-
วินทร์ เลียววาริณ7 เดือนที่ผ่านมา
ฮุ่ยเหนิงเกิดในตระกูลยากไร้ แช่ลู่ พ่อเป็นข้าราชการที่ถูกถอดออกจากตำแหน่งและถูกเนรเทศไปอยู่ในพื้นที่ป่าดอยหลิงหนานที่กวางโจว และตายไปตั้งแต่เขาอายุสามขวบ ทิ้งครอบครัวให้ตกทุกข์ได้ยาก เขาจึงไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ต้องทำงานตัดฟืนเลี้ยงแม่
จวบจนอายุได้ยี่สิบสอง วันหนึ่งขณะที่ฮุ่ยเหนิงกำลังส่งฟืนไปยังร้านค้าแห่งหนึ่ง เขาได้ยินชายคนหนึ่งกำลังบริกรรมพระสูตรบทหนึ่งอยู่หน้าร้าน ความว่า "ความคิดควรผุดขึ้นจากสภาวะแห่งการไม่ยึดติด..."
ฮุ่ยเหนิงได้ยินแล้วรู้สึกดื่มด่ำในคำนั้นทันที ถามว่า "สิ่งที่ท่านกำลังอ่านอยู่คือหนังสืออะไร?"
ชายคนนั้นตอบว่า "วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร เป็นพระสูตรที่ข้าพเจ้าได้ฟังมาจากอาจารย์หงเหริ่นแห่งวัดตังซาน เจ้าก็สนใจในบทธรรมด้วยรึ?"
หลังจากสนทนากับหนุ่มบ้านป่าพักใหญ่ ชายผู้นั้นก็ยิ่งแปลกใจที่ฮุ่ยเหนิงผู้ซึ่งพูดจาราวคนที่ศึกษาธรรมมานานปีกลับไม่รู้หนังสือ
"เจ้าแซ่อะไร?"
"ข้าพเจ้าแช่ลู่"
"ท่าทางเจ้าเลื่อมใสทางสายพุทธะอย่างใหญ่หลวง เจ้าน่าจะไปฝากตัวเป็นศิษย์วัดตังซาน"
"ข้าพเจ้าก็อยากทำเช่นนั้น แต่ติดขัดที่ครอบครัวข้าพเจ้าขัดสนยิ่ง อีกประการหนึ่ง ข้าพเจ้ายังมีภาระต้องเลี้ยงดูแม่"
"นอกจากมีปัญญาแล้ว เจ้ายังมีความกตัญญูยิ่ง"
ด้วยความเมตตา แขกผู้นั้นมอบเงินสิบตำลึงให้เขา มากพอที่จะให้แม่ของเขาดูแลตัวเองได้
หลังจากนั้นฮุ่ยเหนิงก็เดินไปตามทางสายธรรม ซึ่งนอกจากจะเปลี่ยนชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิง ยังเปลี่ยนทิศทางของประวัติศาสตร์เซนด้วย
..........
ฮุ่ยเหนิงเดินทางด้วยเท้านานสามสิบวัน ก็ถึงวัดบนภูเขาในสภาพเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า เขาขออนุญาตเข้าพบเจ้าอาวาส
อาจารย์หงเหริ่นถามเขา "เจ้ามาจากที่ใด? กำลังแสวงหาสิ่งใด?"
"ข้าพเจ้ามาจากหลิงหนาน ในมณฑลกวางตุ้ง ข้าพเจ้าเดินทางมาไกลมากเพื่อจะเรียนรู้วิถีแห่งพุทธะ"
หลิงหนานเป็นพื้นที่ที่ชนเผ่าพื้นเมืองอยู่ร่วมกันกับคนจีน จัดเป็นพื้นที่ป่าดอย
อาจารย์หงเหริ่นกล่าวยิ้ม ๆ นัยน์ตาเป็นประกาย "อา! เจ้ามาจากทางใต้ ย่อมเป็นคนป่า คนจากหลิงหนานนั้นไม่มีธรรมชาติแห่งพุทธะ เช่นนั้นเจ้าจะบรรลุพุทธภาวะได้อย่างไร?"
"ธรรมชาติแห่งพุทธะไม่มีทิศเหนือหรือใต้ สังขารของคนป่าอาจแตกต่างจากสังขารของท่านเจ้าอาวาส แต่ธรรมชาติแห่งพุทธะไหนเลยมีความแตกต่าง"
อาจารย์หงเหริ่นซ่อนยิ้ม รู้ว่าผู้มาใหม่เข้าใจความหมายของคำพูดที่ท่านเอ่ยทุกประการ
นี่คือความหมายสำคัญของธรรมชาติแห่งพุทธะ ความไม่มีของธรรมชาติแห่งพุทธะคือรากฐานเซน เพราะแก่นแท้ของธรรมชาติแห่งพุทธะก็คือความว่างเปล่า และประโยค "เจ้ามาจากที่ใด?" นี้ ฮุ่ยเหนิงก็ใช้ถามศิษย์อื่น ๆ ต่อมาอีกหลายครั้งหลายครา
อาจารย์หงเหริ่นแลเห็นประกายของเพชรในตมที่ซ่อนในคราบหนุ่มชาวป่าร่างกายมอมแมม ทว่ายามนี้หาใช่เวลาอันเหมาะสมที่จะเจียระไนเพชรเม็ดนี้ให้เปล่งประกายไม่ ท่านกล่าวตัดบทว่า "อย่าเอ่ยอีกเลย จงไปทำงานในโรงตำข้าว"
และที่นั่น ฮุ่ยเหนิงผ่านเวลาแปดเดือนไปกับการผ่าฟืนและตำข้าว
.............
อาจารย์หงเหริ่นรู้ดีว่า ไม่ช้าก็เร็วต้องหาคนที่มาสืบสายตำแหน่งพระสังฆปริณายกองค์ต่อไป จึงได้ทดสอบคุณสมบัติศิษย์ในวัดเพื่อหาผู้ที่มาสืบตำแหน่งนี้ต่อไป สั่งให้ศิษย์เขียนความเข้าใจเรื่องธรรมในรูปของโศลกคนละบทมาให้
ศิษย์ทั้งหลายก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องเขียนให้เสียเวลา เพราะเขียนอย่างไรก็คงสู้เสินซิ่วศิษย์เอกผู้ที่เฉลียวฉลาดที่สุดในวัดมิได้ และก็เป็นจริงตามนั้น เพราะโศลกของเสินซิ่วจับใจทุกคนที่อ่าน
เสินซิ่วเขียนโศลกไว้ดังนี้
กายนั้นคือต้นโพธิ์
จิตคือกระจกเงา
หมั่นเช็ดถูอยู่เสมอ
อย่าให้ฝุ่นละอองลงจับคำว่า 'โพธิ์' ในทางเซนมีความหมายถึงการตรัสรู้ การรู้แจ้ง เพราะเป็นสัญลักษณ์การตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ของพระพุทธเจ้า ส่วนการเปรียบจิตเป็นกระจกเงามีรากมานานตั้งแต่โบราณ จวงจื่อ ปรมาจารย์แห่งลัทธิเต๋า เขียนไว้ว่า "มนุษย์ที่แท้ใช้จิตของเขาเช่นกระจกเงา"
เมื่ออาจารย์หงเหริ่นอ่านโศลกบทนี้แล้วก็หยั่งรู้ว่า เสินซิ่วยังไม่ได้เข้าใกล้จิตเดิมแท้ แต่กระนั้นมันก็ยังเป็นโศลกที่ดี สั่งให้ศิษย์นำธูปเทียนมาบูชา และให้ศิษย์นำไปท่องบ่นเพื่อที่จะได้พิจารณาให้เห็นจิตเดิมแท้
ฝ่ายลูกวัดพากันเอ่ยท่องโศลกบทนี้ ฮุ่ยเหนิงได้ยินเข้าก็นึกอยากจะเขียนโศลกบ้าง แต่เนื่องจากตนเองไม่รู้หนังสือ ก็บอกให้พระรูปหนึ่งช่วยเขียนโศลกบทหนึ่งบนกำแพง
พระรูปนั้นกล่าวว่า "เจ้าไม่รู้หนังสือ ไยคิดเขียนโศลก?"
ฮุ่ยเหนิงตอบว่า "คนต่ำต้อยที่สุดก็อาจมองไกลได้"
พระรูปนั้นจนคำ จึงเขียนคำตามคำบอกของฮุ่ยเหนิงดังนี้
โพธิ์นั้นไม่มีต้น
กระจกเงาก็ไม่มี
สรรพสิ่งแต่แรกมาคือความว่างเปล่า
ฝุ่นละอองจะลงจับบนสิ่งใดลูกวัดที่อ่านโศลกบทนี้พากันคุยว่า เป็นถ้อยคำที่ลึกซึ้งยิ่ง เสียงโจษจันมาถึงหูเจ้าอาวาสอย่างรวดเร็ว อาจารย์หงเหริ่นเดินไปหยุดที่หน้ากำแพงที่จารึกโศลกบทนี้ กล่าวกับลูกวัดเพียงว่า "ผู้ที่เขียนโศลกนี้ยังหาได้พบทางแห่งพุทธะไม่" ว่าแล้วก็ถอดรองเท้าลบข้อความบนกำแพงทิ้ง ด้วยรู้ดีว่า ความอิจฉาริษยาของพระหลายรูปในวัดที่มีต่อความสามารถของฮุ่ยเหนิงจะเป็นอันตรายต่อเขา
ความแตกต่างของโศลกสองบทนี้แสดงให้เห็นสองแนวทางของเซนอย่างชัดเจน บทกวีของเสินซิ่วสะท้อนมุมมองของการฝึกเซนซึ่งเป็นที่นิยมทั่วไป เป็นแบบของการนั่งสมาธิเพื่อชำระใจ มองว่าจิตนั้นสามารถชำระล้างให้สะอาดขึ้นได้โดยผ่านการเพ่งแน่วแน่ เพื่อทำให้ความคิดและสิ่งปรุงแต่งสูญไป นี่เป็นมุมมองว่า สภาวะสูงสุดของสติสำนึกคือสติสำนึกที่ว่างเปล่าจากทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคิดอ่าน ความรู้สึก และอารมณ์ นี่ก็คือสมาธิ
ส่วนมุมของฮุ่ยเหนิงนั้นมองว่าคนที่มีสติสำนึกที่ว่างเปล่าจากทุกอย่างก็ไม่ต่างอะไรจากท่อนไม้หรือก้อนหิน ฮุ่ยเหนิงเห็นว่าการชำระจิตให้สะอาดเป็นเรื่องที่ไม่ตรงจุดและทำให้สับสนเปล่า ๆ เพราะจิตของมนุษย์นั้นโดยพื้นฐานแล้วก็คือความไร้จิต (no-mind) จึงไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน การพยายามชำระจิตก็คือการทำให้มันแปดเปื้อนด้วยความบริสุทธิ์! นี่ก็คือแนวคิดแบบเต๋าซึ่งมองว่า เราจะยังไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระหากยังไปหมกมุ่นกับกฎเกณฑ์ปลอม ๆ เพราะมันเป็นความบริสุทธิ์ปลอม ๆ ความใสกระจ่างปลอม ๆ
แนวคิดของฮุ่ยเหนิงคือ แทนที่จะไปชำระจิตให้สะอาดหรือทำให้มันว่างเปล่า ก็แค่ปล่อยจิตไป เพราะจิตมิใช่สิ่งที่จะจับต้องได้ การปล่อยจิตไปก็เท่ากับเป็นการปลดปล่อยความคิดความรู้สึกทั้งหลายที่วนเวียนในจิตไปโดยปริยาย วิถีเซนที่แท้คือการพบว่าธรรมชาติของแต่ละคนก็เหมือนที่ว่างที่ความคิดความรู้สึกทั้งหลายผ่านมาและผ่านไปในจิตเดิมแท้
วันนั้นอาจารย์หงเหริ่นเดินไปที่โรงตำข้าว ถามฮุ่ยเหนิงว่า "เจ้าเป็นผู้เขียนโศลกบทนั้นบนกำแพงหรือ?"
"ใช่แล้วขอรับ"
อาจารย์เงียบไปนาน กวาดตาดูเมล็ดข้าวในห้องนั้น กล่าวเบา ๆ ว่า " 'ข้าว' ได้ที่แล้วหรือ?"
"ได้ที่มานานแล้ว เพียงรอ 'ตะแกรง' สำหรับร่อนเท่านั้น"
อาจารย์ได้ยินแล้วก็เคาะครกตำข้าวสามครั้ง ก่อนเดินจากไป
การเคาะครกสามครั้งคือรหัสของเวลายามสามของคืนนั้น ดังนั้นฮุ่ยเหนิงก็ลอบไปหาอาจารย์ที่หอในคืนนั้น อาจารย์ใช้จีวรขึงบังไม่ให้ใครเห็น แล้วเริ่มอธิบายความในวัชรสูตรแก่ฮุ่ยเหนิง เมื่อเอ่ยถึงประโยค "คนเราควรจะใช้จิตของตนในวิถีทางที่จิตเป็นอิสระได้จากเครื่องข้องทั้งหลาย" (หมายความว่าเราควรใช้จิตของเราโดยให้มันเป็นอิสระไม่เกาะยึดกับอะไร) ฮุ่ยเหนิงก็มองเห็นสภาวะจิตเดิมแท้ของตน เข้าใจว่าสรรพสิ่งในจักรวาลเป็นเนื้อแท้แห่งจิต หรือจิตเดิมแท้ (essence of mind) เท่านั้น รู้แจ้งในคืนนั้นเองว่า ที่แท้ทุก ๆ สิ่งในสากลโลกก็คือตัวจิตเดิมแท้นี่เอง มิใช่สิ่งอื่นใด
และในราตรีแห่งธรรมนั้นเอง อาจารย์หงเหริ่นก็มอบบาตร จีวร สังฆาฏิที่สืบทอดมาจากพระโพธิธรรมให้ฮุ่ยเหนิงเป็นพระสังฆปริณายกองค์ต่อไป
แต่เนื่องจากสถานะที่ต่ำต้อยของฮุ่ยเหนิง และมองเห็นผลกระทบจากความอิจฉาของศิษย์วัดที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ อาจารย์หงเหริ่นจึงสั่งให้ฮุ่ยเหนิงออกจากวัด ลงไปทางใต้เสีย
อาจารย์หงเหริ่นไปส่งฮุ่ยเหนิงที่ริมฝั่งแม่น้ำแยงซี ตั้งใจจะแจวเรือส่งศิษย์ข้ามฟาก ทว่าฮุ่ยเหนิงคารวะอาจารย์ กล่าวเบา ๆ ว่า "ขอให้ศิษย์ของท่านเป็นผู้แจวเรือเถิด"
"ควรเป็นหน้าที่ของอาจารย์ที่ส่งศิษย์ข้ามฟาก" (หมายถึงทะเลแห่งการเกิดการตาย)
"ในสภาวะแห่งความไม่รู้ อาจารย์เป็นผู้แจวเรือข้ามฟาก ในสภาพตื่นรู้ ผู้ข้ามฟากเป็นผู้แจวเรือเอง"
การข้ามห้วงมหรรณพแห่งวัฏสงสารก็เช่นการข้ามแม่น้ำ คนแจวเรือส่งผู้โดยสารได้เพียงถึงจุดจุดหนึ่งเท่านั้น หนทางที่เหลือ ผู้โดยสารต้องเดินไปด้วยตนเอง
.............................
จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
มังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=6
สั่งจากเว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/213/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%202%20%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1%202
Mini Zen Shopee https://shopee.co.th/วินทร์-เลียววาริณ-ชุด-Mini-Zen-และ-Mini-Tao-ราคาปก-430.-พิเศษ-350.-พร้อมลายเซ็นนักเขียน-i.90206829.26404344902?xptdk=8bd1c6c6-b9a2-4870-911f-395d10a6c4af
เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/244/Mini%20Zen%20คู่%20Mini%20Tao
0- แชร์
- 78
-
(หมายเหตุ นี่เป็นหนังปี 2004 ดูหนังเรื่องนี้มาร่วมยี่สิบปีแล้ว เพิ่งมาเข้า Netflix จึงขอดูอีกรอบ และรีวิวอย่างเป็นการทาง ดูรอบนี้ ยังให้คะแนนเท่าเดิม)
‘ไมล์ส’ เป็นนักเขียนวัยกลางคนผู้ไม่ประสบความสำเร็จ เขาสอนหนังสือเพื่อเลี้ยงตัว แต่อยากเป็นนักเขียนอาชีพมากกว่า เขาผ่านการหย่าร้าง มองโลกหม่นหมอง ชีวิตไม่มีอะไรสวยงาม
อย่างที่เขาบอกตัวละคร 'แจ็ค' เพื่อนสนิทว่า "ชีวิตกูหมดไปแล้วครึ่งหนึ่ง เหลืออีกครึ่ง ยังไม่ประสบความสำเร็จ กูเป็นแค่รอยนิ้วมือบนหน้าต่างของตึกระฟ้า กูเป็นรอยเปื้อนของอาจมบนกระดาษชำระพุ่งพรวดออกสู่ทะเล พร้อมกับปฏิกูลอีกล้านตัน" (a smudge of excrement on a tissue surging out to sea with a million tons of raw sewage)
เพื่อนว่า "เฮ้ย! คมว่ะ ที่มึงพูดมานี่ สวยงามมากเลย a smudge of excrement on a tissue surging out to sea with a million tons of raw sewage อย่างนี้กูเขียนไม่ได้ว่ะ"
"เหี้ย! กูก็เขียนไม่ได้ มันเป็นคำของ Bukowski"
แจ็คกำลังจะแต่งงาน จึงชวนไมล์สไปเที่ยวไร่ไวน์แถบ Santa Ynez Valley ด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตชายโสด ไมล์สยอมไปด้วย เพื่อหาที่พักผ่อนสมอง กินอาหารอร่อย และไวน์ดี ๆ ก่อนกลับไปเผชิญโลกแห่งความมืดหม่นอีกครั้ง
นี่คือ Sideways หนังดรามา กลิ่นคล้ายๆ As Good as It Gets (1997) หนังที่ตัวละครเอกเป็นนักเขียนเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน
ไมล์สพบสาวเสิร์ฟชื่อ 'มายา' ทั้งสองคุยกันถูกคอในเรื่องไวน์ เขายังมอบต้นฉบับที่เขาเขียนให้เธออ่าน
ทั้งสองมีรสนิยมคล้ายกัน รักไวน์เหมือนกัน ไมล์สเผยว่าเขาชอบไวน์ Pinot เพราะมันปลูกยาก ผลิตจากองุ่นผิวบาง ขึ้นในบางพื้นที่เท่านั้น คนปลูกต้องอดทน ฟูมฟักมันอย่างดี จึงจะทำไวน์นี้ได้ มันต้องใช้คนที่ใช้เวลา เข้าใจมัน แล้วจึงได้รสชาติที่สุดยอด
บางทีเขาชอบ Pinot เพราะมันก็เหมือนชีวิตนักเขียน ปลูกยาก ผิวบาง อยู่ได้ในบางพื้นที่ และคนที่อยู่ด้วยต้องอดทน
อาจเพราะเหตุนี้ เขาจึงประสบความล้มเหลวในชีวิตคู่
ไมล์สบอกมายาว่า เขามีไวน์แดง 1961 Chateau Cheval Blanc หนึ่งขวด เขาบอกว่าเขาจะดื่มไวน์ขวดนี้เมื่อถึงโอกาสพิเศษจริง ๆ กับคนที่รู้ใจ
Chateau Cheval Blanc ถือว่าเป็นไวน์ดีที่สุดและแพงที่สุดชนิดหนึ่ง และ 1961 เป็นปีผลิตที่ดีที่สุดปีหนึ่งในศตวรรษที่ 20
มายามองต่างมุม บอกเขาว่า “วันไหนที่คุณเปิด 1961 Chateau Cheval Blanc วันนั้นก็คือโอกาสพิเศษ”
หากรสชาติไวน์ดีจนทำให้เราลืมโลกไปชั่วขณะจิต ขณะจิตนั้นก็คือช่วงเวลาพิเศษ
มายาบอก "ฉันชอบชีวิตของไวน์ ฉันชอบนึกว่ามันผ่านอะไรมา พระอาทิตย์ ฝนตก ฉันคิดถึงคนที่ดูแลต้นองุ่น และถ้าเป็นไวน์เก่า คนกี่คนที่ทำมันได้จากโลกไปแล้ว"
และไวน์ในแต่ละวันมีชีวิตไม่เหมือนกัน "การดื่มไวน์วันนี้กับวันอื่นไม่เหมือนกัน"
และ
"ไวน์มีชีวิต มันยังเติบโต จนถึงจุดๆ หนึ่งที่เป็นจุดสูงสุด เช่น '61 (Chateau Cheval Blanc) ของคุณ เมื่อนั้นมันจะมั่นคง รสชาติของมันจะสุดยอด"
แต่สำหรับไมล์ส ชีวิตของเขายังอยู่ห่างไกลจากจุดสูงสุด ดังที่เขาบอกเพื่อนว่า ชีวิตเขาเป็นแค่รอยเปื้อนของอาจมบนกระดาษชำระพุ่งพรวดออกสู่ทะเล พร้อมกับปฏิกูลอีกล้านตัน
ไมล์สเสียใจที่สำนักพิมพ์ปฏิเสธงานของเขา เขาบอกเพื่อนว่า "กูมันไร้ค่า ต่ำต้อยเกินฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ"
เพื่อนว่า "หมายความว่าไงวะ?"
ไมล์สอ้างชื่อนักเขียนดังหลายคนที่ฆ่าตัวตาย เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์, แอนน์ เซ็กสตัน, ซิลเวีย แพลท, เวอร์จิเนีย วูลฟ์ เขาว่า "กูยังฆ่าตัวตายไม่ได้จนกว่าจะได้พิมพ์งาน"
เพื่อนว่า "แต่มีนักเขียนคนนึง คนที่เขียนเรื่อง Confederacy of Dunces เขาฆ่าตัวตายก่อนงานได้ตีพิมพ์ เขาตายแล้วดังมาก"
"เหี้ย! ขอบใจว่ะ"
นักเขียนคนดังกล่าวคือ จอห์น เคนเนดี ทูล (John Kennedy Toole) นักเขียนชาวอเมริกัน งานเรื่องนี้ตีพิมพ์สิบเอ็ดปีหลังจากเขาฆ่าตัวตาย
ความจริงชีวิตของ จอห์น เคนเนดี ทูล ก็คล้ายๆ ตัวละครไมล์ส ทูลก็สอนหนังสือ และรับการปฏิเสธของสำนักพิมพ์ไม่ได้ จนต่อมาก็ฆ่าตัวตาย
Sideways เป็นหนังการค้นหาความหมายของชีวิตผ่านไวน์ มันเป็นหนังเกี่ยวกับศิลปะ เพราะไม่ว่างานเขียนหรือไวน์ก็เป็นศิลปะ
ชีวิตคู่ก็เป็นศิลปะ
หนังเดินเรื่องช้าๆ แต่ไม่ถึงกับเป็น slow burn และเราอาจชีวิตผ่านการเดินเรื่องเป็นเส้นตรงอย่างนี้
หนังเรื่องนี้เหมือนการดื่มไวน์ ดื่มรวดเดียวไม่ได้ ต้องค่อยๆ สัมผัสรสและกลิ่นของมัน ซึมซับมัน จึงจะได้รสละมุน
ในรสนิยมส่วนตัวของผม Sideways น่าจะเป็นหนังดีที่สุดของ Alexander Payne (About Schmidt, The Descendants, Downsizing)
ฉากยอดเยี่ยมและเป็นบทสรุปของเรื่องคือฉากไมล์สรินไวน์ 1961 Chateau Cheval Blanc ใส่ถ้วยโฟมไร้ค่า ดื่มมันคนเดียวในร้านแดกด่วน
และพลันในโลกที่มืดหม่น วันนั้นก็กลายเป็นวันที่วิเศษ
วินทร์ เลียววาริณ
2-8-2510/10
ฉายทาง Netflixวินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
0 วันที่ผ่านมา -
การเขียนนวนิยาย สี่ภพ นี้ ใช้ศัพท์จีนมาก
และไม่ใช่ศัพท์จีนธรรมดา หากคือศัพท์ทางจักรวาลวิทยา
ที่ยุ่งกว่านั้นคือ นักเขียนไม่สามารถใช้คำสมัยใหม่ เช่น universe black hole dimension ฯลฯ ในนิยายจีนกำลังภายในที่ใช้ฉากโบราณ
ดังนั้นจึงต้องประดิษฐ์คำใหม่
นี่เองทำให้เส้นทางโคจรของผมต้องพาดผ่านทางเดินของซือแป๋ น. นพรัตน์ เป็นระยะ ล่าสุดก็เมื่อสัปดาห์ก่อน สรุปชื่อเรื่องภาษาจีนให้
ซือแป๋กรุณาตั้งให้ว่า 四界
แปลได้ทั้งสี่ภพและสี่ธาตุ
ได้ความหมายกว้างกว่าที่คิด เพราะธาตุ (elements) ก็มีนัยของจักรวาล
ส่วนคำว่า จักรวาล (universe) แกประดิษฐ์คำใหม่ว่า ฮ่าวเทียน (浩天) แปลตรงตัวว่าสวรรค์ไพศาล
คุยกับซือแป๋ที นานเป็นชั่วโมง เพราะคอเดียวกัน ซือแป๋มีเกร็ดเยอะ
ตอนนี้ก็เหลือแกคนสุดท้ายที่เป็นเสาหลักนิยายจีนกำลังภายในแนวเก่า
ซือแป๋ตั้งข้อสังเกตว่า คนจีนยุคใหม่ไม่ค่อยอ่านและเขียนนิยายจีนกำลังภายในแนวเก่า (กิมย้ง) เดี๋ยวนี้กลายเป็นกำลังภายในแฟนตาซีเสียเยอะ
อ้าว! ซวยแล้วซี! เพิ่งเขียนเสร็จ เรื่องแนวเก่าล้วนๆ เลย
วินทร์ เลียววาริณ
2-8-250 วันที่ผ่านมา -
บทความใหม่วันเสาร์ คลิกลิงก์อ่านได้เลย https://www.blockdit.com/posts/67fbe22428ef0945bef33ac5
0 วันที่ผ่านมา -
วันนี้ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ผมขอใช้วันเดียวกับการเปิดตัว สี่ภพ ส่งหนังสือบริจาคเข้าห้องสมุด
นอกเหนือจากการขอเงินจากสปอนเซอร์มาผลิตหนังสือบริจาคเข้าห้องสมุด ผมยังบริจาคหนังสือนอกรอบเรื่อยๆ เป็นการส่วนตัว
วันนี้สำนักพิมพ์ 113 ได้บริจาคหนังสือล็อตใหญ่เข้าห้องสมุด จำนวน 23,825 เล่ม มูลค่าหนังสือ 5,917,555.- บาท
ปีที่แล้วก็บริจาคในนามสำนักพิมพ์ มูลค่าร่วม 3 ล้าน
การส่งหนังสือสองหมื่นกว่าเล่มเข้าคลังกระทรวงศึกษาฯ ต้องใช้รถบรรทุกสองคัน คนจ่ายค่ารถก็คือผม
บริจาคส่วนตัวล็อตนั้นรวมกับล็อตนี้ก็ร่วม 9 ล้าน รู้สึกเบาตัวขึ้นเยอะ! (หวังว่าวันนี้ผมคงถูกล็อตเตอรีสักใบนะ)
จนถึงวันนี้ โครงการเติมหัวใจใส่ห้องสมุดได้บริจาคหนังสือไปแล้วรวม 260,640 เล่ม เป็นมูลค่าหนังสือ 57,759,900.-บาท (57.7 ล้าน)
การบริจาคส่วนตัวครั้งนี้ไม่ใช่รอบแรก และจะไม่ใช่รอบสุดท้าย
ที่ไม่น่าเชื่อคือ ในช่วง 2-3 ปีนี้ ยอดขายหนังสือใหม่ของผมขายได้น้อยกว่าบริจาค จะเรียกว่าทำงานฟรีก็ได้
ทำให้ไม่มีทางเลือกที่หนังสือใหม่ๆ ต่อจากนี้ต้องทำเป็น pre-oreder พิมพ์จำนวนน้อย และราคาสูง
เกริ่นมาตั้งนานก็แค่จะบอกว่า แม้พิมพ์แบบ pre-oreder เราก็ยังพยายามหาเงินบริจาคมาพิมพ์เข้าห้องสมุด
สำหรับชุด สี่ภพ ต้นทุนชุดนี้สูงมาก งวดนี้คงบริจาคเข้าห้องสมุดได้น้อยชุด แต่เนื่องจาก สี่ภพ ยังไม่ได้ตีพิมพ์ หากใครอยากร่วมโครงการเติมหัวใจใส่ห้องสมุด ก็ทำได้ โดยแจ้งมาที่ inbox นี้ หรืออีเมล namol113@gmail.com จะได้ใส่ชื่อผู้บริจาคในเล่มก่อนตีพิมพ์จริง (ถ้าได้ตีพิมพ์)
ถ้าไม่ได้พิมพ์เล่มนี้ ก็จะนำเงินไปพิมพ์เล่มอื่นเพื่อบริจาคต่อไป
วินทร์ เลียววาริณ
1 สิงหาคม 25681 วันที่ผ่านมา -
ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ผมเสนอโครงการคอลัมน์ใหม่ให้มติชนสุดสัปดาห์ชื่อ ำ (อ่านว่าอำ) โดยเขียนสองสามตอนไปเสนอบรรณาธิการบริหาร เสถียร จันทิมาธร โครงการได้รับไฟเขียว
คอลัมน์ ำ ตอนแรกก็ปรากฏตัวบนหน้านิตยสารในปีนั้น เรื่องแรกชื่อ นักเขียนใหม่ที่กิมย้งยกนิ้วให้
เนื้อหามีดังต่อไปนี้
............................................
หนอนนิยายกำลังภายในส่วนใหญ่เคยบอกเสียงเดียวกันว่า หลังจากยุคของกิมย้งและโก้วเล้งแล้ว หานักเขียนใหม่ที่บุกเบิกนิยายกำลังภายในสู่มรรคาใหม่อีกสักครั้งไม่ได้ ผมเองก็เชื่อเช่นนั้น
จริงอยู่นิยายกำลังภายในยังไม่ตาย ผู้คนยังอ่านมันอยู่ทุกวัน แต่หางานชั้นเยี่ยมระดับเดียวกับที่กิมย้งและโก้วเล้งเคยสั่นสะเทือนวงการยุทธจักรหนังสือจีนไม่เจอ
อันว่านวนิยายกำลังภายในถือกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อใดก็ยากจะตอบได้ เพราะนวนิยายเป็นการเล่าเรื่องแบบใหม่ที่มีรากมาจากตะวันตก ส่วนเรื่องจีนที่มีลักษณะใกล้เคียงนิยายกำลังภายในที่เล่ากันในสมัยก่อน มักอยู่ในรูปของนิทาน เกร็ด พงศาวดาร ละคร งิ้ว
เมืองไทยเราก็ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้มาเป็นฉบับภาษาไทยไม่น้อย เช่น เจ็งฮองเฮา ชั่นบ้อเหมา ซ้องกั๋ง แม้แต่ สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ก็เล่าเรื่องในลักษณะของพงศาวดารมากกว่าในรูปของนวนิยาย พูดง่าย ๆ คือไม่มีบทสนทนาแบบนวนิยายสมัยใหม่ ไม่ต้องผูกเรื่องให้วุ่นวาย ไม่ต้องพร่ำพรรณนาอารมณ์ตัวละคร แต่บรรยายเรื่องราวออกมาเป็นฉาก ๆ
แต่เมื่อนวนิยายสมัยใหม่มีบทบาทมากขึ้น เรื่องราวที่อยู่ในรูปของแบบที่กล่าวข้างต้นค่อย ๆ หล่อหลอมกลายเป็นนวนิยายกำลังภายในแบบปัจจุบัน
โก้วเล้งเคยจัดเรื่อง บันทึกคดีแพ้กัง บันทึกคดีซีกง เจ็ดผู้กล้าห้าคุณธรรม ห้าคุณธรรมน้อย และ สามผู้กล้ากระบี่ เป็นนิยายกำลังภายในระลอกแรก ในบรรดานี้ เรื่อง สามผู้กล้ากระบี่ ของเตียเกี๊ยกฮิม น่าจะใกล้เคียงนิยายกำลังภายในปัจจุบันมากที่สุด
จนมาถึงยุคของแพ้กัง ปุกเสียวเซ็ง และโฮ้ยจูเล่าจู้ เฮ่งโต้วโล้ว แต้เจ่งอิง จูเจ็กบัก แป๊ะอู้ แต่ละท่านสร้างผลงานนิยายกำลังภายในออกมาไม่น้อย
ในยุค ค.ศ. ๑๙๔๐-๑๙๕๐ นิยายกำลังภายในนิ่งสนิท ไม่มีอะไรแปลกใหม่
จนกระทั่งหลังปี ๑๙๕๐ ก็เกิดนักเขียนผู้หนึ่งที่สร้างความสั่นสะเทือนต่อวงการนิยายกำลังภายในอย่างรุนแรงที่สุด
เขาผู้นั้นก็คือกิมย้ง
กิมย้งสร้างงานลือลั่นหลายชิ้น เช่น มังกรหยก กระบี่เย้ยยุทธจักร แปดเทพอสูรมังกรฟ้า อุ้ยเซี่ยวป้อ ฯลฯ กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ให้นักเขียนคนอื่นเดินตามมาเป็นพรวน ไม่เว้นแม้แต่โก้วเล้ง
หลังจากยุคกิมย้ง ก็ถึงยุคของโก้วเล้งที่เปลี่ยนโฉมหน้านิยายกำลังภายในอีกครั้งหนึ่ง สร้างผลงานที่ลือลั่นจำนวนไม่น้อย เช่น ฤทธิ์มีดสั้น ดาบจอมภพ ฯลฯ
หลังจากนั้นโมเมนตัมนวนิยายกำลังภายในก็ถึงจุดเฉื่อยอีกครั้งหนึ่ง ยี่สิบปีที่ผ่านมา หาหนังสือใหม่ ๆ ที่โดดเด่นและส่งพลังสั่นสะเทือนบู๊ลิ้มไม่ได้เลย
อย่างมากก็แค่สั่น แต่ไม่สะเทือน
ผมเลิกอ่านนิยายกำลังภายในมาหลายปีแล้ว เพราะพบว่าโครงเรื่องไม่มีอะไรใหม่สดจากเดิม แม้ว่ามีความพยายามเขียนนิยายกำลังภายในในรูปแบบใหม่ เช่น เจาะเวลาหาจิ๋นซี บ้าง แต่ภาพรวมของนิยายกำลังภายในก็ยังต้องบอกว่า หาคนเทียบงานระดับบรมครูระดับกิมย้ง โก้วเล้ง ยาก
เหง่ยคัง นักวิจารณ์ชาวจีนท่านหนึ่งฟันธงว่า หากนักเขียนไม่ดิ้นรนหาแนวทางใหม่ อีกไม่เกินสิบปีนิยายกำลังภายในที่คลานมาด้วยความอืดก็จะถึงกาลอวสานแน่นอน
จวบจนเมื่อต้นปีนี้ คออ่านระดับหนอนต่างก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อมีหนังสือใหม่สี่เล่มปรากฏโฉมในโลกหนังสือจีน
เป็นนวนิยายกำลังภายในชื่อสั้น ๆ ว่า เป่ย (แปลว่า ทิศเหนือ) หนาน (ทิศใต้) ตง (ทิศตะวันออก) และ ซี (ทิศตะวันตก)
เมื่อวางตลาดในฮ่องกงและไต้หวันเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เป่ย หนาน ตง ซี ขายได้ทะลุหลักหนึ่งล้านเล่มในเวลาเพียงหนึ่งเดือนครึ่ง เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เรียกว่าเป็น ‘ปรากฏการณ์ แฮร์รี พ็อตเตอร์ ของจีน’ เลยก็ได้
เป่ย หนาน ตง ซี เป็นนวนิยายกำลังภายในที่ กิมย้ง ยอดนักเขียนยุคบุกเบิกยกนิ้วให้
ที่แปลกก็คือ มันเป็นนวนิยายเรื่องแรกของนักเขียนโนเนมวัยยี่สิบเศษ นักเขียนคนนี้มีชื่อธรรมดา ๆ ว่า เสี่ยวฟาง
เสี่ยวฟางคนนี้เป็นใคร มาจากไหน แล้วเรื่องมันดียังไง คนอ่านถึงต้อนรับเขาถึงขนาดนี้
เสี่ยวฟางผู้นี้เป็นเซลส์แมนขายเครื่องสำอาง ไม่เคยอ่านนิยายกำลังภายในมาก่อน
วันหนึ่งเสี่ยวฟางถูกไล่ออกจากงาน เดินจ๋องไปนั่งรอรถไฟใต้ดิน เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่ง ผู้เขียนคือโก้วเล้ง ที่ใครคนหนึ่งทิ้งไว้ที่ชานชาลามาอ่าน นั่งอ่านที่นั่นรวดเดียวจบ อ่านเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปเริ่มเขียนหนังสือนานเก้าเดือนเต็ม ได้ต้นฉบับมาสี่เรื่อง หลังจากนั้นก็หอบต้นฉบับไปขายตามสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ไม่มีใครสนใจงานชิ้นนี้เลย
จนกระทั่งสำนักพิมพ์ตงฟางที่ฮ่องกงยอมตีพิมพ์ให้เพราะบังเอิญบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ขับรถเฉี่ยวถูกนายเสี่ยวฟางเข้า จึงยอมพิมพ์ให้เพียงหนึ่งเรื่องแทนการชดใช้ค่าเสียหาย
เป่ย พิมพ์แค่สองพันเล่ม (ถ้าเป็นบ้านเราถือว่าเป็นยอดที่ไม่ต่ำเลย!)
เรื่องนี้ไม่น่าจะมีใครซื้อไปอ่านหรือดังขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะนักจัดรายการวิทยุคนหนึ่งอ่านและชอบใจ จึงนำไปเล่าเรื่องทางอากาศ ผลก็คือคนแห่ไปซื้อหนังสือเล่มนี้ทันที
ยอดพิมพ์สองพันเล่มแรกของ เป่ย หมดในพริบตา มีคนมาถามหาหนังสือเล่มนี้มากมาย ยอดพิมพ์ครั้งที่สองห้าพันเล่มหมดในเวลาสัปดาห์เดียว สำนักพิมพ์จึงรู้ว่าพบเพชรเม็ดงามโดยบังเอิญ
หลังจากนั้นก็รีบตีพิมพ์อีกสามเรื่องของเขาออกมาจนครบชุด
เป่ย หนาน ตง ซี ทั้งสี่เล่มได้รับคำชมอย่างท่วมท้นจากนักวิจารณ์ทุกคน
กิมย้งบอกว่ามีคนส่งหนังสือสี่เล่มนี้ให้เขาอ่าน ทีแรกก็อ่านอย่างเสียไม่ได้ แต่ผ่านตาไปได้เพียงบทเดียวเขาก็เกิดอาการติดหนับ อ่านรวดเดียวจบ แล้วบอกว่า นึกไม่ถึงว่านิยายกำลังภายในยังสามารถแตกหน่อต่อยอดออกไปได้ไกลเพียงนี้ และบอกว่าต่อไปนี้คงตายตาหลับที่รู้ว่านิยายกำลังภายในยังไม่ตาย
ทั้งสี่เล่มเป็นหนังสือชุดต่อเนื่องกัน แต่ละเล่มเป็นเอกเทศแต่เมื่ออ่านรวมจะเห็นภาพที่ชัดเจน
ผมมีโอกาสอ่านเล่มแรกของเขาที่ชื่อ เป่ย เพราะเพื่อนที่สิงคโปร์ส่งหนังสือมาให้ แม้ว่าอ่านอย่างยากเย็นเพราะทิ้งภาษาจีนมานาน แต่ก็คุ้มกับเวลา และดีใจตามประสาคอนิยายบู๊ลิ้มว่า บัดนี้นิยายกำลังภายในได้เปลี่ยนแปลงอีกครั้งแล้ว
เป่ย เป็นนวนิยายกำลังภายในที่มีวิธีการเขียนแตกต่างจากกำลังภายในแนวเดิมโดยสิ้นเชิง จึงไม่น่าสงสัยว่าทำไมทีแรกไม่มีใครกล้าตีพิมพ์งานชิ้นนี้
สรุปสั้น ๆ ได้ว่า เป่ย เป็นเรื่องแนว Magical Realism ผสมนิยายวิทยาศาสตร์เรื่องแรกของวงการกำลังภายใน
เรื่องนี้แบ่งออกเป็นสิบสองบท แต่ละบทเป็นตัวแทนของจักรราศีทั้งสิบสองของโลก โดยมีตัวเอกเป็นตัวละครที่เดินเรื่องผ่านสิบสองราศีนี้ไปจนจบ หมุนเป็นวง ดังนั้นระยะเวลาของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเรื่องนี้จึงกินเวลาสิบสองปี
ตัวละครเอกของเรื่อง เป่ย ชื่อจางฝาน เป็นคนรับใช้ (เสี่ยวเอ้อ) ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่โซวจิว วัน ๆ เขามีหน้าที่ยกอาหาร ทำความสะอาดร้าน
จางฝานต่างจากเสี่ยวเอ้อคนอื่น ๆ ตรงที่เป็นคนช่างสังเกตมาก วันหนึ่งหลวงจีนจากวัดเสียวลิ้มองค์หนึ่งมาพักที่โรงเตี๊ยม พักอยู่นานสิบสองวัน ทุกวันหลวงจีนองค์นี้กินข้าวเปล่าเป็นอาหารทั้งสามมื้อ
ค่ำวันหนึ่งขณะทำความสะอาดร้าน จางฝานพบสร้อยลูกประคำที่หลวงจีนทำหล่น จึงนำไปคืนให้ที่ห้อง แต่พบว่าหลวงจีนเพิ่งจากไป
เขาดูสร้อยลูกประคำเส้นนั้น เห็นว่าลูกที่ห้อยตรงกลางมีขนาดโตกว่าลูกอื่น เป็นแก้วใส แต่เมื่อเพ่งดูภายในลูกแก้วนั้น ก็พบสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกลุ่มควันในนั้นกำลังหมุน เมื่อยกมันขึ้นเพ่งดู จะเห็นว่าลักษณะการหมุนนั้นไม่เป็นระเบียบ เมื่อวางมันลง กลุ่มควันในนั้นก็กลับมาหมุนเป็นวงรี
จางฝานถามตาแก่คนเขียนหนังสือจีนข้างโรงเตี๊ยม ตาแก่ซึ่งเคยเป็นครูในราชสำนักบอกว่า ลักษณะการหมุนดังที่จางฝานอธิบายดูคล้ายดาราจักร หรือกลุ่มดาวฤกษ์ที่รวมตัวกัน อย่างเช่นทางช้างเผือกของเรา
การทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อทำให้จางฝานมีเวลาว่างมากพอสมควร ทุกครั้งที่ว่างเขาก็หยิบลูกประคำนั้นมาเพ่งดูการหมุนของกลุ่มควันนั้น ผ่านไปไม่นานเขาก็ค้นพบความสัมพันธ์ของการหมุนที่ดูเหมือนไร้จังหวะ เขาลองขยับร่างแขนขาตามจังหวะการหมุนนั้น ก็รู้สึกว่าเลือดลมในร่างหมุนวนเป็นจังหวะเดียวกัน และทำให้เกิดความสบายร่างเป็นที่สุด
ตั้งแต่นั้นเขาผ่านเวลาว่างด้วยการเคลื่อนไหวร่างตามจังหวะการหมุนของลูกประคำนั้น
วันหนึ่งอันธพาลสามคนเข้ามาพังร้านเพราะเจ้านายของจางฝานไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครอง จางฝานขวางหน้าอันธพาล และถูกทำร้าย ด้วยสัญชาตญาณเขาแกว่งมือไม้ไปตามจังหวะการหมุนของกลุ่มควันในลูกประคำ ปรากฏว่าคนร้ายทั้งสามถูกพลังฝ่ามือของเขาทำร้ายจนตายหมดด้วยการหมุนมือเพียงครั้งเดียว
จางฝานตกใจ หนีจากสถานที่นั้น ออกไปเผชิญโชคในโลกยุทธจักรตามลำพัง ในเวลาเพียงหกเดือน เขาก็กลายเป็นจอมยุทธ์ที่ช่วยเหลือคนที่ถูกรังแกมากมาย ฉายา ฝ่ามือหมุน
ผ่านไปอีกไม่นาน จางฝานพบว่ามีพลังบางอย่างในร่างที่ผลักดันให้เขาต้องเดินทางไปสู่ทิศเหนือ กล่าวคือหากเขาเคลื่อนตัวไปทิศอื่น ร่างกายจะเจ็บปวดรวดร้าวเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงทั่วร่าง แต่เมื่อเดินทางไปทางเหนือ ร่างกายก็สบายอย่างที่สุด
จางฝานไม่มีทางเลือกนอกจากเดินทางขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ จนถึงแผ่นดินรกร้างกลางหิมะ และเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง เขาก็ต้องหยุดเดินทางโดยสิ้นเชิง เพราะเมื่อไม่ว่าจะก้าวไปทิศใด ร่างกายของเขาก็เกิดอาการเจ็บปวดแสนสาหัส
เขานอนนิ่ง ณ จุดนั้นสิบสองวันสิบสองคืน โดยไม่มีอาหาร ได้แต่เคลื่อนลมปราณไปตามจังหวะที่เรียนจากลูกประคำ
เขาคำนวณวัน จึงพบว่ามันเป็นเดือนที่สิบสองหลังจากที่เขาเรียนรู้วิทยายุทธจากลูกประคำ
ในคืนที่สิบสองดาวเหนือปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาพอดี และ ณ ที่นั้นเขาก็พบกับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง
เปลี่ยนอะไร เปลี่ยนอย่างไร บอกไม่ได้ ต้องไปอ่านเอาเอง
บอกใบ้ให้นิดหน่อยว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งทรงภูมิปัญญานอกโลก ที่เราชอบเรียกกันว่ามนุษย์ต่างดาว
ในตอนกลางเรื่อง เขาเรียนวิชาการต่อสู้จากมนุษย์ต่างดาว เนื่องจากโลกจริงเสมือนนั้นมีแรงโน้มถ่วงที่ ๒ จี คือหนักกว่าโลกเราสองเท่า เมื่อเขาฝึกวิชาจากโลกนั้นสำเร็จ และออกมาผจญโลกภายนอก เขาจึงสามารถเคลื่อนร่างกายได้เร็วกว่าสองเท่า กระโดดลอยตัวได้สูงกว่าสองเท่า
ในเรื่อง เป่ย หนาน ตง ซี ครบชุด จางฝานต้องเดินทางอย่างนี้สี่ครั้งสี่ทิศ จนพบการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายของเขาที่เกี่ยวข้องกับโลกและจักรวาล
เป่ย หนาน ตง ซี เป็นนวนิยายกำลังภายในที่อ่านมันมากในรอบยี่สิบปีนี้ มีองค์ประกอบต่าง ๆ มากมายที่คาดไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่น ฉากหนึ่งอธิบายว่า วัดเสียวลิ้มนั้นเป็นโลกเสมือนจริงของมนุษย์ต่างดาว
หากฟังดูเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ละก็ ไม่ใช่ครับ เรื่องนี้เป็นนิยายกำลังภายในมาก ๆ เลยทีเดียว
เรื่องนี้มีการเล่าถึงกระบวนท่าวิทยายุทธแปลก ๆ มากมาย ที่เด่นและขำมากก็คือวิชาผลุบโผล่ คนที่ฝึกวิชานี้สามารถเปลี่ยนเพศของตนได้!
ในตอนหนึ่งตัวเอกของเรื่องถูกจับไปในวังที่เต็มไปด้วยสตรี จางฝานใช้วิชานี้แปลงตัวเองเป็นหญิง หลุดรอดมาได้
เป่ย ไม่ใช่เรื่องแฟนตาซี เป็นนิยายกำลังภายในที่ยังคงฉากการต่อสู้ วิชาการต่าง ๆ เป็นเรื่องของคนในยุทธจักร แม้ว่าจะมีความเป็นนิยายวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง เช่น กล่าวถึงการโคลนนิ่งมนุษย์ อธิบายที่มาของระบบสรีรศาสตร์ของคน เหตุที่ลมปราณสามารถเคลื่อนไปมาเพราะแรงและระบบที่ถูกมนุษย์ต่างดาวกำหนดเอาไว้
ใครที่ไม่เข้าใจเรื่องจุดชีพจรในนิยายกำลังภายใน เช่น การเดินลมปราณไปตามจุดชีพจร วิชากระซิบด้วยลมปราณ วิชาตัวเบา จะพบคำอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากในเรื่องนี้
สุดยอดครับ!
ข่าวดีสำหรับหนอนเมืองไทยคือ น. นพรัตน์ กำลังขะมักเขม้นแปลเรื่องชุดนี้ออกเป็นภาษาไทย
รออีกนิดคงได้อ่านกัน
รอมายี่สิบปีแล้ว รออีกหน่อยคงไม่ช้าไป
หมายเหตุ : เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้ตอแหลทั้งสิ้น
.........................................
นี่คือเรื่องที่อำ
ตอนที่มติชนสุดสัปดาห์ตีพิมพ์เรื่องนี้ โลกเรายังไม่มี โซเชียล เน็ตเวิร์ก ซึ่งเฟกนิวส์เป็นเรื่องปกติ เรื่องสั้นอำเรื่องนี้ทำให้หลายคนเชื่อว่าเป็นความจริง และสร้างความวุ่นวายให้หลายคน
หนึ่งในนั้นคือ น. นพรัตน์ นักแปลนิยายจีนกำลังภายในผู้คร่ำหวอดในวงการมานาน น. นพรัตน์ เล่าให้ผมฟังว่า มีผู้อ่านหลายคนไปถามแกว่า เมื่อไรจะแปล เป่ย หนาน ตง ซี เสร็จ เมื่อไรจะตีพิมพ์
แกงงไปครู่ใหญ่ กว่าจะรู้ว่านี่เป็นเรื่องอำของผม
ผมจึงต้องขอโทษขอโพยแก อยู่ดี ๆ ไปสร้างความเดือดร้อนให้ กลายเป็นเรื่องขำ ๆ
แต่ผู้อ่านจำนวนมากไม่ขำด้วย ตลอดยี่สิบปีต่อมา ผู้อ่านจำนวนมากมาหาผม คาดคั้นให้ผมเขียนนวนิยายเรื่องนี้จริง ๆ
ต้องเขียนชดใช้บาปที่ทำให้หมดอารมณ์ ต้องเปลี่ยนเรื่องอำให้เป็นเรื่องจริง
ผมก็ลากมาเรื่อย ไม่คิดจะเขียน เพราะรู้ตั้งแต่วันแรกที่เขียนอำชาวบ้านแล้วว่า เรื่องนี้เขียนยาก
งานนี้มีกองเชียร์มาก (ก็พวกเขาไม่ต้องเขียนเองนี่นา)
โดนเข้าบ่อย ๆ ก็บอกตัวเองว่า “เอาก็เอาวะ ลองดู” เพราะเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ถ้าจะทำก็ต้องทำตอนนี้ เพราะอายุผมอยู่ที่เลข ๖ แล้ว เรี่ยวแรงเริ่มหมด
จนเมื่อปี ๒๕๖๓ ผมก็รู้ว่าถึงคิวทำงานใหญ่ที่ผัดมานานแล้ว
ตัวเลขอายุมากขึ้น โควิด - ๑๙ ก็ดักรออยู่ อาจตายได้ทุกเมื่อ จึงสมควรสะสางโครงการ เป่ย หนาน ตง ซี สักที
ความจริง เป่ย หนาน ตง ซี เป็นโครงการที่ท้าทายมาก และมั่นใจว่าถ้ามีเวลาก็ทำได้ แต่รู้ว่าจะกินแรงกายแรงสมองแรงใจมาก เพราะมันเป็นนิยายจีนกำลังภายในไซไฟที่ผมยังไม่เคยเห็นว่ามีใครทำมาก่อน แต่มันจะเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตการเขียนของผม
ทว่าคิดไปคิดมา ถ้าไม่ทำตอนนี้ อีกไม่กี่ปี ก็คงไม่มีแรงเขียนชุดนี้แล้ว ดังนั้นผมก็เริ่มต้นร่างเรื่อง
โครงการนวนิยายยาว เป่ย หนาน ตง ซี เริ่มเขียนเอาฤกษ์เอาชัยเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓
ก้าวแรกขยับเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า เขียน ๆ หยุด ๆ (แต่หยุดมากกว่าเขียน) ผ่านไปแล้วหกเดือนครึ่ง กาแฟสองร้อยถ้วย พร้อมเส้นผมขาวอีกหลายเส้น ยังไปไม่ถึงไหน
การทำงานในช่วงหลายเดือนแรก ทรมานมาก มันเหมือนพยายามตบยุงในห้องมืดสนิท
ก็ลากมาเรื่อย ๆ จนถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๗ ก็เขียนสำเร็จและเกลาอีกหลายรอบ จนเสร็จ
และตอนนี้พร้อมให้ท่านเป็นเจ้าของหนังสือที่มีที่มาประหลาดที่สุด
pre-order คลิก https://www.winbookclub.com/store/detail/254/4%20%E0%B8%A0%E0%B8%9Eวินทร์ เลียววาริณ
๑ สิงหาคม ๒๕๖๘1 วันที่ผ่านมา