-
วินทร์ เลียววาริณ2 ปีที่ผ่านมา
หากใครถามว่าผมชอบเรื่องสั้นหักมุมจบที่ตนเองเขียนเรื่องไหนมากที่สุด ลำดับต้นๆ น่าจะเป็น มนุษยธรรม ในชุด สมุดปกดำกับใบไม้สีแดง
ในเรื่องนี้ผมสร้างตัวละครตำรวจคนหนึ่งที่รักษาความซื่อสัตย์อย่างยิ่งยวด เพราะในตอนเด็ก บิดาของเขาเคยทำโทษเฆี่ยนเขาที่ลอกข้อสอบเพื่อน
บิดาของเขายกเรื่องหนึ่งมาเล่าให้ฟังเป็นอุทาหรณ์ แล้วบอกว่า "โลกนี้มีคนมากมายหลากเผ่าหลายพันธุ์ หน้าตา รูปร่างไม่ต่างกัน สิ่งเดียวที่ทำให้เราต่างกันอยู่ที่ค่าของคน และค่าของคนก็ขึ้นอยู่กับการเคารพสิทธิของตัวเองเท่านั้น ถ้าหากเราคิดว่าตัวเราเองไม่มีค่า เราก็ไม่มีค่า การไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเองก็คือการดูหมิ่นและละเมิดสิทธิของตัวเองอย่างแรง เพราะคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่าที่สมควรได้รับสิ่งดีๆ ในชีวิต ดังนั้นหากไร้ความซื่อสัตย์แล้ว ก็ไร้ทุกอย่าง แกเห็นด้วยไหม?”
ตัวละครตำรวจคนนี้พยักหน้า บิดาจึงกล่าวว่า “ในเมื่อแกเห็นด้วย พ่อจึงต้องเฆี่ยนแกเพื่อตอกย้ำให้แกจดจำคำพูดเหล่านี้เอาไว้โดยไม่มีวันลืม”
เมื่อไม้เรียวสัมผัสก้น เขามีแต่ความสำนึกตื้นตันที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อ ขณะเดียวกันก็น้อยใจที่เกิดมาเป็นคนจน เขาจะบอกพ่อได้อย่างไรว่า เขาลอกข้อสอบเพื่อนเพราะเขาแอบใช้เวลาเรียนเกือบทั้งหมดไปทำงาน และเขาไม่ต้องการเรียนซ้ำชั้นให้เป็นภาระของพ่อ
เรื่องที่บิดาของตัวละครคนนี้เล่าเป็นเรื่องในหนังสืออ่านธรรมจริยา เล่ม ๕ เขียนโดยเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี สมัยผมเป็นเด็ก เราเรียนเล่มนี้ในโรงเรียน
ขอยกเรื่องนี้มาให้อ่านทั้งเรื่องดังนี้
.............
หญิงหม้ายคนหนึ่งจอดแพที่พระนครศรีอยุธยา มีความประสงค์จะให้บุตรได้เล่าเรียนมีความรู้ จึงพาบุตรมาส่งที่สถานีรถไฟ จะให้ลงมาอยู่กับลุง และเรียนหนังสือในโรงเรียนที่กรุงเทพฯ
หญิงคนนี้เป็นคนจน ตั้งแต่สามีถึงแก่กรรมแล้ว ก็ได้อาศัยการค้าขายเลี้ยงตัวมา บัดนี้เก็บเล็กประสมน้อย ได้เงินพอตัดเสื้อตัดกางเกงให้บุตร และเหลืออีกนิดหน่อยก็สำหรับเป็นค่ารถไฟ และค่าหนังสือเท่านั้น
เมื่อพาบุตรมาตามทางจึงพูดแก่บุตรว่า "อายุเจ้าครบ ๑๒ ปี เมื่อวานนี้ ถ้าจะครบเอาพรุ่งนี้ก็จะดีทีเดียว จะได้เสียค่ารถไฟแต่เพียงครึ่งหนึ่ง เหลืออีกครึ่งหนึ่งเก็บเอาไว้ซื้ออะไรกินที่บางกอก
แต่นี่อายุเต็ม ๑๒ ปีเสียแล้ว จะต้องเสียเต็มราคาเท่ากับผู้ใหญ่ แม่ก็ไม่มีเงินจะให้สำหรับเจ้าไปซื้ออะไรกินอีก"
บุตรแหงนดูมารดาแล้วอ้อนวอนว่า "นอกจากค่าหนังสือและค่ารถไฟนี้ แม่จะไม่ให้ฉันมีเงินติดตัวไปบ้างสักนิดหน่อยหรือ" พูดดังนั้นแล้วก็ทำตาแดงๆ
มารดามีความเวทนา แทบจะให้เงินที่เหลืออยู่ไปแก่บุตรทั้งหมด แต่หากจนใจให้ไม่ได้ เพราะมีบุตรเล็กๆ ที่ต้องเลี้ยงอีกหลายคน จึงมิได้ให้
พอไปถึงสถานีไปขอซื้อตั๋วให้บุตรสำหรับไปกรุงเทพฯ เจ้าพนักงานขายตั๋วแลเห็นรูปร่างเด็กเป็นเด็กเล็กจึงถามว่า "ตั๋วเด็กครึ่งราคาหรือจ๊ะ"
หญิงหม้ายนิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง ทำให้บุตรใจเต้นนึกว่ามารดาจะตอบแต่กระอ้อมกระแอ้มค่อยๆ ว่า "จ้ะ" หรือนิ่งเสียเป็นแต่เพียงพยักหน้ารับก็ได้ แต่มารดาก็หาได้ทำดังนั้นไม่ นิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วกลับตอบว่า "ไม่ใช่จ้ะ อายุเกิน ๑๒ ปีแล้ว ตามข้อบังคับของกรมรถไฟ เห็นจะต้องเสียเต็มราคาเหมือนผู้ใหญ่กระมัง"
เจ้าพนักงานก็ขายตั๋วอย่างสำหรับผู้ใหญ่ให้ หญิงหม้ายรับส่งให้บุตร แล้วกล่าวโดยยิ้มย่องว่า "ลูกเอ๋ย นี่แน่ะ ตั๋วกับคำจริง เก็บเอาใส่กระเป๋าไว้เถิด ดีกว่าได้เงินสองสามสลึง เพราะพูดปดหลอกลวงเขา"
พอส่งบุตรขึ้นรถไฟและลาจากกันเสร็จแล้ว รถไฟก็ออก บุตรรู้สึกในใจว่าที่มารดาบอกความจริงแก่เขานั้น เป็นการถูกแล้ว
ยิ่งเมื่อถึงกลางทางคนตรวจตั๋วมาขอดูตั๋ว ยิ่งรู้สึกว่ามารดาทำถูกยิ่งขึ้น เพราะถ้าถือตั๋วครึ่งราคา อันเป็นตั๋วไม่แสดงความจริงแล้ว จะแลดูหน้าคนตรวจตั๋วได้อย่างไร แต่นี่มีตั๋วที่แสดงความจริง ได้ชื่อว่าเป็นผู้เดินทางอันสุจริตแท้แล้ว จะดูหน้าใครๆ ก็ได้ ไม่ต้องมีความสะทกสะท้าน
เมื่อคนตรวจตั๋วส่งตั๋วคืนให้ แล้วพยักหน้าบอกว่า "ถูกต้องแล้ว"
คำนี้ดังก้องอยู่ในใจของเด็กนั้น ทำให้ไม่ลืมคำจริงของมารดาเลย
เมื่อรถไฟมาถึงกรุงเทพฯ เวลาค่ำ และเด็กนี้ได้พบกับลุงผู้มาคอยรับอยู่แล้ว จึงเดินตามลุงออกจากสถานี้ไป
เวลาส่งตั๋วคืนให้ที่ทางออก ถึงแม้ว่ากระเป๋าไม่มีเงินติดเลย ก็ได้รับความรู้สึกอิ่มใจเป็นอย่างยิ่ง ในการที่ไม่ได้หลอกลวงปิดบังเงินค่าโดยสารของกรมรถไฟไว้ครึ่งหนึ่ง
ต่อมาภายหลัง เมื่อเด็กคนนั้นจะแสดงสิ่งใดที่ไม่จริง ก็นึกถึงคำของมารดาที่สถานี และคำว่าถูกต้องแล้ว ของคนตรวจตั๋วในรถไฟได้เสมอ ทำให้แสดงความเท็จออกไม่ได้
บทเรียนใดในโรงเรียนทั้งหมดที่ได้เรียนนั้น ไม่มีอะไรจะมีราคามากกว่าบทเรียนที่ได้รับจากมารดา และใส่มาในกระเป๋าแทนเงินที่จะโกงกรมรถไฟได้ เมื่อครั้งขึ้นรถไฟจากสถานีพระนครศรีอยุธยามาแต่เล็กๆ นั้นเลย...........
ตำราเรียนในสมัยนั้นได้มาตรฐานทุกอย่าง ทั้งการใช้ภาษา การเล่าเรื่อง และคติสอนใจ
วินทร์ เลียววาริณ 24-2-23
1- แชร์
- 77
-
ประโยคหนึ่งในหนังเรื่อง Kingdom of Heaven ที่ติดตราคนดู แม้ว่าจะสั้นๆ คือฉากที่แม่ทัพซาลาฮูดิน (Salah ad-Din Yusuf ibn Ayyub หรือซาลาดิน) กำลังจะยึดเมืองเยลูซาเล็มด้วยกำลังในปี 1187 แต่เสนอทางออกสุดท้ายคือสันติภาพ
ซาลาฮูดินสัญญาว่าถ้าพวกครูเสดยอมออกจากเมือง เขาจะปล่อยพวกชาวเมืองทุกคน แต่อีกฝ่ายไม่เชื่อว่าซาลาฮูดินจะรักษาคำพูด เพราะฝ่ายตนฆ่าพวกมุลสิมไปมากมาย
ซาลาฮูดินกล่าวว่า "ข้าฯมิใช่คนพวกนั้น ข้าฯคือซาลาฮูดิน" (I am not those men. I am Salahudin.)
ได้ยินดังนั้น ฝ่ายเยลูซาเล็มก็ยอมแพ้
ประวัติศาสตร์ท่อนนี้ (อาจเป็นเรื่องแต่ง) ชี้ว่า คำพูดของคนที่รักษาสัตย์นั้นมีค่า แค่คำพูดคำเดียวก็มั่นคงดุจขุนเขา ไม่ต้องทำสัญญากัน
ซาลาฮูดินไม่ใช่แม่ทัพกระหายเลือด เขาเป็นมุสลิมที่มีมนุษยธรรม เห็นค่าของทุกชีวิต หนึ่งในคุณธรรมที่มุสลิมอย่างเขายึดมั่นคือถือคำสัตย์
แต่นักการเมืองในยุคนี้ ยากจะหาคนรักษาคำสัตย์
เหตุการณ์คลิปเสียงหลุดนี้น่าจะกลายเป็น case study ของนักการเมืองทั่วโลก ต่อไปนี้คงยากที่ใครจะกล้าเจรจากันเป็นการส่วนตัวแล้ว มันจะเปลี่ยนโฉมการทูตไปอีกแบบหนึ่ง
ไม่ใช่แบบของซาลาฮูดิน
วินทร์ เลียววาริณ
21-6-250 วันที่ผ่านมา -
เรื่องใหม่เอี่ยมวันเสาร์ คลิดลิงก์อ่านได้ https://www.blockdit.com/posts/67fbd6c232ee76ef1fce0c62
0 วันที่ผ่านมา -
วันก่อนเล่าเรื่อง พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ แล้ว คนรุ่นใหม่อาจไม่รู้จัก หรืออาจเคยได้ยินชื่อ แต่ไม่รู้ว่าท่านขึ้นมาสู่อำนาจได้อย่างไร
พล.อ. เปรมรับตำแหน่งนายกฯต่อจาก พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
ส่วน พล.อ. เกรียงศักดิ์ขึ้นสู่อำนาจเพราะรัฐประหาร แต่ไม่ได้ก่อรัฐประหารเอง
แล้วใครก่อรัฐประหาร?
เหตุการณ์ตรงนี้ยุ่งและซับซ้อน ถ้าเป็นหนัง ผู้ชมก็คงคิดว่าพล็อตมั่วมาก เพราะเต็มไปด้วยความบังเอิญ แต่มันเป็นเรื่องจริง
ก่อนเล่าต่อ ต้องแนะนำตัวละครกลุ่มหนึ่งคือกลุ่ม ‘ยังเติร์ก’
คำว่า ยังเติร์ก (Young Turk) หมายถึงกลุ่มคนที่มีแนวคิดหัวก้าวหน้า เติร์ก มีที่มาจากอาณาจักรออตโตมันหรือตุรกี
ยังเติร์กไทยเป็นกลุ่มนายทหารที่ผ่านสงครามเวียดนาม ลาว และเขมร คือกลุ่มทหารรุ่น จปร. ๗ ที่ผงาดขึ้นเมื่อนายทหาร จปร. รุ่น ๕ เริ่มอับแสงหลังช่วง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
กลุ่ม จปร. ๗ ดำรงตำแหน่งระดับผู้บังคับกองพัน คุมกำลังสำคัญในกองทัพถึง ๔๐ กองพัน
กลุ่มยังเติร์กไทยมีความคิดแบบใหม่ บางครั้งสวนกระแสขนบ และไม่ฟังทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เข้าสู่การเมือง ยังเติร์กก้าวสู่เวทีการต่อสู้ทางการเมืองก็เพื่อคานอำนาจกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ‘หัวเก่า’
ยังเติร์กมองสถานการณ์บ้านเมืองหลังรัฐประหาร ๒๕๑๙ เงียบ ๆ และเห็นว่าได้เวลาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ
หนึ่งปีหลังจาก พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ ก่อรัฐประหารในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อนก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๒๐
คนไทยน้อยคนเคยได้ยินเรื่องรัฐประหารวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๒๐ ทั้งนี้เพราะมันแท้งก่อนกำหนด กลุ่มหาคนรับเป็นหัวหน้าไม่ได้ พลเอก เสริม ณ นคร และ พลเอกยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ไม่ยอมแบกรับภารกิจของการเป็นผู้นำรัฐประหาร ...................
รัฐประหารครั้งต่อมาคือ เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ทหารกลุ่มยังเติร์ก พ.ท. พัลลภ ปิ่นมณี (ยศขณะนั้น) ไปตั้งหลักที่ ม. พัน ๔ เตรียมการยึดอำนาจ
ครั้นเวลาหนึ่งทุ่มกลุ่มทหารยังเติร์กก็ชะงักกึก เมื่อสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยประกาศว่า พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจก่อน
เห็นชัดว่าแผนการยึดอำนาจของกลุ่มยังเติร์กรั่วไหล กลุ่ม พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ ชิงลงมือก่อน
พ.ท. พัลลภถาม พ.ท. มนูญ รูปขจร “เอายังไง?”
พ.ท. มนูญตัดสินใจทันที “ทำรัฐประหารซ้อน มึงยกกำลังไปยึดสนามเสือป่า”
สนามเสือป่าเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการทหารสูงสุด
“เรามีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น”
“เอาน่า”
พ.ท. พัลลภ ปิ่นมณี ก็ยกกำลังไปที่สนามเสือป่า แลเห็นทหารฝ่ายรัฐประหาร ๒๐-๓๐ คนที่หน้าประตูรั้ว จึงทำใจดีสู้เสือ บอกลูกน้องว่า “บุกเข้าไปเลย”
ทหารที่เฝ้าประตูเห็น พ.ท. พัลลภ ปิ่นมณี สวมเครื่องแบบทหารเต็มยศ ก็ทำวันทยาหัตถ์ แล้วเปิดประตูให้เข้าไปโดยไม่ถามสักคำเดียว
เมื่อเข้าไปภายในสนามเสือป่า แลเห็นทหารนาวิกโยธินนับพันคนกำลังกางเต็นท์ที่สนาม
อีกครั้งทหารหน้าตึกวันทยาหัตถ์ ปล่อยให้กลุ่มทหารยังเติร์กเข้าไป
พ.ท. พัลลภ ปิ่นมณี เข้าไปในตึก พบ พ.ท. จำลอง ศรีเมือง คอยอยู่ ภายในอาคารมีทหาร ๓๐-๔๐ คน พ.ท. พัลลภสั่งปลดอาวุธทั้งหมด แล้วยกกำลังขึ้นไปชั้นบน ทหารระดับสูงหลายคนกำลังประชุมอยู่ ประกอบด้วย ผบ. เหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจ
ถึงเวลานั้นทหารข้างนอกก็เริ่มไหวตัว ยกเข้าปิดล้อม พ.ท. พัลลภ ปิ่นมณี โทรศัพท์ติดต่อ พ.ท. มนูญ “เมื่อไรรถถังจะมา กูโดนล้อมหมดแล้ว”
“รอหน่อย กำลังไป”
พ.ท. พัลลภ ปิ่นมณี บอกทหารที่ล้อมข้างนอก “ถ้าเข้ามา จะยิงทหารในห้องทั้งหมด”
ทหารข้างนอกก็หยุด ไม่กล้าเคลื่อนไหว
ยี่สิบนาทีต่อมา รถถังฝ่ายยังเติร์กก็มาล้อมทหารนาวิกโยธินอีกชั้น สักพักหนึ่ง พ.ท. มนูญ รูปขจร พ.ท. ประจักษ์ สว่างจิตร กับ พ.ท. ชูพงศ์ มัทวพันธุ์ เข้ามาในอาคาร ไม่นานต่อมาก็เห็นรถถังคณะรัฐประหารมาปิดล้อมสนามเสือป่าไว้ทุกด้าน
ในสถานการณ์เช่นนี้ มีโอกาสสูงที่จะรบกัน และเกิดสงครามกลางเมือง
บุรุษผู้หนึ่งในห้องนั้นมองดูพวกยังเติร์กเงียบ ๆ คือผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก
พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์
พล.อ. เปรมบอกกลุ่มทหารหนุ่มยังเติร์กว่า “ผมจะพูดกับพวกคุณยังไงดีนะ”
กลุ่มทหารยังเติร์กอึ้งไป เพราะผู้พูดเป็นเจ้านาย
พล.อ. เปรมถามว่า “พวกคุณต้องการอะไร?”
“เราต้องการให้ พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกฯ”
“แต่ พล.ร.อ. สงัดเพิ่งยึดอำนาจ...”
พล.อ. เปรมบอกว่าตนจะไปคุยกับ พล.ร.อ. สงัด
พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ หายไปพักหนึ่งก็กลับมาบอกพวกยังเติร์ก “ตกลง ทางนั้นยอมให้คุณเกรียงศักดิ์เป็นนายกฯ”
ทั้งสองฝ่ายก็วางอาวุธเพราะบารมีและคำสัญญาของ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ โดยแท้
ด้วยเหตุนี้ พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดจึงขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ ๑๕ ของไทย
พล.อ. เกรียงศักดิ์เป็นนายกรัฐมนตรีไม่นาน ก็เผชิญปัญหามากมาย ทั้งเรื่องการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจที่สืบเนื่องจากน้ำมันขึ้นราคา พล.อ. เกรียงศักดิ์ประกาศลาออกกลางที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๓การสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่เริ่มขึ้น ตัวเต็งนายกฯมีสองคนคือ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม กับ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์
รัฐสภาเลือก พล.อ. เปรมเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น
(ยังมีต่อ)
วินทร์ เลียววาริณ
20-6-25...................................
อ่านรายละเอียดมากกว่านี้ได้จาก ประวัติศาสตร์ที่เราลืม / วินทร์ เลียววาริณ
ตอนนี้มีโปรโมชั่นพิเศษ คุ้มที่สุด 6 เล่ม 1,000 บาท จากราคาปก 1,605.-
118 เรื่อง = เรื่องละ 8.4 บาท หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วShopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6
เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/176/%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%20%E0%B9%91-%E0%B9%95%20+%20%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9
1 วันที่ผ่านมา -
ผมเรียนจบสถาปัตย์มา ไปทำงานสายอื่นหลายสาย บางคนอาจเห็นว่า "เสียของ"
หลายปีหลังจากที่ผมเปลี่ยนสายงานจากวงการสถาปัตยกรรมไปทำงานโฆษณา ฝรั่งคนหนึ่งบอกผมว่า "น่าเสียดายความรู้ที่คุณเรียนมาจัง"
น่าเสียดายที่เรียนมาอย่างหนึ่ง แต่ไปทำงานอีกอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะงานโฆษณา งานรับใช้นายทุนที่กรอกหัวคนด้วยการตลาดแบบกำไรสูงสุด
คนจำนวนมากมีกรอบคิดว่า เราเรียนอะไรมาก็ควรทำสายอาชีพนั้น ด้วยเหตุผลว่า เป็นการเสียทรัพยากร เสียภาษีรัฐที่ช่วยส่งเสียให้เรียนจบ เสียเวลา ฯลฯ หลายคนจึงทนทำงานที่ตนเองไม่ชอบอยู่จนวันสุดท้ายของชีวิต
ทว่าหากมองด้วยมุมมองนี้ เราจะตอบคำถามเรื่องคนเรียนจบกฎหมายแล้วทำงานด้านกฎหมายตรงตามที่เรียน แต่ไปรับใช้อาชญากรหรือนักการเมืองสกปรกอย่างไร เพราะเสียทรัพยากร เสียภาษีรัฐเหมือนกัน
ผมเชื่อว่า มนุษย์เรามีเสรีภาพที่จะเลือก (อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง) คนเราควรก้าวเดินไปตามทางที่พึงใจ มิใช่เพราะเรียนมาอย่างหนึ่งก็ต้องทากาวแปะตัวเองติดอยู่กับมันทั้งชีวิต มิใช่เพราะเกิดมาในสถานะหนึ่ง ก็ต้องยึดติดกับสถานะนั้นไปจนวันตาย
ผมจึงไม่ต่อต้านที่คนเรียนจบวิศวฯไปขายยา จบพยาบาลไปเป็นแอร์โฮสเตส จบหมอไปเป็นนักเขียน เพราะคนจำนวนมากตอนเลือกเรียนมหาวิทยาลัย ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร
คนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็อาจเปลี่ยนใจได้ เมื่อเจอชีวิตจริง
ชีวิตก็คือการปรับตัว เคลื่อนไปตามสายน้ำ ไม่ต้องตามค่านิยมมากเกินไปจนไม่มีความสุข แต่ก็ยอมอดทนที่จะไม่มีความสุข
กลับมาที่ชีวิตของผมเอง หากถามว่าเสียของหรือเปล่า ผมตอบได้ว่าไม่เสียของ ผมเรียนรู้วิธีคิดแบบศาสตร์ผสานศิลป์มาตั้งแต่แรก และใช้หลักการนี้ในทุกสายงานที่เปลี่ยน ผลลัพธ์อาจต่างกัน แต่กระบวนการทำงานเหมือนกัน
บรรทัดสุดท้ายก็คงต้องถามผู้อ่านว่า อยากให้ผมออกแบบตึกหรือว่าเขียนหนังสือล่ะ
วินทร์ เลียววาริณ
20-6-252 วันที่ผ่านมา -
ผมเกิดมาเป็นเด็กขี้โรค ป่วยง่าย ป่วยบ่อย ปวดหัวบ้าง ปวดท้องบ้าง คัดจมูกบ้าง เป็นหวัดแบบขาประจำ ผูกขาดรายเดือน ตากแดดนิดก็ตัวร้อน เจอลมเย็นหน่อยก็จาม ป่วยเป็นหวัดที ก็ยาวนานกว่าคนอื่น
ทว่ามองอีกมุมหนึ่ง การเกิดเป็นคนร่างกายไม่แข็งแรงก็มีจุดดีข้อหนึ่งคือ ร่างกายส่งสัญญาณเตือนมากกว่าและเร็วกว่าคนอื่น
มันเป็นคำเตือนจากร่างกายว่า “กำลังจะป่วยนะ” เช่น เริ่มร้อนใน หรือครั่นเนื้อครั่นตัว หรือลมหายใจเริ่มมีกลิ่น หรือเหงื่อเย็น ฯลฯ
หลายครั้งที่รู้ตัวทัน ก็แก้ไขทัน
ครั้นอายุมากขึ้น เรียนรู้คำเตือนต่าง ๆ ดีขึ้น จึงป่วยน้อยลง
ร่างกายคนที่แข็งแรงมักมีความทนทานกว่า ตากแดดตากฝนก็ไม่แสดงอาการอะไร กินอาหารแปลก ๆ ท้องไส้ก็ไม่เคยผิดสำแดง
มีคนประเภทหนึ่งที่ทั้งปีทั้งชาติแข็งแรง ไม่เคยป่วย แต่พอล้มป่วย ก็ตายเลย ร่างกายไม่แสดงอาการอะไรเลยจนถึงขั้นสุดท้าย (อาจเป็นบุญก็ได้นะ!)
ระบบการเตือนของร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน ร่างกายคนบางคนเตือนช้ามาก โดยเฉพาะเนื้อร้าย มันงอกเงียบ ๆ ในร่างกายเรา บ่อยครั้งเสียงเตือนมาช้าเกินไป
ผมเองเคยมีประสบการณ์พบ ‘คำเตือน’ แบบพบยากในร่างกายโดยบังเอิญ หากพบช้ากว่านั้น ก็ถึงขั้นตาย
นี่คือโชคดี
นี่ก็คือเหตุผลที่ต่อให้ร่างกายแข็งแรงแค่ไหน ก็ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ รู้ก่อนแก้ได้ก่อน
หลายเรื่องในโลกนี้ใช้เงินซื้อได้ เช่น ให้คนอื่นติดคุกแทน แต่เราไม่สามารถให้คนอื่นป่วยแทน มีเงินเท่าไรก็ซื้อสุขภาพดีไม่ได้ เราต้องดูแลตนเอง กินอยู่อย่างถูกต้องด้วยตัวเราเอง
ดังนั้นทุกครั้งที่เห็นหรือได้ยินคนอื่นเจ็บป่วยล้มตาย ก็ให้ถือเป็นสัญญาณเตือน แล้วรีบแก้ไขปรับตัว เสมือนหนึ่งเราเป็นคนคนนั้น
ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท
ในการใช้ชีวิต ไม่ว่าในด้านส่วนตัวหรือการงาน ก็สามารถมองสัญญาณเตือนจากคนอื่นได้เสมอ แต่ไม่ทุกคนโชคดีเจอคำเตือนแต่เนิ่น ๆ หรือมองไม่เห็นว่ามันเป็นคำเตือน
เห็นเพื่อนร่วมงานถูกไล่ออก ก็ให้ถือเป็นสัญญาณเตือนว่า ถ้าเราไม่ระวัง ก็มีสิทธิ์ถูกให้ออกจากงานได้
เห็นอัตราคนว่างงานเพิ่ม ก็ให้ถือเป็นสัญญาณเตือนว่า ทำงานให้ดี มีคนมากมายข้างนอกรอเสียบงานของเราอยู่
เห็นพนักงานจบใหม่มาพร้อมคุณสมบัติใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเรา ก็ให้ถือเป็นสัญญาณเตือนว่า เราต้องอัพเกรดตัวเอง
เห็นลูกค้าไม่ค่อยยิ้มเหมือนเดิม ก็ให้ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าลูกค้าอาจจะหลุดได้ ถ้าไม่ดูแลให้ดี
โชคดีที่คำเตือนหลายเรื่อง เราเรียนรู้จากคนอื่น แต่ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างประมาท เรานั่นแหละจะเป็นตัวอย่างคำเตือนให้คนอื่นได้เรียนรู้ วินทร์ เลียววาริณ
20-6-25
...................
จากหนังสือ มากกว่าสามสิบสอง
49 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 250 บาท = บทความละ 5.10 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/195/มากกว่าสามสิบสอง
https://s.shopee.co.th/9UlyhN6c1q
โปรโมชั่นคอมโบ https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201
Shopee https://s.shopee.co.th/9UlyhN6c1q
โปรโมชั่นคอมโบ https://s.shopee.co.th/8zpi6W2V3T2 วันที่ผ่านมา