-
วินทร์ เลียววาริณ9 เดือนที่ผ่านมา
เมื่อวานนี้ผมเขียนว่า เรื่องการตั้งชื่อด้วยอักษรมงคลนั้นไร้สาระโดยสิ้นเชิง เหลวไหลล้วน ๆ
อาจมีคนอยากถามว่า ทำไมแน่ใจขนาดนั้น ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ไม่ใช่หรือ?
คนที่คิดแบบแทงกั๊ก ไม่คิิดวิเคราะห์ ก็คงเชื่อเรื่องนี้ต่อไป ก็เอาที่สบายใจ
แต่ถ้าอยากใช้ชีวิตแบบกาลามสูตรของพระพุทธเจ้า ก็ต้องคิด-ศึกษาก่อนเชื่อ
กติกาง่าย ๆ ของนามมงคลคือ ไม่ตั้งชื่อด้วยอักษรกาลกิณี โดยเฉพาะอักษรแรก
กาลกิณีแปลว่าเสนียด จัญไร อัปมงคล
กติกาของความเชื่อนี้คือ หากชื่อนำหน้าด้วยอักษรกาลกิณีหรือมีอักษรกาลกิณีในชื่อ จะเป็นอัปมงคล ส่งผลให้ชีวิตตกต่ำ ไม่ประสบความสำเร็จ ทุกข์ยาก
อักษรกาลกิณีของคนเกิดวันต่าง ๆ เช่น เกิดวันอาทิตย์ : ศ ษ ส ห ฬ อ เกิดวันจันทร์ : สระ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ เกิดวันอังคาร : ก ข ค ฆ ง ฯลฯ
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยเมื่อปี พ.ศ. 1826 โดยทรงดัดแปลงอักษรขอมหวัดและอักษรไทยเดิม ซึ่งดัดแปลงมาจากอักษรมอญ ทรงออกแบบสระและวรรณยุกต์ เพื่อแทนเสียงต่าง ๆ ได้ทุกคำ ให้สระและพยัญชนะอยู่ในบรรทัดเดียวกัน เรียกอักษรใหม่นี้ว่า ลายสือไทย
สมมุติว่าในช่วงเวลานั้นอิทธิพลจีนยิ่งใหญ่ในภูมิภาคนี้ พ่อขุนรามคำแหงฯก็อาจทรงใช้อักษรจีนเป็นต้นแบบในการดัดแปลง อักษรไทยวันนี้ก็คงมีโครงสร้างแบบจีน หรือหากช่วงนั้นชาวกรีกมา และได้รับอิทธิพลจากละติน ภาษาไทยตอนนี้ก็ต่างออกไป อาจมีหน้าตาคล้าย A B C ความมงคลของอักษร ก ข ค ก็ไม่ดำรงอยู่ ทันใดนั้นอักษรกาลกิณีของไทยก็ไม่ดำรงอยู่ในโลก อำนาจแห่งอักษรแบบ ก ข ค ง จู่ ๆ หายไปได้อย่างไร? คำสาปแช่งว่า “ถ้าใช้อักษรกาลกิณี ชีวิตจะแย่” มาจากไหน? ใช้หลักอะไร?
ผมไม่รู้ว่าแฟชั่นตั้งชื่อด้วยอักษรมงคลของเราอิงกับชื่อวันนั้นเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไร จำได้ว่าตอนเด็ก เราไม่ค่อยซีเรียสกับเรื่องนี้ เกิดมาตัวดำก็ตั้งชื่อว่า ดำ เกิดมาตัวแดงก็ตั้งชื่อว่า แดง
ปัญหาของคนไทยคือ เราโดนสองเด้ง เพราะเราผูกสิ่งที่เรียกว่า ‘อักษรมงคล’ เข้ากับวันมงคล
เมื่อนำสิ่งสมมุติของวันมารวมกับสิ่งสมมุติเรื่องอักษรไทย แล้วตั้งเป็นหลักว่า อักษรนี้เป็นมงคลกับคนเกิดวันจันทร์ อักษรนั้นเป็นมงคลกับคนเกิดวันอังคาร ฯลฯ จึงเท่ากับเหลวไหลซ้ำสอง
อักษรไทยไม่ได้งอกมาจากดิน ไม่ได้เกิดบนท้องฟ้า เราประดิษฐ์มันขึ้นมาเอง
มีสิ่งประดิษฐ์อะไรในโลกที่สามารถกำหนดชะตาชีวิตเราได้?
มีคำถามมากมายเกี่ยวกับอักษรมงคล-กาลกิณี
ก่อนหน้าที่อักษรไทยถือกำเนิดในปี พ.ศ. 1826 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำงานแผนกภาษาไทยอยู่ที่ไหน? เพิ่งเกิดมาในวันที่พ่อขุนรามฯ ทรงประดิษฐ์อักษรหรือ? ตอนที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม สั่งลบอักษรไทยออกไปเกือบครึ่ง อำนาจศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน? ทำไมอำนาจศักดิ์สิทธิ์ทำอะไรจอมพล ป. ไม่ได้? ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่คัดค้านหรือลงโทษ? อักษร ข ขวด ค คน (ขออภัยที่ต้องใช้อักษร ข กับ ค เพราะแม้แต่ในคีย์บอร์ดก็ไม่มี) เลิกใช้ไปแล้ว เป็น ผลงานของอำนาจศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?
แปลว่าอำนาจศักดิ์สิทธิ์นั้นเกิดขึ้นเพราะฝีมือมนุษย์ ประดิษฐ์ภาษาใหม่ขึ้นมาเมื่อไร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จัดสรรเทวดามาดูแลภาษาใหม่นั้น ๆ หรือ?
สมมุติว่าเราเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำไมเราจึงทำงานให้เฉพาะภาษาไทย ทำไมไม่รวมอีกเกือบเจ็ดพันภาษาทั่วโลก? ทำไมต้องรอให้ภาษาไทยเกิดขึ้นในโลกจึงเร่ิมปฏิบัติการอักษรมงคล? เมืองไทยมีอะไรดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงทำให้แต่คนไทย?
หากอำนาจศักดิ์สิทธิ์ทำงานกับอักษรไทย ได้ทำงานกับภาษาอื่นหรือไม่ ภาษาจีน อินเดีย อังกฤษ เยอรมัน ฯลฯ
อำนาจศักดิ์สิทธิ์รวมภาษาคอมพิวเตอร์ด้วยหรือไม่? ภาษา BASIC, ภาษา C, ภาษา COBOL, ภาษา FORTRAN, ภาษา Pascal ฯลฯ รวมภาษามือด้วยหรือไม่? หากขยับมือขยับเท้าผิดจังหวะ ชีวิตจะแย่ลงหรือไม่?
วันหนึ่งเมื่อชาวโลกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ มีโอกาสสูงมากที่ระบบประเทศจะหายไปจากโลก เราจะแบ่งเพียงชาวโลก ชาวอังคาร ชาวยูโรปา ชาวไทตัน เวลานั้นประเทศไทย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส ฯลฯ จะหายไปจากโลก อาจรวมทั้งภาษาด้วย ถึงเวลานั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำงานแผนกภาษาไทยก็หมดหน้าที่เช่นนั้นหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มนุษย์ก็มีอำนาจเหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่?
เทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำงานเป็นประเทศหรือไม่? ก่อนที่โลกจะแบ่งเป็นประเทศเป็นภาษา สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้อยู่ที่ไหน หรือเพิ่งปรากฏตัวในนาทีที่มีการแบ่งประเทศและประดิษฐ์ภาษาขึ้นมา?
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำงานอย่างไรในกรณีภาษาซึ่งอักษรเดียวกันออกเสียงต่างกันมากมายตามภาษาท้องถิ่น เช่น ภาษาจีน
ในกรณีที่ภาษาสาบสูญไป สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะหายไปด้วยหรือไม่?
เราดูอักษรหรือความหมาย? ถ้าชื่อความหมายดีมาก แต่อักษรไม่ได้อยู่ในตารางมงคล ชื่อนั้นก็ส่งผลร้ายเลยหรือ? ถ้าชื่อนั้นใช้อักษรกาลกิณี แต่ความหมายมงคล จะยังมีความมงคลไหม เช่น ชื่อ เลิศ ประเสริฐ มงคล ที่ไม่ตรงกับวันเกิดมงคลของเจ้าของชื่อ คำว่า เลิศ ประเสริฐ มงคล ก็จะเป็นอัปมงคลเช่นนั้นหรือ?
ทำนองเดียวกัน หากคนเกิดวันพุธ อักษร บ เป็นมงคล ตั้งชื่อว่า บัดซบ ชีวิตยังเป็นมงคลหรือไม่? หรือเกิดวันอังคาร ช เป็นมงคล ตั้งชื่อตัวเองว่า ชั่วช้า ก็ยังเป็นมงคลหรือ?
อักษรกาลกิณีรวมนามสกุลไหม? ถ้าไม่รวม ทำไมจึงไม่รวม ในเมื่อมันเป็นส่วนหนึ่งของชื่อ? ถ้ารวมแปลว่าทุกคนที่ใช้นามสกุลนั้นจะดีหรือแย่เหมือนกัน ถ้านามสกุลไม่มงคล แต่ชื่อเป็นมงคล จะหักลบกันได้หรือไม่? สมัยที่เมืองไทยยังไม่ใช้นามสกุล อำนาจศักดิ์สิทธิ์ไม่ทำงาน?
สัตว์ที่เกิดในเมืองไทยอยู่ในอำนาจศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วยไหม? ในเมื่อเราตั้งชื่อสัตว์ด้วย
คนชื่อ John (จอห์น) เกิดวันพุธ อักษร จ เข้าข่ายกาลกิณี แต่ถ้าสะกดว่า ยอห์น ก็จะมงคลขึ้นมาทันที ทั้งที่เป็นชื่อเดิม?
คนชื่อ Jose ถ้าเกิดวันพุธ ก็ไม่เป็นไร เพราะถึงเป็นอักษร จ แต่ไม่มีผล เพราะในกรณีนี้ J ออกเสียงเป็น ฮ Jose ออกเสียง โฮเซ หรือยังเป็นกาลกิณี?
คนอินเดียชื่อ Singh (สิงห์) เกิดวันอาทิตย์ อักษร ศ ษ ส เป็นกาลกิณี ก็ต้องสะกดเป็น ซิงห์ ห้ามสะกด สิงห์ ศิงห์ ษิงห์ เช่นนั้นหรือ? หรือว่าคนอินเดียไม่ตกอยู่ในอำนาจเหนือธรรมชาติชนิดนี้? หรืออำนาจเหนือธรรมชาติก็แบ่งสัญชาติ? ความมงคลและกาลกิณีของอักษรไทยทำงานเฉพาะคนถือสัญชาติไทยเท่านั้น? หรือคนชื่อ Singh (สิงห์-ซิงห์) อยู่อินเดียไม่เป็นไร แต่จะเกิดปัญหาทันทีที่เดินทางเข้าประเทศไทยเท่านั้น?
ทำนองเดียวกัน คนไทยที่ใช้อักษรกาลกิณี แต่หากสะกดเป็นภาษาอังกฤษแล้วไม่กาลกิณี จะยึดอันไหน หรือว่าหารสอง หรือว่าอย่างไร? เช่น ธานี (Tanee) เกิดวันพฤหัส ใช้ ธ ก็เป็นอักษรกาลกิณี แต่สมมุติว่า ธานี สะกดว่า Thanee หรือ Dhanee มันจะลดความไม่มงคลลงครึ่งหนึ่งไหม ในเมื่อตัว ห (h) เป็นอักษรมงคล?
คนที่ใช้ชื่ออักษรควบกล้ำทำงานอย่างไร คนชื่อ ปลอด ถ้า ป เป็นมงคล ล ไม่มงคล แปลว่าความมงคลลดลง 50 เปอร์เซ็นต์หรือไม่? ในเมื่อออกเสียงว่า ปลอด ไม่ใช่ ปอด ดังนั้น ล ก็ต้องนำมาคิดด้วย?
ถ้าคนชื่อหวายเกิดวันศุกร์ ตัว ว ซึ่งเป็นกาลกิณีก็ไม่ออกฤทธิ์เพราะมี ห (ไม่กาลกิณี) นำหรือ?
คนชื่อหวาย เสียงออก ว เป็นหลัก อักษร ห เป็นแค่ตัวกำหนดระดับเสียงหรือวรรณยุกต์ ทำงานอย่างไร? หารสอง?
จะเห็นว่าการกำหนดว่าอักษรใดเป็นมงคล หรือเป็นกาลกิณีไม่ได้ตั้งบนธรรมชาติหรือหลักทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ เป็นเพียงความเชื่อลอย ๆ เป็นการมั่วโดยไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
บางทีบทพิสูจน์ที่ง่ายที่สุดว่าอักษรมงคล-กาลกิณีเป็นจริงหรือเหลวไหลคือดูตัวอย่างจริง ทั้งคนที่ประสบความตกต่ำสุดขีด ชีวิตพินาศฉิบหาย กับคนที่ประสบความเจริญ มีชื่อเสียง ผู้คนยกย่อง
พระนางมารี อังตัวเนตต์ ประสูติในวันอาทิตย์ อักษร ม เป็นมงคล แต่ไม่อาจช่วยเปลี่ยนจุดจบโศกนาฏกรรมของพระองค์ได้เลย
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เกิดวันเสาร์ ชื่อใช้อักษร อ ซึ่งจัดว่าเป็นมงคล แต่สิ่งที่เขาทำตรงกันข้ามกับความเป็นมงคล และเป็นผู้ที่ถูกสาปแช่งมากที่สุดคนหนึ่งในโลก
ประธานาธิบดี นิโคไล เชาเชสกู เกิดวันเสาร์ ชื่อของเขาเป็นอักษรมงคลแท้ ๆ แต่เขาถูกยิงเป้าข้อหาเป็นเผด็จการที่กดขี่ประชาชน
ประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส เกิดวันอังคาร ชื่อของเขาเป็นอักษรมงคล แต่เขาตายขณะลี้ภัยในต่างประเทศ เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกคนในประเทศสาปแช่ง ฯลฯ
ในฝั่งตรงกันข้าม ธอมัส เอดิสัน เกิดวันพฤหัส อักษร ธ เป็นกาลกิณี แต่เขาทำคุณประโยชน์ให้ชาวโลกมหาศาล ชื่อของเขาจารึกในประวัติศาสตร์ไปอีกนาน
นิโคลา เทสลา เกิดวันพฤหัส ชื่อของเขาเป็นกาลกิณี แต่ผลงานของเขาเลื่องชื่อเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกเหลือคณานับ
แต่บางทีอักษรกาลกิณีอาจเป็นจริงกับผมก็ได้!
ผมเกิดวันที่ 23 มีนาคม 2499 วันศุกร์ อักษร ว คือกาลกิณี
ไม่เพียงเท่านั้น ทุกอักษรกาลกิณีประจำวันเกิด ย ร ล ว อยู่ในชื่อนามสกุลผมครบถ้วน
มิน่าเล่าผมจึงยังไม่รวยสักที
(จากหนังสือ หลับถึงชาติหน้า / วินทร์ เลียววาริณ)
หนังสือเล่มนี้อธิบายความเชื่อเหลวไหลแบบนี้ทั้งหมด ซื้อเล่มเดียว ประหยัดค่าหมอดูตลอดชีวิต ใช้ได้ถึงลูกถึงหลาน
0- แชร์
- 77
-
-1-
รีนาเป็นเด็กสาวชาวฟิลิปปินส์ วัยยี่สิบเศษ ไปทำงานเป็นแม่บ้านที่ประเทศสิงคโปร์ ครอบครัวที่เธอทำงานมีสามชีวิต พ่อ แม่ กับลูกสาววัยสองขวบ นายจ้างเธอทำงานค้าขาย นายสาวเป็นคนขายประกัน
ที่อยู่ของพวกเขาเป็นอพาร์ตเมนต์ขนาดสามห้องนอน เจ้านายนอนกับเด็กที่ห้องหนึ่ง แต่บ่อยครั้งนายผู้ชายก็ย้ายไปนอนอีกห้องหนึ่งเพราะเสียงร้องของเด็กรบกวนเขา ส่วนเธอนอนในห้องนอนเล็ก
รีนาดูแลเด็กหญิงที่กำลังน่ารัก เธอรักเด็ก เธอมีลูกสาวคนหนึ่งที่ฟิลิปปินส์เช่นกัน แต่ต้องจากลูกมาทำงาน เธอแยกทางกับพ่อของเด็ก หรือที่ถูกคือเขาจากเธอไปทันทีที่เธอตั้งครรภ์
รีนาหยุดทุกวันอาทิตย์ มักไปขลุกกับเพื่อนคนงานชาวฟิลิปปินส์ที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งย่านออร์ชาร์ด
คืนหนึ่งขณะที่กำลังหลับ เธอสัมผัสร่างหนึ่งมาประชิด เธอดิ้นและจะร้อง แต่ถูกฝ่ามือปิดปาก เธอรู้ว่าเป็นนายจ้างชาย เธอสัมผัสการล่วงล้ำของเขา หลังจากนั้นเขาวางธนบัตรใบละ 100 เหรียญบนโต๊ะหัวนอน
เธอไม่ได้บอกใคร เธอต้องการงานที่นี่ เธอมีภาระต้องส่งเงินกลับบ้าน
เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ทุกครั้งเขาวางเงิน 100 ดอลลาร์บนโต๊ะ รีนาเริ่มยอมรับชะตากรรมของเธอ
วันหนึ่งหลังจากกลับจากจ่ายตลาด รีนาเห็นนายสาวกำลังรอเธออยู่ที่ห้องของเธอ ชูเงินเหล่านั้น ถามว่าเธอได้เงินมาจากไหน รีนาไม่ตอบ เธอไม่อยากบอกความจริง เพราะครอบครัวนี้จะแตกสลาย เธอรักเด็กหญิง เธอไม่อยากให้เด็กโตมาโดยพ่อแม่แยกกัน
นายจ้างสาวเชื่อว่ารีนาขโมยเงิน จึงยกเลิกสัญญาว่าจ้างในวันนั้นเอง สั่งให้สามีไปส่งรีนาที่สนามบิน ระหว่างเขาไม่พูดอะไร เมื่อถึงสนามบิน เขายื่นเงินปึกหนึ่งให้เธอ แล้วขับรถจากไป
รีนาโดยสารเครื่องบินกลับฟิลิปปินส์ ใช้เงินที่นายจ้างชายให้มาเป็นค่าทำแท้ง และดำเนินชีวิตต่อไป
...........................................
-2-
โลกเรามีเรื่องเลวร้ายอย่างหนึ่งคือ มนุษย์มักข่มเหงคนอื่นเมื่อมีโอกาส
ไม่เฉพาะในช่วงสงคราม แต่ในโลกทุกวันนี้ การรังแกข่มเหงคนที่ด้อยกว่าเกิดขึ้นทุกวัน
คนจำนวนมากถูกข่มเหง เพราะไม่มีทางสู้ หรือจนตรอก
เจ้านายด่าลูกน้องสาดเสียเทเสีย ลูกน้องก็อดทน ไม่ลาออก เพราะจำเป็นต้องพึ่งรายได้นั้น
...........................................
-3-
หากผู้อ่านหยุดอ่านหลังเรื่องท่อน 1 หรือท่อน 2 ผู้อ่านอาจกดอิโมจิโกรธหรือเศร้า อาจแชร์ให้คนอื่นรับรู้ว่าโลกเลวร้ายอย่างไร อาจจดจำภาพร้ายๆ ในเรื่องนี้ไปนาน
แต่หากอ่านต่อไป อาจจะกดอิโมจิอันอื่น
เรื่องทั้งหมดที่ท่านอ่านมาเป็นเรื่องแต่ง ไม่ใช่เรื่องจริง เรื่องของรีนาแต่งขึ้นมาเพื่อทดสอบวิธีการเสพสื่อของท่าน
เรื่องแต่งนี้ออกแบบมาเพื่อสะกิดอารมณ์โกรธของผู้อ่าน ไม่มีอะไรง่ายไปกว่าให้ผู้หญิงอ่อนแอถูกกระทำ เมื่อนั้นผู้อ่านก็หลงเชื่อไปแล้วว่ามันเป็นความจริง
ในแง่ปัจเจก การกดอิโมจิหรือคอมเมนต์ทั้งที่อ่านไม่จบ อาจสร้างนิสัยลวก ตัดสินคนและเรื่องต่างๆ โดยที่มีข้อมูลไม่ครบหรือไม่มีข้อมูลจริง เพราะเรื่องท่อนแรกกับท่อนหลังอาจเป็นหนังคนละม้วน เราไม่รู้ถ้าอ่านไม่หมด หรืออ่านโดยไม่วิเคราะห์
ในแง่สังคม เรื่องของรีนาเรื่องนี้ชี้ให้เห็นพลังของการโกหกว่าไปไกลได้แค่ไหน ทุกวันนี้มีเรื่องราวต่างๆ มากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หากอ่านแล้วเชื่อเลย แชร์เลย ท่านก็อาจกลายเป็นเครื่องมือของการลวงโลกโดยไม่ตั้งใจ
เฟกนิวส์ไม่มีวันหมดไปจากโลก แต่ปัญหาไม่ใช่คนสร้างเฟกนิวส์ ปัญหาคือคนส่งต่อเฟกนิวส์ต่างหาก
แล้วทำอย่างไร?
ง่ายนิดเดียว อ่านอะไร วิเคราะห์ทุกครั้ง-ทุกเรื่อง ย้ำ! ทุกครั้ง-ทุกเรื่อง และถ้าไม่รู้จริง ไม่ได้ตรวจสอบจนแน่ชัดแล้ว อย่าส่งต่อให้ใคร เราจะเป็นคนช่วยทำร้ายสังคมเสียเอง
วินทร์ เลียววาริณ
6-8-251 วันที่ผ่านมา -
ขอแจ้งต่อผู้สั่งซื้อว่า เราไม่ได้ใช่เครื่องตอบอัตโนมัติ จะตอบลูกค้าทีละรายซึ่งใช้เวลา บางท่านอาจไม่ได้รับคำยืนยันทันที ก็รอสักนิด เราตอบทุกคนแน่นอน
สำหรับผู้อ่านที่ยังไม่รู้ นี่คือหนังสือใหม่ พ้นจากสภาวะ pre-order เป็นพิมพ์จริงแล้ว
เราจะสรุปยอดคนที่เข้าร่วมโครงการเติมหัวใจใส่ห้องสมุดจนถึงศุกร์นี้ อาทิตย์หน้าจะส่งงานเข้าโรงพิมพ์
................................
รายละเอียดหนังสือ
ชื่อเรื่อง : สี่ภพ (เป่ย หนาน ตง ซี)
ประเภท : นวนิยายจีนกำลังภายใน + ไซไฟ
ขนาดหนังสือ : 13.5 x 18.5 ซม.
ขนาดกล่อง : ประมาณ 14 x 19 x 10.5 ซม.
สไตล์งาน : สไตล์เรโทร จำลองสไตล์การออกแบบและขนาดเหมือนนิยายจีนกำลังภายในสมัย 50 ปีก่อน จัดเป็นงานบูชาครูและช่างสมัยก่อน
- หนึ่งชุดประกอบด้วยหนังสือ 6 เล่ม (นวนิยาย 5 เล่ม สารคดีเบื้องหลัง 1 เล่ม) หนาเล่มละ 320 หน้า รวม 1,920 หน้า บรรจุในกล่อง box set กระดาษแข็งพิมพ์ลายจอมยุทธ์
- มีลายเซ็นนักเขียนทุกเล่ม 1
- อาจมีหนังสือแถมให้ ถ้ากล่องที่บรรจุมีพื้นที่พอ
- น่าจะได้รับหนังสือราวกลางเดือนกันยายน 2568
- ราคา pre-order 2,200 บาท (รวมค่าส่งแล้ว)
* จำหน่ายราคานี้จนถึง 31 สิงหาคม 2568 หลังจากนั้นจะจำหน่ายตามราคาปก 2,400 บาท ต้องโอนเงินภายในกำหนด *
- สั่งซื้อที่เว็บเท่านั้น คลิก https://www.winbookclub.com/store/detail/254/4%20%E0%B8%A0%E0%B8%9E
- ผู้จอง pre-order ต้องกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ชื่อ /ที่อยู่จัดส่ง /โทร. / อีเมล และแนบหลักฐานการโอนไปที่ namol113@gmail.com มิฉะนั้นเราจะไม่รู้ว่าเป็นลูกค้าคนไหน
ป.ล. อ่านที่มาของโครงการนี้ได้ที่ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1348523389969682&set=a.208269707328395
2 วันที่ผ่านมา -
นิยายจีนกำลังภายในที่แปลเป็นไทยนั้น สร้างมรรคาใหม่หลายอย่างให้วงการ
เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง
เช่น เสียงหัวเราะเคี้ยกเคี้ยก
เสียงหัวเราะเคี้ยกเคี้ยกเป็นสำนวนเฉพาะของนักแปลไทย เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง ผมจึงคิดจะแต่งเรื่องให้มีที่มาของเสียงเคี้ยกเคี้ยก
อีกวลีหนึ่งคือ "อกอวบอูมแฝงพลังดีดสะท้อน"
คำนี้อ่านมาห้าสิบปีแล้วยังฝังหัว
ผมจึงบอกซือแป๋ น. นพรัตน์ ว่า จะใส่ "อกอวบอูมแฝงพลังดีดสะท้อน" ในเรื่องอย่างแน่นอน
แปลว่ามีฉากเซ็กซ์หรือ?
คงไม่ถึงขนาด Fifty Shades of Gray
นี่ก็เดินตามรอยปรมาจารย์กิมย้งที่ไม่เขียนฉากเซ็กซ์แบบโจ๋งครึ่ม
แกบอกว่า แต่แตะก็หยุด
เข้าใจตรงกันแล้วนะว่า สี่ภพ มีฉากสู้กันชุลมุน แต่ไม่มีฉากชุลมุนบนเตียง
วินทร์ เลียววาริณ
7-8-25อ่านรายละเอียดงานชุดนี้ได้ที่ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1348523389969682&set=a.208269707328395
https://www.facebook.com/winlyovarin/posts/pfbid0gfTmtjbPjd6BaGuoy4gRMabaMGXoHMhXPsZahps8zMNVH8Efk8zXus7Tpjm8PH5Kl
ตอนนี้พิมพ์จริงแล้ว สั่งซื้อ คลิก https://www.winbookclub.com/store/detail/254/4%20%E0%B8%A0%E0%B8%9E
ในหน้า pre-order สามารถคลิกอ่านตัวอย่าง 2 บทได้ฟรี
2 วันที่ผ่านมา -
ชีวิตก็เช่นเดียวกับการออกแบบห้อง ชีวิตเราแต่ละคนประกอบด้วย ‘เครื่องเรือน’ หลายชิ้น
ตลอดชีวิตเราเปลี่ยน ‘เครื่องเรือน’ ไปเรื่อย ๆ บางชิ้นประณีต บางชิ้นธรรมดา บางชิ้นมีลวดลายมาก หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง บางคนไม่เคยเปลี่ยนเครื่องเรือนเลยตลอดชีวิต ชีวิตบางคนมีพื้นที่ให้วางเครื่องเรือนมากชิ้นกว่า บางชีวิตมีพื้นที่ให้วางได้น้อยชิ้น
การเปลี่ยนหรือสลับเครื่องเรือนบ้างก็ทำให้ห้องแห่งชีวิตแปลกตาน่าสนใจขึ้น
หลายคนใส่เฟอร์นิเจอร์มากมายเข้าไปในห้องชีวิต เพียงเพื่ออวดคนอื่นหรือสนองอีโก้ของตัวเองว่าตนเองประสบความสำเร็จ จึงมีปัญญาจัดหา ‘เฟอร์นิเจอร์’ มาเต็มห้อง แต่เหล่านี้คือเปลือก เอาไว้หลอกตัวเอง
บ้านที่ดีที่สุด รถที่ดีที่สุด หากมีปัญญาหามาเพื่อสนองหน้าที่ใช้สอยในชีวิตก็เป็นเรื่องดี แต่หากมีเพื่อแสดงฐานะของตน ก็สะท้อนว่าใครคนนั้นอาจไม่มีค่า จึงต้องใช้วัตถุช่วย
ความงามของชีวิตขึ้นอยู่กับว่าเราใส่เฟอร์นิเจอร์อะไรเข้าไป เราไม่จำเป็นต้องให้ทุกชิ้นส่วนในชีวิตของเราสมบูรณ์ เพอร์เฟ็กต์อลังการ เพราะชีวิตที่ดีไม่ใช่การรวมกันของทุกส่วนที่ดีทุกชิ้นเสมอไป ชีวิตประกอบด้วยความสำเร็จ ความล้มเหลว ความผิดพลาด การเรียนรู้ องค์ประกอบชิ้นที่ ‘เลวร้าย’ ก็มีประโยชน์ถ้าวางถูกที่ ถูกเวลา ดูภาพรวมแล้ว ชีวิตนั้นก็ดูดี จังหวะถูกต้อง
องค์ประกอบควรหลากหลาย ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งแพงที่สุด ก็สามารถเป็นชีวิตที่ดีได้ ความทุกข์ก็มีประโยชน์ต่อชีวิต หากมันอยู่ในตำแหน่งและจังหวะที่เหมาะสม
เครื่องเรือนแห่งชีวิตที่เราใส่เข้าไปคือการศึกษา ทักษะ ประสบการณ์ อารมณ์ขัน ความเมตตา แต่เครื่องเรือนที่ควรเอาออก เช่น นิสัยรักการพนัน อบายมุข นิสัยดูถูกคน ฯลฯ
ชีวิตเราประกอบด้วยเครื่องปรุงต่าง ๆ แห่งชีวิต ทั้งที่ดีมาก ดีปานกลาง ไปจนถึงไม่ค่อยดี แต่รวมกันแล้วอาจลงตัวได้ ถ้ารู้จักวางตำแหน่งให้ถูก และจัดองค์ประกอบลงตัว คนยากจนก็มีชีวิตที่งดงามได้
เพราะความงดงามเกิดขึ้นจากความเรียบง่าย พอดี
และเพราะความงดงามอยู่ในหัวใจ ไม่ใช่ฐานะ
วินทร์ เลียววาริณ
8-8-25จาก รอยยิ้มใต้สายฝน
35 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 5 บาทเศษ
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/139/รอยยิ้มใต้สายฝน
https://s.shopee.co.th/8Ke0htOJcm2 วันที่ผ่านมา -
ช่วงนี้มีสงครามทุกมุมโลก เสนาธิการทหารต้องคิดล่วงหน้าว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากศัตรูบุกกะทันหัน หรือ ฯลฯ
ในห้องยุทธการ นักการทหารมักทำการสมมุติสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ (worst-case scenario) เช่น หัวรบนิวเคลียร์ของฝ่ายตรงข้ามกำลังวิ่งข้ามทวีปมาหาพวกเขาในเวลายี่สิบวินาที หรือคนร้ายจับประธานาธิบดีไปเป็นตัวประกัน ฯลฯ
จะว่าไปแล้วหนังฮอลลีวูดจำนวนมากเขียนเรื่องโดยใช้ฐาน 'สถานการณ์สมมุติที่เลวร้ายที่สุด' นวนิยายหลายเรื่องก็ใช้หลักนี้ นักเขียนบางท่านเคยแต่งเรื่องให้ตัวละครขับเครื่องบินชนอาคาร นานหลายปีก่อนหน้าเกิดเหตุการณ์ 9-11 ที่สหรัฐอเมริกา
ในห้องประชุมธุรกิจไม่น้อย มีการถามถึงสถานการณ์สมมุติที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดกับบริษัทเป็นระยะ ๆ เพื่อที่จะได้เตรียมตัวป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้น หรือลดทอนความรุนแรงของมันหากเลี่ยงไม่พ้น
worst-case scenario ของธนาคารอาจคือการที่ลูกค้าถอนเงินทั้งหมดจากธนาคาร
worst-case scenario ของกรุงเทพมหานครอาจเป็นน้ำท่วมทั้งเมือง
worst-case scenario ของสถานีดับเพลิงอาจคือไฟไหม้สถานีดับเพลิง
ฯลฯ
การสมมุติ worst-case scenario นี้เป็นการมองโลกในแง่ร้ายแบบดี ช่วยทำให้เราไม่ประมาท และประเมิน-วางแผนตอบโต้วิบัติด้วยสติ
วิบัติภัยสึนามิเมื่อไม่นานมานี้เป็นข้อพิสูจน์ว่า การปฏิเสธ worst-case scenario โดยความเชื่อที่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่เคยเกิดขึ้น หรือความน่าจะเป็นต่ำมาก นำมาซึ่งราคาที่ต้องจ่ายแพงมหาศาล
ในการดำเนินชีวิตวันต่อวันของปัจเจกบุคคล หากเราลองพิจารณาดูว่าอะไรที่เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นกับเรา จะพบว่าวิบัติสมมุติของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
สิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับคนคนหนึ่งอาจเป็นการตกงาน ของอีกบางคนอาจเป็นความตายของคนที่รัก, สอบเอนทรานส์ไม่ติด, แฟนทิ้ง, ไม่มีเงินซื้อข้าวสารกรอกหม้อ, บ้านถูกยึด, ลูกติดยา ไปจนถึงการผ่อนรถยนต์ราคาสิบล้านบาทไม่สำเร็จ ฯลฯ
เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น ก็ลองคิดต่อว่า 'ราคา' ของมันแพงแค่ไหน
ราคาที่แพงที่สุดของการผ่อนบ้านไม่สำเร็จ คือถูกยึดบ้าน ไปจนถึงติดคุก หรือตายในคุก
ราคาที่แพงที่สุดของการถูกแฟนทิ้งคือ อกหัก ไปจนถึงตรอมใจตายคารูปถ่ายแฟน ฯลฯ
โดยทั่วไปราคาที่แพงที่สุดของทุกสถานการณ์คือ ความตาย เพราะเมื่อเราตายไปแล้ว ก็คงไม่มีใครตัดหัวเหม็น ๆ ของเราไปปักไว้กลางเมือง หรือโคลนนิ่งเราขึ้นมารับกรรมต่ออีกห้าร้อยปี
หลายคน - เมื่อกำลังพานพบสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด - จึงเอ่ยคำว่า "อย่างมากก็แค่ตาย (โว้ย!)" ความวิตกทุกข์ร้อนก็อาจทุเลาลงบ้าง
ที่ตลกก็คือ ยิ่งเตรียมพร้อมรับมือกับมัน เจ้าวิบัติสมมุตินี้มักไม่มาเยือนจริง ๆ ! วินทร์ เลียววาริณ
7-8-25....................
จาก รอยเท้าเล็ก ๆ ของเราเอง
หนังสือเสริมกำลังใจ 46 บทความ 175 บาท เรื่องละ 3.8 บาท
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/108/รอยเท้าเล็กๆ%20ของเราเอง%20เวอร์ชั่น%202
เซ็ทโปรโมชั่นพิเศษ https://www.winbookclub.com/store/detail/235/R4%20%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%204
Shopee https://shope.ee/Vj8bA8a4u?share_channel_code=62 วันที่ผ่านมา