• วินทร์ เลียววาริณ
    3 เดือนที่ผ่านมา

    เล่าเรื่องจอมพลสฤษดิ์ต่อ

    ช่วงเวลาที่จอมพลสฤษดิ์ไปรักษาตัวในสหรัฐฯ พล.ท. ถนอม กิตติขจร ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี สถานการณ์การเมืองในไทยวุ่นวาย ทะเลาะกันจน พล.ท. ถนอม กิตติขจร ปวดหัว ไม่อยากเป็นนายกฯแล้ว เพราะคุมสถานการณ์ไม่อยู่

    จอมพลสฤษดิ์บินกลับมาเมืองไทยเงียบ ๆ คุยกับนายกรัฐมนตรี ‘นอมินี’ พล.ท. ถนอม กิตติขจร “สภาผู้แทนฯวุ่นวาย คุมไม่อยู่ ส.ส. ยุ่งเหมือนยุงตีกัน ทะเลาะกันได้ทุกเรื่อง ส่วนหนังสือพิมพ์ก็ด่ารัฐบาลทุกวันด่าคุณด้วย”

    “ยุ่งนักก็ยึดอำนาจ เปลี่ยนเป็นเผด็จการ”

    วันจันทร์ที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ สถานีวิทยุกระจายเสียงประกาศข่าวการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ. ถนอม กิตติขจร จอมพลสฤษดิ์ขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุด

    หลังยึดอำนาจครั้งนี้ สื่อต่าง ๆ ถูกปิดปากทันที ล่ามโซ่แท่นพิมพ์หลายแห่ง นักหนังสือพิมพ์จำนวนมากถูกจับกุม ทั้งหมดนี้ใช้เครื่องมือชิ้นสำคัญคือมาตราที่ ๑๗ แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๕๐๒ ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสั่งการได้อย่างกว้างขวาง สามารถสั่งลงโทษประหารชีวิตโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรม

    ผมเกิดทันสมัยนั้น ได้ยินผู้ใหญ่บอกว่า จอมพลสฤษดิ์ปกครองได้สะเด็ดยิ่งนัก ยิงเป้าโจรเป็นว่าเล่น

    จอมพลสฤษดิ์ชอบไปคุมการดับเพลิง เมื่อเกิดอัคคีภัย และมีมาตรการป้องกันไฟไหม้ที่ไม่เหมือนใครในโลก นั่นคือยิงเป้าผู้วางเพลิง ณ จุดเกิดเหตุ

    เขาประกาศว่าใครก็ตามที่วางเพลิงจะต้องโทษอย่างสาสม

    วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๑ ไฟไหม้ฝั่งธนบุรี นายซ้ง แซ่ลิ้ม เป็นผู้ต้องหาวางเพลิง จึงถูก ‘เชือดไก่ให้ลิงดู’

    คำสั่งยิงเป้าจบด้วยประโยค “ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจกระทำในครั้งนี้ และข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”

    นายซ้งถูกยิงเป้าริมกำแพงวัดมหาธาตุ ด้านหอสมุดวชิรญาณ

    ไม่ถึง ๔๘ ชั่วโมงต่อมา เกิดไฟไหม้ที่ตลาดพลู ผู้ต้องหาวางเพลิงคือสองพี่น้อง นายจำนง แซ่ฉิ่น และนายซิวหยิ่น แซ่ฉิ่น ถูกยิงเป้าที่ลานวัดอินทารามหรือวัดใต้

    การยิงเป้ามือวางเพลิง หรือผู้ต้องสงสัยเป็นมือวางเพลิงดำเนินไปอีกหลายครั้ง

    อัตราเพลิงไหม้ในประเทศลดต่ำลงทันตาเห็น

    เวลานั้นกรุงเทพฯเต็มไปด้วยอันธพาล บางครั้งอยู่ในสังกัดของตำรวจ ด้วยหลัก ‘เลี้ยงโจรไว้ปราบโจร’

    ไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากเป็นนายกฯเผด็จการ อันธพาลหายเกลี้ยงไปจากเมือง เมื่อถูก ‘อุ้ม’ ไป ‘อบรม’

    ถัดจากนั้นก็ถึงคิวปราบฝิ่น ท่านผู้นำสั่งให้ยุบร้านค้าจำหน่ายฝิ่นทั้งหมดภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๐๒

    ขีดเส้นตายวันฝิ่นหมดสิ้นจากแผ่นดินไทยคือ ๑ กรกฎาคม ๒๕๐๒

    ไม่มีใครกล้าสวนคำสั่งนี้ เพราะกลัวประโยค “ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”

    จอมพลสฤษดิ์ให้สัมภาษณ์ว่า การเลิกฝิ่นทำให้ประเทศเสียรายได้ปีละนับร้อยล้านบาท แต่จำเป็นต้องทำ

    “เราต้องทำเพราะเกี่ยวกับเกียรติภูมิของคนไทยทั้งชาติ อับอายขายหน้าเขาเหลือเกิน ฝรั่งมาเมืองไทย ที่ดี ๆ มีถม ไม่ยักกะถ่ายรูป กลับไปถ่ายรูปคนนอนโรงยาฝิ่นไปลงหนังสือพิมพ์ ดูคล้ายกับว่าเป็นของแปลก ทำให้เข้าใจกันว่าคนไทยทั้งชาติมัวเมางมงายอยู่กับยาเสพติด บ้านเมืองชาติอื่นเขาเจริญก้าวหน้าไปถึงไหน ๆ แล้ว เราจะมาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร”

    การลดฝิ่นค่อย ๆ ทำไป จนถึงเส้นตาย ๑ กรกฎาคม ๒๕๐๒ นายกรัฐมนตรีก็ประกาศว่า หากพ้นคืนนี้ไปแล้ว ยังมีคนยุ่งกับฝิ่น จะจัดการสถานหนัก

    ‘สถานหนัก’ ของจอมพลสฤษดิ์แปลว่าลูกปืน

    ท่านผู้นำสั่งให้รวบรวมฝิ่นและอุปกรณ์สูบที่ยึดมากองพะเนินกลางท้องสนามหลวง แล้วจุดไฟเผาให้สิ้นซาก

    ช่วงที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ บริหารประเทศ ไม่มีพ่อค้าคนใดกล้ากักตุนหรือขึ้นราคาสินค้า เพราะเกรงกลัวการขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวของท่านผู้นำ

    ประเทศไทยยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีความเปลี่ยนแปลงหลายเรื่อง ทั้งด้วยวิธีการปกครองแบบเฉพาะตัวของนายกฯ และปัจจัยจากภายนอก นั่นคือการแพร่ระบาดของลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคนี้

    เวลานั้นเวียดนามถูกแบ่งเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ด้วยเส้นขนานที่ ๑๗ องศาเหนือ สหรัฐอเมริกาเชื่อเรื่องทฤษฎีโดมิโน นั่นคือหากเวียดนามเป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศที่เหลือในคาบสมุทรแหลมทองจะกลายเป็นพื้นที่สีแดงทั้งหมด

    ประเทศไทยจึงเป็นกันชนสำคัญที่สุด สหรัฐฯจึงต้องการตั้งฐานทัพในประเทศไทย และการพัฒนาชาติให้เจริญเป็นภาคบังคับ ด้วยความเชื่อว่า หากประเทศเจริญขึ้น คอมมิวนิสต์จะไม่มีข้อแม้ในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง

    ผลที่ตามมาคือแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ ๑ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๐๙ กระจายความเจริญออกไปสู่ภูมิภาค สร้างถนนหนทางใหม่ ๆ สนามบิน ท่าเรือ เขื่อนผลิตไฟฟ้า สาธารณูปโภค สาธารณูปการ พัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อทดแทนการนำเข้า ส่งเสริมการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว

    ปรากฏคำโฆษณาชวนเชื่อว่า “น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ”

    สิ่งสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นในยุคจอมพลสฤษดิ์อาจคือแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ มันเป็นแผนแม่บทของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน

    ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๐๔ รัฐบาลออกพระราชบัญญัติสภาการศึกษาแห่งชาติ ประกาศขยายการศึกษาภาคบังคับของชาติ จากชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เป็นชั้นประถมศึกษาปีที่ ๗

    นี่ทำให้โดยภาพรวม ประเทศไทยในยุคจอมพลสฤษดิ์มีการพัฒนามากในระดับหนึ่ง

    จอมพลสฤษดิ์ออกประกาศยกเลิกรถจักรยานสามล้อรับจ้างในจังหวัดพระนครและธนบุรี เนื่องจากปัญหาการจราจรและความสะอาดเรียบร้อย สั่งนำเข้ารถยนต์สามล้อยี่ห้อไดฮัทสุจากประเทศญี่ปุ่นมาทดลองใช้เป็นครั้งแรกในย่านเยาวราช มันกลายเป็นต้นแบบของรถตุ๊กตุ๊ก

    หนังสือพิมพ์ Newsweek เขียนถึงจอมพลสฤษดิ์ว่า เขาบริหารประเทศในแนวเดียวกับ ฟีออร์เรลโล ลา กัวร์เดีย (Fiorello H. La Guardia) อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ผู้มีชื่อเสียงเรื่องเป็นผู้ขยันสร้างความเจริญให้นิวยอร์กมากที่สุด

    จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีเผด็จการจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ด้วยโรคไตพิการเรื้อรัง อายุ ๕๕ ปี รวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ๔ ปี ๙ เดือน ๒๘ วัน

    ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยังเป็นที่กล่าวขานถึงจนปัจจุบัน เพราะเป็นตัวอย่างของการใช้อำนาจเผด็จการรูปแบบเฉพาะตัวปกครองประเทศ

    ถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี ยังเป็นเครื่องหมายคำถามอีกนานแสนนาน

    ............................

    จาก ประวัติศาสตร์ที่เราลืม / วินทร์ เลียววาริณ

    โปรโมชั่นสุดคุ้ม สั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6 
    สั่งทางเว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/176/%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%20%E0%B9%91-%E0%B9%95%20+%20%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9  
     

    0
    • 0 แชร์
    • 61

บทความล่าสุด