• วินทร์ เลียววาริณ
    11 เดือนที่ผ่านมา

    เวลาผ่านไปเร็วเสมอสำหรับคนบ้างาน ไม่น่าเชื่อว่าปีนี้ครบสิบปีที่ผมได้รับตำแหน่งศิลปินแห่งชาติ ทำให้นึกถึงพ่อ

    ในหนังสือ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน มีเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งชื่อ เรื่องของผมกับพ่อ เป็นเรื่องของตัวละคร ‘พ่อ’ ผู้แม้จากโลกไปแล้ว ก็ยังปรากฏตัวมาช่วยชี้ทางให้ลูกที่เถลไถลไร้จุดหมายในชีวิต

    ในชีวิตจริง พ่อของผมไม่ค่อยพูดจาเทศนาสอนลูก หรือแสดงความห่วงใยให้เห็นโจ่งแจ้ง แต่แสดงออกโดยการกระทำเสมอ

    ในวัยสิบเจ็ด ก่อนที่ผมเดินทางไปเรียนต่อชั้น ม.ศ. 4 ที่กรุงเทพฯ พ่อพาผมไปที่ร้านนาฬิกา ซื้อนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งให้ มันเป็นนาฬิการุ่นเก่า เชย แต่เป็นเรือนที่พ่อสามารถเจียดเงินมาจ่ายได้

    พ่อรู้ดีว่าเมื่อไปใช้ชีวิตในโลกเมืองเล็ก ๆ การรักษาเวลาเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

    อนาคตเป็นเรื่องสำคัญ พ่อย้ำเรื่องการปูฐานอนาคตที่ดีเสมอ เพียงแต่ผมไม่รู้จนกระทั่งโต

    เมื่อตอนที่ผมเป็นเด็ก พ่อสอนวิชาเขียนอักษรจีนด้วยพู่กัน ที่เรียกว่า เหมาปี่ (毛筆) สอนวิธีฝนหมึกบนแป้น การตวัดพู่กัน ผมก็เรียนไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากขัดใจพ่อ จึงเรียนได้ไม่ดี ไม่นานก็เลิกราไป เมื่อโตแล้วจึงรู้สึกเสียดายว่า น่าจะเรียนจริงจังกว่านั้น เพราะพ่อผมมีลายมือดี และการเขียนพู่กันจีนเป็นศาสตร์ที่สำคัญสำหรับนักออกแบบ

    ผมรู้สึกว่าพ่อคาดหวังในตัวผมมากทีเดียว แม้จะไม่พูดอะไรออกมา

    ครั้งหนึ่งในชั้นมัธยมต้น ผมเข้าร่วมแข่งขันตอบคำถามอัตชีวประวัติของนักบุญดอมินิค มันเป็นการแข่งขันของนักเรียนหลายสิบคนแบบตอบผิด-คัดออก ในวันแข่งขัน พ่ออุตส่าห์ไปส่งข้าวเที่ยงให้ด้วยตัวเอง เพียงเพื่อจะถามว่าผมแข่งขันเข้ารอบไหม เมื่อตอบว่า “ตกรอบ” ก็ดูเหมือนแววตาพ่อจะฉายแววความผิดหวังเล็ก ๆ

    การเข้ารอบย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เพราะมันเป็นแค่การแข่งความจำ แต่สำหรับพ่อแม่ ย่อมมีความหมาย

    พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี

    น่าเสียดายที่พ่อไม่เคยได้เห็นรางวัลสักอย่างของผม ในกาลต่อมาผมได้รับรางวัลทางวรรณกรรมมากมาย รางวัลซีไรต์สองครั้ง รวมทั้งตำแหน่งศิลปินแห่งชาติ ล้วนดีกว่าการแข่งขันตอบปัญหาจากความจำ แต่พ่อไม่ได้อยู่เห็นเลยสักรางวัลเดียว

    ก่อนพ่อจากโลกไปไม่นาน พ่อชรามากแล้ว ไม่ได้ทำงานซ่อมรองเท้าอีก แต่ยังเฝ้าดูลมหายใจของร้านที่ยังดำเนินต่อไปโดยช่างเก่าคนหนึ่ง วันหนึ่งผมกลับไปเยี่ยมพ่อ พ่อสังเกตเห็นว่าสายคล้องกล้องถ่ายรูปของผมขาด ก็บอกว่าจะซ่อมให้ ผมบอกว่าผมหาที่ซ่อมเองได้ แต่พ่อยืนยันจะซ่อมให้

    ผมเชื่อว่าพ่อไม่เคยซ่อมสายหนังกล้องถ่ายรูปมาก่อน แต่ก็ทำอย่างตั้งใจเช่นเคย พ่อตัดหนังชิ้นหนึ่ง เจียนให้เข้ารูป แล้วตอกตาไก่อย่างประณีต วิญญาณช่างยังอยู่ครบถ้วน แม้มือไม้จะไม่คล่องแคล่วเหมือนสมัยก่อน

    ผมมีนิสัยอย่างหนึ่งที่เหมือนพ่อ นั่นคือทำงานให้ประณีตอย่างงานศิลปะ

    ผมก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนพ่อ คือการทำงานหนักทั้งชีวิต ผ่านวัยเกษียณมาหลายปี ผมก็ยังทำงานวันยันค่ำเหมือนเมื่อครั้งหนุ่ม ๆ

    นิสัยนี้อาจได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่ผมเป็นเด็ก เมื่อมองไปรอบตัว เห็นทุกคนทำงานหนัก จนบางครั้งเราพูดขำ ๆ ว่าเราเป็นพวกที่มีชีวิตแบบ คู่เมี้ยง (苦命) แปลตรงตัวว่า ชีวิตลำบาก

    แน่นอน เราใช้ชีวิตลำบากในระดับหนึ่ง ต้องทำงาน วันไหนไม่ทำงานก็ไม่มีรายได้

    อย่างไรก็ตาม มองย้อนดูทั้งชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง ผมทำงานหนักมิใช่เพราะมันเป็น ‘คู่เมี้ยง’ หากมันเป็นทางที่ผมเลือกเอง

    ทางชีวิตที่เราเลือกเองย่อมเป็นทางเลือกที่ดี

    เรื่องของผมกับพ่อก็คล้ายบางท่อนของเพลง My Way

    “Regrets, I’ve had a few. But then again too few to mention.”

    มองย้อนกลับไปดูชีวิตทั้งชีวิตของตนเอง ผมอาจสรุปได้ว่า “ทำงานหนักไม่หยุด เหนื่อย แต่เป็นชีวิตที่ดี”

    คนจำนวนมากมองว่าความลำบากคือความทุกข์ การทำงานหนักคือทัณฑ์ แต่ในความลำบากก็อาจมีชีวิตที่ดี

    โลกเปลี่ยนไปตลอดเวลา สิ่งใหม่แทนที่สิ่งเก่า และไม่นานสิ่งใหม่ก็กลายเป็นสิ่งเก่า

    กล้องถ่ายรูปตัวนั้นยังดำรงอยู่ แม้ว่ากล้องดิจิตัลจะมาแทนที่ สายคาดกล้องที่ผ่านการซ่อมยังอยู่ในสภาพดี แม้คนซ่อมไม่อยู่แล้ว

    โลกเลื่อนไหลไป และแม้ในวันที่ผมไม่อยู่แล้ว โลกก็ยังเลื่อนไหลต่อไป

    (จากหนังสืออัตชีวประวัติ วินทร์ เลียววาริณ - ชีวิตที่ดี)

    .....................................................

    สำหรับผู้ที่สนใจหนังสือ ตอนนี้มีโปรโมชั่นพิเศษ (ชุด 3 เล่ม S10) https://shope.ee/LL9SCqyRl?share_channel_code=6

    หรือ https://www.winbookclub.com/store/detail/238/%28S10%29%20ชีวิตที่ดี%20+%20หิน%2015%20ก้อนของ%20สตีฟ%20จ๊อบส์%20แถมฟรี%20เป่ย 

    0
    • 0 แชร์
    • 125

บทความล่าสุด