวโตในยามค่ำ มันเป็นยุคเมจิที่ซามูไรไร้ความหมาย คนเหล่านี้มาเพราะเห็นประกาศชวนมาประลองยุทธ์ กติกาการแข่งขันคือฆ่ากันตายให้เหลือคนเดียว คนชนะหรือคนรอดชีวิตคนสุดท้ายจะได้เงินรางวัลหนึ่งแสนเยน
นักสู้คนหนึ่งชื่อ Shujiro Saga ไปร่วมด้วย เพราะต้องการเงินไปช่วยครอบครัวในหมู่บ้านที่ห่าลง
นี่คือ Last Samurai Standing (イクサガミ) หนังซีรีส์เรื่องใหม่จากแดนอาทิตย์อุทัย
หนังดุเดือดเลือดพล่าน ฆ่ากันเลือดสาด เดินเรื่องคล้าย Squid Game ผสม Battle Royale
เวลาดูรู้สึกว่ากำลังดู Squid Game เวอร์ชั่นซามูไร เพราะใช้โครงสร้างแทบจะเรียกว่าก๊อบปี้มาจาก Squid Game
แต่การผูกเรื่อง Squid Game เข้ากับซามูไรที่ถูกด้อยค่า ถือว่าลงตัว และมีบริบทในประวัติศาสตร์รองรับ
หนังท่อนกลางเอื่อยๆ เต็มไปด้วยฉากที่ไม่จำเป็น ตัวละครที่ยังเล่นหนังแบบละครหลังข่าว แต่หนังมาเข้มข้นขึ้นในตอนท้าย
การต่อสู้ในตอนสุดท้าย (สู้กลางดงดอกไม้ไฟ) ดี เข้มข้น มีความสดใหม่
โดยรวมหนังสนุก แต่หนังก็ไม่จบ เหมือนผู้สร้างได้เงินมาแค่หกตอน จึงยังให้คะแนนไม่ได้
ต้องดูทั้งเรื่องก่อน เพื่อรู้ว่าภาพรวมหนังต้องการบอกอะไร
โดยส่วนตัว ผมไม่เชื่อว่านักเขียน Last Samurai Standing ลอก Squid Game เพราะไอเดียลอยอยู่ในอากาศ แต่เนื่องจากโครงสร้าง Squid Game โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์มาก เมื่อแต่งเรื่องคล้ายกัน จะดูเป็นลอกทันที
กรณีนี้อาจต่างจากหนังสือและหนังชุด Hunger Games ที่ไม่กี่วันก่อนโดน เควนติน ทาแรนติโน ด่ายับว่าลอกมาจาก Battle Royale แบบไม่ละอายฟ้าดิน เขายุให้คนเขียน Battle Royale ฟ้องคนเขียน Hunger Games "Sue for every f—ing thing she owns."
แต่ทีม Squid Game อย่าเพิ่งฟ้อง Last Samurai Standing นะ ผมยังอยากดูต่อ
ฉายทาง Netflix
วินทร์ เลียววาริณ
2-12-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
1 วันที่ผ่านมา -

สมัยเรียนชั้นมัธยม ผมได้คะแนนวิชาภาษาอังกฤษดี สอบวิชาไวยากรณ์ผ่านสบาย แต่วันแรกที่ผมไปต่างประเทศ และพูดภาษาอังกฤษแบบใช้งานจริง พบว่าตัวเองสอบตก ได้ F พูดไม่ออก พูดไม่รู้เรื่อง อึกๆ อักๆ
จะพูดแต่ละประโยค ต้องแปลในใจจากไทยเป็นอังกฤษเสมอ
หืดขึ้นคอ
ครั้นถามเพื่อนๆ ก็พบว่ามีปัญหาอย่างเดียวกัน น้อยคนมากที่สามารถพูดอังกฤษโดยคิดเป็นอังกฤษเลย
เชื่อว่าคนไทยจำนวนมากพูดภาษาอื่นโดยแปลจากไทยก่อนเสมอ
หลังจากใช้ชีวิตในต่างประเทศหลายปี และใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน วันหนึ่งผมก็พบว่าผมไม่ต้องแปลไทยเป็นอังกฤษแล้ว ผมคิดเป็นภาษาอังกฤษจนได้
ผมเชื่อว่าเกิดจากการพูดบ่อยๆ คุยกันเร็วขึ้น หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจรอการแปลไปแปลมา อาการก็ดีขึ้น
ฝึกจนได้
ผมไม่รู้ว่าหลักสูตรสอนภาษาในปัจจุบันมีเทคนิคอะไรที่สอนให้คิดเป็นภาษาต่างชาติ แต่สมัยผมไม่มี ไปตามบุญตามกรรม
เอาละ ใครจะไปเมืองนอก หรือต้องทำงานกับฝรั่ง ก็ต้องฝึกพูดแบบไม่ต้องแปล ไม่งั้นอาจไม่รุ่ง เพราะเสียเวลากับการสื่อสารนานไป
ส่วนคนที่หมายตาชอบพอกับคนต่างชาติ ยิ่งต้องรีบฝึก
คงไม่ค่อยดีนักถ้าสาวฝรั่งน่ารักมาบอกว่า “Do you love me?” หรือ "Would you like to come to my apartment for coffee?"
แล้วมัวแต่แปลไทยเป็นอังกฤษอยู่นั่นแหละ...
M. K. P. D.
แปลว่า ม.ค.ป.ด.
Have a nice Tuesday.
วินทร์ เลียววาริณ
2-12-252 วันที่ผ่านมา -

เมื่อวานนี้มีข่าวนักร้องชาวญี่ปุ่นถูกยกเลิกการแสดงในจีน จนต้องแสดงโดยไม่มีคนดู
ใช่ ความบาดหมางระหว่างจีนกับญี่ปุ่นยังดำเนินไปอย่างเข้มข้น
วันก่อนอ่านบทวิเคราะห์การเมืองจีน-ญี่ปุ่น วิเคราะห์คำพูดของนายกฯญี่ปุ่นที่ว่าจะช่วยไต้หวันรบจีน และการสร้างกองทัพขึ้นมาใหม่ บทวิเคราะห์นี้น่าสนใจ เพราะเป็นอีกมุมหนึ่ง จึงนำมาเล่าต่อ
ปกติคนญี่ปุ่นจะทำอะไร มักระวังเรื่องการพูดจา สมมุติว่าญี่ปุ่นอยากสร้างกองทัพ อยากช่วยไต้หวัน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องประกาศต่อหน้าชาวโลก ทำไปได้เลยโดยไม่ต้องทำให้เป็นข่าวใหญ่
แล้วทำไมจึงยังทำ? ตั้งใจใช่ไหม?
การที่ญี่ปุ่นพูดตรงขนาดนี้ ผิดธรรมเนียมการเมืองระหว่างประเทศมาก มีคนสงสัยว่า นายกฯคนนี้ไปกินดีหมี หัวใจเสือมาจากไหน
นี่เป็นภาษานิยายจีนกำลังภายใน หมายถึงกล้าเพราะมีแรงกระตุ้น
มีการวิเคราะห์ว่า ดีหมีหัวใจเสือถูกส่งมาจากวอชิงตัน นี่เป็นใบสั่งมาจากวอชิงตัน
วอชิงตันต้องการตบหัวจีน แต่ชอบใช้ proxy คือตัวแทน
ภาษานิยายจีนกำลังภายในเรียกว่า ลิ่วล้อ
ลิ่วล้อมีมากมาย เช่น เซเลนสกี ผู้นำยุโรปหลายคน นายกฯญี่ปุ่นก็อาจเข้าข่าย
ส่วนเนทันยาฮูคนนั้นไม่แน่ใจว่าเป็นลิ่วล้อทรัมป์ หรือทรัมป์เป็นลิ่วล้อเนทันยาฮู บทวิเคราะห์จำนวนมากบอกว่าเป็นอย่างหลัง
นี่เป็นความเห็นหนึ่งของนักวิเคราะห์ จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็ตามสบาย
ที่น่าสังเกตคือ ตอนนี้คะแนนนิยมของนายกฯญี่ปุ่นยังสูงอยู่ นี่แปลว่าคนญี่ปุ่นเห็นด้วยกับการสร้างกองทัพต้านจีนหรือ? บทวิเคราะห์หลายบทว่า อาจจะไม่สามารถใช้คะแนนนิยมเป็นตัวบอกว่าคนญี่ปุ่นอยากทำสงคราม คะแนนนิยมน่าจะมาจากการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจมากกว่าความกล้าชนจีน
พูดถึงความเห็นของประชาชน ก็ต้องว่าต่อเรื่องอิสราเอล มีการสอบถามความเห็นของประชาชนอิสราเอลต่อสิ่งที่ทำกับชาวปาเลสไตน์ ส่วนใหญ่ไม่รู้สึกอะไร คนหลายสิบเปอร์เซ็นต์ไม่เห็นด้วยกับบทบาทของทหารที่เข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์ อีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์เห็นด้วย
แต่เหตุการณ์ในศาลที่อิสราเอลเมื่อเดือนก่อน คนอิสราเอลจำนวนหนึ่งปรบมือ (standing ovation) ให้พวกทหารอิสราเอลที่ข่มขืนหญิงปาเลสไตน์ และบอกว่าพวกข่มขืนเป็นวีรบุรุษ (ไม่ได้พูดเล่น มีคลิปจริงให้ดู)
ผมไม่รู้ว่าคนญี่ปุ่นยุคใหม่รู้สึกอะไรกับคนจีนที่ถูกกระทำถูกข่มขืนที่นานจิง เพราะจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำขอโทษจากรัฐบาลญี่ปุ่น ขณะที่เยอรมันขอโทษที่กระทำเรื่องเลวร้ายมาตั้งแต่ปี 1945 และยังขอโทษอีกหลายรอบ
ส่วนเนทันยาฮูนี่ เมื่อวานนี้เพิ่งบอกประธานาธิบดีให้ช่วยนิรโทษกรรมความผิดข้อหาคอร์รัปชั่นต่างๆ ของเขาหน่อย อย่างนี้ก็มีด้วย
เดี๋ยวก็รู้ว่าใครเป็นลิ่วล้อใคร เคี้ยกเคี้ยก
จะจบปีอยู่แล้ว โลกยังไม่มีวี่แววสงบเลย ข้าพเจ้าคงต้องไปทำใจสงบเองเอง โดยการซักผ้า
วินทร์ เลียวาาริณ
1-12-252 วันที่ผ่านมา -

เผลอนิดเดียวก็มาถึงวันแรกของเดือนสุดท้ายของปี
บางคนบอกว่าเวลาผ่านไปเร็วจัง
แต่จริงๆ เวลาก็ไหลเลื่อนเคลื่อนไปด้วยอัตราเดิม เรารู้สึกไปเองไปว่าเร็วหรือช้า
เรื่องดีและเรื่องไม่ดีไหลผ่านไปด้วยความเร็วเท่ากัน
แต่ที่แน่ๆ คือเราเดินออกห่างจากความเยาว์ สู่ความชรามากขึ้นทุกที
ดังนั้นอยากทำอะไรก็ทำเสียในวันนี้ อย่ารีรอ อย่าผัดวันประกันทูมอร์โรว์
ถ้ามีสติ ก็ยิ้มรับวันใหม่หน่อย
เพราะโลกจะสดใสขึ้นเมื่อเรามองโลกยิ้มๆ ขำๆ
อย่าไปซีเรียสเสียทุกเรื่อง
แล้วจะรู้สึกว่าขณะที่เวลาเคลื่อนไหลไป เราก็ใช้ชีวิตทุกนาทีอย่างมีความสุข
วินทร์ เลียววาริณ
1-12-253 วันที่ผ่านมา -

รีวิว Train Dreams เมื่อวานนี้ ผมพูดถึงตัวละคร 'สิทธารถะ' ในหนังสือ Siddhartha
สิทธารถะ เป็นนวนิยายแนวปรัชญา ผลงานของ เฮอร์มานน์ เฮสเส นักเขียนชาวเยอรมัน
มาถึง พ.ศ. นี้ หากคนรุ่นใหม่ไม่เคยได้ยินทั้งชื่อนวนิยายและคนเขียน ก็ไม่น่าแปลกอะไร แต่ถ้าไม่ได้อ่านงานของเขา ก็ถือว่าเสียโอกาส
ในความเห็นของผม เฮสเสเป็นสุดยอดนักเขียนคนหนึ่ง ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี ค.ศ. 1945 อ่านงานของเขา ต้องทั้งย่อยและเคี้ยวเอื้อง
เรื่องที่ผมชอบอีกเรื่องก็คือ Narcissus and Goldmund เป็นนวนิยายแนวปรัชญาคล้ายกัน
มาเล่าเรื่องให้ฟังดีกว่า
...................
สิทธารถะเป็นบุตรพราหมณ์ ครอบครัวมีฐานะดี ได้รับการศึกษาสูง ฉลาด รูปงาม กระหายความรู้ ชอบสนทนากับปราชญ์น้อยใหญ่ ศึกษาพระเวทจนแตกฉาน ใคร ๆ ต่างก็รักเขา (จุดนี้คล้ายกับตัวละครเอกในเรื่อง กามนิต ) ด้วยคุณสมบัติเช่นนี้ เขาไม่น่าจะสนใจแสวงหาหนทางที่เขาเองก็ไม่รู้
เหตุผลง่าย ๆ คือ เขาไม่มีความสุข
เขารู้สึกว่าชีวิตน่าจะมีอะไรมากไปกว่านี้ น่าจะมีคำอธิบายที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เขาเรียนมา
สิทธารถะมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อ โควินทะ ทั้งคู่มีความคิดอ่านคล้าย ๆ กัน
วันหนึ่งมีสมณะสามรูปมาเยือน หลังจากที่สนทนาด้วย สิทธารถะขออนุญาตบิดาติดตามสมณะไปด้วย บิดาไม่อนุญาต
สิทธารถะไม่ได้ถกเถียง หากยืนอยู่ที่จุดเดิม บิดาของเขาเข้านอน แต่ข่มตาไม่หลับ ทุกครั้งที่ท่านมองลอดหน้าต่าง ก็เห็นบุตรชายยืนกอดอกอยู่ที่จุดเดิม ผ่านไปหลายชั่วยาม ท่านตื่นขึ้นมา ก็ยังเห็นสิทธารถะยืนตระหง่านอยู่ที่เดิม จนถึงเช้าผู้เป็นบิดาก็ยอมแพ้ รู้ว่าจิตใจบุตรชายของตนมิได้อยู่ที่บ้านหลังนี้อีกแล้ว
สิทธารถะร่ำลาบิดามารดาเดินทางจากไป และไม่เคยหวนกลับบ้านอีกเลย
สิทธารถะกับโควินทะเดินทางไปด้วยกัน ฝึกฝนตนเองให้บรรลุความจริงโดยทางสาย อัตตกิลมถานุโยค คือทรมานตนเอง
ทั้งคู่แต่งกายแบบธรรมดา กินวันละครั้ง และเริ่มอดอาหารหลาย ๆ วัน ตามแนวทางทรมานตนเองเพื่อพ้นทุกข์ เรียนรู้การรับความเจ็บปวด ความหิว ความกระหาย
สิทธารถะยืนกลางแดดกลางฝน คลานเข้าดงหนาม จนเกิดแผล รอจนแผลพุพองและความเจ็บหายไปเอง กลั้นลมหายใจ ฯลฯ
เขาเห็นสัตว์ป่า และรับวิญญาณของสัตว์มาไว้กับตัว เพื่อเรียนรู้การปลดเปลื้องวิญญาณของตน
แต่ไม่ว่าจะทรมานตนเองอย่างไร ในที่สุดเขาก็กลับคืนมาสู่ตัวตนของความทุกข์ของตนเองอีกครั้งเสมอ คนฉลาดเช่น สิทธารถะ เริ่มรู้ว่าทางสายนี้ไม่น่าเป็นทางที่ถูก
สิทธารถะมองสมณะที่เขาติดตามมานานสามปี สมณะหาทางพ้นทุกข์ด้วยการทรมานตนเอง จนถึงวัยราวหกสิบก็ยังไม่สามารถหาทางไปสู่นิพพานได้
สิทธารถะกำลังคิดว่า เขาอาจเสียเวลาสามปีไปโดยเปล่าประโยชน์
ยามนั้นชาวบ้านชาวเมืองโจษขานถึงบุรุษผู้หนึ่ง ผู้เป็นสัพพัญญู หลุดพ้นจากวัฏสงสารแล้ว นั่นคือ สมณโคดม
สิทธารถะกับโควินทะลาจากพวกสมณะ ผู้ไม่เห็นด้วยกับแนวทาง 'ละทิ้งความลำบาก' ของพระพุทธเจ้า
สิทธารถะกับโควินทะเข้าเฝ้าพระตถาคตในสวน พระองค์ทรงนุ่งห่มจีวรเหลืองเหมือนกับพระรูปอื่น ๆ พระพักตร์เอิบอิ่มมีเมตตา ไม่ดีใจ ไม่เศร้า เป็นผู้ที่อยู่เหนือโลกอย่างแท้จริง
พระพุทธองค์ทรงเทศนาหลักอริยสัจ 4 โควินทะปลงใจที่จะบวช ส่วนสิทธารถะยังลังเล
วันต่อมาสิทธารถะมีโอกาสสนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้า สิทธารถะพบพระพุทธองค์ แม้เห็นว่าคำสอนของพระองค์นั้นสมบูรณ์แบบ แต่เขาก็ยังไม่ปลงใจ
สิทธารถะบอกพระพุทธองค์ว่า เขาไม่เคยสงสัยว่าพระองค์บรรลุธรรมจริง แต่ทางของพระองค์ก็เป็นทางของพระองค์ เขาเองก็มีทางของเขา
การพบพานพระพุทธเจ้าทำให้โควินทะกลายเป็นนักบวชในระบบ ส่วนสิทธารถะก็เลือกที่จะเดินทางหาความจริงในวิถีของเขาเอง
เพื่อนรักแยกทางกัน ราวกับเป็นนัยว่า คนเราทุกคนล้วนต้องเดินทางคนเดียวเสมอ
อาจเป็นเจตนาของนักเขียน - เฮอร์มานน์ เฮสเส ก็ได้ ที่ทำให้สิทธารถะนั้นมีวิถีชีวิตที่คล้ายกับพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ในช่วงหนึ่งของชีวิต
ทั้งสองต่างเกิดในตระกูลดี ร่ำรวย และสลัดความสุขออกเดินทางแสวงหาความหมายของชีวิตเช่นกัน
บางทีสิ่งที่สิทธารถะคิดในขณะนั้นคือ การตรัสรู้ (ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่าอะไร) เป็นประสบการณ์ ไม่ใช่คำสอน
คนเราไม่สามารถรู้ว่าตนเองอิ่มท้องจากการอธิบายของคนอื่น ทางเดียวที่จะรู้คือกิน และประสบอาการของความอิ่มท้องนั้นเอง
วันหนึ่งสิทธารถะเดินทางมาถึงแม่น้ำสายหนึ่ง เขาหยุดมองดูสายน้ำที่ไหลเอื่อยเช่นที่เคยไหลมาอย่างนี้ชั่วนาตาปี
เขาพบคนแจวเรือข้ามฟาก เขาบอกคนแจวเรือว่า แม่น้ำสวยมาก
คนแจวเรือชื่อ วาสุเทพ ว่า "ใช่ ฉันรักมันเหนือทุกสิ่ง ฉันมักฟังมัน มองมัน และเรียนรู้บางอย่างจากมัน เราสามารถเรียนรู้มากมายจากแม่น้ำสายหนึ่ง"
สิทธารถะเดินทางเข้าเมือง เขาพบสตรีงามนางหนึ่งชื่อ กมลา เขาโกนหนวดเครา ตัดผม อาบน้ำในแม่น้ำ
เขาพบกมลาและขอให้เธอเป็นครูสอนเขาเกี่ยวกับความรัก ศาสตร์ที่เขาไม่รู้อะไรเลย
หล่อนหัวเราะ บอกให้เขากลับมาพร้อมเสื้อผ้าชั้นดี รองเท้าและเงินทอง แล้วหล่อนถึงจะรับพิจารณาข้อเสนอ
สิทธารถะไปพบพ่อค้าใหญ่คนหนึ่ง ไม่นานต่อมาสิทธารถะก็กลายเป็นพ่อค้าชั้นเลิศ เขาไม่ได้ทำเพื่อเงิน เขาผูกมิตรกับทุกคน ใคร ๆ ก็อยากทำธุรกิจกับเขามากกว่าพ่อค้าอื่น ๆกมลาสอนเขาเรื่องรัก
ยี่สิบปีผ่านไป ฤดูกาลผันผ่านเลยจนสิทธารถะอายุกว่าสี่สิบ เขากลายเป็นพ่อค้า สร้างฐานะร่ำรวย สิทธารถะมีทุกอย่างที่ชาวโลกย์ต้องการ ใช้ชีวิตอีกขั้วหนึ่ง เป็นนักเลงสกา จมในปลักโลกีย์ ดื่มกินเต็มที่
คืนหนึ่งเขานั่งในสวน คิดถึงบิดา โควินทะ พระพุทธเจ้า มองดูกายภาพของตนเอง กลายเป็นชายวัยกลางคน เส้นผมแซมเทา หมดไฟ
พลันสิทธารถะก็รู้สึกว่าบางส่วนของเขาตายไปแล้ว เขาสัมผัสความไร้สาระของชีวิตที่เขาเป็นเจ้าของ
พลันเขาก็ตัดสินใจเดินทางอีกครั้ง ละทิ้งทุกอย่างที่ตนเป็นเจ้าของ ไปแสวงหาเป้าหมายที่เขาไม่เคยพบต่อไป
สิทธารถะพบตัวเองที่ริมแม่น้ำสายเดิมอีกหน มองเงาของตนเองในน้ำ เขาอยากตาย
ที่ริมแม่น้ำเขาพบโควินทะอีกครั้ง
โควินทะจำสิทธารถะในคราบของเสื้อผ้าคนร่ำรวยไม่ได้ เมื่อสิทธารถะบอกว่าตนเองกำลังจาริก โควินทะงุนงง และกล่าวว่า "...คุณไม่เหมือนนักแสวงบุญเลย คุณสวมเสื้อผ้าของคนรวย คุณสวมรองเท้านำสมัย เส้นผมหอมกรุ่นของคุณก็ไม่ใช่เส้นผมของผู้จาริก ไม่ใช่เส้นผมของสมณะ"
สิทธารถะบอกว่า "ผมไม่ได้บอกคุณว่าผมเป็นสมณะ ผมบอกเพียงแต่ว่า ผมกำลังจาริก"
"คุณกำลังจาริก? แต่น้อยคนนะจะเดินทางจาริกด้วยเสื้อผ้า รองเท้า และผมอย่างนี้ ผมเดินทางมาแล้วหลายปี ยังไม่เคยเห็นผู้จาริกเช่นคุณ" (สำนวนแปลของ สดใส)
บทสนทนาท่อนนี้แม้จะเรียบง่าย แต่เป็นจุดเด่นตอนหนึ่งของเรื่อง อธิบายคำว่า 'เปลือก' ได้อย่างขันขื่น เพราะบางครั้งคนที่พยายามละวางเปลือก ก็ยังอาจยึดติดบางอย่างกับเปลือก
แล้วโควินทะก็เดินทางต่อไป
สิทธารถะตัดสินใจอาศัยที่ริมน้ำนั้น เขาได้ยินแม่น้ำเอ่ยกับเขา สายน้ำไหลเรื่อยเอื่อย
สิทธารถะเรียนรู้จากแม่น้ำ พวกเขาส่งคนข้ามฟากเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า
เขาเรียนรู้ว่า แม่น้ำนั้น 'พูด' ตลอดเวลา บางครั้งเป็นกษัตริย์ บางคราเป็นหญิงตั้งครรภ์ บางทีเช่นนก
หลายปีผ่านไป วันหนึ่งวาสุเทพก็เดินทางจากไป ทิ้งให้สิทธารถะอยู่ที่ริมแม่น้ำคนเดียว
......................
เฮสเสอาจตั้งคำถามว่า การไปสู่จุดหมาย (ทางสว่างหรือตรัสรู้?) แห่งชีวิตนั้นมีหนทางเดียวหรือ? จำเป็นต้องเป็นทางสายที่นักบุญผู้ที่ตรัสรู้แล้วเดินหรือไม่?
ขณะที่เราแน่ใจกับวิถีและวิธีการเดินทางของเรา โดยเลือกทางสายสั้นสบายที่สุด เราอาจจะหลงทางทีละน้อย เหมือนชายถือไม้ไผ่คนนั้นมองไม่เห็นทางนำไม้ไผ่ข้ามเข้าเมืองอย่างไรโดยที่ไม่ต้องตัดทำลายมัน
การเดินทางของสิทธารถะเป็นอีกทิศหนึ่ง อีกรูปหนึ่ง ระวังอย่าไปเปรียบกับพุทธ เพราะสิทธารถะไม่ใช่วรรณกรรมพุทธประวัติ นอกจากจะไม่ใช่งานพุทธประวัติแล้ว ยังไม่ใช่เรื่องทางพุทธด้วย แต่เป็นนิยายที่บังเอิญมีพระพุทธเจ้าเป็นตัวละครคนหนึ่ง
จุดหนึ่งที่หลายคนรับไม่ได้คือ สิทธารถะที่ใช้ชีวิตเหลวแหลกคล้ายๆ อิกกิวซัง สามารถ 'บรรลุธรรม' (มีเครื่องหมายอัญประกาศเดี่ยว) แต่โควินทะที่อยู่กับพระพุทธเจ้ากลับไม่สามารถบรรลุธรรม นี่ก็ไม่ได้แปลว่าหนทางของใครดีกว่าของใคร มันเปรียบกันไม่ได้ มันแค่บอกว่าโควินทะไม่ได้บรรลุธรรม
นวนิยายเรื่องนี้ชี้เป็นนัยว่า บางทีหนทางสู่จุดหมายอาจมีมากกว่าหนึ่งทาง (เช่นกัน ระวังด้วยว่าอาจไม่ใช่จุดหมายเดียวกันอย่างที่เราสรุปเองว่าจุดหมายต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้)
จุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ การที่สิทธารถะเชื่อมตนเองกับแม่น้ำ มีความเป็นเซนสูงมาก ประวัติอาจารย์เซนหลายคนก็เกี่ยวกับการบรรลุธรรม (ซาโตริ) โดยอิงกับธรรมชาติ เช่น ไป่จ้างหวยไห่บรรลุธรรมเมื่อเห็นฝูงห่านป่า เซียงเอี๋ยนจือเสียนบรรลุธรรมเมื่อได้ยินเสียงไผ่ ต้งซานเหลียงเจี๋ยเห็นเงาตัวเองในน้ำ ก็บรรลุธรรม
นี่ทำให้เราต้องคิดต่อด้วยว่า สิทธารถะบรรลุธรรมอะไร แบบพุทธ? แบบเซน? แบบจอนาธาน?
หากเทียบกับ Train Dreams การเดินทางของตัวละคร รอเบิร์ต เกรนเนียร์ ก็คล้ายวาสุเทพ คนหนึ่งแจวเรือ คนหนึ่งตัดไม้
และใครจะบอกได้ว่า จำเป็นต้องเป็นสมณะจึงจะบรรลุธรรมได้
"ผมไม่ได้บอกคุณว่าผมเป็นสมณะ ผมบอกเพียงแต่ว่า ผมกำลังจาริก"
วินทร์ เลียววาริณ
30-11-253 วันที่ผ่านมา
