• วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ผมเสนอโครงการคอลัมน์ใหม่ให้มติชนสุดสัปดาห์ชื่อ  ำ (อ่านว่าอำ) โดยเขียนสองสามตอนไปเสนอบรรณาธิการบริหาร เสถียร จันทิมาธร โครงการได้รับไฟเขียว

    คอลัมน์  ำ ตอนแรกก็ปรากฏตัวบนหน้านิตยสารในปีนั้น เรื่องแรกชื่อ นักเขียนใหม่ที่กิมย้งยกนิ้วให้

    เนื้อหามีดังต่อไปนี้

    ............................................

    หนอนนิยายกำลังภายในส่วนใหญ่เคยบอกเสียงเดียวกันว่า หลังจากยุคของกิมย้งและโก้วเล้งแล้ว หานักเขียนใหม่ที่บุกเบิกนิยายกำลังภายในสู่มรรคาใหม่อีกสักครั้งไม่ได้ ผมเองก็เชื่อเช่นนั้น

    จริงอยู่นิยายกำลังภายในยังไม่ตาย ผู้คนยังอ่านมันอยู่ทุกวัน แต่หางานชั้นเยี่ยมระดับเดียวกับที่กิมย้งและโก้วเล้งเคยสั่นสะเทือนวงการยุทธจักรหนังสือจีนไม่เจอ

    อันว่านวนิยายกำลังภายในถือกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อใดก็ยากจะตอบได้ เพราะนวนิยายเป็นการเล่าเรื่องแบบใหม่ที่มีรากมาจากตะวันตก ส่วนเรื่องจีนที่มีลักษณะใกล้เคียงนิยายกำลังภายในที่เล่ากันในสมัยก่อน มักอยู่ในรูปของนิทาน เกร็ด พงศาวดาร ละคร งิ้ว

    เมืองไทยเราก็ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้มาเป็นฉบับภาษาไทยไม่น้อย เช่น เจ็งฮองเฮา ชั่นบ้อเหมา ซ้องกั๋ง แม้แต่ สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ก็เล่าเรื่องในลักษณะของพงศาวดารมากกว่าในรูปของนวนิยาย พูดง่าย ๆ คือไม่มีบทสนทนาแบบนวนิยายสมัยใหม่ ไม่ต้องผูกเรื่องให้วุ่นวาย ไม่ต้องพร่ำพรรณนาอารมณ์ตัวละคร แต่บรรยายเรื่องราวออกมาเป็นฉาก ๆ

    แต่เมื่อนวนิยายสมัยใหม่มีบทบาทมากขึ้น เรื่องราวที่อยู่ในรูปของแบบที่กล่าวข้างต้นค่อย ๆ หล่อหลอมกลายเป็นนวนิยายกำลังภายในแบบปัจจุบัน

    โก้วเล้งเคยจัดเรื่อง บันทึกคดีแพ้กัง บันทึกคดีซีกง เจ็ดผู้กล้าห้าคุณธรรม ห้าคุณธรรมน้อย และ สามผู้กล้ากระบี่ เป็นนิยายกำลังภายในระลอกแรก ในบรรดานี้ เรื่อง สามผู้กล้ากระบี่ ของเตียเกี๊ยกฮิม น่าจะใกล้เคียงนิยายกำลังภายในปัจจุบันมากที่สุด

    จนมาถึงยุคของแพ้กัง ปุกเสียวเซ็ง และโฮ้ยจูเล่าจู้ เฮ่งโต้วโล้ว แต้เจ่งอิง จูเจ็กบัก แป๊ะอู้ แต่ละท่านสร้างผลงานนิยายกำลังภายในออกมาไม่น้อย

    ในยุค ค.ศ. ๑๙๔๐-๑๙๕๐ นิยายกำลังภายในนิ่งสนิท ไม่มีอะไรแปลกใหม่

    จนกระทั่งหลังปี ๑๙๕๐ ก็เกิดนักเขียนผู้หนึ่งที่สร้างความสั่นสะเทือนต่อวงการนิยายกำลังภายในอย่างรุนแรงที่สุด

    เขาผู้นั้นก็คือกิมย้ง

    กิมย้งสร้างงานลือลั่นหลายชิ้น เช่น มังกรหยก กระบี่เย้ยยุทธจักร แปดเทพอสูรมังกรฟ้า อุ้ยเซี่ยวป้อ ฯลฯ กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ให้นักเขียนคนอื่นเดินตามมาเป็นพรวน ไม่เว้นแม้แต่โก้วเล้ง

    หลังจากยุคกิมย้ง ก็ถึงยุคของโก้วเล้งที่เปลี่ยนโฉมหน้านิยายกำลังภายในอีกครั้งหนึ่ง สร้างผลงานที่ลือลั่นจำนวนไม่น้อย เช่น ฤทธิ์มีดสั้น ดาบจอมภพ ฯลฯ

    หลังจากนั้นโมเมนตัมนวนิยายกำลังภายในก็ถึงจุดเฉื่อยอีกครั้งหนึ่ง ยี่สิบปีที่ผ่านมา หาหนังสือใหม่ ๆ ที่โดดเด่นและส่งพลังสั่นสะเทือนบู๊ลิ้มไม่ได้เลย

    อย่างมากก็แค่สั่น แต่ไม่สะเทือน

    ผมเลิกอ่านนิยายกำลังภายในมาหลายปีแล้ว เพราะพบว่าโครงเรื่องไม่มีอะไรใหม่สดจากเดิม แม้ว่ามีความพยายามเขียนนิยายกำลังภายในในรูปแบบใหม่ เช่น เจาะเวลาหาจิ๋นซี บ้าง แต่ภาพรวมของนิยายกำลังภายในก็ยังต้องบอกว่า หาคนเทียบงานระดับบรมครูระดับกิมย้ง โก้วเล้ง ยาก

    เหง่ยคัง นักวิจารณ์ชาวจีนท่านหนึ่งฟันธงว่า หากนักเขียนไม่ดิ้นรนหาแนวทางใหม่ อีกไม่เกินสิบปีนิยายกำลังภายในที่คลานมาด้วยความอืดก็จะถึงกาลอวสานแน่นอน

    จวบจนเมื่อต้นปีนี้ คออ่านระดับหนอนต่างก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อมีหนังสือใหม่สี่เล่มปรากฏโฉมในโลกหนังสือจีน

    เป็นนวนิยายกำลังภายในชื่อสั้น ๆ ว่า เป่ย (แปลว่า ทิศเหนือ) หนาน (ทิศใต้) ตง (ทิศตะวันออก) และ ซี (ทิศตะวันตก)

    เมื่อวางตลาดในฮ่องกงและไต้หวันเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เป่ย หนาน ตง ซี ขายได้ทะลุหลักหนึ่งล้านเล่มในเวลาเพียงหนึ่งเดือนครึ่ง เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เรียกว่าเป็น ‘ปรากฏการณ์ แฮร์รี พ็อตเตอร์ ของจีน’ เลยก็ได้

    เป่ย หนาน ตง ซี เป็นนวนิยายกำลังภายในที่ กิมย้ง ยอดนักเขียนยุคบุกเบิกยกนิ้วให้

    ที่แปลกก็คือ มันเป็นนวนิยายเรื่องแรกของนักเขียนโนเนมวัยยี่สิบเศษ นักเขียนคนนี้มีชื่อธรรมดา ๆ ว่า เสี่ยวฟาง

    เสี่ยวฟางคนนี้เป็นใคร มาจากไหน แล้วเรื่องมันดียังไง คนอ่านถึงต้อนรับเขาถึงขนาดนี้

    เสี่ยวฟางผู้นี้เป็นเซลส์แมนขายเครื่องสำอาง ไม่เคยอ่านนิยายกำลังภายในมาก่อน

    วันหนึ่งเสี่ยวฟางถูกไล่ออกจากงาน เดินจ๋องไปนั่งรอรถไฟใต้ดิน เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่ง ผู้เขียนคือโก้วเล้ง ที่ใครคนหนึ่งทิ้งไว้ที่ชานชาลามาอ่าน นั่งอ่านที่นั่นรวดเดียวจบ อ่านเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปเริ่มเขียนหนังสือนานเก้าเดือนเต็ม ได้ต้นฉบับมาสี่เรื่อง หลังจากนั้นก็หอบต้นฉบับไปขายตามสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ไม่มีใครสนใจงานชิ้นนี้เลย

    จนกระทั่งสำนักพิมพ์ตงฟางที่ฮ่องกงยอมตีพิมพ์ให้เพราะบังเอิญบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ขับรถเฉี่ยวถูกนายเสี่ยวฟางเข้า จึงยอมพิมพ์ให้เพียงหนึ่งเรื่องแทนการชดใช้ค่าเสียหาย

    เป่ย พิมพ์แค่สองพันเล่ม (ถ้าเป็นบ้านเราถือว่าเป็นยอดที่ไม่ต่ำเลย!)

    เรื่องนี้ไม่น่าจะมีใครซื้อไปอ่านหรือดังขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะนักจัดรายการวิทยุคนหนึ่งอ่านและชอบใจ จึงนำไปเล่าเรื่องทางอากาศ ผลก็คือคนแห่ไปซื้อหนังสือเล่มนี้ทันที

    ยอดพิมพ์สองพันเล่มแรกของ เป่ย หมดในพริบตา มีคนมาถามหาหนังสือเล่มนี้มากมาย ยอดพิมพ์ครั้งที่สองห้าพันเล่มหมดในเวลาสัปดาห์เดียว สำนักพิมพ์จึงรู้ว่าพบเพชรเม็ดงามโดยบังเอิญ

    หลังจากนั้นก็รีบตีพิมพ์อีกสามเรื่องของเขาออกมาจนครบชุด

    เป่ย หนาน ตง ซี ทั้งสี่เล่มได้รับคำชมอย่างท่วมท้นจากนักวิจารณ์ทุกคน

    กิมย้งบอกว่ามีคนส่งหนังสือสี่เล่มนี้ให้เขาอ่าน ทีแรกก็อ่านอย่างเสียไม่ได้ แต่ผ่านตาไปได้เพียงบทเดียวเขาก็เกิดอาการติดหนับ อ่านรวดเดียวจบ แล้วบอกว่า นึกไม่ถึงว่านิยายกำลังภายในยังสามารถแตกหน่อต่อยอดออกไปได้ไกลเพียงนี้ และบอกว่าต่อไปนี้คงตายตาหลับที่รู้ว่านิยายกำลังภายในยังไม่ตาย

    ทั้งสี่เล่มเป็นหนังสือชุดต่อเนื่องกัน แต่ละเล่มเป็นเอกเทศแต่เมื่ออ่านรวมจะเห็นภาพที่ชัดเจน

    ผมมีโอกาสอ่านเล่มแรกของเขาที่ชื่อ เป่ย เพราะเพื่อนที่สิงคโปร์ส่งหนังสือมาให้ แม้ว่าอ่านอย่างยากเย็นเพราะทิ้งภาษาจีนมานาน แต่ก็คุ้มกับเวลา และดีใจตามประสาคอนิยายบู๊ลิ้มว่า บัดนี้นิยายกำลังภายในได้เปลี่ยนแปลงอีกครั้งแล้ว

    เป่ย เป็นนวนิยายกำลังภายในที่มีวิธีการเขียนแตกต่างจากกำลังภายในแนวเดิมโดยสิ้นเชิง จึงไม่น่าสงสัยว่าทำไมทีแรกไม่มีใครกล้าตีพิมพ์งานชิ้นนี้

    สรุปสั้น ๆ ได้ว่า เป่ย เป็นเรื่องแนว Magical Realism ผสมนิยายวิทยาศาสตร์เรื่องแรกของวงการกำลังภายใน

    เรื่องนี้แบ่งออกเป็นสิบสองบท แต่ละบทเป็นตัวแทนของจักรราศีทั้งสิบสองของโลก โดยมีตัวเอกเป็นตัวละครที่เดินเรื่องผ่านสิบสองราศีนี้ไปจนจบ หมุนเป็นวง ดังนั้นระยะเวลาของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเรื่องนี้จึงกินเวลาสิบสองปี

    ตัวละครเอกของเรื่อง เป่ย ชื่อจางฝาน เป็นคนรับใช้ (เสี่ยวเอ้อ) ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่โซวจิว วัน ๆ เขามีหน้าที่ยกอาหาร ทำความสะอาดร้าน

    จางฝานต่างจากเสี่ยวเอ้อคนอื่น ๆ ตรงที่เป็นคนช่างสังเกตมาก วันหนึ่งหลวงจีนจากวัดเสียวลิ้มองค์หนึ่งมาพักที่โรงเตี๊ยม พักอยู่นานสิบสองวัน ทุกวันหลวงจีนองค์นี้กินข้าวเปล่าเป็นอาหารทั้งสามมื้อ

    ค่ำวันหนึ่งขณะทำความสะอาดร้าน จางฝานพบสร้อยลูกประคำที่หลวงจีนทำหล่น จึงนำไปคืนให้ที่ห้อง แต่พบว่าหลวงจีนเพิ่งจากไป

    เขาดูสร้อยลูกประคำเส้นนั้น เห็นว่าลูกที่ห้อยตรงกลางมีขนาดโตกว่าลูกอื่น เป็นแก้วใส แต่เมื่อเพ่งดูภายในลูกแก้วนั้น ก็พบสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกลุ่มควันในนั้นกำลังหมุน เมื่อยกมันขึ้นเพ่งดู จะเห็นว่าลักษณะการหมุนนั้นไม่เป็นระเบียบ เมื่อวางมันลง กลุ่มควันในนั้นก็กลับมาหมุนเป็นวงรี

    จางฝานถามตาแก่คนเขียนหนังสือจีนข้างโรงเตี๊ยม ตาแก่ซึ่งเคยเป็นครูในราชสำนักบอกว่า ลักษณะการหมุนดังที่จางฝานอธิบายดูคล้ายดาราจักร หรือกลุ่มดาวฤกษ์ที่รวมตัวกัน อย่างเช่นทางช้างเผือกของเรา

    การทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อทำให้จางฝานมีเวลาว่างมากพอสมควร ทุกครั้งที่ว่างเขาก็หยิบลูกประคำนั้นมาเพ่งดูการหมุนของกลุ่มควันนั้น ผ่านไปไม่นานเขาก็ค้นพบความสัมพันธ์ของการหมุนที่ดูเหมือนไร้จังหวะ เขาลองขยับร่างแขนขาตามจังหวะการหมุนนั้น ก็รู้สึกว่าเลือดลมในร่างหมุนวนเป็นจังหวะเดียวกัน และทำให้เกิดความสบายร่างเป็นที่สุด

    ตั้งแต่นั้นเขาผ่านเวลาว่างด้วยการเคลื่อนไหวร่างตามจังหวะการหมุนของลูกประคำนั้น

    วันหนึ่งอันธพาลสามคนเข้ามาพังร้านเพราะเจ้านายของจางฝานไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครอง จางฝานขวางหน้าอันธพาล และถูกทำร้าย ด้วยสัญชาตญาณเขาแกว่งมือไม้ไปตามจังหวะการหมุนของกลุ่มควันในลูกประคำ ปรากฏว่าคนร้ายทั้งสามถูกพลังฝ่ามือของเขาทำร้ายจนตายหมดด้วยการหมุนมือเพียงครั้งเดียว

    จางฝานตกใจ หนีจากสถานที่นั้น ออกไปเผชิญโชคในโลกยุทธจักรตามลำพัง ในเวลาเพียงหกเดือน เขาก็กลายเป็นจอมยุทธ์ที่ช่วยเหลือคนที่ถูกรังแกมากมาย ฉายา ฝ่ามือหมุน

    ผ่านไปอีกไม่นาน จางฝานพบว่ามีพลังบางอย่างในร่างที่ผลักดันให้เขาต้องเดินทางไปสู่ทิศเหนือ กล่าวคือหากเขาเคลื่อนตัวไปทิศอื่น ร่างกายจะเจ็บปวดรวดร้าวเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงทั่วร่าง แต่เมื่อเดินทางไปทางเหนือ ร่างกายก็สบายอย่างที่สุด

    จางฝานไม่มีทางเลือกนอกจากเดินทางขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ จนถึงแผ่นดินรกร้างกลางหิมะ และเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง เขาก็ต้องหยุดเดินทางโดยสิ้นเชิง เพราะเมื่อไม่ว่าจะก้าวไปทิศใด ร่างกายของเขาก็เกิดอาการเจ็บปวดแสนสาหัส

    เขานอนนิ่ง ณ จุดนั้นสิบสองวันสิบสองคืน โดยไม่มีอาหาร ได้แต่เคลื่อนลมปราณไปตามจังหวะที่เรียนจากลูกประคำ

    เขาคำนวณวัน จึงพบว่ามันเป็นเดือนที่สิบสองหลังจากที่เขาเรียนรู้วิทยายุทธจากลูกประคำ

    ในคืนที่สิบสองดาวเหนือปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาพอดี และ ณ ที่นั้นเขาก็พบกับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง

    เปลี่ยนอะไร เปลี่ยนอย่างไร บอกไม่ได้ ต้องไปอ่านเอาเอง

    บอกใบ้ให้นิดหน่อยว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งทรงภูมิปัญญานอกโลก ที่เราชอบเรียกกันว่ามนุษย์ต่างดาว

    ในตอนกลางเรื่อง เขาเรียนวิชาการต่อสู้จากมนุษย์ต่างดาว เนื่องจากโลกจริงเสมือนนั้นมีแรงโน้มถ่วงที่ ๒ จี คือหนักกว่าโลกเราสองเท่า เมื่อเขาฝึกวิชาจากโลกนั้นสำเร็จ และออกมาผจญโลกภายนอก เขาจึงสามารถเคลื่อนร่างกายได้เร็วกว่าสองเท่า กระโดดลอยตัวได้สูงกว่าสองเท่า

    ในเรื่อง เป่ย หนาน ตง ซี ครบชุด จางฝานต้องเดินทางอย่างนี้สี่ครั้งสี่ทิศ จนพบการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายของเขาที่เกี่ยวข้องกับโลกและจักรวาล

    เป่ย หนาน ตง ซี เป็นนวนิยายกำลังภายในที่อ่านมันมากในรอบยี่สิบปีนี้ มีองค์ประกอบต่าง ๆ มากมายที่คาดไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่น ฉากหนึ่งอธิบายว่า วัดเสียวลิ้มนั้นเป็นโลกเสมือนจริงของมนุษย์ต่างดาว

    หากฟังดูเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ละก็ ไม่ใช่ครับ เรื่องนี้เป็นนิยายกำลังภายในมาก ๆ เลยทีเดียว

    เรื่องนี้มีการเล่าถึงกระบวนท่าวิทยายุทธแปลก ๆ มากมาย ที่เด่นและขำมากก็คือวิชาผลุบโผล่ คนที่ฝึกวิชานี้สามารถเปลี่ยนเพศของตนได้!

    ในตอนหนึ่งตัวเอกของเรื่องถูกจับไปในวังที่เต็มไปด้วยสตรี จางฝานใช้วิชานี้แปลงตัวเองเป็นหญิง หลุดรอดมาได้

    เป่ย ไม่ใช่เรื่องแฟนตาซี เป็นนิยายกำลังภายในที่ยังคงฉากการต่อสู้ วิชาการต่าง ๆ เป็นเรื่องของคนในยุทธจักร แม้ว่าจะมีความเป็นนิยายวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง เช่น กล่าวถึงการโคลนนิ่งมนุษย์ อธิบายที่มาของระบบสรีรศาสตร์ของคน เหตุที่ลมปราณสามารถเคลื่อนไปมาเพราะแรงและระบบที่ถูกมนุษย์ต่างดาวกำหนดเอาไว้

    ใครที่ไม่เข้าใจเรื่องจุดชีพจรในนิยายกำลังภายใน เช่น การเดินลมปราณไปตามจุดชีพจร วิชากระซิบด้วยลมปราณ วิชาตัวเบา จะพบคำอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากในเรื่องนี้

    สุดยอดครับ!

    ข่าวดีสำหรับหนอนเมืองไทยคือ น. นพรัตน์ กำลังขะมักเขม้นแปลเรื่องชุดนี้ออกเป็นภาษาไทย

    รออีกนิดคงได้อ่านกัน

    รอมายี่สิบปีแล้ว รออีกหน่อยคงไม่ช้าไป

    หมายเหตุ : เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้ตอแหลทั้งสิ้น

    .........................................

    นี่คือเรื่องที่อำ

    ตอนที่มติชนสุดสัปดาห์ตีพิมพ์เรื่องนี้ โลกเรายังไม่มี โซเชียล เน็ตเวิร์ก ซึ่งเฟกนิวส์เป็นเรื่องปกติ เรื่องสั้นอำเรื่องนี้ทำให้หลายคนเชื่อว่าเป็นความจริง และสร้างความวุ่นวายให้หลายคน

    หนึ่งในนั้นคือ น. นพรัตน์ นักแปลนิยายจีนกำลังภายในผู้คร่ำหวอดในวงการมานาน น. นพรัตน์ เล่าให้ผมฟังว่า มีผู้อ่านหลายคนไปถามแกว่า เมื่อไรจะแปล เป่ย หนาน ตง ซี เสร็จ เมื่อไรจะตีพิมพ์

    แกงงไปครู่ใหญ่ กว่าจะรู้ว่านี่เป็นเรื่องอำของผม

    ผมจึงต้องขอโทษขอโพยแก อยู่ดี ๆ ไปสร้างความเดือดร้อนให้ กลายเป็นเรื่องขำ ๆ

    แต่ผู้อ่านจำนวนมากไม่ขำด้วย ตลอดยี่สิบปีต่อมา ผู้อ่านจำนวนมากมาหาผม คาดคั้นให้ผมเขียนนวนิยายเรื่องนี้จริง ๆ

    ต้องเขียนชดใช้บาปที่ทำให้หมดอารมณ์ ต้องเปลี่ยนเรื่องอำให้เป็นเรื่องจริง

    ผมก็ลากมาเรื่อย ไม่คิดจะเขียน เพราะรู้ตั้งแต่วันแรกที่เขียนอำชาวบ้านแล้วว่า เรื่องนี้เขียนยาก

    งานนี้มีกองเชียร์มาก (ก็พวกเขาไม่ต้องเขียนเองนี่นา)

    โดนเข้าบ่อย ๆ ก็บอกตัวเองว่า “เอาก็เอาวะ ลองดู” เพราะเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ถ้าจะทำก็ต้องทำตอนนี้ เพราะอายุผมอยู่ที่เลข ๖ แล้ว เรี่ยวแรงเริ่มหมด

    จนเมื่อปี ๒๕๖๓ ผมก็รู้ว่าถึงคิวทำงานใหญ่ที่ผัดมานานแล้ว

    ตัวเลขอายุมากขึ้น โควิด - ๑๙ ก็ดักรออยู่ อาจตายได้ทุกเมื่อ จึงสมควรสะสางโครงการ เป่ย หนาน ตง ซี สักที

    ความจริง เป่ย หนาน ตง ซี เป็นโครงการที่ท้าทายมาก และมั่นใจว่าถ้ามีเวลาก็ทำได้ แต่รู้ว่าจะกินแรงกายแรงสมองแรงใจมาก เพราะมันเป็นนิยายจีนกำลังภายในไซไฟที่ผมยังไม่เคยเห็นว่ามีใครทำมาก่อน แต่มันจะเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตการเขียนของผม

    ทว่าคิดไปคิดมา ถ้าไม่ทำตอนนี้ อีกไม่กี่ปี ก็คงไม่มีแรงเขียนชุดนี้แล้ว ดังนั้นผมก็เริ่มต้นร่างเรื่อง

    โครงการนวนิยายยาว เป่ย หนาน ตง ซี เริ่มเขียนเอาฤกษ์เอาชัยเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓

    ก้าวแรกขยับเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า เขียน ๆ หยุด ๆ (แต่หยุดมากกว่าเขียน) ผ่านไปแล้วหกเดือนครึ่ง กาแฟสองร้อยถ้วย พร้อมเส้นผมขาวอีกหลายเส้น ยังไปไม่ถึงไหน

    การทำงานในช่วงหลายเดือนแรก ทรมานมาก มันเหมือนพยายามตบยุงในห้องมืดสนิท

    ก็ลากมาเรื่อย ๆ จนถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๗ ก็เขียนสำเร็จและเกลาอีกหลายรอบ จนเสร็จ

    และตอนนี้พร้อมให้ท่านเป็นเจ้าของหนังสือที่มีที่มาประหลาดที่สุด 
    pre-order คลิก https://www.winbookclub.com/store/detail/254/4%20%E0%B8%A0%E0%B8%9E 

    วินทร์ เลียววาริณ
    ๑ สิงหาคม ๒๕๖๘

    3
    • 1 แชร์
    • 76

บทความล่าสุด