-
วินทร์ เลียววาริณ7 เดือนที่ผ่านมา
เขาทูลรายงานพระองค์ว่า “หมูที่ได้รับพระราชทานมานั้น ตอนนี้เป็นโรค สัตวแพทย์รักษาอย่างไรก็ไม่หาย”
เขาเป็นหัวหน้าชาวเขาเผ่าเย้า รับเสด็จเมื่อพระองค์มาเยือนหมู่บ้านแห่งนี้พร้อมกับพระราชทานหมูให้ชาวบ้านเลี้ยง ผ่านมาระยะหนึ่ง หมูของเขาเป็นโรคจนผ่ายผอม
ตรัสถามว่าหมูเป็นโรคอะไร เขาทูลตอบว่าไม่รู้
สดับดังนั้น ในหลวงก็เสด็จไปทอดพระเนตรหมู พบว่าหมูตัวนั้นป่วยเป็นโรคเรื้อน
พระองค์ตรัสถามเขาว่า มีน้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ที่ไม่ใช้แล้วบ้างไหม
เขาตอบว่ามี
รับสั่งให้นำผ้าขี้ริ้วมา ทรงใช้ผ้าขี้ริ้วจุ่มในน้ำมันเครื่อง แล้วทรงให้เขานำไปทาตัวหมูที่เป็นโรคเรื้อน วันเว้นวันสักสิบครั้ง
ปีถัดมา ในหลวงเสด็จมาที่หมู่บ้านอีกครั้ง เขาเดินนำทางพระองค์ไปทอดพระเนตรหมูตัวนั้น ตอนนี้ออกลูกมาหลายครอก
เขาบอกว่า “ยาพ่อหลวงนี้ดีแท้ เวลานี้ได้ลูกหลานเยอะแยะ”
[ชาวเขาเผ่าเย้า ราษฎรในรัชกาลที่ 9]
จากหนังสือ ท่ามกลางประชาชน : เรื่องเล็ก ๆ ในรัชสมัยอันยิ่งใหญ่
วินทร์ เลียววาริณ1- แชร์
- 57
WPเรา💗ในหลวง
-
ท่านรัฐมนตรีรักชาติกับคณะทำงานไปเยี่ยมโรงเรียนแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็บอกให้ผู้ช่วยพิมพ์รายงานเสนอร่างกฎหมายลดค่าใช้จ่ายของโรงเรียนทั้งหมด
"ค่าใช้จ่ายอาหารกลางวันเด็กสูงเกินไป จะกินดีไปหน่อยแล้ว หั่นทิ้งไป ค่าอินเทอร์เน็ตก็ไม่จำเป็น เด็กจะติดเน็ตเปล่าๆ ถ้าจะใช้ ก็ให้จ่ายกันเอง ส่วนคอมพิวเตอร์ไม่ต้องซื้อ สิ้นเปลืองงบประมาณเปล่าๆ ห้องสมุดก็ไม่ต้องปรับปรุง ตอนนี้ทุกอย่างเป็นดิจิตัล เด็กๆ ใช้หนังสือเป็นหมอนไม่ดีนะ เดี๋ยวคอเคล็ด"
วันต่อมาท่านรัฐมนตรีรักชาติไปเยือนเรือนจำ หลังจากเดินตรวจตราทั่วเรือนจำแล้ว ก็สั่งให้ผู้ช่วยพิมพ์รายงานเสนอร่างกฎหมายเพิ่มค่าใช้จ่ายของเรือนจำ
"อาหารที่นี่คุณภาพต่ำ หมายังไม่แดก นักโทษก็เป็นคนนะ เราต้องเพิ่มอาหารให้ดีขึ้นทั้งคุณภาพและปริมาณ ส่วนสัญญาณอินเทอร์เน็ต ก็ควรติดทั่วคุก ส่วนเตียงนอน ก็หาฟูกดีๆ มาหน่อย จะให้นอนบนพื้นแข็งๆ ได้ยังไง มันไม่ถูกต้องกับหลักฮิวมั่นไรท์ อ้อ! เครื่องทีวี ก็ขอให้ติดตั้งทั่วทั้งคุก เอาจอใหญ่สักร้อยนิ้ว ลำโพงดีหน่อย"
ผู้ช่วยถาม "ท่านครับ ทำไมเราจึงลดค่าใช้จ่ายของโรงเรียน แล้วปรับปรุงคุณภาพของคุกครับ?"
รัฐมนตรีรักชาติตบหัวผู้ช่วยหนึ่งที
"คุณนี่โง่บรรลัยเลย พวกเราอายุขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องเข้าโรงเรียนแล้ว แต่เรามีโอกาสสูงที่จะเข้าคุก"
วินทร์ เลียววาริณ
เล่าใหม่จากขำขันที่เคยได้ยินมา24-5-25
0 วันที่ผ่านมา -
เคยไหมที่นั่งทำงานอยู่ดีๆ นึกถึงเหตุการณ์เจ้านายตวาดใส่เมื่อ 2-3 ปีก่อนที่มาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ไปดูหนัง แต่สมองกลับคิดเรื่องคำพูดของเพื่อนที่ทำร้ายจิตใจเราเมื่อสิบปีก่อน
เดินเล่นในสวนสวย แต่ความคิดกลับพาเราไปโลกอื่น
มันเป็นเรื่องแปลกที่หลายความคิดปรากฏตัวโดยกะทันหัน มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มาโดยไม่ได้นึกถึงมันมาก่อน
ทำไมเป็นอย่างนั้น?
นี่เป็นอาการปกติของจิตที่ไม่ได้ฝึกสมาธิ ไม่เจริญสติ
คลิกลิงก์อ่านต่อได้เลยใน Blockdit https://www.blockdit.com/posts/67fbd5a2e2c7f2cd8aed306c
0 วันที่ผ่านมา -
โพสต์ดาราศาสตร์ 101 พูดถึงยูโรปา ดวงจันทร์ดวงหนึ่งของดาวพฤหัส ทำให้ต้องคุยเรื่องต่อไปนี้
ยูโรปาเป็นน้ำแข็งทั้งดวง แต่เชื่อว่าใต้น้ำแข็งหนาคือมหาสมุทร
เมื่อ 20 ปีก่อน (2548) ผมตีพิมพ์นิยายไซไฟชุด จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย ในเล่มมีเรื่องสั้นชื่อ สงครามยูโรปา ใช้ฉากดวงจันทร์ยูโรปา
ผมแต่งเรื่องให้มนุษย์ต้องการทรัพยากรพิเศษบางอย่างที่มีเฉพาะในมหาสมุทรของยูโรปา ผมแต่งเรื่องให้จักรวรรดิโลกจำต้องครอบครองดวงจันทร์ดวงนี้ ผลก็คือเกิดสงครามระหว่างมนุษย์กับชาวยูโรปา
ผมยังแต่งเรื่องให้สัตว์น้ำบนดวงจันทร์นี้มีสารเคมีบางตัวที่เหมาะกับสรีระมนุษย์ เป็นยาอายุวัฒนะอย่างหนึ่ง ตัวเอกเป็นทหารถูกส่งไปรบ และรักกับชาวพื้นเมืองยูโรปา แล้วหันไปต่อต้านกองทัพชาวโลก
นอกจากนี้ผมยังแต่งเรื่องให้มีการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมคนให้ร่างกายสามารถอยู่อาศัยในสภาวะของดวงจันทร์นี้ได้
พล็อตนี้เหมือนลอกเรื่อง Avatar และ Avatar : The Way of Water ของ เจมส์ คาเมรอน มาเลย
โชคดีที่ผมเขียนก่อนเรื่อง Avatar 4 ปี และก่อน The Way of Water 17 ปี ไม่งั้นคงเข้าข่ายลอก เพราะคงไม่มีใครเชื่อคนไทยคิดก่อน
กลับมาที่ยูโรปา ในเรื่อง 2010: Odyssey Two โซเวียตกับสหรัฐฯจับมือกันส่งยานไปดาวพฤหัส แต่พบว่ามียานอวกาศลำหนึ่งแซงไป
มันเป็นยานอวกาศของจีน ชื่อเซียน มุ่งหน้าที่ดาวพฤหัสเช่นกัน ยานเซียนนั้นแล่นไปเร็วมาก เพราะขนเชื้อเพลิงไปแค่เที่ยวเดียว
นักวิทยาศาสตร์จีนกะว่าจะเอาน้ำจากยูโรปาเป็นเชื้อเพลิงเที่ยวกลับ
ยานเซียนไปจอดที่ยูโรปา และถูกบางสิ่งบนยูโรปาทำลาย นักวิทยาศาสตร์จีนชื่อจางส่งสารไปที่ยานโซเวียต บอกว่ามีชีวิตบนยูโรปา แล้วก็ตายไป
เมื่อยานโซเวียตไปถึง พบว่าสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวเปลี่ยนดาวพฤหัสเป็นดวงอาทิตย์ เพื่อทำให้น้ำแข็งบนยูโรปาละลาย และกำเนิดชีวิตใหม่ที่นั่น
แล้วส่งสารสุดท้ายผ่านสมงกล HAL ไปยังโลกว่า "ทุกโลกเป็นของพวกท่าน ยกเว้นยูโรปา อย่าพยายามลงจอดที่นั่น"
แต่มนุษย์ก็คือมนุษย์ ส่งยานไปที่ยูโรปาอีกหลายลำ และทุกลำก็ถูกทำลาย
บางทีสิ่งเดียวที่สามารถเตือนมนุษยชาติได้ก็คือสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาว
แต่สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวจะสามารถเตือนเราว่าอย่าสร้าง 'กสน' ได้ไหมหนอ
ป.ล. รูปที่นำลงมาเป็นรูปจริง เส้นสายบนดวงจันทร์ในรูปคือร่องลึกรอยแตกของน้ำแข็ง
วินทร์ เลียววาริณ
23-5-252 วันที่ผ่านมา -
สมัยก่อนเวลาเถ้าแก่ไปสู่ขอลูกสาวให้หนุ่มไหน พ่อแม่หญิงสาวจะถามไถ่เรื่องรายได้ของชายหนุ่มคนนั้นว่า มีเงินพอจะเลี้ยงดูลูกเมียไหม ความสามารถในการหาเงินเป็นมาตรวัดทางอ้อมว่าลูกสาวจะมีความสุขในชีวิตคู่
ความรักอย่างเดียวไม่ว่าจะดูดดื่มแค่ไหนก็ไม่พอ การกัดก้อนเกลือกินบั่นทอนความรักให้จืดจางได้ง่าย ๆ กิน ‘เกลือ’ บ่อย ๆ นอกจากไตจะพังแล้ว หัวใจพลอยไปไม่รอดด้วย เงินจึงเป็นมาตรวัด ‘ความสุข’ ไปโดยปริยาย
เคยได้ยินผู้หญิงพูดกันเล่น ๆ ไหมว่า “ฉันรักผู้ชายดี หลงผู้ชายเลว ชอบผู้ชายห่าม แต่ขอแต่งงานกับผู้ชายรวย!”
ในสเกลใหญ่ระดับประเทศ เราก็วัดความเจริญรุ่งเรืองของชาติที่รายได้เหมือนกัน มาตรนี้เรียกว่า GDP - Gross Domestic Product
จีดีพี หรือ จ.ด.พ. วัดความสำเร็จและความเจริญของชาติด้วยตัวเลขความเติบโตทาเศรษฐกิจโดยคำนวณจากมูลค่าตลาดของสินค้าและบริการที่ประเทศหนึ่ง ๆ ผลิตขึ้น เราใช้ จ.ด.พ. วัดมาตรฐานการครองชีพของประชากรในประเทศนั้น ๆ
ผู้นำประเทศต่าง ๆ มักบอกประชาชนให้เข้าใจโดยนัยว่า ค่า จ.ด.พ. ยิ่งสูง คุณภาพชีวิตยิ่งดี แต่ค่า จ.ด.พ. สูงไม่ได้มีความหมายอะไรนอกจากจะบอกว่าประเทศนั้นมีเงิน
ปัญหาคือ จ.ด.พ. ไม่สนใจว่าผลผลิตนั้นใช้ทรัพยากรของชาติใด ไม่แคร์ว่ากระบวนการได้ตัวเลขสูง ๆ ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือไม่ มันไม่ได้วัดว่าธรรมชาติเสื่อมโทรมลงเท่าไร ส่งผลกระทบต่อโลกในด้านลบแค่ไหน เช่น ปลดปล่อยธาตุคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศจนทำให้โลกร้อนมากน้อยเพียงใด หรือไก่ที่ยืนในกรงแคบ ๆ ตลอดชีวิตจะทนทุกข์ทรมานแค่ไหน
จ.ด.พ. จึงเป็นเพียงค่าทางตัวเงิน ไม่ใช่ค่าทางจิตใจ ไม่ใช่ค่าคุณภาพชีวิต มันไม่อาจวัดได้ว่าคนมีความสุขหรือไม่
เช่นเดียวกับระบบความเชื่อที่ผูกคำว่า ‘ศีลธรรม’ เข้ากับคำว่า ‘ศาสนา’ ระบบเศรษฐกิจก็ผูกคำว่า ‘รายได้’ เข้ากับคำว่า ‘ความสุข’ เราจึงได้ยินแต่คนพูดเรื่องเศรษฐกิจและการสร้างหนี้เพื่อ ‘ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ’ กู้แล้วกู้อีก ใช้หมดแล้วก็กู้ใหม่ ประเทศเราไม่เคยว่างเว้นจากหนี้สิน และกู้กันหนักมือขึ้น มีคนคำนวณว่า เราต้องใช้เวลาห้าสิบปีในการจ่ายหนี้ก้อนใหญ่ล่าสุดที่กู้มา
ว่าก็ว่าเถอะ เหล่านี้เป็นหนี้สินที่พอชำระคืนได้
แต่หนี้ที่สำคัญที่สุดซึ่งเราไม่มีปัญญาชดใช้คือความเสื่อมของธรรมชาติและความหมดสิ้นของทรัพยากร เราตัดป่าด้วยอัตราเร็วเหมือนว่าต้นไม้สามารถงอกคืนได้ภายในวันเดียว เราเอาของทุกอย่างมาจากธรรมชาติ ขุดน้ำมัน เหล็ก ทอง เพชร ฯลฯ แต่ไม่อาจชดใช้คืนให้ธรรมชาติ เพราะกระบวนการของธรรมชาติกินเวลานานกว่าอารยธรรมของมนุษยชาติ
มันก็คือการขโมยทรัพยากรจากลูกหลานของเรานั่นเอง ทุกครั้งที่ตัดป่าทำลายธรรมชาติ เปลี่ยนสภาพดินฟ้าอากาศให้วิปริต โลกอนาคตของลูกหลานเราก็หดแคบลง ลูกหลานเราเป็นคนที่รับกรรมจากการแข่งกันสร้าง GDP ของเราในวันนี้
และเมื่อน้ำมันหมดโลก ป่าเหี้ยนหายเมื่อไร จ.ด.พ. อาจย่อมาจาก ‘จนดีพี่’, ‘เจ๊งดีพี่’ และ ‘ เจ็บดีพี่’
GDP โดยตัวมันเองไม่ใช่เรื่องดีหรือเรื่องร้าย มันเป็นแค่ตัวเลข เหมือนตัวเลขในบัญชีธนาคารของเรา ตัวเลขเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรเลยจนกระทั่งเราเชื่อว่าต้องมีตัวเลขสูง ๆ จึงจะมีความสุข
เมื่อมองทุกอย่างเป็นตัวเงิน ก็ได้คำตอบแบบตัวเลข ดูเหมือนว่าเราพูดแต่เรื่องเศรษฐกิจ ไม่เคยพูดถึงเรื่องความสุขทางใจเลย
คนที่มีรายได้สูงอาจสามารถจับจ่ายได้มากกว่า คล่องตัวกว่า แต่ไม่ได้แปลว่ามีความสุขมากกว่า
หากมนุษยชาติต้องการจะเหลือโลกที่ลูกหลานเราพออยู่อาศัยได้อย่างมีความสุข และเหลือพื้นที่ให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ด้วย เราอาจต้องคิดไปไกลกว่าแค่ประกวดตัวเลข GDP เหมือนกับที่เราใช้ตัวเลขประกวดสิ่งอื่น ๆ ทั้งหลาย ตั้งแต่สัดส่วนนางงาม, ‘ความใหญ่ที่สุดในโลก’
บางทีเราควรหันไปแข่งขันตัวเลขของความสุขหรือ จ.ด.พ. หัวใจมากกว่า
จ.ด.พ. = จิตดีพี่
จ.ด.พ. = เจริญ(ทางใจ)ดีพี่
จ.ด.พ. = แจ่มดีพี่
เพราะ จ.ด.พ. ทางเศรษฐกิจหรือจะสู้ จ.ด.พ. ของความสุข
วินทร์ เลียววาริณ
22-5-25....................
บางท่อนจากหนังสือ รอยยิ้มใต้สายฝน
35 บทความกำลังใจ หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วโปรโมชั่นทางแพ็คเกจทาง Shopee
https://shope.ee/AKD4JG1XZy?share_channel_code=62 วันที่ผ่านมา -
The public have an insatiable curiosity to know everything, except what is worth knowing.
Oscar Wilde
3 วันที่ผ่านมา