-
วินทร์ เลียววาริณ3 ปีที่ผ่านมา
ท่านพ่อยึดรากเหง้าของความเป็นจีนอย่างสูง แม้มีลูกสิบคน แต่ก็เจียดเงินให้ลูกทุกคนเรียนภาษาจีน ค่าเล่าเรียนเดือนละราว 25 บาทเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นมา ราคาของรากเหง้าและวัฒนธรรมไม่ถูก
ผมจำชื่อครูสอนภาษาจีนไม่ได้แล้ว เป็นหญิงจีนวัยราว 40-50 อาศัยอยู่ในห้องแถวไม้แห่งหนึ่ง ไม่ใกล้บ้านผม แต่ก็ไม่ไกลเกินเดินเท้า
ทุกเย็นผมเดินไปเรียนภาษาจีน บางครั้งก็เดินไปเรียนพร้อมกับเพื่อนซึ่งเป็นเด็กข้างบ้าน ผมสะท้อนฉากชีวิตจริงนี้ในเรื่องสั้น เช็งเม้ง
“ทุกเย็นผมกับฮกเดินไปเรียนภาษาจีนพร้อมกัน เรามักแวะที่สวนมะละกอกลางทาง เล่นฟันดาบโดยใช้ก้านใบมะละกอ เมื่อเด็ดใบออกก็ได้อาวุธประจำตัว เป็นกระบี่จอมยุทธ์ สมมุติตัวเองเป็นมือกระบี่อย่างที่เราเห็นในภาพยนตร์จีน”
หลักสูตร Chinese 101 หรือที่ถูกน่าจะเป็น Chinese Torture 101 เริ่มด้วยหนังสือจีนมาตรฐาน บทที่ 1 คือ “ม่ามา ม่ามาไหล ไหลไหลไหล ม่ามาไคว่ไหล ไคว่ไหลคั่นตี้ตี้” ฯลฯ
ต่อมาก็ขึ้นเล่ม 2 3 4 ไล่ไปเรื่อย ความสนุกเริ่มลดลงตามลำดับ การเรียนภาษาจีนกลายเป็นการฝึกความอดทน
หลักสูตรภาษาจีนนี้มีทั้งคัดลายมือ อ่านออกเสียง แต่ที่ผมเกลียดที่สุดคือ dictation (เขียนตามคำบอก)
ความจริงมันก็ไม่ใช่ dictation เป๊ะ แต่เป็นการท่องจำและเขียน ฝึกทั้งการท่องเนื้อความและอักษรจีนแต่ละตัว ครูให้นักเรียนไปท่องข้อความที่กำหนดไว้ เมื่อมาถึงก็เขียนข้อความนั้นโดยให้คว่ำหนังสือไว้ ห้ามแอบดู
แล้วใครเล่าจะแอบดูหนังสือตอนครูมองอยู่ล่ะ?
ครูมีนักเรียนหลายคน เมื่อครูเผลอ เราก็แอบเปิดหนังสือมาดู แล้วเขียนตาม
ก็ขึ้นชั้นใหม่มาได้เรื่อยๆ ความยากเพิ่มขึ้น
ผมเกลียดการเรียนพิเศษจีน แต่มันเป็นภาคบังคับของชีวิตลูกจีนในเมืองไทย หากใช้ภาษาของท่านโก้วเล้งคือ “คนในยุทธจักรไม่เป็นตัวของตัวเอง” (人在江湖,身不由己.)
แล้วสวรรค์ก็โปรด ภาษานิยายจีนกำลังภายในคือ ‘วาสนาในคราเคราะห์’
ผลสอบอันดับที่ 25 ทำให้ท่านพ่อสั่งให้ผมเลิกเรียนภาษาจีน เรียนพิเศษเฉพาะภาษาอังกฤษ
....…
ตรงกันข้ามกับ Chinese 101 ผมชอบเรียนพิเศษภาษาอังกฤษมาก
ท่านพ่อรู้ว่าภาษาอังกฤษจำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต จึงเจียดเงินให้เรียน
ครูสอนภาษาอังกฤษเป็นคนจีน ชื่อครูซิ้วหมิ่น ภาษาอังกฤษของแกเป็นที่เลื่องลือในยุทธจักรหาดใหญ่ แกเปิดบ้านสอนภาษาอังกฤษอย่างเดียว มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
ครูซิ้วหมิ่นไม่สอนตัวต่อตัว แต่สอนเป็นชั้น ในตอนหัวค่ำมีนักเรียนจำนวนมากไปเรียน
ตำราที่ครูสอนเป็นหนังสือ Oxford Progressive English for Adult Learners ของ A.S. Hornby ก็เรียนไปหลายเล่ม ผมพัฒนาภาษาอังกฤษจากครูซิ้วหมิ่นมาก หลายปีต่อมาเมื่อผมไปเรียนต่อชั้น ม.ศ. 4 ที่กรุงเทพฯ ก็พบว่าหลักสูตรชั้นเตรียมอุดมศึกษาสอนหนังสือเล่มเดียวกัน แต่ผมเรียนจบมานานแล้ว
แปลว่าครูซิ้วหมิ่นสอนเด็กต่างจังหวัดด้วยตำราของนักเรียนชั้นมัธยมปลายของกรุงเทพฯ
ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ย้อนหลัง!
ภาษาอังกฤษของผมอยู่ในเกณฑ์ดีมาตั้งแต่เด็ก ทุกอาทิตย์ผมซื้อหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนมาอ่าน ชื่อ Student Weekly เดิมชื่อ Kaleidoscope ของ Bangkok Post คอลัมน์ที่ผมชอบคือเกม crossword ผมพัฒนาเรื่องคำศัพท์จากการเล่นปริศนาอักษรไขว้มากทีเดียว เพราะมันบังคับให้ผมเปิดหาคำจากพจนานุกรม
สำหรับชะตากรรมภาษาจีนของผมนั้นสะดุดไปหลายปี มันเป็น ‘unfinished business’ อย่างหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปี 2 ผมติดนิยายจีนกำลังภายในอย่างหนัก จนเกิดความอยากอ่านนิยายต้นฉบับภาษาจีน
วันหนึ่งผมก็ไปเยาวราช ซื้อพจนานุกรมจีนไทยฉบับ จักร วรศีล มาหนึ่งเล่ม กับหนังสือเรื่อง 三少爺的劍 (ซาเสียวเอี้ย) ของท่านโก้วเล้งสองเล่ม แล้วเริ่มต้นเรียนภาษาจีนใหม่ด้วยตัวเอง
บางครั้งคนในยุทธจักรก็เป็นตัวของตัวเอง
(ยังมีต่อ)
18- แชร์
- 966
Tiggerภาษาจีนได้ที่ 25 นักเรียนกี่คนครับ ภาษาอังกฤษตอนประถมแน่นอนมี dictation แน่นอน มันทำให้ผมอกสั่นขวัญแขวนทุกครั้ง ที่อาจารย์เอ๋ยคำนี้ เข้ามหาลัย มาเรียนเมืองกรุง เดินห้าง ผมอ่านยี่ห้อเสื้ออิโตคิน เป็นกิโยติน เพื่อนเกือบหงายหลัง แต่ผมฟังเพลงภาษาปะกิตนะ มีคลื่นหนึ่ง เพลงภาษาอังกฤษล้วน ดีเจผู้ชาย น้ำเสียงอบอุ่น ใจดี ผมฟังทุกค่ำ ถึงจะมีคำปลอบใจว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ตัวตัดสินความเก่งของผู้คน แต่มันแสดงว่า ถ้าเค้าเก่ง ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเค้าพยายาม ผ่านไปนานมากแล้ว หนังสือภาษาจีนยังใช้ปกคล้ายไรกันอยู่เลยนะครับ อาจารย์ฟังเพลงจีนมั้ยครับ ขอบคุณครับ
-
ผู้อ่านท่านหนึ่งส่งรูปบ้านของเขามาให้ดู ติดโปสเตอร์ สี่ภพ ความยาวเกือบเมตรบนผนัง
เขาบอกว่ามันเข้ากับสไตล์จีนของบ้านดี ก็จริงอย่างนั้น
แปลกดีครับ ไม่เคยคิดว่าจะมีคนเอาโปสเตอร์ไปติดจริง และติดแบบนี้
ถ้าติดในบ้านสมัยใหม่ อาจไม่เข้ากันก็ได้ (ไม่รู้มีใครลองติดหรือเปล่า)
โปสเตอร์นี้มีขนาดราว 24.5 x 90 ซม. กว้างประมาณบานประตู ม้วนใส่ในหลอดกระดาษแข็ง ผู้ที่สั่งซื้อตอนนี้ได้รับทุกคน
สี่ภพ boxset ยังมีจำหน่าย ขายไปช้าๆ เหตุผลหนึ่งเพราะไม่ทุกคนอ่านนิยายกำลังภายใน อีกเหตุผลหนึ่งอาจเพราะราคาค่อนข้างสูง แต่ราคานี้เกิดจากจำนวนพิมพ์น้อยและต้นทุนสูงมากๆ จัดเป็น rare item หรือ collection
รูปเล่มของหนังสือจำลองแบบมาจากหนังสือจีนกำลังภายในยุคห้าสิบปีก่อนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้อ่านที่ทันยุคนั้นต่างร้องว่าจำได้
ท่านที่สนใจอยากเก็บ ก็สามารถซื้อได้หลายทาง รวมทั้งในงานหนังสือที่จะมีถึงวันที่ 19 ตุลาคม
สำหรับคนที่ไม่ขอเป็นเจ้าของ ก็สามารถอ่านได้จากห้องสมุด เพราะเราก็ยังอุตส่าห์เข็นออกมาจำนวนหนึ่งเข้าห้องสมุด จำนวนอาจไม่มากเท่าเล่มอื่นๆ แต่ก็ทำเท่าที่ทุนบริจาคพาไปได้
ไม่ว่าจะอ่านทางไหน นี่ก็เป็นบทหนึ่งของการหวนระลึกถึงความสวยงามของบรรยากาศการอ่านในอดีตเมื่อห้าสิบปีก่อน ซึ่งไม่มีวันกลับมาแล้ว
วินทร์ เลียววาริณ
16-10-25...............
สี่ภพ เป็นนิยายจีนกำลังภายใน+ไซไฟ ผลงาน 5 ปีของ วินทร์ เลียววาริณ
จำหน่ายในงานหนังสือและทางออนไลน์
งานหนังสือบูธ F-21 (ราคา 2,300.- ถ้ารับกลับเอง)ซื้อผ่าน Shopee กดลิงก์ https://s.shopee.co.th/2LPBgEyqPg?share_channel_code=6
ซื้อผ่านเว็บไซต์ วินทร์ เลียววาริณ กดลิงก์
https://www.winbookclub.com/store/detail/255/%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A0%E0%B8%9Eอีบุ๊ค จัดจำหน่ายโดยบริษัท The Meb ทั้งแยกเล่มและรวมชุด (สำนักพิมพ์ 113 ไม่ได้จำหน่าย) https://www.theonebook.com/index.php?action=search_book&page_no=1
1 วันที่ผ่านมา -
พ่อบอกให้เดชาเรียนแพทย์ แม่อยากให้เขาเรียนกฎหมาย แต่เขาอยากเรียนศิลปะ เดชาบอกพ่อแม่ว่าเขาโตแล้ว เลือกทางเดินตัวเองได้ แต่เขารู้สึกแย่หากไม่ทำตามคำแนะนำของพ่อแม่ และยิ่งรู้สึกแย่กว่าเมื่อต้องทำตามคำแนะนำที่เขาไม่ชอบ ท้ายที่สุดเขาก็ตามใจแม่ เขาทำตามบทบาทของ ‘ลูกกตัญญู’ เขาไม่มีความสุขในอาชีพของเขาเลย
ถาวรทำงานออกแบบโฆษณา เขาใส่รูปสินค้าเล็ก ๆ แต่เจ้านายบอกว่าอยากให้รูปสินค้าใหญ่ ๆ เขารู้สึกแย่หากไม่ทำตามคำแนะนำของเจ้านาย แต่รู้สึกแย่กว่าหากทำตามคำแนะนำที่เขาไม่ชอบ ท้ายที่สุดเพื่อรักษาบรรยากาศของการทำงาน เขาตามใจเจ้านาย
เขาไม่เคยประสบความสำเร็จในสายงานของเขาเลย
นารีไปซื้อกระเป๋าสะพายกับเพื่อนสาวสองคน เธอชอบใบสีเหลือง เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าใบสีแดงเหมาะกับเธอมากกว่า เพื่อนอีกคนว่าน่าจะเป็นกระเป๋าหนังมากกว่า เธอไม่ชอบทั้งสองแบบที่เพื่อนแนะนำ นารีรู้ว่าเพื่อนของเธอมีรสนิยมดี เธออยากเอาใจเพื่อน แต่เธอรู้สึกว่าทำแล้วไม่มีความสุข
ฯลฯ
มนุษย์เรามีสัญชาตญาณกลัวว่าคนอื่นจะไม่ชอบ เราอยากรู้ว่าคนอื่นจะมีปฏิกิริยาอะไรเมื่อเราทำเรื่องหนึ่ง ๆ คนอื่นจะคิดอะไรเมื่อเราสวมเสื้อไม่เหมือนคนอื่น สีไม่ตรงใจพวกเขา กินไม่เหมือนพวกเขา เราอยากให้คนอื่นชอบเรา
เรารู้สึกว่าเราเป็นคนมีค่าก็เมื่อคนอื่นชอบเรา ยิ่งมากคน ยิ่งดี
ถ้าเราไม่ทำสิ่งที่ขัดกับความชอบของคนอื่น เราก็ไม่สบายใจ เพราะกลัวจะได้ยินคำติเตียนของคนอื่น
ปัญหาคือถ้าเราทำตามใจคนอื่น เราก็ไม่สบายใจ
มนุษย์แต่ละคนมีความฝัน ความคิด ความต้องการ และวิถีทางของตัวเอง แต่ละคนเชื่อว่าตนเองถูกต้อง คนส่วนใหญ่ชอบหาคำตอบสุดท้ายคำตอบเดียวในทุกเรื่อง
พวกเขาเห็นว่าคนที่แตกต่างจากตนคือคนประหลาด ทั้งนี้เพราะคนส่วนใหญ่กลัวความแตกต่างจากความเคยชินของพวกเขา พวกเขาคิดว่าอะไรที่ไม่เคยเห็นหรือไม่เคยทำเป็นเรื่องไม่ถูกไม่ดี
ประสบการณ์ชีวิตต่างกันปรับหลอมโลกทัศน์และมุมมอง และเมื่อใช้มุมมองแบบหนึ่งไปมองอีกคนหนึ่ง ย่อมเห็นความแตกต่าง และหากใจไม่กว้างพอ ก็จะวิพากษ์และตัดสินคนอื่นด้วยมุมมองและกรอบคิดแคบ ๆ ของตัวเอง
ดังนั้นเราจึงมักถูกคนที่เห็นต่างจากเราตัดสิน และพยายามชี้ทางที่เขาเชื่อว่าถูกต้องหรือดีที่สุดให้เราเดิน
หากเราทำตามใจเขา ก็เท่ากับเราพยายามเอาใจเขาคนนั้น
แต่ความจริงคือ ไม่ใช่ทุกเรื่องในชีวิตที่ต้องมีคำตอบเดียว หรือต้องมีคำตอบ
ความจริงคือ มีคนนับล้าน ๆ ที่เห็นต่างกัน ความเห็นหรือคำแนะนำนับล้านที่ขัดแย้งกัน ไม่อาจถูกต้องพร้อมกัน
นี่แปลว่าความเห็นเป็นความคิดส่วนตัว ไม่ใช่สัจธรรม
เรื่องหลายเรื่องในโลกเป็นรสนิยมส่วนตัว เป็นนานาจิตตัง ดังนั้นไม่มีวิถีทางใดที่ถูกต้องสูงสุด
จึงย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเอาใจทุกคน
และเป็นเรื่องปกติที่เมื่อเราไม่ทำตามใจคนอื่น เราจะถูกวิพากษ์
วินทร์ เลียววาริณ
16-10-25.........
ท่อนหนึ่งจาก ตัวสุขอยู่ในหัวใจ
หนังสือเสริมกำลังใจ
260 บาท 49 บทความ เรื่องละ 5.3 บาท
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/211/ตัวสุขอยู่ในหัวใจ1 วันที่ผ่านมา -
สองวันนี้ สถานการณ์ในกาซาซาลงนิดหน่อย หลังจากท่านทรัมป์บังคับให้ทุกฝ่ายเซ็นสัญญาสันติภาพ
ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายปล่อยตัวประกันทั้งหมด
คำถามคือศึกกาซาจบแค่นี้หรือ?
นักวิเคราะห์การเมืองโลกส่วนใหญ่บอกว่า "โน! เดี๋ยวก็รบกันต่อ"
คำถามต่อมาคือ งั้นทำไมฮามาสยอมปล่อยตัวประกัน ในเมื่อมันเป็นอำนาจต่อรอง
คำตอบน่าจะเป็นเพราะคนที่ร่วมเซ็นสัญญาสันติภาพมีหลายประเทศในอาหรับ และคำรับรองของสหรัฐฯ
และฮามาสอาจรู้ว่า ปล่อยหรือไม่ปล่อยตัวประกัน ก็โดนถล่มเหมือนเดิม เพราะนายกฯอิสราเอล เนทันยาฮู โนสนโนแคร์ใดๆ ทั้งสิ้น
ผลงานของท่านทรัมป์ชิ้นนี้ทำให้นิตยสาร Time นำท่านไปขึ้นปก
ท่านทรัมป์บอกว่า นิตยสารเขียนถึงท่านในแง่ดี แต่เลือกรูปได้ห่วยมาก
ไม่ชอบ ขอบอก
วันก่อนท่านทรัมป์ไปปรากฏตัวที่รัฐสภาอิสราเอล (เรียกว่า Knesset) ท่ามกลางเสียงปรบมือต้อนรับอย่างล้นหลาม
ท่านทรัมป์พูดทีเล่นทีจริงกลางที่ประชุมว่า ท่านประธานาธิบดีอิสราเอลควรให้อภัยโทษนายกฯ เนทันยาฮูนะ ทำเอาเนทันยาฮูหน้าเจื่อน เพราะเท่ากับท่านทรัมป์ยอมรับว่าเนทันยาฮูเป็นอาชญากรสงคราม!
ชาวอิสราเอลถือว่าท่านทรัมป์เป็นสุดยอดวีรบุรุษประชาธิปไตย มีคนทำรูปท่านบนพื้นดิน
อืม! ดีไซน์นี้ค่อยยังชั่ว
วันนี้เห็นข่าวท่านทรัมป์จะมาร่วมเซ็นสัญญาสันติภาพระหว่างไทยกับเขมร
ท่าทางรางวัลโนเบลสันติภาพปีหน้าจะหนีไม่พ้นมือท่านทรัมป์เสียแล้ว
เอาละ ไหนๆ ท่านทรัมป์ก็จะมาเยือนแถวนี้ น่าจะชวนท่านไปกินไข่เจียวปูเจ๊ไฝ แล้วพาท่านและพวกซีไอเอ เพนตากอน ไบกอน ไปดูการสาธิตการใช้เสียงเป็นอาวุธ ทรงพลังกว่าอาวุธจรวด supersonic ของมหาอำนาจอีก
เพราะมันคือเสียงผีผ่านลำโพง
คราวนี้ถ้าไม่ได้โนเบิ้ล เอ๊ย! โนเบลสันติภาพ จะเปิดเสียงผีให้คณะกรรมการโนเบลฟังทุกคืน เดี๋ยวก็ยอมเอง
เฮ้อ! โลกเรานี่อยู่ยากเข้าไปทุกที แม้แต่ผียังถูกลากเข้ามาสู่การเมืองโลก
วินทร์ เลียววาริณ
15-10-251 วันที่ผ่านมา -
หลายปีก่อนมีนิยายไซไฟจีนเรื่องหนึ่งโด่งดังไปทั่วโลก ได้รับรางวัลฮิวโก และสร้างเป็นหนังด้วย ทั้งเวอร์ชั่นจีนและฝรั่ง (ได้รับรางวัลฮิวโกนี่ถือว่าสุดยอดแล้ว)
คือเรื่อง ดาวซานถี่ อุบัติสงครามล้างโลก (The Three-Body Problem)
คำว่า ซานถี่ (三体) แปลตรงตัวว่า สามร่าง
ในหนังฉบับ Netflix สร้าง ตั้งชื่อดาวว่า ซานถี่ แต่ในภาษาจีนต้นฉบับ ซานถี่ไม่ใช่ชื่อเฉพาะ
ในทางดาราศาสตร์หมายถึงระบบดาวสามดวง (three-body) นั่นคือเมื่อดวงอาทิตย์สามดวงโคจรวนกัน หากมีดาวเคราะห์อยู่ สภาพดาวเคราะห์ก็ปั่นป่วน ไม่เสถียร เป็นที่มาของสิ่งที่เรียกว่า three-body problem
เอาละ เกริ่นมาตั้งนานก็เพื่อจะบอกว่า ในนวนิยาย สี่ภพ ก็มีดาวชื่อคล้ายกัน คือซานไถ
นี่ไม่ใช่ลอกหรือล้อเลียน หรือกวงติงแต่ประการใด
ซานถี่กับซานไถไม่มีอะไรที่เกี่ยวกัน เพียงแต่ชื่อคล้ายกัน และเกี่ยวกับดาวเหมือนกัน
ตอนเขียนก็ไม่เคยคิดอะไร แต่เมื่อเขียนออกมา ก็นึกขำที่ชื่อคล้ายกันมาก
แต่ระบบดาวซานไถมีจริงนะครับ ผมอ้างอิงมาจากตำราโบราณของจีน
ซานไถ (三台 Three Terraces) คือกลุ่มดาวสามคู่ในกลุ่มดาวหมีใหญ่ (Ursa Major) ซึ่งอยู่ห่างจากโลกราว 80 ปีแสง
ที่น่าสนใจคือพวกนักพรตเต๋าโบราณมีกิจกรรมเดินอย่างหนึ่ง เรียกว่า ปู้กังต้าโต่ว (步罡踏鬥)
ปู้ (步) คือก้าว กัง (罡) คือดวงดาวที่ประกอบเป็นก้านตะบวยของกลุ่มดาวตะบวยใหญ่ (Big Dipper)
ตำราสมัยซ่งอธิบายเรื่องปู้กังว่า การเดินปู้กังคือการเชื่อมกับ ‘เจิน’ (真) คือความสมบูรณ์สูงสุด
ปู้กังก็คือการเดินในสวรรค์ เพื่อบรรลุความสมบูรณ์แบบของมนุษย์ พวกนักพรตเต๋าใช้หลักนี้ โดยเดินไปตามทางของหมู่ดาวตะบวย ไปจบที่ประตูสวรรค์ ในดินแดนที่เรียกว่าซานไถ
ในทางเต๋า ซานไถคือบันไดสวรรค์ เป็นทางขึ้นลงของเทพไท่อี้
เอาละ อย่างนี้ก็เข้าทางไซไฟเลย เพราะผู้เขียนสามารถแต่งเรื่องโยงไท่อี้เป็นสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวแห่งซานไถ
อีกจุดหนึ่งที่น่าคิดคือ ขณะที่นิยายซานถี่พูดถึง three-body problem นิยายสี่ภพจะพูดถึง four-body problem
แปลว่า ปัญหาของสี่ภพ
อยากรู้ว่าเป็นยังไง ก็ต้องอ่าน รอ'ไรล่ะ?
วินทร์ เลียววาริณ
15-10-25...............
สี่ภพ เป็นนิยายจีนกำลังภายใน+ไซไฟ ผลงาน 5 ปีของ วินทร์ เลียววาริณ
จำหน่ายในงานหนังสือและทางออนไลน์
งานหนังสือบูธ F-21 (ราคา 2,300.- ถ้ารับเอง)ซื้อผ่าน Shopee กดลิงก์ https://s.shopee.co.th/2LPBgEyqPg?share_channel_code=6
ซื้อผ่านเว็บไซต์ วินทร์ เลียววาริณ กดลิงก์
https://www.winbookclub.com/store/detail/255/%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A0%E0%B8%9Eอีบุ๊ค จัดจำหน่ายโดยบริษัท The Meb ทั้งแยกเล่มและรวมชุด (สำนักพิมพ์ 113 ไม่ได้จำหน่าย) https://www.theonebook.com/index.php?action=search_book&page_no=1
1 วันที่ผ่านมา -
ผมชอบสังเกตคน พฤติกรรม ปฏิกิริยาของเขา วิธีการพูด การกระทำอย่างเดียว ก็อาจบอกได้เลยว่าคนคนนั้นเป็นอย่างไร บ่อยครั้งบอกอนาคตของเขาได้ด้วย
บางคนเห็นอะไรก็บ่น เห็นอะไรก็ติตลอด ชีวิตมีแต่เรื่องลบเรื่องเลวร้าย อย่างนี้อยู่ใกล้ก็เหนื่อยใจไปด้วย
คนไม่มีความสุขมักส่ง ‘พลังงานมืด’ ทำให้คนอื่นไม่มีความสุขไปด้วย
เวลาอยู่กับคนที่มองโลกขำ ๆ ไม่จริงจังกับมัน เราจะรู้สึกเย็นลง อย่างนี้กระมังที่เรียกว่าออรา (aura)
ออราแบบนี้เราทุกคนก็มีได้
ออราแบบนี้เกิดจากทัศนคติ (attitude) ที่ดี
ผ่านชีวิตมาอีกหลายสิบปี มองเหตุการณ์ เรื่องราวต่าง ๆ รอบตัว ทั้งที่เป็นประสบการณ์ตรงและประสบการณ์ของคนอื่น ก็เริ่มเห็นจริงว่าทัศนคติเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจริง ๆ
มันสำคัญกว่าเงินทอง ชื่อเสียง อำนาจ เพราะต่อให้มีเงินทองล้นเหลือ มีชื่อเสียงก้องโลก มีอำนาจล้นฟ้า หากมีทัศนคติไม่ดี ก็อาจไม่มีความสุขสงบทั้งชีวิต และเมื่อไม่มีความสุข ก็มักส่งความร้อนไปให้คนรอบตัวด้วย
ปัญหาคือคนส่วนใหญ่ไปผูกเอาเองว่า ต้องรวยก่อนจึงจะสุขได้ หรือความสุขเกี่ยวกับความรวย
ถ้ามันเป็นความจริง มหาเศรษฐีทุกคนในโลกก็ต้องมีความสุขยิ้มระรื่นชื่นใจ ซึ่งไม่ใช่ภาพที่เราเห็น เพราะความยากจนกับความสุขเป็นคนละเรื่องกัน
คนที่มีทัศนคติลบก็เท่ากับได้รับใบรับประกัน 100 เปอร์เซ็นต์เต็มว่าจะไม่มีความสุข
บางคนอาจคิดว่า การมีทัศนคติบวกคือพวก ‘โลกสวย’ ไม่เกี่ยวกันแต่อย่างใด คนละเรื่องกันเลย มองบวกคือมองความเป็นไปได้ ส่วน ‘โลกสวย’ (ในนัยที่เราใช้กัน) คือฟุ้งซ่าน
ถ้าพูดอย่างนี้ พวกมีทัศนคติลบต่างหากที่ฟุ้งซ่าน! คือฟุ้งซ่านในเชิงลบ
รังสีออราเกิดขึ้นเมื่อมีทัศนคติบวก
เวลาอยู่กับคนที่มองโลกขำ ๆ ไม่จริงจังกับมัน เราจะรู้สึกเย็นลง
ใช่ ออราแบบนี้เราทุกคนก็มีได้
วินทร์ เลียววาริณ
15-10-25.....
จาก ตัวสุขอยู่ในหัวใจ
หนังสือเสริมกำลังใจ
260 บาท 49 บทความ เรื่องละ 5.3 บาท
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/211/ตัวสุขอยู่ในหัวใจ1 วันที่ผ่านมา