-
วินทร์ เลียววาริณ2 ปีที่ผ่านมา
ท่านพ่อยึดรากเหง้าของความเป็นจีนอย่างสูง แม้มีลูกสิบคน แต่ก็เจียดเงินให้ลูกทุกคนเรียนภาษาจีน ค่าเล่าเรียนเดือนละราว 25 บาทเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นมา ราคาของรากเหง้าและวัฒนธรรมไม่ถูก
ผมจำชื่อครูสอนภาษาจีนไม่ได้แล้ว เป็นหญิงจีนวัยราว 40-50 อาศัยอยู่ในห้องแถวไม้แห่งหนึ่ง ไม่ใกล้บ้านผม แต่ก็ไม่ไกลเกินเดินเท้า
ทุกเย็นผมเดินไปเรียนภาษาจีน บางครั้งก็เดินไปเรียนพร้อมกับเพื่อนซึ่งเป็นเด็กข้างบ้าน ผมสะท้อนฉากชีวิตจริงนี้ในเรื่องสั้น เช็งเม้ง
“ทุกเย็นผมกับฮกเดินไปเรียนภาษาจีนพร้อมกัน เรามักแวะที่สวนมะละกอกลางทาง เล่นฟันดาบโดยใช้ก้านใบมะละกอ เมื่อเด็ดใบออกก็ได้อาวุธประจำตัว เป็นกระบี่จอมยุทธ์ สมมุติตัวเองเป็นมือกระบี่อย่างที่เราเห็นในภาพยนตร์จีน”
หลักสูตร Chinese 101 หรือที่ถูกน่าจะเป็น Chinese Torture 101 เริ่มด้วยหนังสือจีนมาตรฐาน บทที่ 1 คือ “ม่ามา ม่ามาไหล ไหลไหลไหล ม่ามาไคว่ไหล ไคว่ไหลคั่นตี้ตี้” ฯลฯ
ต่อมาก็ขึ้นเล่ม 2 3 4 ไล่ไปเรื่อย ความสนุกเริ่มลดลงตามลำดับ การเรียนภาษาจีนกลายเป็นการฝึกความอดทน
หลักสูตรภาษาจีนนี้มีทั้งคัดลายมือ อ่านออกเสียง แต่ที่ผมเกลียดที่สุดคือ dictation (เขียนตามคำบอก)
ความจริงมันก็ไม่ใช่ dictation เป๊ะ แต่เป็นการท่องจำและเขียน ฝึกทั้งการท่องเนื้อความและอักษรจีนแต่ละตัว ครูให้นักเรียนไปท่องข้อความที่กำหนดไว้ เมื่อมาถึงก็เขียนข้อความนั้นโดยให้คว่ำหนังสือไว้ ห้ามแอบดู
แล้วใครเล่าจะแอบดูหนังสือตอนครูมองอยู่ล่ะ?
ครูมีนักเรียนหลายคน เมื่อครูเผลอ เราก็แอบเปิดหนังสือมาดู แล้วเขียนตาม
ก็ขึ้นชั้นใหม่มาได้เรื่อยๆ ความยากเพิ่มขึ้น
ผมเกลียดการเรียนพิเศษจีน แต่มันเป็นภาคบังคับของชีวิตลูกจีนในเมืองไทย หากใช้ภาษาของท่านโก้วเล้งคือ “คนในยุทธจักรไม่เป็นตัวของตัวเอง” (人在江湖,身不由己.)
แล้วสวรรค์ก็โปรด ภาษานิยายจีนกำลังภายในคือ ‘วาสนาในคราเคราะห์’
ผลสอบอันดับที่ 25 ทำให้ท่านพ่อสั่งให้ผมเลิกเรียนภาษาจีน เรียนพิเศษเฉพาะภาษาอังกฤษ
....…
ตรงกันข้ามกับ Chinese 101 ผมชอบเรียนพิเศษภาษาอังกฤษมาก
ท่านพ่อรู้ว่าภาษาอังกฤษจำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต จึงเจียดเงินให้เรียน
ครูสอนภาษาอังกฤษเป็นคนจีน ชื่อครูซิ้วหมิ่น ภาษาอังกฤษของแกเป็นที่เลื่องลือในยุทธจักรหาดใหญ่ แกเปิดบ้านสอนภาษาอังกฤษอย่างเดียว มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
ครูซิ้วหมิ่นไม่สอนตัวต่อตัว แต่สอนเป็นชั้น ในตอนหัวค่ำมีนักเรียนจำนวนมากไปเรียน
ตำราที่ครูสอนเป็นหนังสือ Oxford Progressive English for Adult Learners ของ A.S. Hornby ก็เรียนไปหลายเล่ม ผมพัฒนาภาษาอังกฤษจากครูซิ้วหมิ่นมาก หลายปีต่อมาเมื่อผมไปเรียนต่อชั้น ม.ศ. 4 ที่กรุงเทพฯ ก็พบว่าหลักสูตรชั้นเตรียมอุดมศึกษาสอนหนังสือเล่มเดียวกัน แต่ผมเรียนจบมานานแล้ว
แปลว่าครูซิ้วหมิ่นสอนเด็กต่างจังหวัดด้วยตำราของนักเรียนชั้นมัธยมปลายของกรุงเทพฯ
ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ย้อนหลัง!
ภาษาอังกฤษของผมอยู่ในเกณฑ์ดีมาตั้งแต่เด็ก ทุกอาทิตย์ผมซื้อหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนมาอ่าน ชื่อ Student Weekly เดิมชื่อ Kaleidoscope ของ Bangkok Post คอลัมน์ที่ผมชอบคือเกม crossword ผมพัฒนาเรื่องคำศัพท์จากการเล่นปริศนาอักษรไขว้มากทีเดียว เพราะมันบังคับให้ผมเปิดหาคำจากพจนานุกรม
สำหรับชะตากรรมภาษาจีนของผมนั้นสะดุดไปหลายปี มันเป็น ‘unfinished business’ อย่างหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปี 2 ผมติดนิยายจีนกำลังภายในอย่างหนัก จนเกิดความอยากอ่านนิยายต้นฉบับภาษาจีน
วันหนึ่งผมก็ไปเยาวราช ซื้อพจนานุกรมจีนไทยฉบับ จักร วรศีล มาหนึ่งเล่ม กับหนังสือเรื่อง 三少爺的劍 (ซาเสียวเอี้ย) ของท่านโก้วเล้งสองเล่ม แล้วเริ่มต้นเรียนภาษาจีนใหม่ด้วยตัวเอง
บางครั้งคนในยุทธจักรก็เป็นตัวของตัวเอง
(ยังมีต่อ)
18- แชร์
- 949
Tiggerภาษาจีนได้ที่ 25 นักเรียนกี่คนครับ ภาษาอังกฤษตอนประถมแน่นอนมี dictation แน่นอน มันทำให้ผมอกสั่นขวัญแขวนทุกครั้ง ที่อาจารย์เอ๋ยคำนี้ เข้ามหาลัย มาเรียนเมืองกรุง เดินห้าง ผมอ่านยี่ห้อเสื้ออิโตคิน เป็นกิโยติน เพื่อนเกือบหงายหลัง แต่ผมฟังเพลงภาษาปะกิตนะ มีคลื่นหนึ่ง เพลงภาษาอังกฤษล้วน ดีเจผู้ชาย น้ำเสียงอบอุ่น ใจดี ผมฟังทุกค่ำ ถึงจะมีคำปลอบใจว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ตัวตัดสินความเก่งของผู้คน แต่มันแสดงว่า ถ้าเค้าเก่ง ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเค้าพยายาม ผ่านไปนานมากแล้ว หนังสือภาษาจีนยังใช้ปกคล้ายไรกันอยู่เลยนะครับ อาจารย์ฟังเพลงจีนมั้ยครับ ขอบคุณครับ
-
0 วันที่ผ่านมา
-
เช้าวันจันทร์มักเป็นเวลาที่เราไม่อยากเอ่ย “Good morning.” กับใคร เพราะไม่อยากเริ่มต้นวันใหม่ทำงาน
คนที่อยากตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตในวันใหม่ เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจะทักทายพระเจ้าว่า “Good morning, God.” (อรุณสวัสดิ์ พระเจ้า)
ส่วนคนที่ไม่อยากตื่นมาพบวันใหม่ ตื่นขึ้นมาร้องว่า “Good God! Morning!” (เวรกรรม! เช้าอีกแล้วเรอะ!)
มนุษย์ส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่ในโลกด้วยสัญชาตญาณ เกิด เรียน ทำงาน แต่งงาน สร้างครอบครัว ทำในสิ่งที่สังคมขีดเส้นให้ เดินชีวิตตามระเบียบสังคม มาตรวัดของเราคือความสุขกับความสำเร็จ แต่บางครั้งเราควรถามตัวเองในเชิงจิตวิญญาณว่า เรามาทำอะไรอยู่ในโลกนี้ เราชอบชีวิตที่เรากำลังใช้อยู่หรือไม่ เราอยากตื่นเช้าวันพรุ่งนี้มาเดินหน้าต่อไปไหม ถ้าไม่ - ทำอย่างไรเราจึงอยากพบวันใหม่ด้วยหัวใจเบิกบาน
เพื่ออะไร? ก็เพื่อให้เราสามารถพอใจในการมีชีวิตอยู่
เราควรหาเหตุผลหรือเข้าใจเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่หายใจต่อไป เพื่อชีวิตที่ดีมีความหมายขึ้น
เราต้องเข้าใจชีวิต ค้นหาตัวเอง มองลึกในจิตวิญญาณตนเอง แต่ก็ต้องเข้าใจชีวิตในมุมกว้าง ทั้งชีวิตของตนเองและชีวิตทั้งปวง
เพียงแค่คิดว่าการเกิดมาในสภาวะชีวิตแบบมนุษย์เป็นความอัศจรรย์ ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่จะอยู่ต่อให้ครบเทอม และรู้ว่าเรามาทำอะไรอยู่ในมุมนี้ของจักรวาล
หลายคนมีภาพว่า คนมีความสุขคือคนที่สามารถนอนตื่นสาย การทำงานคือภาระและความทุกข์ แต่คนที่มีเหตุผลของการมีชีวิตมองอีกด้านหนึ่ง พวกเขาอยากตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เพราะมีความสนุกของชีวิตที่รออยู่ การได้ทำงานใหม่ ๆ สร้างสรรค์ของเล่นใหม่ ความสนุกของการทำงาน ปราศจากงานก็รู้สึกว่าชีวิตเป็นจอกแหนที่ลอยตามยถากรรม
สตีเฟน ฮอว์กิง นักวิทยาศาสตร์เรืองนามผู้ใช้ชีวิตบนรถเข็นมาหลายสิบปี ยังคงทำงานต่อเนื่องทั้งที่ร่างกายเป็นอัมพาต เขาเขียนว่า “การทำงานให้คุณมีความหมายและจุดประสงค์ และหากปราศจากงาน ชีวิตนั้นก็ว่างเปล่า”
ความสนุกของการใช้ชีวิตมาจากการสร้าง มิได้มาเพราะโชค
เราอยากตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพราะเรามีความหวังและความเชื่อว่าเราสามารถทำให้พรุ่งนี้เป็นวันดีได้
และเพราะเรามีคุณค่าพอรับวันดี ๆ อีกหลาย ๆ วัน
“อรุณสวัสดิ์ ชีวิต!”
วินทร์ เลียววาริณ
19-5-25..............................
จากหนังสือ เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วShopee https://s.shopee.co.th/60Bx1VKarm
Shopee โปรโมชั่นคู่กับยุทธจักรวาลกิมย้ง https://s.shopee.co.th/6pl417244u
(ช่วงนี้ winbookclub.com งดจำหน่ายหนังสือชั่วคราว เพราะเจ้าหน้าที่ต้องเข้าโรงพยาบาล)
0 วันที่ผ่านมา -
(นี่คืออีกด้านหนึ่งของ 'เณรน้อยเจ้าปัญญา' อิกกิวซังที่ไม่น่าเชื่อ)
เขาเกิดในราชตระกูล บิดาเป็นถึงจักรพรรดิ แต่ชะตาทำให้เขาเริ่มต้นบทแรกแห่งชีวิตในสถานะคนยากไร้
เขาเป็นลูกนอกสมรสของจักรพรรดิ โง โคะมะสึ แม่เป็นนางกำนัล จักรพรรดินีไม่พอพระทัย ก็ขับไล่แม่กับเขาไปอยู่ในถิ่นคนยากไร้แห่งหนึ่งในเกียวโต
เมื่ออายุห้าขวบ เขาจากแม่ไปเป็นศิษย์อังโกะกุจิ วัดเซนสายรินไซ ที่วัดแห่งนี้เขาเรียนภาษาจีน ศิลปะ บทกวีจีน และเริ่มฝึกเซน ได้รับนามว่า ซูเกน
เขารักบทกวี วรรณกรรม และศิลปะต่าง ๆ ที่นี่เองบทกวีจำนวนมากหลั่งไหลออกจากหัวใจที่พลุ่งพล่าน
เมื่ออายุสิบสาม เขาย้ายไปศึกษาเซนที่วัดเคนนินจิ เขามองเห็นความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของพระเซนและลูกวัดซึ่งยังยึดติดทรัพย์สินและยศถาบรรดาศักดิ์ และมุมมองของเขาต่อโลกก็เปลี่ยนไป เขาพบว่านักบวชก็เป็นปุถุชน!
อายุสิบหก เขาออกจากวัดแห่งนี้ไปจำอยู่ที่วัดไมบุดาระ เจ้าอาวาสคือพระเซโสะ อยู่ได้ไม่นานก็ย้ายวัดอีก คราวนี้ไปจำวัดไซกิน เป็นลูกศิษย์ของเจ้าอาวาสนาม เคนโอะ โซอิ
เขาชอบวัดใหม่นี้ เขาเรียนเรื่องซาเซนจนอายุยี่สิบเอ็ด อาจารย์เคนโอะมรณภาพ เขาโศกเศร้าอย่างยิ่ง อดอาหารนานเจ็ดวัน และพยายามฆ่าตัวตายโดยกระโดดลงน้ำที่ทะเลสาบบิวา แต่เปลี่ยนใจ
หลังจากเจ้าอาวาสมรณภาพ เขาไปฝากตัวกับอาจารย์คะโซแห่งวัดไดโตะกุ เจ้าอาวาสปล่อยให้เขารอหน้าประตูวัดนานห้าวัน ราดน้ำหนึ่งถังบนหัวเขา แล้วค่อยรับเขาเป็นศิษย์
อาจารย์คะโซมีส่วนคล้ายกับอาจารย์เคนโอะเรื่องวิธีการสอน ช่วงหลายปีที่วัดไดโตะกุ เขาทำงานหนัก ทั้งใช้แรงงาน สานรองเท้า ทำตุ๊กตาขายให้พ่อค้า ฯลฯ และศึกษาธรรมไปด้วย
ในปี ค.ศ. 1418 เมื่ออายุยี่สิบสี่ นักร้องตาบอดคณะหนึ่งมาร้องเพลงที่วัด ห้วงยามที่เขาดื่มด่ำเสียงเพลง จิตสัมผัสธรรม เขาพลันเข้าใจโกอานที่อาจารย์มอบให้เขาขบคิด เมื่อเขาไขปริศนาธรรมของอาจารย์คะโซได้ ก็ได้รับฉายาใหม่ว่า อิกกิว (一休) แปลว่าหยุดหนึ่งครั้ง
นี่ก็คือชาติกำเนิดของ อิกกิว พระเซนที่แปลกประหลาดที่สุดแห่งญี่ปุ่น
ปี 1420 อายุยี่สิบหก อิกกิวทำสมาธิบนเรือที่ทะเลสาบ ได้ยินเสียงอีการ้องทำให้เข้าใจเรื่องทุกข์และอัตตา เมื่อเขาเล่าประสบการณ์นี้ให้อาจารย์คะโซฟัง อาจารย์กล่าวว่า "เจ้ายังมิได้บรรลุธรรมหรอก"
อิกกิวตอบว่า "ศิษย์มิได้อยากบรรลุธรรม"
เจ้าอาวาสหัวเราะ กล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็บรรลุธรรมแล้ว!"
อาจารย์คะโซมองเห็นความเฉลียวฉลาดของเขา ตั้งใจปลุกปั้นอิกกิวให้สืบทอดตำแหน่งของตนต่อไป ทำให้พระรุ่นพี่ชื่อ โยโสะ อิจฉา แต่อิกกิวไม่อยากได้รับตำแหน่งใด ๆ เขาใช้ชีวิตผิดจากวิถีพระเซน ดื่มเหล้าหนัก พูดตรง ไม่ไว้หน้าใคร มีเรื่องกับคนอื่นเนือง ๆ ทำให้อาจารย์คะโซเปลี่ยนใจ เห็นว่าศิษย์ผู้นี้ยังไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้
เจ้าอาวาสคะโซมรณภาพเมื่ออิกกิวอายุสามสิบห้า อีกครั้งเขาเศร้าโศกเสียใจมาก แต่ครั้งนี้เขามิได้คิดไปกระโดดน้ำตายที่ทะเลสาบ แต่ออกจากวัด เร่ร่อนไปทั่ว เขาขลุกอยู่กับพวกศิลปิน จิตรกร กวี
อิกกิวเขียนว่า "เมื่อไร้จุดหมายปลายทาง ข้าก็ไม่มีวันหลงทาง"
เขาผ่านชีวิตอีกหลายสิบปีธุดงค์ไปตามวัดต่าง ๆ รวมทั้งร้านเหล้าและซ่องนางโลม
วิถีชีวิตของอิกกิวต่างจากพระเซนรูปอื่น ๆ ราวฟ้ากับดิน ใช้ชีวิตนอกเส้นทางศาสนาหลัก มีพฤติกรรมประหลาดเมื่อเทียบกับมาตรฐานและจารีตของพระทั่วไป หลายเรื่องเข้าข่ายอาบัติในมาตรฐานสงฆ์ เช่น ไม่โกนผม ไว้หนวดเครา ดื่มสุรา เล่นพนัน ฉันเนื้อสัตว์ และเที่ยวผู้หญิง
เขาเดินสวนทางวิถีเดิมเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความไร้สาระของเปลือก ทุกอย่างเป็นเรื่องสมมุติ พระในเครื่องนุ่งห่มสงฆ์ถ้าทำตัวไม่ดีก็มิใช่พระ ความเป็นพระไม่ใช่อยู่ที่เครื่องนุ่งห่มและรายละเอียดปลีกย่อยของชีวิต เขามองว่าพระกับฆราวาสไม่ได้ต่างกัน ความเป็นพระมิใช่เปลือกของพระ ความเป็นพระอยู่ภายใน
เขาไม่ถือว่าการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องบาป เขามองว่าผู้ชายเกี่ยวข้องกับผู้หญิงมาตั้งแต่แรกเกิด การปฏิเสธความปรารถนาด้านกามารมณ์จึงฝืนธรรมชาติ เขายังบอกว่าซาโตริของเขามาจากการข้องแวะกับสตรี!
อิกกิวรู้จักนักร้องตาบอดนาม โมริ ซึ่งต่อมาเป็นคนรักของเขา มีลูกชายหนึ่งคน
เขาตั้งฉายาให้ตัวเองว่า เมฆบ้า เชื่อว่าพฤติกรรม 'บ้า' ของเขาอาจเป็นอุบายจัดการกับวงการนักบวชรอบตัวเขาซึ่งหลงทาง หรืออาจเป็นวิธีมองโลกจากสายเดิม
เขาเขียนว่า "ความกระจ่างใสของวันวานคือความเขลาทึบของวันนี้
จักรวาลมีทั้งมืดและสว่าง จงเตรียมรับความเปลี่ยนแปลง..."
(ยังมีต่อ)
วินทร์ เลียววาริณ
18-5-25................................
จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วมังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=6
เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/244/Mini%20Zen%20คู่%20Mini%20Tao
2 วันที่ผ่านมา -
ในวันแรกที่ผมเริ่มเขียนหนังสือนั้น ผมอ่านหนังสือมาแล้วจำนวนมาก แต่พอคิดจะเขียน กลับเขียนคำแรกไม่ออก
ผมเริ่มต้นชีวิตนักเขียนเหมือนทารกคลานเตาะแตะ จำได้ว่าแต่ละเรื่อง กว่าจะกลั่นคำแรกประโยคแรกออกมาได้แทบกระอักเลือด ชวนให้เลิกหลายครั้ง
อ่านหนังสือมาเป็นพันเล่ม แต่เริ่มประโยคแรกไม่ได้
หากกระบี่เป็นอาวุธของจอมยุทธ์ ภาษาก็เป็นอาวุธของนักเขียน
การใช้ภาษาอาจเป็นส่วนที่ยากที่สุดของงานเขียน มิพักเอ่ยถึงขั้นเป็น ‘นายของภาษา’
‘นายของภาษา’ หมายถึงคุมปากกาได้อยู่หมัด ถ้าเป็นช่างไม้ก็ไสไม้เรียบในไม่กี่ที ถ้าเป็นช่างปูนก็ปาดปูนเรียบเหมาะเจาะใน 1-2 ตวัด ไม่มีเศษปูนเหลือ
ถ้าเป็นวงการยุทธจักร ‘นายของภาษา’ ก็ประมาณน้องๆ ไซมึ้งชวยเซาะหรืออี้จับซา สะบัดกระบี่ที มีคนตาย ถ้าต้องฟันกันหลายสิบกระบวนท่า อย่างนี้ยังไม่ใช่
ต้องฝึกฝนจนคุมกระบี่อักษรได้ ทุกกระบวนท่าต้องฆ่าศัตรู ถ้าแทงเข้าหัวใจได้ ยิ่งดี
จะฝึกถึงขั้นนี้ ยากจริงๆ ขอบอก
ผมเรียนรู้จากประสบการณ์ว่า ใช้ภาษาแบบ Minimalism ดีที่สุด น้อยที่สุดเท่าที่สื่อสารได้
Minimalism คือหากเราตัดคำใดในประโยคทิ้งไปแล้ว ยังอ่านรู้เรื่อง แสดงว่าคำคำนั้นเป็นส่วนเกิน
ผมเริ่มต้นเขียนงานที่ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกตอนราวอายุ 15 เขียนขำขันหลายเรื่องไปส่งนิตยสารชัยพฤกษ์ หลังจากนั้นก็แต่งนิยายภาพขายอยู่หลายปี แล้วค่อยเข้าสู่วงการนักเขียน
หลังจากจับปากกา 20 ปี รู้สึกว่าเริ่มประโยคง่ายขึ้น แต่ยังต้องเกลาแล้วเกลาอีก
หลังจากจับปากกา 30 ปี รู้สึกว่าไม่ต้องเกลามากเหมือนเก่า ใช้ปากกาได้คล่องแคล่วกว่าครั้งเริ่มต้น แต่ยังไม่ถึงขั้นไซมึ้งชวยเซาะ หรืออี้จับซา ยังต้องฟันหลายทีอยู่ แต่น้อยลงไปมาก
หลังจากจับปากกา 50 ปี รู้สึกว่าความผิดพลาดน้อยลง เวลาที่ใช้เลือกคำน้อยลง และการเขียนเป็นความสนุกสาหัสสมใจยิ่ง
ทั้งหมดมาจากการฝึกฝนคำเดียว
ไม่มีอะไรดีๆ ที่ได้มาง่ายๆ จะเป็น ‘นายของภาษา’ นั้นทำได้ แต่ต้องฝึกหนักหน่วง
ทว่ารางวัลของความหนักหน่วงของการฝึกฝน คือความเบาสบายของหัวใจเมื่องานลื่นไหลราวสายน้ำที่มิเกรงก้อนหินขวางกั้น
..............................
คำแนะนำของผมต่อนักเขียนใหม่คือ
1 อย่ารีบเป็นนายของภาษา เขียนสื่อให้เข้าใจก่อน เช่น เขียนเรื่องไก่ก็เป็นไก่ เขียนเรื่องแมวก็เป็นแมว ค่อยๆ เขียนไปเรื่อยๆ ผ่านไปหลายปี ไก่จะเป็นไก่พิเศษ แมวก็จะเป็นแมวเทวดาเอง
ไม่มีนักเขียนคนไหนเป็นนายภาษาในวันแรกที่เริ่มเขียน ไม่มี ดังนั้นไม่ต้องเร่งรีบ กดดันตัวเอง เขียนไปสบายๆ แต่ฝึกไม่หยุด
2 ลอกเลียนการใช้ภาษาของนักเขียนชั้นครู
บ้านเรามีนักเขียนชั้นครูภาษาสวยจำนวนมาก จอมยุทธ์แต่ละท่านฝึกมาคนละหลายสิบปี เช่น มนัส จรรยงค์ ไม้ เมืองเดิม ยาขอบ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ฯลฯ
การลอกในที่นี้ไม่ใช่การเดินตามรอยเดิม แต่คือการฝึกอย่างหนึ่ง ช่วยให้เข้าใจว่าทำไมเขาจึงใช้ภาษาอย่างนั้น แล้วค่อยๆ ขบคิด ฝึกไปเรื่อยๆ จนหลุดจากกรอบของนักเขียนครูเหล่านั้น เป็นสำนวนของเราเอง
อย่าลืมว่า หน้าที่แรกของนักเขียนคือเล่าเรื่อง เรื่องต้องดี น่าสนใจ มีมุมมองที่คนอ่านคิดไม่ถึง
ส่วนภาษาดีช่วยทำให้เรื่องนั้นสมบูรณ์
เหมือนจอมยุทธ์ในนิยายของโก้วเล้ง นอกจากจะฆ่าคนแล้ว ท่วงท่าในการฆ่ายังต้องงามด้วย
การใช้ภาษาดีและงดงามจะยกระดับงานเขียนเป็นศิลปะ
และงานเขียนที่เป็นศิลปะจะอยู่ยืนยาวกว่างานขียนปกติ
วินทร์ เลียววาริณ
17-5-25...............................
จากอีบุ๊ค #ปล่อยให้ความเหงาพาไป
ซื้อได้จากเว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/227/ปล่อยให้ความเหงาพาไป หรือ The Meb
2 วันที่ผ่านมา -
ชายคนหนึ่งออกจากบ้านในตอนเช้า หลังจากทะเลาะกับภรรยา เขาไม่ได้กลับบ้านอีกเลย เขาประสบอุบัติถึงแก่ความตาย
ความทรงจำสุดท้ายของผู้เป็นภรรยาคือการทะเลาะกันที่ยังไม่ได้คืนดี
โบราณเรียกความตายที่ยังมีเรื่องไม่สะสางว่า ตายตาไม่หลับ
นี่ทำให้เกิดความคิดว่า ทำไมเราไม่ใช้ชีวิตแต่ละวัน แต่ละชั่วยามอย่างดีที่สุด ไม่ให้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้นมา
ใช้ชีวิตแต่ละช่วงกับคนอื่นเสมือนหนึ่งมันเป็นครั้งสุดท้ายที่พบกัน จากกันด้วยดี ด้วยความรัก ความปรารถนาดี
จอกแหนสองกอลอยมาพบกัน สัมผัสกันอย่างละมุน แล้วแยกจากกันตามแรงดึงของสายน้ำอย่างอ่อนโยน
นี่ก็คือแนวคิด อิชิโกะอิชิเอะ (一期一会) สำนวนญี่ปุ่นที่แปลตรงตัวว่า หนึ่งครั้งหนึ่งพบ
อ่านต่อได้จากลิงก์นี้ https://www.blockdit.com/posts/67fbd4d6efe2dd58bc45ab5c2 วันที่ผ่านมา