• วินทร์ เลียววาริณ
    7 เดือนที่ผ่านมา

    ฮุ่ยเหนิงเกิดในตระกูลยากไร้ แช่ลู่ พ่อเป็นข้าราชการที่ถูกถอดออกจากตำแหน่งและถูกเนรเทศไปอยู่ในพื้นที่ป่าดอยหลิงหนานที่กวางโจว และตายไปตั้งแต่เขาอายุสามขวบ ทิ้งครอบครัวให้ตกทุกข์ได้ยาก เขาจึงไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ต้องทำงานตัดฟืนเลี้ยงแม่

    จวบจนอายุได้ยี่สิบสอง วันหนึ่งขณะที่ฮุ่ยเหนิงกำลังส่งฟืนไปยังร้านค้าแห่งหนึ่ง เขาได้ยินชายคนหนึ่งกำลังบริกรรมพระสูตรบทหนึ่งอยู่หน้าร้าน ความว่า "ความคิดควรผุดขึ้นจากสภาวะแห่งการไม่ยึดติด..."

    ฮุ่ยเหนิงได้ยินแล้วรู้สึกดื่มด่ำในคำนั้นทันที ถามว่า "สิ่งที่ท่านกำลังอ่านอยู่คือหนังสืออะไร?"

    ชายคนนั้นตอบว่า "วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร เป็นพระสูตรที่ข้าพเจ้าได้ฟังมาจากอาจารย์หงเหริ่นแห่งวัดตังซาน เจ้าก็สนใจในบทธรรมด้วยรึ?"

    หลังจากสนทนากับหนุ่มบ้านป่าพักใหญ่ ชายผู้นั้นก็ยิ่งแปลกใจที่ฮุ่ยเหนิงผู้ซึ่งพูดจาราวคนที่ศึกษาธรรมมานานปีกลับไม่รู้หนังสือ

    "เจ้าแซ่อะไร?"

    "ข้าพเจ้าแช่ลู่"

    "ท่าทางเจ้าเลื่อมใสทางสายพุทธะอย่างใหญ่หลวง เจ้าน่าจะไปฝากตัวเป็นศิษย์วัดตังซาน"

    "ข้าพเจ้าก็อยากทำเช่นนั้น แต่ติดขัดที่ครอบครัวข้าพเจ้าขัดสนยิ่ง อีกประการหนึ่ง ข้าพเจ้ายังมีภาระต้องเลี้ยงดูแม่"

    "นอกจากมีปัญญาแล้ว เจ้ายังมีความกตัญญูยิ่ง"

    ด้วยความเมตตา แขกผู้นั้นมอบเงินสิบตำลึงให้เขา มากพอที่จะให้แม่ของเขาดูแลตัวเองได้

    หลังจากนั้นฮุ่ยเหนิงก็เดินไปตามทางสายธรรม ซึ่งนอกจากจะเปลี่ยนชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิง ยังเปลี่ยนทิศทางของประวัติศาสตร์เซนด้วย

    ..........

    ฮุ่ยเหนิงเดินทางด้วยเท้านานสามสิบวัน ก็ถึงวัดบนภูเขาในสภาพเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า เขาขออนุญาตเข้าพบเจ้าอาวาส

    อาจารย์หงเหริ่นถามเขา "เจ้ามาจากที่ใด? กำลังแสวงหาสิ่งใด?"

    "ข้าพเจ้ามาจากหลิงหนาน ในมณฑลกวางตุ้ง ข้าพเจ้าเดินทางมาไกลมากเพื่อจะเรียนรู้วิถีแห่งพุทธะ"

    หลิงหนานเป็นพื้นที่ที่ชนเผ่าพื้นเมืองอยู่ร่วมกันกับคนจีน จัดเป็นพื้นที่ป่าดอย

    อาจารย์หงเหริ่นกล่าวยิ้ม ๆ นัยน์ตาเป็นประกาย "อา! เจ้ามาจากทางใต้ ย่อมเป็นคนป่า คนจากหลิงหนานนั้นไม่มีธรรมชาติแห่งพุทธะ เช่นนั้นเจ้าจะบรรลุพุทธภาวะได้อย่างไร?"

    "ธรรมชาติแห่งพุทธะไม่มีทิศเหนือหรือใต้ สังขารของคนป่าอาจแตกต่างจากสังขารของท่านเจ้าอาวาส แต่ธรรมชาติแห่งพุทธะไหนเลยมีความแตกต่าง"

    อาจารย์หงเหริ่นซ่อนยิ้ม รู้ว่าผู้มาใหม่เข้าใจความหมายของคำพูดที่ท่านเอ่ยทุกประการ

    นี่คือความหมายสำคัญของธรรมชาติแห่งพุทธะ ความไม่มีของธรรมชาติแห่งพุทธะคือรากฐานเซน เพราะแก่นแท้ของธรรมชาติแห่งพุทธะก็คือความว่างเปล่า และประโยค "เจ้ามาจากที่ใด?" นี้ ฮุ่ยเหนิงก็ใช้ถามศิษย์อื่น ๆ ต่อมาอีกหลายครั้งหลายครา

    อาจารย์หงเหริ่นแลเห็นประกายของเพชรในตมที่ซ่อนในคราบหนุ่มชาวป่าร่างกายมอมแมม ทว่ายามนี้หาใช่เวลาอันเหมาะสมที่จะเจียระไนเพชรเม็ดนี้ให้เปล่งประกายไม่ ท่านกล่าวตัดบทว่า "อย่าเอ่ยอีกเลย จงไปทำงานในโรงตำข้าว"

    และที่นั่น ฮุ่ยเหนิงผ่านเวลาแปดเดือนไปกับการผ่าฟืนและตำข้าว

    .............

    อาจารย์หงเหริ่นรู้ดีว่า ไม่ช้าก็เร็วต้องหาคนที่มาสืบสายตำแหน่งพระสังฆปริณายกองค์ต่อไป จึงได้ทดสอบคุณสมบัติศิษย์ในวัดเพื่อหาผู้ที่มาสืบตำแหน่งนี้ต่อไป สั่งให้ศิษย์เขียนความเข้าใจเรื่องธรรมในรูปของโศลกคนละบทมาให้

    ศิษย์ทั้งหลายก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องเขียนให้เสียเวลา เพราะเขียนอย่างไรก็คงสู้เสินซิ่วศิษย์เอกผู้ที่เฉลียวฉลาดที่สุดในวัดมิได้ และก็เป็นจริงตามนั้น เพราะโศลกของเสินซิ่วจับใจทุกคนที่อ่าน

    เสินซิ่วเขียนโศลกไว้ดังนี้

    กายนั้นคือต้นโพธิ์
    จิตคือกระจกเงา
    หมั่นเช็ดถูอยู่เสมอ
    อย่าให้ฝุ่นละอองลงจับ

    คำว่า 'โพธิ์' ในทางเซนมีความหมายถึงการตรัสรู้ การรู้แจ้ง เพราะเป็นสัญลักษณ์การตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ของพระพุทธเจ้า ส่วนการเปรียบจิตเป็นกระจกเงามีรากมานานตั้งแต่โบราณ จวงจื่อ ปรมาจารย์แห่งลัทธิเต๋า เขียนไว้ว่า "มนุษย์ที่แท้ใช้จิตของเขาเช่นกระจกเงา"

    เมื่ออาจารย์หงเหริ่นอ่านโศลกบทนี้แล้วก็หยั่งรู้ว่า เสินซิ่วยังไม่ได้เข้าใกล้จิตเดิมแท้ แต่กระนั้นมันก็ยังเป็นโศลกที่ดี สั่งให้ศิษย์นำธูปเทียนมาบูชา และให้ศิษย์นำไปท่องบ่นเพื่อที่จะได้พิจารณาให้เห็นจิตเดิมแท้

    ฝ่ายลูกวัดพากันเอ่ยท่องโศลกบทนี้ ฮุ่ยเหนิงได้ยินเข้าก็นึกอยากจะเขียนโศลกบ้าง แต่เนื่องจากตนเองไม่รู้หนังสือ ก็บอกให้พระรูปหนึ่งช่วยเขียนโศลกบทหนึ่งบนกำแพง

    พระรูปนั้นกล่าวว่า "เจ้าไม่รู้หนังสือ ไยคิดเขียนโศลก?"

    ฮุ่ยเหนิงตอบว่า "คนต่ำต้อยที่สุดก็อาจมองไกลได้"

    พระรูปนั้นจนคำ จึงเขียนคำตามคำบอกของฮุ่ยเหนิงดังนี้

    โพธิ์นั้นไม่มีต้น
    กระจกเงาก็ไม่มี
    สรรพสิ่งแต่แรกมาคือความว่างเปล่า
    ฝุ่นละอองจะลงจับบนสิ่งใด

    ลูกวัดที่อ่านโศลกบทนี้พากันคุยว่า เป็นถ้อยคำที่ลึกซึ้งยิ่ง เสียงโจษจันมาถึงหูเจ้าอาวาสอย่างรวดเร็ว อาจารย์หงเหริ่นเดินไปหยุดที่หน้ากำแพงที่จารึกโศลกบทนี้ กล่าวกับลูกวัดเพียงว่า "ผู้ที่เขียนโศลกนี้ยังหาได้พบทางแห่งพุทธะไม่" ว่าแล้วก็ถอดรองเท้าลบข้อความบนกำแพงทิ้ง ด้วยรู้ดีว่า ความอิจฉาริษยาของพระหลายรูปในวัดที่มีต่อความสามารถของฮุ่ยเหนิงจะเป็นอันตรายต่อเขา

    ความแตกต่างของโศลกสองบทนี้แสดงให้เห็นสองแนวทางของเซนอย่างชัดเจน บทกวีของเสินซิ่วสะท้อนมุมมองของการฝึกเซนซึ่งเป็นที่นิยมทั่วไป เป็นแบบของการนั่งสมาธิเพื่อชำระใจ มองว่าจิตนั้นสามารถชำระล้างให้สะอาดขึ้นได้โดยผ่านการเพ่งแน่วแน่ เพื่อทำให้ความคิดและสิ่งปรุงแต่งสูญไป นี่เป็นมุมมองว่า สภาวะสูงสุดของสติสำนึกคือสติสำนึกที่ว่างเปล่าจากทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคิดอ่าน ความรู้สึก และอารมณ์ นี่ก็คือสมาธิ

    ส่วนมุมของฮุ่ยเหนิงนั้นมองว่าคนที่มีสติสำนึกที่ว่างเปล่าจากทุกอย่างก็ไม่ต่างอะไรจากท่อนไม้หรือก้อนหิน ฮุ่ยเหนิงเห็นว่าการชำระจิตให้สะอาดเป็นเรื่องที่ไม่ตรงจุดและทำให้สับสนเปล่า ๆ เพราะจิตของมนุษย์นั้นโดยพื้นฐานแล้วก็คือความไร้จิต (no-mind) จึงไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน การพยายามชำระจิตก็คือการทำให้มันแปดเปื้อนด้วยความบริสุทธิ์! นี่ก็คือแนวคิดแบบเต๋าซึ่งมองว่า เราจะยังไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระหากยังไปหมกมุ่นกับกฎเกณฑ์ปลอม ๆ เพราะมันเป็นความบริสุทธิ์ปลอม ๆ ความใสกระจ่างปลอม ๆ

    แนวคิดของฮุ่ยเหนิงคือ แทนที่จะไปชำระจิตให้สะอาดหรือทำให้มันว่างเปล่า ก็แค่ปล่อยจิตไป เพราะจิตมิใช่สิ่งที่จะจับต้องได้ การปล่อยจิตไปก็เท่ากับเป็นการปลดปล่อยความคิดความรู้สึกทั้งหลายที่วนเวียนในจิตไปโดยปริยาย วิถีเซนที่แท้คือการพบว่าธรรมชาติของแต่ละคนก็เหมือนที่ว่างที่ความคิดความรู้สึกทั้งหลายผ่านมาและผ่านไปในจิตเดิมแท้

    วันนั้นอาจารย์หงเหริ่นเดินไปที่โรงตำข้าว ถามฮุ่ยเหนิงว่า "เจ้าเป็นผู้เขียนโศลกบทนั้นบนกำแพงหรือ?"

    "ใช่แล้วขอรับ"

    อาจารย์เงียบไปนาน กวาดตาดูเมล็ดข้าวในห้องนั้น กล่าวเบา ๆ ว่า " 'ข้าว' ได้ที่แล้วหรือ?"

    "ได้ที่มานานแล้ว เพียงรอ 'ตะแกรง' สำหรับร่อนเท่านั้น"

    อาจารย์ได้ยินแล้วก็เคาะครกตำข้าวสามครั้ง ก่อนเดินจากไป

    การเคาะครกสามครั้งคือรหัสของเวลายามสามของคืนนั้น ดังนั้นฮุ่ยเหนิงก็ลอบไปหาอาจารย์ที่หอในคืนนั้น อาจารย์ใช้จีวรขึงบังไม่ให้ใครเห็น แล้วเริ่มอธิบายความในวัชรสูตรแก่ฮุ่ยเหนิง เมื่อเอ่ยถึงประโยค "คนเราควรจะใช้จิตของตนในวิถีทางที่จิตเป็นอิสระได้จากเครื่องข้องทั้งหลาย" (หมายความว่าเราควรใช้จิตของเราโดยให้มันเป็นอิสระไม่เกาะยึดกับอะไร) ฮุ่ยเหนิงก็มองเห็นสภาวะจิตเดิมแท้ของตน เข้าใจว่าสรรพสิ่งในจักรวาลเป็นเนื้อแท้แห่งจิต หรือจิตเดิมแท้ (essence of mind) เท่านั้น รู้แจ้งในคืนนั้นเองว่า ที่แท้ทุก ๆ สิ่งในสากลโลกก็คือตัวจิตเดิมแท้นี่เอง มิใช่สิ่งอื่นใด

    และในราตรีแห่งธรรมนั้นเอง อาจารย์หงเหริ่นก็มอบบาตร จีวร สังฆาฏิที่สืบทอดมาจากพระโพธิธรรมให้ฮุ่ยเหนิงเป็นพระสังฆปริณายกองค์ต่อไป

    แต่เนื่องจากสถานะที่ต่ำต้อยของฮุ่ยเหนิง และมองเห็นผลกระทบจากความอิจฉาของศิษย์วัดที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ อาจารย์หงเหริ่นจึงสั่งให้ฮุ่ยเหนิงออกจากวัด ลงไปทางใต้เสีย

    อาจารย์หงเหริ่นไปส่งฮุ่ยเหนิงที่ริมฝั่งแม่น้ำแยงซี ตั้งใจจะแจวเรือส่งศิษย์ข้ามฟาก ทว่าฮุ่ยเหนิงคารวะอาจารย์ กล่าวเบา ๆ ว่า "ขอให้ศิษย์ของท่านเป็นผู้แจวเรือเถิด"

    "ควรเป็นหน้าที่ของอาจารย์ที่ส่งศิษย์ข้ามฟาก" (หมายถึงทะเลแห่งการเกิดการตาย)

    "ในสภาวะแห่งความไม่รู้ อาจารย์เป็นผู้แจวเรือข้ามฟาก ในสภาพตื่นรู้ ผู้ข้ามฟากเป็นผู้แจวเรือเอง"

    การข้ามห้วงมหรรณพแห่งวัฏสงสารก็เช่นการข้ามแม่น้ำ คนแจวเรือส่งผู้โดยสารได้เพียงถึงจุดจุดหนึ่งเท่านั้น หนทางที่เหลือ ผู้โดยสารต้องเดินไปด้วยตนเอง

    .............................

    จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)

    หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว

    มังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=6  

    สั่งจากเว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/213/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%202%20%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1%202  

    Mini Zen Shopee https://shopee.co.th/วินทร์-เลียววาริณ-ชุด-Mini-Zen-และ-Mini-Tao-ราคาปก-430.-พิเศษ-350.-พร้อมลายเซ็นนักเขียน-i.90206829.26404344902?xptdk=8bd1c6c6-b9a2-4870-911f-395d10a6c4af

    เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/244/Mini%20Zen%20คู่%20Mini%20Tao 

    0
    • 1 แชร์
    • 78

บทความล่าสุด