-
วินทร์ เลียววาริณ10 เดือนที่ผ่านมา
มันเป็นศึกประลองยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุทธจักรในรอบร้อยปี เมื่อสองจอมยุทธ์ชราต่อสู้กันเพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอินทรี
มิมีผู้ใดเข้าใจว่าเหตุใดจอมยุทธ์วัยเฉียดร้อยยังอยากเป็นเจ้าสำนัก บางทีมนุษย์เมื่อเคยเป็นใหญ่ ย่อมมิอาจละทิ้งรสชาติของอำนาจ
ทั้งจอมยุทธ์ตั๊มและจอมยุทธ์ไบ่ต่างเดินมิมั่นคง ด้วยวัยชรา ทว่าต่างยืนยันว่าตนยังแข็งแกร่งที่สุดในปฐพี
การประลองกระทำบนเวทีมวย ซึ่งส่งมาจากแผ่นดินเซี่ยมล้อ เวทีข้างหนึ่งทาสีน้ำเงิน อีกข้างหนึ่งทาสีแดง
จอมยุทธ์ตั๊มและจอมยุทธ์ไบ่เดินขึ้นเวที กรรมการตีระฆัง ทั้งสองถ่มน้ำลายบนฝ่ามือพร้อมกัน แล้วประกบฝ่ามือด้วยกัน แล้วเดินลมปราณ ขับพลังภายในที่สะสมมาทั้งชีวิตห้ำหั่นกัน
ผู้ใดเซถอยก่อนหรือกระอักเลือดก่อนจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
เหล่าชาวบู๊ลิ้มล้วนรู้ดีว่า กำลังภายในของผู้ใดเข้มแข็งกว่า สามารถกระแทกอวัยวะภายในของคู่ต่อสู้ จนกระอักเลือด ช้ำในไปหลายเดือน หรือกระทั่งหลายปี
มันจึงเป็นศึกยิ่งใหญ่
กำลังภายในของจอมยุทธ์ไบ่นั้นแก่กล้า เพราะฝึกมาตั้งแต่หนุ่ม จนในวัยชรา ก็ยิ่งเข้มแข็ง ส่วนจอมยุทธ์ตั๊มนั่นเล่า ก็ฝึกมานาน จากสำนักสารพัดพิษของปรมาจารย์อาวเอี๊ยงฮง
ทั้งสองจะต้องประกบฝ่ามือกันนานหนึ่งชั่วยาม ช่วงเวลาที่เดินพลังภายในชนกันจึงน่าเบื่อหน่าย ชาวบู๊ลิ้มบางคนให้คะแนนเพียง 2/10
โชคดีที่แม้จะประกบฝ่ามือกัน ปากทั้งสองยังพูดได้
จอมยุทธ์ไบ่เอ่ยขึ้นว่า "ท่านตั๊มเป็นอาชญากรใช่หรือไม่?"
จอมยุทธ์ตั๊ม "ใช่ ข้าฯชอบกินเหม่งทึ้ง"
"ส่วนข้าฯชอบกินเต้าทึง"
"ท่านมีอาการตื่นกลางดึก ลุกขึ้นไปเยี่ยวหรือไม่?"
"ลุกไปเยี่ยม? เยี่ยมใคร?"
"ที่แท้ท่านหู no good"
"ท่านกรุณาอย่าพูดทะลึ่ง ถ้าข้าฯขำแล้ว จะกลั้นปัสสาวะมิอยู่"
"ขออภัย ข้าฯถามใหม่ก็แล้วกัน ท่านมีอาการตื่นกลางดึก ลุกขึ้นไปเยี่ยวหรือไม่?"
"หมายถึงต่อมลูกมากโต?"
"ข้าฯมีลูกคนเดียว ไม่จัดว่ามาก น่าจะเป็นต่อมลูกหมากโตมากกว่า"
"ส่วนข้าฯมีต่อมลูกหมาโต เพราะชมชอบเลี้ยงหมา"
"ส่วนข้าฯชมชอบหาหมอ"
"ท่านไปหาหมอบ่อยหรือไร?"
"ก็ไปบ่อย"
"ท่านตรวจการทำงานของสมองหรือไม่?"
"สมองทำหน้าที่อันใด?"
"สมองมีไว้ย่อยอาหาร"
"ถ้าเช่นนั้นก็มิต้องตรวจ เพราะระบบย่อยของข้าฯดีเยี่ยม ร่างกายข้าฯยังฟิตปั๋ง"
"ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ยังมีเพศสัมพันธ์อยู่หรือไร?"
"มีทุกวัน เพจสัมพันธ์ เจอคนในโลกโซเชี่ยนบ่อยๆ"
"ข้าฯก็มีเพจสัมพันธ์ผ่านเอ็กซ์"
"หนังเอ็กซ์หรือไร?"
"หามิได้ X แพลตฟอร์มที่เดิมเป็นสัญลักษณ์วิหคสีฟ้าน่ะ"
"ใช่ ใช่ ข้าฯนึกออกแล้ว ร้านสีฟ้าอาหารอร่อย ข้าฯไปบ่อยๆ"
"ใช่ ข้าฯก็ไป ข้าฯชอบพิซซาที่ร้านนั้น จบจากการประลองนี้ เราไปกินกัน"
"กิน gun ไม่ดีมั้ง ตายได้นะ"
"จริงด้วย"
"เอ๊ะ! นี่เราสองคนมาทำอะไรที่นี่?"
"ข้าฯลืมไปแล้ว"
"งั้นเรากลับบ้านกันเถอะ"
"ดียิ่ง ปัญหาคือข้าฯจำมิได้ว่าบ้านข้าฯอยู่ที่ใด"
"ข้าฯก็จำชื่อตัวเองมิได้"
"ถ้าเช่นนั้นเราก็ประลองกันต่อเถอะ"
"ประลองได้ แต่ท่านกรุณาอย่าพูดทะลึ่ง ถ้าข้าฯขำแล้ว จะกลั้นปัสสาวะมิอยู่"
"เอ๊ะ! ท่านคือใคร? แล้วนี่เราสองคนมาทำอะไรที่นี่?"
"ข้าฯลืมไปแล้ว"
วินทร์ เลียววาริณ
1-7-240- แชร์
- 69
-
ในวันแรกที่ผมเริ่มเขียนหนังสือนั้น ผมอ่านหนังสือมาแล้วจำนวนมาก แต่พอคิดจะเขียน กลับเขียนคำแรกไม่ออก
ผมเริ่มต้นชีวิตนักเขียนเหมือนทารกคลานเตาะแตะ จำได้ว่าแต่ละเรื่อง กว่าจะกลั่นคำแรกประโยคแรกออกมาได้แทบกระอักเลือด ชวนให้เลิกหลายครั้ง
อ่านหนังสือมาเป็นพันเล่ม แต่เริ่มประโยคแรกไม่ได้
หากกระบี่เป็นอาวุธของจอมยุทธ์ ภาษาก็เป็นอาวุธของนักเขียน
การใช้ภาษาอาจเป็นส่วนที่ยากที่สุดของงานเขียน มิพักเอ่ยถึงขั้นเป็น ‘นายของภาษา’
‘นายของภาษา’ หมายถึงคุมปากกาได้อยู่หมัด ถ้าเป็นช่างไม้ก็ไสไม้เรียบในไม่กี่ที ถ้าเป็นช่างปูนก็ปาดปูนเรียบเหมาะเจาะใน 1-2 ตวัด ไม่มีเศษปูนเหลือ
ถ้าเป็นวงการยุทธจักร ‘นายของภาษา’ ก็ประมาณน้องๆ ไซมึ้งชวยเซาะหรืออี้จับซา สะบัดกระบี่ที มีคนตาย ถ้าต้องฟันกันหลายสิบกระบวนท่า อย่างนี้ยังไม่ใช่
ต้องฝึกฝนจนคุมกระบี่อักษรได้ ทุกกระบวนท่าต้องฆ่าศัตรู ถ้าแทงเข้าหัวใจได้ ยิ่งดี
จะฝึกถึงขั้นนี้ ยากจริงๆ ขอบอก
ผมเรียนรู้จากประสบการณ์ว่า ใช้ภาษาแบบ Minimalism ดีที่สุด น้อยที่สุดเท่าที่สื่อสารได้
Minimalism คือหากเราตัดคำใดในประโยคทิ้งไปแล้ว ยังอ่านรู้เรื่อง แสดงว่าคำคำนั้นเป็นส่วนเกิน
ผมเริ่มต้นเขียนงานที่ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกตอนราวอายุ 15 เขียนขำขันหลายเรื่องไปส่งนิตยสารชัยพฤกษ์ หลังจากนั้นก็แต่งนิยายภาพขายอยู่หลายปี แล้วค่อยเข้าสู่วงการนักเขียน
หลังจากจับปากกา 20 ปี รู้สึกว่าเริ่มประโยคง่ายขึ้น แต่ยังต้องเกลาแล้วเกลาอีก
หลังจากจับปากกา 30 ปี รู้สึกว่าไม่ต้องเกลามากเหมือนเก่า ใช้ปากกาได้คล่องแคล่วกว่าครั้งเริ่มต้น แต่ยังไม่ถึงขั้นไซมึ้งชวยเซาะ หรืออี้จับซา ยังต้องฟันหลายทีอยู่ แต่น้อยลงไปมาก
หลังจากจับปากกา 50 ปี รู้สึกว่าความผิดพลาดน้อยลง เวลาที่ใช้เลือกคำน้อยลง และการเขียนเป็นความสนุกสาหัสสมใจยิ่ง
ทั้งหมดมาจากการฝึกฝนคำเดียว
ไม่มีอะไรดีๆ ที่ได้มาง่ายๆ จะเป็น ‘นายของภาษา’ นั้นทำได้ แต่ต้องฝึกหนักหน่วง
ทว่ารางวัลของความหนักหน่วงของการฝึกฝน คือความเบาสบายของหัวใจเมื่องานลื่นไหลราวสายน้ำที่มิเกรงก้อนหินขวางกั้น
..............................
คำแนะนำของผมต่อนักเขียนใหม่คือ
1 อย่ารีบเป็นนายของภาษา เขียนสื่อให้เข้าใจก่อน เช่น เขียนเรื่องไก่ก็เป็นไก่ เขียนเรื่องแมวก็เป็นแมว ค่อยๆ เขียนไปเรื่อยๆ ผ่านไปหลายปี ไก่จะเป็นไก่พิเศษ แมวก็จะเป็นแมวเทวดาเอง
ไม่มีนักเขียนคนไหนเป็นนายภาษาในวันแรกที่เริ่มเขียน ไม่มี ดังนั้นไม่ต้องเร่งรีบ กดดันตัวเอง เขียนไปสบายๆ แต่ฝึกไม่หยุด
2 ลอกเลียนการใช้ภาษาของนักเขียนชั้นครู
บ้านเรามีนักเขียนชั้นครูภาษาสวยจำนวนมาก จอมยุทธ์แต่ละท่านฝึกมาคนละหลายสิบปี เช่น มนัส จรรยงค์ ไม้ เมืองเดิม ยาขอบ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ฯลฯ
การลอกในที่นี้ไม่ใช่การเดินตามรอยเดิม แต่คือการฝึกอย่างหนึ่ง ช่วยให้เข้าใจว่าทำไมเขาจึงใช้ภาษาอย่างนั้น แล้วค่อยๆ ขบคิด ฝึกไปเรื่อยๆ จนหลุดจากกรอบของนักเขียนครูเหล่านั้น เป็นสำนวนของเราเอง
อย่าลืมว่า หน้าที่แรกของนักเขียนคือเล่าเรื่อง เรื่องต้องดี น่าสนใจ มีมุมมองที่คนอ่านคิดไม่ถึง
ส่วนภาษาดีช่วยทำให้เรื่องนั้นสมบูรณ์
เหมือนจอมยุทธ์ในนิยายของโก้วเล้ง นอกจากจะฆ่าคนแล้ว ท่วงท่าในการฆ่ายังต้องงามด้วย
การใช้ภาษาดีและงดงามจะยกระดับงานเขียนเป็นศิลปะ
และงานเขียนที่เป็นศิลปะจะอยู่ยืนยาวกว่างานขียนปกติ
...............................
จากอีบุ๊ค #ปล่อยให้ความเหงาพาไป
ซื้อได้จากเว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/227/ปล่อยให้ความเหงาพาไป หรือ The Meb
0 วันที่ผ่านมา -
ข่าวใหญ่วันนี้คือ ท่านรัฐมนตรีรักชาติไปตรวจตลาด เพื่อสร้างความสัมพันธที่ดีกับพ่อแม่พี่น้องกระชาชนที่ท่านรัก ท่านไปตรวจตลาดโดยไม่มีบอดีการ์ดใดๆ เพื่อให้เห็นว่าท่านก็เป็นชาวบ้านเดินดินธรรมดา
ท่านรัฐมนตรีรักชาติทักทายพ่อค้าแม่ค้าในตลาดอย่างสนิทสนม เป็นภาพที่น่าอบอุ่นหัวใจยิ่งนัก
ทันใดนั้นปรากฏชายห้าคนตรงเข้าไปรุมท่านรัฐมนตรีรักชาติ ทั้งเตะ ทั้งต่อย ทั้งอัดจนท่านรัฐมนตรีรักชาติกองบนพื้น หน้าตาฟกช้ำดำเขียว น่วมไปทั้งตัว หลังจากนั้นชายทั้งห้าก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว สร้างความตื่นตกใจแก่ผู้คนในละแวกนั้น
ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ ส่งท่านรัฐมนตรีไปรักษาที่โรงพยาบาลไม่ทราบชื่อ หลังจากนั้นก็สอบถามผู้อยู่ในเหตุการณ์
ตำรวจตรงมาถามข้าพเจ้า ถามว่า "คุณอยู่ในเหตุการณ์หรือเปล่า?"
"อยู่ครับ" ข้าพเจ้าตอบ
"ท่าทางคุณก็แข็งแรง บึกบึน ทำไมคุณไม่เข้าไปช่วย?"
ข้าพเจ้ามองหน้าตำรวจ ตอบว่า "ผมก็อยากช่วยครับ แต่ผมเห็นว่าห้าคนก็เอาอยู่แล้วครับ"
..............
เล่าใหม่จากขำขันที่ได้ยินมา โดย วินทร์ เลียววาริณ
16-5-25ขอให้ทุกท่านมีความสุขในวันศุกร์ครับ
0 วันที่ผ่านมา -
มีคนสงสัยว่าบุคลิกตัวละคร พุ่มรัก พานสิงห์ สะท้อนคนเขียนหรือเปล่า
ในโลกของวรรณกรรม ตัวละครอาจจะสะท้อนบุคลิกของคนเขียนหรือไม่ก็ได้ทั้งคู่
และถ้าจะสะท้อนบุคลิกคนจริงๆ มากกว่าหนึ่งคนมารวมกันก็ได้เช่นกัน เช่น บุคลิกของพระเอกในเรื่องหนึ่งอาจมาจากเจ้านาย + ยามในบริษัท + ฆาตกรฆ่าต่อเนื่องคนหนึ่ง
หรือนางเอกอาจมาจากแม่ค้าในตลาด + แฟนเก่า + แฟนใหม่ + กิ๊ก
หรือกระทั่งบุคลิกของตัวละครชายอาจมาจากบุคลิกจริงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ได้
แล้ว พุ่มรัก พานสิงห์ ล่ะ มีบุคลิกบางส่วนมาจากคนเขียนไหม?
ตัวละคร พุ่มรัก พานสิงห์ ปรากฏตัวครั้งแรกในบรรณพิภพปี 2545 มันเริ่มจากเพื่อนสนิทคนหนึ่งคิดจะทำหนังซีรีส์โทรทัศน์เกี่ยวกับนักสืบ ขอให้ช่วยเขียนบทให้ กำหนดว่าต้องการ 26 ตอน
เริ่มต้นจากศูนย์เลย
ก่อนหน้านั้นพี่เรืองเดช จันทรคีรี บรรณาธิการนิตยสารสืบสวน-ฆาตกรรม ‘รหัสคดี’ ก็กระตุ้นผมว่า อยากให้ผมลองเขียนนิยายนักสืบดูบ้าง
ก็เป็นที่มาของโครงการนักสืบคนใหม่ พุ่มรัก พานสิงห์
บุคลิก พุ่มรัก พานสิงห์ เกิดขึ้นแทบจะทันทีที่ได้รับโจทย์ ผมอยากได้นักสืบแบบไทยๆ ไม่ต้องเก่ง แต่กวน teen ผมไม่อยากได้นักสืบเก่ง ฉลาดแบบ เชอร์ล็อค โฮล์มส์ ผมอยากได้ความสนุกในการสืบคดีมากกว่า
บุคลิกนักสืบนักร้องเกิดขึ้นในนาทีที่ 11.22 วลี ‘เสี่ยวอีสาน’ เกิดขึ้นในนาทีที่ 18.25
ผลก็คือผมเขียนโครงการนี้รวดเดียวยี่สิบกว่าตอน
แต่โครงการ ทีวี ซีรีส์ ล้ม จึงตีพิมพ์ในนิตยสาร ตามมาด้วยการรวมเล่ม ตามมาด้วยการเขียนฉบับนวนิยายยาว
หลังจากนั้นก็มักเขียนเรื่องชุดนี้สักเล่มทุกปีหรือสองปี
แม้วางแนวทางของเรื่องว่านักสืบไม่ต้องเก่ง และเรื่องไม่ต้องซับซ้อนมาก แต่ปฏิกิริยาของคนอ่านบางท่านก็คือมักจะไปเปรียบกับนักสืบเก่งๆ ของต่างชาติ
พุ่มรัก พานสิงห์ จะไปสู้อะไรกับ เชอร์ล็อค โฮล์มส์ เล่า พุ่มรักมั่วตลอด อาศัยลูกฟลุคบ่อยๆ
แต่ในเมื่อผู้อ่านท้ากลายๆ นานๆ ทีผมก็จะเขียนเรื่องที่ซับซ้อนมากๆ เช่น ฆาตกรรมจักรราศี คดีสามเงา ฆาตกรรมกุหลาบดำ เป็นต้น
ซับซ้อนจนคนเขียนงงเอง
เล่าออกนอกทะเลไปไกล ก็กลับมาที่คำถามที่หลายคนอยากรู้คือ ตัวละครสะท้อนบุคลิกคนเขียน (ผม) หรือเปล่า
บุคลิกของ พุ่มรัก พานสิงห์ คือกวนตีน ตลกแบบ ‘แป้ก’ หรือมุขคาเฟ่ ขี้อ้อน เจ้าชู้ (ทางวาจา) จีบสาวไปทั่ว แต่เท่าที่ผ่านมา ยังไม่มีพฤติกรรมหลายใจ ยังรักเดียวใจเดียวอยู่กับนางสาว Night Moon
บุคลิกเจ้าชู้แบบนี้ไม่ใช่คนเขียนแน่ๆ (คนเขียนเป็นคนเรียบร้อยจะตายไป!) จะมีจุดคล้ายกันก็คือเรื่องกวนตีนชาวบ้าน หาเรื่องชวนทัวร์ลง ที่เหลือไม่น่าจะใช่
มีคนเคยบอกว่า บางทีบุคลิกของตัวละครอาจสะท้อนด้านที่นักเขียนไม่มี แต่อยากมี
ก็อาจเป็นได้เหมือนกัลล์ เอ๊ย! เหมือนกัน บางทีผู้ชายหลายคนก็อยากเป็นคนเจ้าชู้แบบ พุ่มรัก พานสิงห์ หรือ เจมส์ บอนด์ เป็น escapism (หนีจากโลกความจริงหรือพาฝัน) อย่างหนึ่ง
บางทีนี่ก็คือเหตุผลที่โลกยังต้องมีนิยาย
...................................
จากอีบุ๊ค #ปล่อยให้ความเหงาพาไป
ซื้อได้จากเว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/227/ปล่อยให้ความเหงาพาไป หรือ The Meb
2 วันที่ผ่านมา -
ช่วงนี้ฝนตกบ่อย เปียกโชกไปทั้งเมือง
เชื่อว่าคงไม่มีใครบ่น เพราะยังไงๆ ก็ดีกว่าสูดฝุ่น 2.5 ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
ฝนตกตลอดวันอย่างนี้มักทำให้ผมระลึกถึงวันเด็กในเมืองสายฝน
ก็คือหาดใหญ่บ้านเกิด
ตอนนี้มันยังฝนตกบ่อยหรือเปล่า ไม่รู้ แต่ในช่วงวัยเด็กของผม มันยังเป็นเมืองสายฝน
หาดใหญ่ พ.ศ. นั้นท้องฟ้าสะอาด ไร้มลพิษ รถยนต์มีนับคันได้ มอเตอร์ไซค์ก็ยังมีน้อย พาหนะส่วนใหญ่ของชาวเมืองคือจักรยาน แม้แต่รถรับจ้างก็เป็นสามล้อถีบ
หลายเช้าเราตื่นขึ้นมาในสภาวะฟ้ารั่ว น้ำเทลงมาจากฟ้าอย่างหนัก จนแม่ต้องเรียกรถสามล้อถีบพาเด็กหลายคนไปส่งโรงเรียน คลุมตัวเด็กด้วยร่มกระดาษ
สมัยนั้นยังไม่มีร่มผ้า ร่มทุกชนิดเป็นร่มกระดาษหนาเตอะเทอะทะ
ต่อมาก็มีเสื้อกันฝนพลาสติกจำหน่าย แต่มันห่างไกลจากเสื้อกันฝนบาง ๆ ในสมัยนี้ประมาณห้าร้อยปีแสง เสื้อกันฝนสมัยนั้นทำด้วยพลาสติกหนาเตอะ หนักอึ้งเหมือนเสื้อเกราะ ไม่มีใครอยากสวมใส่
อย่างไรก็ตาม ในสภาพฝนเทหนักอย่างนั้น ร่มหรือเสื้อกันฝนอะไรก็ช่วยไม่ค่อยได้ ไปถึงโรงเรียนในสภาพมะล่อกมะแล่กเหมือนลูกหมาตกน้ำ
ก็ปล่อยให้แห้งไปเอง ไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนหรอก
ตอนกลับบ้านถ้าเจอฝนหนักอีกรอบ ก็เปียกอีกรอบ
ก็โตมาอย่างนี้แหละ
และผมก็น้ำมูกไหลทั้งปีอย่างนี้แหละ
ผมชอบมองเม็ดฝนหล่นลงมาจากฟ้า
นี่อาจเป็นคุณลักษณ์ของชาว introvert ก็ได้ ทว่ามองกลับกัน บางทีการมองเม็ดฝนหล่นจากฟ้าเงียบ ๆ ก็อาจทำให้ใครคนหนึ่งกลายเป็นชาว introvert
นิสัยดูความงามของสายฝนนี่ติดตัวมาจนแก่ เวลาฝนตกพรำ ๆ จะรู้สึกใจสงบนิ่งกว่าเดิม
ผมรักเสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาเสมอ
ทุกครั้งที่ฝนเทหนัก กิจกรรมหนึ่งที่เราต้องทำคือนำกระป๋องโลหะไปรองน้ำฝนที่รั่วลงมาจากหลังคาสังกะสี (สมัยนั้นบ้านที่ปูหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผาถือว่ามีฐานะ)
บ่อยครั้งฝนตกข้ามวันข้ามคืน ไม่ยอมหยุดเลย วันใดที่ฝนหล่นตอนท้องฟ้าเป็นสีขาวหม่น รู้เลยว่าเป็นฝนมาราธอน
ฝนตกชุกมาก ตกได้ข้ามวันข้ามคืน ผลที่ตามมาคือน้ำท่วมบ่อยมาก
น้ำท่วมส่วนใหญ่จะเป็นแบบมาเร็วไปเร็ว ท่วมสูงราวตาตุ่ม หลังจากนั้นราว 1-2 ชั่วโมง น้ำก็ลด
ถือเป็นการล้างบ้านภาคบังคับก็แล้วกัน
แต่นาน ๆ ครั้ง ก็มีแบบ ‘จัดใหญ่’
กลางดึกคืนหนึ่งผมถูกปลุกตื่นด้วยเสียงคนตะโกนกันโหวกเหวก ลงไปชั้นล่างก็พบว่าน้ำกำลังท่วมบ้านสูงถึงเอวคน แลเห็นพ่อกับแม่ และคนงานกำลังช่วยขนข้าวของรองเท้าที่จมน้ำขึ้นที่สูงอย่างแข่งกับเวลา สินค้าหลายส่วนเสียหาย
หาดใหญ่ถูกกองทัพน้ำจู่โจมกลางดึกสงัด
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็พบภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต นั่นคือทั้งเมืองจมใต้น้ำ หาดใหญ่กลายเป็นอัมพาต ทุกกิจการยุติ
ชาวเมืองทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้น้ำลดลงเอง
กินเวลาราว 3-4 วันกว่าน้ำจะลง และราวหนึ่งสัปดาห์ที่ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ
ช่วงที่น้ำท่วม แม่ขนเตาอั้งโล่ขึ้นไปที่ชั้นสอง และทำอาหารตามมีตามเกิด
ในวิกฤตก็มีโอกาส เราเห็นเรือพายหลายลำมาขายของถึงบ้าน เช่น ผัก ผลไม้ เวลาซื้อก็ต้องหย่อนตะกร้าผูกเชือกจากชั้นบนลงไป
นี่เป็นน้ำท่วมใหญ่ครั้งแรกที่ผมจำได้
วินทร์ เลียววาริณ
25-5-25
(อ่านรายละเอียดฉบับเต็มได้จากหนังสือ ชีวิตที่ดี)................................
ชีวิตที่ดีเป็นหนังสือประวัติชีวิตของ วินทร์ เลียววาริณ เล่าโดยเจ้าตัว เป็นบันทึกเกร็ดประวัติศาสตร์ของชีวิตชาวจีนโพ้นทะเลในไทย เล่าวิถีชีวิตของชาวหาดใหญ่เมื่อ 50-60 ปีก่อน แสดงแง่คิด มุมมอง ทัศนคติของชีวิต
เล่มนี้ตั้งใจใช้เป็นหนังสือแจกในงานศพตัวเอง ถ้าซื้อตอนนี้ก็ได้ลายเซ็น ถ้าไปรับในงานศพ จะไม่มีลายเซ็น
ชีวิตที่ดีเล่มเดี่ยว https://www.winbookclub.com/store/detail/236/ชีวิตที่ดี
ชีวิตที่ดีเล่มเดี่ยว https://s.shopee.co.th/8AGEoezG49
โปรโมชั่น 3 เล่ม (ชีวิตที่ดี + หิน 15 ก้อน) https://s.shopee.co.th/8zpLoQYlsc
2 วันที่ผ่านมา -
วันก่อนคุยเรื่องนิทานที่ผมเล่าใหม่คือ จีนกับใบมะขาม
วันนี้จะมาว่าถึงนิทานที่ผมแต่งเอง เป็นนิทานเสียดสีสังคม
คือ นิทานอีแสบ (กวน T ชื่อ นิทานอีสป)
วันนี้ขอนำนิทานอีแสบมาเล่าสักตอน ชื่อตอน หมาที่ลืมเงาทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่ง
กาลครั้งหนึ่งมีหมาไม่ธรรมดาตัวหนึ่ง... เหตุที่มันไม่ใช่หมาธรรมดา มิใช่เพราะมันมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนหมาตัวอื่น หากคือมันยุ่งทั้งวัน
เหตุที่มันยุ่งทั้งวันเพราะมันต้องการหาเงินมาก ๆ เหตุที่มันต้องการเงินมาก ๆ เพราะมันอยากรวย เหตุที่มันอยากรวยเพราะมันเคยเป็นหมายากจนมาก่อน มันจึงสัญญากับตัวเองว่า มันจะต้องร่ำรวยให้ได้ จะไม่ยอมตายอย่างหมาข้างถนนเป็นอันขาด
นับแต่วันนั้นมา มันก็ทำงานทั้งวันยันวัน บางครั้งก็ทำงานค่ำยันค่ำเพื่อเก็บเงิน หากินจนลืมวันลืมคืน ไม่มีเวลาแม้ส่องดูเงาตนเองในน้ำ
วันหนึ่งมันเดินผ่านลำธารสายหนึ่ง นึกอย่างไรไม่รู้ ก้มดูตัวเองในน้ำ พลันมันตะลึง เมื่อพบว่าในน้ำไม่มีเงาของมันเอง
มันยืนกลางแดด ก้มลงดูพื้นที่มันเหยียบ ก็ไม่เห็นเงาของมัน
มันถามกวางที่เดินผ่านมา "ท่านเห็นเงาของข้าบ้างไหม?"
กวางบอกว่า "ไม่เห็น"
มันถามหมูป่าที่เดินผ่านมา "ท่านเห็นเงาของข้าบ้างไหม?"
หมูป่าตอบอย่างเดียวกับกวาง
มันถามต้นหญ้าที่มันยืนอยู่ "ท่านเห็นเงาของข้าบ้างไหม?"
ต้นหญ้าตอบอย่างเดียวกับกวางและหมูป่า เป็นอย่างนี้ไปทุกครั้งจนมันเลิกถาม
มันไปหาลิงซึ่งเปิดสำนักงานนักสืบ ให้ช่วยสืบหาเงาที่หายไป
"ท่านเห็นเงาของท่านครั้งสุดท้ายเมื่อใด?"
"จำไม่ได้ หลายปีที่ผ่านมา ข้าทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูเงาตัวเอง"
"เงาของท่านมีหน้าตาอย่างไร?"
"ท่านถามทำไม? ในเมื่อเป็นเงาของข้าเอง รูปร่างหน้าตาของเงาก็ย่อมสะท้อนตัวข้าเอง"
"บางตัวไม่ชอบใช้เงาตัวเอง"
หมาตัวนั้นนึกไม่ออกว่าตนเองทำเงาหายที่ไหน
นักสืบบอกว่า "ในช่วงเวลาที่ข้าตามสืบ ท่านก็ใช้เงาของผู้อื่นไปพลางก่อน การไม่มีเงาติดตัวนี่ออกจะเป็นเรื่องที่ไม่สุภาพไปหน่อย"
หมาไปหาซื้อเงาที่ร้านขายเงา ผู้ขายกล่าวว่า "ร้านของเราไม่ได้ใหญ่ที่สุดในป่านี้ แต่มีเงาให้เลือกมากที่สุด เรามีเงาของช้าง เงาของแรด เงาของสิงโต..."
"เงาของหมามีไหม?"
"ท่านจะสวมเงาหมาไปทำไม ไม่มีใครอยากได้เงาหมากัน มีแต่อยากจะเปลี่ยนทั้งนั้น เอาเงาช้างดีกว่า ดูสง่ากว่ากันเยอะ"
"แต่เงาช้างนั้นใหญ่กว่าตัวข้ามาก เมื่อสวมเงาแล้วจะดูผิดส่วน"
"ผิดนิดผิดหน่อยจะเป็นไร ในเมื่อดูสง่างามกว่าเงาหมามาก"
หมาเดินออกจากร้านนั้นพร้อมกับเงาช้าง มันรู้สึกอึดอัดที่ต้องแบกเงาอันหนักอึ้ง แต่เมื่อสัตว์อื่นที่ผ่านทางมาชมว่าเงาของมันสง่ายิ่ง มันก็รู้สึกดีขึ้น
มันสวมเงาหนักอึ้งของช้างอยู่นาน จนวันหนึ่งมันก็แบกรับเงานั้นไม่ไหว มันตัดสินใจถอดเงาช้างทิ้ง และเดินทางค้นหาเงาของมันต่อไป
มันกลายเป็นหมาที่ไร้เงา...
มันเดินทางไปที่ร้านขายเงาและซื้อเงาใหม่
เงาใหม่ของมันเป็นเงาสิงโต คราวนี้เงาของมันเบากว่าเดิม แต่กระนั้นก็ใหญ่เกินร่างมัน แต่เมื่อสัตว์อื่นชมมันว่า เงาของท่านช่างงามสง่าเช่นเจ้าป่า มันก็ยอมทนสวมเงาที่น่าอึดอัดนั้นต่อไป
หมาตัวนั้นสวมเงาสิงโตอยู่นาน จนวันหนึ่งมันก็ทนไม่ได้ มันถอดเงาสิงโตทิ้งไป มันกลายเป็นหมาที่ไร้เงาอีกครั้ง
วันหนึ่งมันพบเงาของมันทิ้งอยู่ที่ริมทาง เก่าขาดวิ่น มันหยิบเงาขาดวิ่นนั้นขึ้นมาสวม แม้จะสวมสบายกว่าเดิม แต่เงาของมันที่ปรากฏบนพื้นดูไม่ดีเลย สัตว์อื่นล้วนหัวเราะเยาะเงาที่ขาดวิ่นของมัน
แต่มันก็สวมเงานั้นต่อไป...
เงาของมันพูดกับมันว่า "ท่านรังเกียจข้าหรือ? เพราะข้าเก่าและขาดวิ่น?"
"เพราะผู้อื่นบอกว่าข้าไม่ควรสวมเงาที่เก่าขาด"
"แต่ท่านรู้ไหมว่าข้าเก่าและขาดเพราะท่านไม่เคยดูแลข้า หลายปีมานี้ เราไม่ได้คุยกันเลย"
"ข้ามัวยุ่งกับงาน"
หลังจากนั้นมันก็คุยกับเงาของมันทุกวัน ไม่นานต่อมาเงาที่ขาดวิ่นของมันก็ค่อย ๆ คืนตัว จนในที่สุดก็กลายเป็นเงาที่สมบูรณ์"
.......................
จากนวนิยาย ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85
9 วันที่ผ่านมา