-
วินทร์ เลียววาริณ11 เดือนที่ผ่านมา
เวลาผ่านไปเร็วเสมอสำหรับคนบ้างาน ไม่น่าเชื่อว่าปีนี้ครบสิบปีที่ผมได้รับตำแหน่งศิลปินแห่งชาติ ทำให้นึกถึงพ่อ
ในหนังสือ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน มีเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งชื่อ เรื่องของผมกับพ่อ เป็นเรื่องของตัวละคร ‘พ่อ’ ผู้แม้จากโลกไปแล้ว ก็ยังปรากฏตัวมาช่วยชี้ทางให้ลูกที่เถลไถลไร้จุดหมายในชีวิต
ในชีวิตจริง พ่อของผมไม่ค่อยพูดจาเทศนาสอนลูก หรือแสดงความห่วงใยให้เห็นโจ่งแจ้ง แต่แสดงออกโดยการกระทำเสมอ
ในวัยสิบเจ็ด ก่อนที่ผมเดินทางไปเรียนต่อชั้น ม.ศ. 4 ที่กรุงเทพฯ พ่อพาผมไปที่ร้านนาฬิกา ซื้อนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งให้ มันเป็นนาฬิการุ่นเก่า เชย แต่เป็นเรือนที่พ่อสามารถเจียดเงินมาจ่ายได้
พ่อรู้ดีว่าเมื่อไปใช้ชีวิตในโลกเมืองเล็ก ๆ การรักษาเวลาเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
อนาคตเป็นเรื่องสำคัญ พ่อย้ำเรื่องการปูฐานอนาคตที่ดีเสมอ เพียงแต่ผมไม่รู้จนกระทั่งโต
เมื่อตอนที่ผมเป็นเด็ก พ่อสอนวิชาเขียนอักษรจีนด้วยพู่กัน ที่เรียกว่า เหมาปี่ (毛筆) สอนวิธีฝนหมึกบนแป้น การตวัดพู่กัน ผมก็เรียนไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากขัดใจพ่อ จึงเรียนได้ไม่ดี ไม่นานก็เลิกราไป เมื่อโตแล้วจึงรู้สึกเสียดายว่า น่าจะเรียนจริงจังกว่านั้น เพราะพ่อผมมีลายมือดี และการเขียนพู่กันจีนเป็นศาสตร์ที่สำคัญสำหรับนักออกแบบ
ผมรู้สึกว่าพ่อคาดหวังในตัวผมมากทีเดียว แม้จะไม่พูดอะไรออกมา
ครั้งหนึ่งในชั้นมัธยมต้น ผมเข้าร่วมแข่งขันตอบคำถามอัตชีวประวัติของนักบุญดอมินิค มันเป็นการแข่งขันของนักเรียนหลายสิบคนแบบตอบผิด-คัดออก ในวันแข่งขัน พ่ออุตส่าห์ไปส่งข้าวเที่ยงให้ด้วยตัวเอง เพียงเพื่อจะถามว่าผมแข่งขันเข้ารอบไหม เมื่อตอบว่า “ตกรอบ” ก็ดูเหมือนแววตาพ่อจะฉายแววความผิดหวังเล็ก ๆ
การเข้ารอบย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เพราะมันเป็นแค่การแข่งความจำ แต่สำหรับพ่อแม่ ย่อมมีความหมาย
พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี
น่าเสียดายที่พ่อไม่เคยได้เห็นรางวัลสักอย่างของผม ในกาลต่อมาผมได้รับรางวัลทางวรรณกรรมมากมาย รางวัลซีไรต์สองครั้ง รวมทั้งตำแหน่งศิลปินแห่งชาติ ล้วนดีกว่าการแข่งขันตอบปัญหาจากความจำ แต่พ่อไม่ได้อยู่เห็นเลยสักรางวัลเดียว
ก่อนพ่อจากโลกไปไม่นาน พ่อชรามากแล้ว ไม่ได้ทำงานซ่อมรองเท้าอีก แต่ยังเฝ้าดูลมหายใจของร้านที่ยังดำเนินต่อไปโดยช่างเก่าคนหนึ่ง วันหนึ่งผมกลับไปเยี่ยมพ่อ พ่อสังเกตเห็นว่าสายคล้องกล้องถ่ายรูปของผมขาด ก็บอกว่าจะซ่อมให้ ผมบอกว่าผมหาที่ซ่อมเองได้ แต่พ่อยืนยันจะซ่อมให้
ผมเชื่อว่าพ่อไม่เคยซ่อมสายหนังกล้องถ่ายรูปมาก่อน แต่ก็ทำอย่างตั้งใจเช่นเคย พ่อตัดหนังชิ้นหนึ่ง เจียนให้เข้ารูป แล้วตอกตาไก่อย่างประณีต วิญญาณช่างยังอยู่ครบถ้วน แม้มือไม้จะไม่คล่องแคล่วเหมือนสมัยก่อน
ผมมีนิสัยอย่างหนึ่งที่เหมือนพ่อ นั่นคือทำงานให้ประณีตอย่างงานศิลปะ
ผมก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนพ่อ คือการทำงานหนักทั้งชีวิต ผ่านวัยเกษียณมาหลายปี ผมก็ยังทำงานวันยันค่ำเหมือนเมื่อครั้งหนุ่ม ๆ
นิสัยนี้อาจได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่ผมเป็นเด็ก เมื่อมองไปรอบตัว เห็นทุกคนทำงานหนัก จนบางครั้งเราพูดขำ ๆ ว่าเราเป็นพวกที่มีชีวิตแบบ คู่เมี้ยง (苦命) แปลตรงตัวว่า ชีวิตลำบาก
แน่นอน เราใช้ชีวิตลำบากในระดับหนึ่ง ต้องทำงาน วันไหนไม่ทำงานก็ไม่มีรายได้
อย่างไรก็ตาม มองย้อนดูทั้งชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง ผมทำงานหนักมิใช่เพราะมันเป็น ‘คู่เมี้ยง’ หากมันเป็นทางที่ผมเลือกเอง
ทางชีวิตที่เราเลือกเองย่อมเป็นทางเลือกที่ดี
เรื่องของผมกับพ่อก็คล้ายบางท่อนของเพลง My Way
“Regrets, I’ve had a few. But then again too few to mention.”
มองย้อนกลับไปดูชีวิตทั้งชีวิตของตนเอง ผมอาจสรุปได้ว่า “ทำงานหนักไม่หยุด เหนื่อย แต่เป็นชีวิตที่ดี”
คนจำนวนมากมองว่าความลำบากคือความทุกข์ การทำงานหนักคือทัณฑ์ แต่ในความลำบากก็อาจมีชีวิตที่ดี
โลกเปลี่ยนไปตลอดเวลา สิ่งใหม่แทนที่สิ่งเก่า และไม่นานสิ่งใหม่ก็กลายเป็นสิ่งเก่า
กล้องถ่ายรูปตัวนั้นยังดำรงอยู่ แม้ว่ากล้องดิจิตัลจะมาแทนที่ สายคาดกล้องที่ผ่านการซ่อมยังอยู่ในสภาพดี แม้คนซ่อมไม่อยู่แล้ว
โลกเลื่อนไหลไป และแม้ในวันที่ผมไม่อยู่แล้ว โลกก็ยังเลื่อนไหลต่อไป
(จากหนังสืออัตชีวประวัติ วินทร์ เลียววาริณ - ชีวิตที่ดี)
.....................................................
สำหรับผู้ที่สนใจหนังสือ ตอนนี้มีโปรโมชั่นพิเศษ (ชุด 3 เล่ม S10) https://shope.ee/LL9SCqyRl?share_channel_code=6
หรือ https://www.winbookclub.com/store/detail/238/%28S10%29%20ชีวิตที่ดี%20+%20หิน%2015%20ก้อนของ%20สตีฟ%20จ๊อบส์%20แถมฟรี%20เป่ย
0- แชร์
- 125
-
ในการเขียนหนังสือ บ่อยครั้งนักเขียนต้องการให้เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างหนึ่ง แต่เมื่อเผลอหลงทางเข้ารกเข้าพง กลับพบว่าเรื่องน่าสนใจกว่าเดิม ก็สามารถพลิกเปลี่ยนเรื่องได้ เช่น แรกเริ่มตั้งใจเขียนเรื่องรักสมหวัง แต่กลายเป็นเรื่องเศร้าสลดซึ่งดีกว่ากันมาก ๆ ก็รับความบังเอิญนี้เสีย
ในการทำอาหาร บางครั้งผลที่ได้รับไม่ตรงตามที่ต้องการแต่แรก ทว่ากลับให้รสชาติที่ดีไปอีกแบบหนึ่ง อาหารจานเด็ดจำนวนมากเกิดมาจากความบังเอิญ ตั้งแต่แซนด์วิชไปจนถึงอาหารแปลก ๆ ประเภท 'คิดได้ไง' ทั้งหลาย
ในสายการแพทย์และวิทยาศาสตร์ มีการค้นพบมากมายอันเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติซึ่งเกิดจากความบังเอิญ เช่น การค้นพบวัคซีนป้องกันโรค, การค้นพบว่าระบบประสาททำงานด้วยไฟฟ้า, เอกซเรย์, ยาเพนิซิลลิน, วัคซีนฝีดาษจากวัว, การพบเสียงตกค้างของ บิ๊ก แบง ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเริ่มต้นมาจากความบังเอิญหรือลูกฟลุค
ความบังเอิญที่น่ารื่นรมย์!
ในการใช้ชีวิต อาจจะมีสักครั้งสองครั้งหรือหลายครั้งที่หลายเรื่องทำให้เกิดความบังเอิญที่น่ารื่นรมย์ เช่น การยิ้มกับคนแปลกหน้าในห้องน้ำทำให้มีโอกาสเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณายาสีฟัน การคุยกับผู้โดยสารที่นั่งข้าง ๆ ในเครื่องบินนำไปสู่ธุรกิจใหม่ ๆ การทำงานหนักในงานชิ้นหนึ่งจนล้มป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลทำให้พบวิธีหาเงินแบบใหม่ การขับรถเฉี่ยวกันทำให้พบคนรัก (นี่เป็นพล็อตนิยายรักมาหลายสิบปีแล้ว) ฯลฯ
โลกนี้เต็มไปด้วยของดีที่มากับความบังเอิญ แต่มันจะไม่มีวันกลายเป็นลูกฟลุคที่น่ารื่นรมย์หากไม่มีใครมองเห็น หรือไม่พร้อมเปิดรับหนทางใหม่ที่นำไปสู่นวัตกรรม 'ความบังเอิญที่น่ารื่นรมย์' ในสายตาของคนที่มองไม่เห็นอาจเป็นเพียงขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น
การเปิดหูเปิดตา เปิดความคิด อ่านมาก เดินทางมาก การไม่ยึดติดกับกฎเดิม ๆ ก็มีส่วนช่วยเปิดความคิดเปิดใจออกกว้าง หากฝึกฝนสายตาให้แยกแยะเพชรออกจากตม มันก็เป็นความรื่นรมย์
นักวิทยาศาสตร์สายการแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ หลุยส์ ปาสเตอร์ เขียนว่า "ในพื้นที่ของการสังเกต ความบังเอิญเกิดขึ้นกับความคิดที่พร้อมจะรับเท่านั้น"
เพราะถึงแสงสว่างจะสาดตรงมาหาเรา แต่หากไม่เปิดหน้าต่าง ก็ยังคงจมอยู่ในความมืดเช่นเดิม
วินทร์ เลียววาริณ
5-6-25
...........................จาก สองปีกของความฝัน
46 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 170 บาท = บทความละ 3.69 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/88/สองปีกของความฝัน
0 วันที่ผ่านมา -
เช้านี้อากาศดี ท่านรัฐมนตรีรักชาติตื่นมาออกกำลังกาย โดยเดินรอบสวนของท่าน พื้นที่ 7 ไร่เพียงพอให้ท่านเดินออกกำลังกายโดยไม่ต้องพึ่ง ฟิตเนส เซ็นเตอร์ ที่ไหน อย่าว่าแต่ท่านก็มี ฟิตเนส เซ็นเตอร์ ที่มุมหนึ่งของพื้นที่บ้าน
ท่านรัฐมนตรีรักชาติเดินไปบนพื้นคอนเกรีตริมรั้ว พลันสายตาเหลือบเห็นใบไม้ใบหนึ่ง ท่านรัฐมนตรีรักชาติก้มลงดู มันไม่ใช่ไบไม้ที่หล่นมาจากต้นไม้ในบ้านท่านแน่นอน ท่านตะโกนเรียกสาวใช้
สาวใช้วิ่งหน้าตื่นมาหา
ท่านว่า "ใบไม้นี่มาจากที่ใด?"
"น่าจะปลิวมาจากเพื่อนบ้านท่านค่ะ"
"อย่างนี้ใช้ไม่ได้ รุกล้ำอธิปไตยบ้านผม โยนมันกลับไป"
สาวใช้หยิบใบไม้ใบนั้น เหวี่ยงข้ามรั้วไปที่บ้านติดกัน
ท่านรัฐมนตรีรักชาติเดินต่อไป พลันชะงักกึก สายตาจับที่กิ่งไม้กิ่งหนึ่งของต้นไม้เพื่อนบ้าน ถามสาวใช้ "กิ่งนั่นข้ามรั้วบ้านผมหรือเปล่า?"
"มองไม่ชัดค่ะ"
"ตามช่างสมบัติมาซิ"
"วันนี้เขาลาค่ะ"
"เขาจะเป็นลา เป็นแพะหรือแกะ ไม่สนใจ ตามตัวมา"
"ค่ะ"
สิบนาทีต่อมารถบรรทุกก็แล่นมาจอด ช่างสมบัติวิ่งหน้าตื่นไปหาท่านรัฐมนตรีรักชาติ
"ครับผม ผมมารายงานแล้วครับ"
ท่านรัฐมนตรีรักชาติชี้ไปที่กิ่งไม้กิ่งนั้น
"คุณมีเครื่องวัดเลเซอร์ วัดหน่อยซิว่ากิ่งไม้นั้นรุกล้ำบ้านผมหรือเปล่า"
ช่างสมบัติติดตั้งเครื่องบนขาตั้ง ครู่หนึ่งแสงเลเซอร์ก็ฉายไปบนกิ่งไม้
เขารายงาน "กิ่งไม้นั้นล้ำบ้านท่านมาครึ่งเซ็นต์ครับ"
ท่านรัฐมนตรีรักชาติตวาด "อย่างนี้ใช้ไม่ได้ รุกล้ำอธิปไตยบ้านผม ตัดมันทิ้ง แล้วโยนกลับไปที่บ้านเพื่อนบ้าน"
"ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน"
สาวใช้อีกคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นมาหาท่านรัฐมนตรีรักชาติ ยื่นโทรศัพท์มือถือของท่านให้ท่านรัฐมนตรี
"โทรศัพท์ท่านค่ะ"
"ผมบอกแล้วว่าเวลาเดินเล่น ผมไม่รับสายใคร"
"สายจากฝ่ายทหารค่ะ"
ท่านรัฐมนตรีรักชาติรับสายนั้น "ว่าไง?"
เสียงตามสายดังขึ้น "ประเทศเพื่อนบ้านกำลังรุกล้ำอธิปไตย ข้ามเส้นพรมแดนของเราครับ จะให้ทำยังไง?"
"ไม่ต้องทำอะไร"
"นี่มันเรื่องซีเรียส..."
ท่านรัฐมนตรีรักชาติถอนหายใจ "โธ่! เรื่องแค่นี้ทำเป็นตื่นเต้นไปได้ ก็เพื่อนบ้านกัน คุยกันได้"
วินทร์ เลียววาริณ
4-6-250 วันที่ผ่านมา -
ผมเขียนเรื่องดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยามาหลายสิบปี ทุกครั้งที่เล่าเรื่องการค้นคว้าในอวกาศ หลุมดำ พลังงานมืด อารยธรรมต่างดาว ฯลฯ ผมมักได้ยินคำถามเดิมๆ เสมอ นั่นคือ "รู้ไปทำไม" และ "นี่เป็นอจินไตย"
แต่เราต้องระวังเวลาใช้คำว่าอจินไตย
อจินไตยไม่ได้แปลว่าให้หยุดเรียนรู้
ความรู้ก็คือความรู้ บางเรื่องดูไกลตัวมาก เหมือนไม่เกี่ยวกับเรา และเราก็มักติดป้ายอจินไตยในเรื่องนั้นๆ
ตัวอย่างที่เราได้ยินเสมอคือ เราส่งคนไปอวกาศทำไม จะส่องกล้องดูดวงดาวในกาแลกซีไกลโพ้นไปทำไม แทนที่จะใช้พัฒนาชีวิตมนุษย์บนโลกก่อน
แต่หากพ่อแม่เราป่วยไปโรงพยาบาล ต้องผ่าหัวใจด้วยระบบเลเซอร์ หรือหมอตรวจพบมะเร็งในตัวเรา สแกนร่างกาย หรือต้องทำแขนขาเทียม จะพบว่าทั้งหมดนี้มาจากการศึกษาเรื่องอวกาศที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกับเราทั้งสิ้น
ยังไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่เราขาดไม่ได้ในตอนนี้ เช่น GPS คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ก็มาจากการศึกษาอวกาศอันไกลโพ้นทั้งสิ้น
และที่ยกตัวอย่างนี้เป็นแค่ประโยชน์เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น
มันก็เหมือนกับคนโบราณเมื่อสองล้านปีที่แล้วค้นพบการใช้ไฟ และเพื่อนบอกว่า จะเอาไฟไปทำอะไร
แต่ไฟทำให้สมองมนุษย์ขึ้นใหญ่ขึ้น และทำให้เราเป็นเราในวันนี้
อิสลามเคยเป็นเจ้าโลกในเรื่องวิทยาการ ดวงดาวส่วนใหญ่บนฟ้าในเวลานี้เป็นภาษาอิสลาม แต่ยุคทองของอิสลาม (ศูนย์กลางที่แบกแดด) ก็ล้มครืนทันที เมื่อผู้นำสั่งห้ามการแสวงหาความรู้ โดยอ้างศาสนา และไม่เคยฟื้นจนบัดนี้
เราจึงควรระวังเวลาใช้คำว่าอจินไตย มันเป็นคนละเรื่องกับการแสวงหาความรู้ เพราะวันใดที่มนุษย์หยุดหาความรู้ อารยธรรมมนุษย์ก็สูญสิ้นในวันนั้น
วินทร์ เลียววาริณ
3-6-251 วันที่ผ่านมา -
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในโลกเร่งรีบทุกวันนี้ จะมีโฆษณาสร้างนักเขียนแบบเร่งรีบ เป็นนักเขียนได้ในเวลาไม่กี่วัน
เรามีค่านิยมว่า ความสำเร็จมาเร็วๆ ได้ ในบางสายอาจจะใช่ แต่จากประสบการณ์ตรง ไม่น่าใช่สายนักเขียน
มีคนถามผมเสมอว่า ต้องใช้เวลาสร้างนักเขียนคนหนึ่งนานเท่าไร ปีเดียวพอไหม?
คำตอบของผมคือ 20-30 ปี
ได้ยินเช่นนี้ หลายคนไม่เชื่อ ส่วนคนที่เชื่อหลายคนก็ล้มเลิกความคิดจะเป็นนักเขียน
ผมบอกเสมอมาว่า นักเขียนมีสองแบบ นักเขียนธรรมดากับนักเขียนดี
นักเขียนธรรมดาแค่จับปากกาเขียนตัวหนังสือ ก็เป็นนักเขียนได้แล้ว
ส่วนนักเขียนดีนั้นต้องมีคุณสมบัติคิดลุ่มลึก จินตนาการกว้างไกล แต่งเรื่อง วางลำดับเรื่อง สามารถใช้ภาษาในระดับดี ไม่มีส่วนขาดส่วนเกิน เป็นศิลปินที่สร้างสรรค์งานแต่ละชิ้นอย่างประณีตจะทำอย่างนี้ได้ต้องใช้เวลาหลายสิบปี ไม่มีทางเขียนเรื่องดีได้หากไม่ฝึกฝนยาวนาน
ลำพังการฝึกใช้ภาษาให้ถึงขั้น ‘นายของภาษา’ ก็ต้องใช้เวลายี่สิบปีขึ้นไป
การฝึกฝนก็เหมือนการเปลี่ยนจากธารน้ำสายน้อยเป็นแม่น้ำสายใหญ่ ธารน้ำไม่สามารถกัดเซาะแผ่นดินได้ในทีเดียว ต้องค่อย ๆ สะสมพลัง ขยับขยายกลายเป็นลำน้ำใหญ่ขึ้น จึงมีแรงเซาะแผ่นดินโค่นภูผา รีบร้อนเกินไปก็ไร้พลังเซาะ ต้องบ่มเพาะจนสายน้ำมีพลังแรงพอ
นี่เองที่ทำให้เรื่องบางเรื่องทำเร็วไม่ได้ แม้อยากให้เร็วแค่ไหนก็ตาม
ยิ่งรีบยิ่งช้า
การฝึกเขียนก็เหมือนการออกกำลังกาย และอีกหลายกิจกรรมที่ดูเหมือนไม่สนุก เพราะเราคิดไปก่อนว่ามันไม่น่าสนุก
การติดป้ายกิจกรรม ‘สนุก’ และ ‘ไม่สนุก’ แยกชัดเจนทำให้เราเสียโอกาสทำเรื่องที่ไม่น่าจะสนุกให้สนุกได้ เพราะสนุกและไม่สนุกเป็นเรื่องนานาจิตตัง บางคนไม่สนุกกับการออกกำลังกาย บางคนกลับสนุกกับมัน ฯลฯ
ชีวิตคือการรักษาสมดุลของความชอบกับความไม่ชอบ คือการรักษาจังหวะความเร็วช้า ผ่อนหนักผ่อนเบา
ในปรัชญาการใช้ชีวิตแบบทางสายกลาง ใช้เวลาแต่พอดี ไม่เร่ง ไม่ช้า เพราะเวลาคือดัชนีวัดระยะทางของชั่วชีวิต ไม่ใช่ชีวิตในตัวมันเอง
บางทีสุภาษิตไทย ‘ช้าเป็นการนานเป็นคุณ’ กับ ‘น้ำขึ้นให้รีบตัก’ อาจไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่เป็นคนละ ‘โหมด’ ที่ใช้ต่างเวลากัน
บางเรื่องควรเร็วหน่อย บางเรื่องควรช้าหน่อย
รักษาสมดุลของเร็ว-ช้าได้ ชีวิตก็งดงามขึ้น
วินทร์ เลียววาริณ
4-6-25
...................................จาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วโปรโมชั่นพิเศษเป็นชุด https://shope.ee/2LAmmZMaOd?share_channel_code=6
1 วันที่ผ่านมา -
สมัยเป็นเด็ก ผมใช้ชีวิตในห้องสมุดประชาชนเสมือนหนึ่งเป็นบ้านหลังที่สอง ผมไปห้องสมุดทุกวันที่มันเปิด ห้องสมุดอนุญาตให้ยืมหนังสือกลับบ้านได้วันละสองเล่ม ผมรู้สึกว่าน้อยไป บ่อยครั้งจึงอ่านเล่มที่ 3 4 5... ในห้องสมุด นอกเหนือจากสองเล่มที่ยืมกลับบ้าน
วันหนึ่งขณะนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด วัยรุ่นแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหา ถามผมว่า “เวลาอ่านหนังสือ อ่านคำนำหรือเปล่า?”
ผมตอบว่า “เปล่า” เพราะไม่เคยอ่านคำนำ
วัยรุ่นแปลกหน้าก็นั่งลงสอนการอ่านหนังสือให้ถูกวิธี ชี้ให้เห็นความสำคัญของการอ่านคำนำ การอ่านคำนำทำให้เราเข้าใจว่ามันเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร การอ่านสารบัญก็ทำให้เรารู้ขอบเขตเนื้อหาของหนังสือเล่มนั้น ว่าคนเขียนต้องการเสนออะไร ฯลฯ
ผมเป็นเด็กขี้อาย ไม่เคยชินกับการสนทนากับคนแปลกหน้า ก็อือ ๆ ออ ๆ แล้วรีบกลับบ้าน
บ่ายนั้นวัยรุ่นแปลกหน้าคนเดิมก็ตามมาหาผมถึงบ้าน เชื่อว่าเขาได้ที่อยู่ผมมาจากบรรณารักษ์ เขาบอกว่าบทเรียนที่ห้องสมุดยังไม่จบ ก็ตามมาสอนต่ออีกรอบหนึ่ง!
เป็นครั้งแรกที่มีครูมาสอนถึงบ้านโดยไม่ได้เชิญ
เป็นครั้งแรกที่แลเห็นความเมตตาและความปรารถนาดีของคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
คนบางประเภทมีความเมตตาสูง และหวังดีต่อคนแปลกหน้า อยากให้คนอื่นพัฒนาตนเองดีขึ้น
ผมยังเคยผ่านประสบการณ์คนแปลกหน้าช่วยเหลืออีกหลายครั้ง เช่น ครั้งหนึ่งฝนตกหนัก คนแปลกหน้ากางร่มไปส่ง เคยถามทางจากคนแปลกหน้า แล้วเขาก็นำทางเราไปถึงที่หมาย
ครั้งหนึ่งผมว่ายน้ำในสระสาธารณะแห่งหนึ่ง ผมไม่เคยชอบว่ายน้ำ แต่จำเป็นต้องออกกำลังกาย ก็ว่ายไปแค่ให้รู้ว่าไปว่ายน้ำมาแล้ว
ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเห็นวิธีว่ายน้ำของผมแล้ว ก็เข้ามาหา แล้วสอนวิธีว่ายน้ำที่ถูกต้องให้ผม
แม้สอนอยู่นาน และไม่ค่อยเข้าหัวคนที่ไม่ชอบออกกำลังกายเท่าไร แต่ก็แลเห็นว่าเขาเป็นคนมีเมตตา
แม่เพื่อนสนิทผมเป็นโรคอัลไซเมอร์ ครั้งหนึ่งนางไปงานเลี้ยงและคุยกับคนแปลกหน้าที่ร่วมโต๊ะ นางเล่าเรื่องเดิมซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง เนื่องจากจำไม่ได้ว่าเล่าแล้ว คนแปลกหน้าฟังดูแล้ว พอคาดว่านางเป็นอัลไซเมอร์ ก็นั่งฟังนางเล่าอย่างตั้งใจ เหมือนฟังเป็นครั้งแรก ไม่เอ่ยท้วงว่า เคยฟังแล้ว
โลกมีตัวอย่างของคนแปลกหน้าที่ดีมากมาย
และโชคดีที่มันเป็นเรื่องจริง
..........................
เราอาจได้รับการสั่งสอนจากผู้ใหญ่ว่าให้ระวังคนแปลกหน้า ซึ่งอาจจะคิดร้ายกับเรา แต่มันไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว เพราะคนแปลกหน้าที่ดีก็มี คนใกล้ตัวที่แย่ ๆ ก็มีมาก
สิ่งหนึ่งที่ผู้ใหญ่ควรสอนก็คือการรู้จักวิเคราะห์ประเมินว่า คนแปลกหน้าคนหนึ่งหวังดีหรือร้าย
บ้านเราสมัยก่อนมีธรรมเนียมการวางตุ่มน้ำและกระบวยที่หน้าบ้าน สำหรับคนแปลกหน้าเดินผ่านไปมาสามารถดื่ม นี่ก็เป็นธรรมเนียมที่สะท้อนว่าคนเราไม่ได้แบ่งกันที่คนแปลกหน้ากับคนไม่แปลกหน้า
แต่แบ่งที่คนมีน้ำใจกับคนไม่มีน้ำใจ
บางครั้งคนแปลกหน้าที่มีน้ำใจก็ต้องหงายหลัง ชายคนหนึ่งขับรถผ่านสี่แยก แลเห็นชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ริมถนน หันรีหันขวาง เหมือนคนป่วยโรคอัลไซเมอร์ที่หลงทาง เขาจึงจอดรถ จูงคนแก่ไปขึ้นรถ แล้วบอกคนแก่ว่า จะขับไปส่งที่บ้าน
เขาขับรถออกไปขณะถามคนแก่ว่า “บ้านตาอยู่ตรงไหนก็ชี้ด้วย”
คนแก่มีสีหน้าตกใจ ชี้มือไปข้างหน้า ทำท่าจะพูด แต่พูดไม่ออก คนขับยิ่งเชื่อว่าชายชราเป็นคนป่วยโรคอัลไซเมอร์ที่หลงทาง ก็ขับรถต่อไป บอกคนแก่ว่า “ใจเย็น ๆ ลองนึกดูว่าบ้านตาสีอะไร อยู่ตรงไหน”
คนแก่บอกว่า “บ้านกูก็อยู่ตรงจุดที่กูยืนอยู่เมื่อกี้นั่นแหละ กูกำลังรอใส่บาตรพระ มึงก็เสือกลากกูมา ไอ้เปรต...”
โชคดีที่มันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นแค่เรื่องขำขัน
วินทร์ เลียววาริณ
4-6-25 ................................... จากหนังสือ มากกว่าสามสิบสอง49 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 250 บาท = บทความละ 5.10 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/195/มากกว่าสามสิบสอง
https://s.shopee.co.th/9UlyhN6c1q
โปรโมชั่นคอมโบ https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201
Shopee https://s.shopee.co.th/9UlyhN6c1q
โปรโมชั่นคอมโบ https://s.shopee.co.th/8zpi6W2V3Tทำไมควรซื้อหนังสือเล่มนี้: https://www.facebook.com/photo/?fbid=1207283390760350&set=a.208269707328395
1 วันที่ผ่านมา