-
วินทร์ เลียววาริณ3 เดือนที่ผ่านมา
เมื่อวานนี้พูดถึงเรื่องสั้น ภพสุดท้าย เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องสั้นที่มีผู้อ่านมาคุยกับผมด้วยมากที่สุด บางคนจำพล็อตได้แต่จำชื่อเรื่องไม่ได้ ตามหามาเป็นสิบปี
ภพสุดท้าย เป็นเรื่องสั้นไซไฟ อยู่ในรวมเรื่องสั้น เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว ซึ่งเป็นหนังสือเล่มที่ 4 ในชีวิต
ในปี 2544 หนังสือเล่มนี้ได้รับคัดเลือกเป็นหนึ่งใน 88 เล่มหนังสือดีวิทยาศาสตร์ (คัดหนังสือแนววิทยาศาสตร์นับมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย เช่น ไตรภูมิพระร่วง)
ทำให้นึกได้ว่าหนังสือ 5 เล่มแรกของผมได้รับรางวัลทั้งห้าเล่ม
สมุดปกดำกับใบไม้สีแดง (รางวัลหนังสือดีเด่น) / อาเพศกำสรวล (รางวัลหนังสือดีเด่น) / ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน (รางวัลซีไรต์) / เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว (หนึ่งใน 88 เล่ม) / สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน (รางวัลซีไรต์)
ช่วงเริ่มต้นเขียนหนังสือนั้น ไฟกำลังแรง ขบคิดอะไรต่ออะไรมาหลายปี พอเริ่มเขียน ก็พรั่งพรูเป็นการใหญ่
.........................
กลับมาที่ ภพสุดท้าย
นี่เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ แต่แก่นเรื่องกลับเป็นปรัชญาพุทธ
ตอนนั้นผมอ่านหนังสือพุทธมาก กวาดงานของท่านพุทธทาสภิกขุแทบหมด ขณะเดียวกันก็ศึกษาฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ จักรวาลวิทยา ฯลฯ กวาดหนังสือวิทยาศาสตร์ภาษาอังกฤษในร้าน Asia Books แทบหมดเกลี้ยง
วันหนึ่งอ่านถึงตอนที่ทางพุทธเห็นว่าชีวิตก็คือการประชุมกันของธาตุต่างๆ แล้วพลันโยงเข้ากับฟิสิกส์เรื่องอะตอมธาตุต่างๆ
เกิดไอเดียเป็นเรื่องนี้
ไอเดียของ ภพสุดท้าย คือตัวเอกเชื่อมจิตหรือถอดจิตใส่อะตอม (หรืออาจจะเล็กกว่าอะตอม ในเรื่องใช้คำว่าอณู) ตัวตนของเขาก็อยู่ในอะตอมนั้น หลังจากร่างกายเขาแตกสลายไป อณูนั้นยังคงอยู่ เดินทางไปตามที่ต่างๆ ประกอบเป็น lifeform ต่างๆ นานจนโลกแตกสลาย ก็ท่องไปตามแกแลกซี เปลี่ยนรูปประชุมไปเรื่อยๆ
เรื่องเชื่อมจิตกับอะตอมนี่เป็นนิยายนะครับ มานานก่อนกระแสเชื่อมจิตเมื่อปีสองปีก่อน ดังนั้นอย่าไปสรุปว่าเป็นความจริงล่ะ นิยายก็คือนิยาย แค่สะกิดให้คิด ไม่ใช่ให้เชื่อ
เหตุที่ผมวางพล็อตว่าใช้จิตเชื่อมอะตอม เพราะเป็นทางเดียวที่จะเล่าเรื่องว่าตัวตนตัวเอกผจญภัยได้อย่างไร
จิตในเรื่องนี้จึงเป็น entity เดินทางไปไหนมาไหนได้ (ขออภัย ไม่รู้จะใช้คำไทยว่าอะไร entity คือสิ่งที่ดำรงอยู่ อาจเป็นสสารหรือพลังงาน หรือทั้งสองอย่าง หรืออื่นๆ ผมไม่รู้)
ถามว่าแล้วผมเชื่อไหมว่าจิตวิ่งไปวิ่งมาได้ คำตอบคือไม่ได้เชื่อและไม่ได้ไม่เชื่อ
เพราะมันยังไม่มีหลักฐาน จึงตอบไม่ได้ แต่เขียนเป็นนิยายได้
ผมสังเกตจากคอมเมนต์ผู้อ่านจำนวนมาก ทุกครั้งที่เขียนเรื่องนี้ จะมีคอมเมนต์ว่าจิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จิตเดินทางเร็วกว่าแสง จิตคือวิญญาณชนิดหนึ่ง คัมภีร์เล่มนั้นเล่มนี้ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ภพหน้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ฯลฯ
ผมไม่มีความเห็นด้วยหรือเห็นแย้ง เพราะในมุมมองของผม มันยังไม่มีหลักฐานพอให้สรุป
คุยเล่นกันได้ แต่ยังไม่สามารถสรุปเป็นกฎธรรมชาติ
ผมถกเรื่องทุกเรื่องบนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ล้วนๆ ใช้หลักฐานสรุป ไม่ใช่คัมภีร์สรุป
ผมอาจจะผิดก็ได้ อาจมีมิจฉาทิฐิก็ได้ หรือยังเรียนมาไม่พอก็ได้ แต่ผมว่ากันตามหลักฐาน
บางคนอาจแย้งว่าวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบคำถามทุกอย่างได้ แปลว่าคนพูดยังเข้าใจคำจำกัดความของวิทยาศาสตร์ไม่ครบถ้วน
ความหมายของวิทยาศาสตร์คือ "กระบวนการค้นหาความจริงโดยใช้หลักฐาน"
ก็คือกาลามสูตร
ดังนั้นประโยค "วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบคำถาม" ก็แปลว่า "กระบวนการค้นหาความจริงไม่สามารถตอบคำถาม" มันแย้งกันเองนะ
ประโยคที่ควรใช้คือ "วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถตอบคำถาม"
เราเรียนมาตั้งแต่เด็กด้วยกรอบคิดบางอย่าง หลายคนสรุปเรียบร้อยแล้วต้องมีชาติหน้า ต้องมีวิญญาณ ต้องมีเทวดา ภพภูมิ ต้องมีนี่นั่นโน่น จิตเดินทางเร็วกว่าแสง ฯลฯ ท่านที่เชื่ออย่างนั้นอย่างนี้ ผมไม่ก้าวก่ายหรือเปลี่ยนความคิดท่าน มันอาจถูกก็ได้ แต่ผมขอไปทีละขั้นช้าๆ
Slow but sure
ผมแค่บอกว่า ถ้าจะถกรอบด้าน ต้องวางไพ่ทุกใบก่อน ต้องไม่มีความคิดเดิม (preconceived idea) เป็นฐาน
บทความวิทยาศาสตร์ทุกบทที่ผมเขียน ผมมีหลักฐานวิชาการอ้างอิง แต่ถ้าเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ อ้างอิงอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น แต่ใช้สะกิดความคิดขยายกบาลเท่านั้น
การอ่านไซไฟจึงมีประโยชน์ตรงที่ช่วยขยายกบาล ให้มุมมองใหม่ ให้โลกทัศน์ใหม่ เพื่อที่เราจะได้คิดต่อไป ส่วนความรู้ เราก็ต้องเรียน ต้องศึกษารอบด้าน
มาถึงจุดนี้ก็ย่อมมีคนถามว่า แล้วอะตอมประชุมเปลี่ยนรูปนี่มีหลักฐานหรือ คำตอบคือมี เรารู้ว่าอะตอมธาตุต่างๆ ที่อยู่ในตัวเราทุกคนเคยเป็นดวงดาวมาก่อน เคยข้ามจักรวาลมาก่อน ธาตุไฮโดรเจนและออกซิเจนในน้ำที่เราดื่มเช้านี้ ก็เป็นธาตุเดิมที่มีอายุเท่าจักรวาล
เรารู้ว่าทองเป็นธาตุที่เกิดจากซูเปอร์โนวา และในร่างกายเราทุกคนมีทองอยู่นิดหน่อย ก็แปลว่าเรามีส่วนประกอบของซูเปอร์โนวาในอดีตกาล เยส! ภายในตัวเรานี่แหละ
เราเคยเป็นดารามาก่อน
วินทร์ เลียววาริณ
22-3-25ภพสุดท้าย (เดือนช่วงดวงเด่นฟ้าฯ) สั่งได้จากเว็บ
https://www.winbookclub.com/store/detail/64/เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า%20ดาดาว1- แชร์
- 56
-
(อ่านข่าวการเจรจาเรื่องภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯแล้วหงุดหงิด ขออนุญาตระบายออกเป็นเรื่องขำๆ ขื่นๆ)
ท่านรัฐมนตรีรักชาติไปปฏิบัติธรรมในวัดแห่งหนึ่งอยู่หลายวัน เมื่อออกจากวัด ก็พบนักข่าวดักรอสัมภาษณ์เขาอยู่
นักข่าวถาม "ท่านรัฐมนตรีรักชาติคะ ทำไมประเทศไทยเจรจา tariff กับทรัมป์ไม่ได้เรื่องเลยคะ? เราเสียเปรียบมาก"
"เสียเปรียบก็คือได้เปรียบ มีเมตตาหน่อย มองกว้างๆ หน่อย เราให้เงินเขาไปไม่เสียเปรียบอะไรหรอก ตามคำที่ว่า ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ แปลว่าเมื่อให้ บุญก็เพิ่มขึ้น"
"บุญเพิ่ม แต่นักท่องเที่ยวลดนะคะ ช่วงนี้นักท่องเที่ยวหายไปหมดเลย ท่านจะแก้ปัญหาการท่องเที่ยวอย่างไร?"
"การท่องเที่ยวก็ตกอยู่ในสัจธรรมโลก เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ดังคำสอนที่ว่า อตีตํ นานฺวาคเมยฺนย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ แปลว่าอย่ารำพึงถึงความหลัง อย่ามัวหวังถึงอนาคต"
"สรุปก็คือคนไทยต้องยอมรับสภาพ?"
"อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ แปลว่าตนเป็นที่พึ่งของตน"
"ในเมื่อท่านแก้ปัญหาไม่ได้ ทำไมท่านไม่ลาออกจากพรรคร่วมคะ?"
"เราเป็นคนรักษาสัญญา สัญญาว่าจะอยู่ด้วยกัน ก็ต้องอยู่ด้วยกัน ดังคำสอนที่ว่า ถาวาที ตถาการี แปลว่าพูดอย่างไร ทำได้อย่างนั้น"
"ตอนนี้รัฐบาลล้มโครงการแจกเงินแล้วยังคะ?"
"ยังไม่ล้ม ยังแจกอยู่"
"แต่เราไม่มีเงินนี่คะ"
"ใจเย็นๆ เดี๋ยวตั้งบ่อนแล้วก็ได้เงินเอง"
"ทำไมคิดเป็นแต่แจกเงินคะ?"
"ททมาโน ปิโย โหติ แปลว่าผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก"
"ทำไมยังคิดตั้งบ่อนคะ?"
"ชิฆจฺฉา ปรมา โรคา แปลว่าความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง"
"ใช่ไหมว่านี่เป็นเหตุผลที่ก่อนปรับครม. ท่านเซ็นทิ้งทวน?"
"โถ! รัฐมนตรีต้องทำงานทุกวัน กินเงินเดือนจากประชาชน จะอยู่เฉยไม่ได้ ขโณ โว มา อุปจฺจคา แปลว่าอย่าปล่อยกาลเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์"
"ทำไมท่านเซ็นซื้อเรือดำน้ำคะ?"
"รกฺเขยฺยานาคตํ ภยํ แปลว่าพึงป้องกันภัยที่ยังมาไม่ถึง"
"ตอนนี้เศรษฐกิจฝืดเคือง หลายห้างร้านมีคนขายมากกว่าคนซื้อของ ท่านคิดแก้ยังไงคะ?"
"ทุกคนต้องช่วยตัวเองนะ ดังคำที่ว่า อุฏฺฐาตา วินฺทเต ธนํ แปลว่าคนขยันย่อมหาทรัพย์ได้"
“แล้วเรื่องซอฟต์ พาวเวอร์ ไปถึงไหนแล้วคะ?”
"ก็ทำต่อไป สทตฺถปสุโต สิยา แปลว่าพึงขวนขวายในเป้าหมายของตน"
"ทำไมท่านยังทำงานการเมืองคะ?"
"นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ แปลว่าไม่มีความรักใดเสมอด้วยความรักตน และ วโส อิสฺสริยํ โลเก แปลว่าอำนาจเป็นใหญ่ในโลก"
"ทำไมมีคนว่าท่านมากเลย?"
"เฮ้อ! จะทำดีก็มีมารเสมอ เฮ้อ! หิตญฺจ สาธุญฺจ ปรมทุกฺกรํ แปลว่ากรรมดีมีประโยชน์ ทำได้ยากยิ่ง และ นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต แปลว่าผู้ไม่ถูกนินทา ไม่มีในโลก"
วินทร์ เลียววาริณ
8-7-250 วันที่ผ่านมา -
The Godfather ภาค 2 มีกลวิธีเล่าเรื่องอย่างหนึ่งที่เรียกว่า parallel stories หรือเรื่องคู่ขนาน
ในเรื่องนี้เรื่องคู่ขนานเล่าสองไทม์ไลน์ สายหนึ่งคือชีวิตของ วีโต คอลิโอน ผู้พ่อ อีกสายหนึ่งคือ ไมเคลิ คอลิโอน ผู้ลูก
แล้วโยงเชื่อมกัน ทั้งที่ตัวละครในสองเรื่องขนานอาจไม่ได้พบกันทั้งเรื่อง
ผมก็ใช้เทคนิคนี้หลายครั้งในนวนิยายและเรื่องสั้น ตัวอย่าง เช่น ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ตอน 2482/2488 เรื่องสั้น โลกีย-นิพพาน, เกม (อาเพศกำสรวล) เป็นต้น
ใน The Godfather ภาค 2 การเล่าเรื่องคู่ขนานทรงพลังมาก และเชื่อมต่อกันดั่งฝีมือเทพเจ้า เนียนไร้รอยตะเข็บ
มันไม่ใช่แค่ storytelling แล้ว มันคือ art
งานแบบนี้ถ้ามือไม่ถึง เละแน่นอน เพราะองค์ประกอบเรื่องเยอะเกินไป
แต่เรื่องนี้ บทถึง
มันคล้ายดูหนังสองเรื่องพร้อมกัน แต่ละเรื่องส่งเสริมอีกเรื่องหนึ่ง
ผมดู The Godfather มาหลายสิบรอบแล้ว ตั้งแต่หนังออกฉายในโรงจนบัดนี้ ก็ยังหาจุดแย่ไม่พบ
ตอนที่อยู่ที่นิวยอร์กในยุค 80 ผมไปดู The Godfather ภาค 1-2 ฉายควบ เชื่อว่าคนดูเกือบทั้งโรงเคยดูมาก่อน แต่เมื่อหนังจบ เสียงปรบมือดังก้องโรงหนัง ทั้งที่เป็นโรงหนังชั้นสองเก่าๆ
นี่คือพลังของหนังที่ดี
กราบ
วินทร์ เลียววาริณ
7-7-252 วันที่ผ่านมา -
"มันไม่ยุติธรรมเลย สังคมมักตัดสินคนที่เปลือกนอกและภาพลักษณ์ เช่น รัฐมนตรีทุกคนเลว กินบ้านกินเมือง" ท่านรัฐมนตรีรักชาติเปรยกับจิตแพทย์
ใช่ การทำงานการเมืองเพื่อประชาชนทำให้ท่านรัฐมนตรีรักชาติเครียด จนจำต้องพึ่งจิตแพทย์
จิตแพทย์เอ่ย "ผมเข้าใจครับท่าน ท่านทำงานเพื่อชาติมาโดยตลอด"
แล้วจดลงบนสมุดโน้ตว่า "คนไข้บอกว่ารัฐมนตรีทุกคนเลว กินบ้านกินเมือง"
"ผมเป็นพวกทำดีได้ D"
หมอพยักหน้า แล้วจดลงบนสมุดโน้ตว่า "คนไข้บอกว่าทำ D ได้ดี"
"คุณหมอมีทางแก้ไหมครับ?"
"มี"
"อะไร?"
"ผมว่ายาที่ดีที่สุดในโลกคือธรรมะ"
"จริง หมอว่าควรอ่านหรือฟังธรรมะดีครับ?"
"อ่านก็สะดวกนะ อย่างเช่นเล่ม มังกรเซน ของ..."
"อ๋อ! หนังสือของนักเขียนกวนตีนคนนั้น ไม่ไหวครับ เขียนก็ไม่ได้เรื่อง แล้วยัง stir foot อีก"
"เขามี Mini Zen นะ Mini Tao ก็มี Mini Stoic ก็เข้าท่า"
"ไม่เอาทั้งสิ้น ไอ้นักเขียนเปรตคนนี้"
จิตแพทย์ว่า "งั้นก็เข้าวัดดีกว่าครับ ท่านรัฐมนตรีอาจลองเข้าวัดเข้าวาฟังธรรมบ้าง”
“ผมก็ไปวัดบ่อยครับ”
"วัดวาอารามนะครับ ไม่ใช่วัดตัว แล้วไม่ใช่วัดที่เจ้าอาวาสเล่นพนันกันหลายร้อยล้าน"
"ผมรู้น่า หมอ ผมรู้จักเข้าวัดดีๆ"
"คุณฟังพระเทศน์?"
"ใช่ ผมฟัง"
"แล้วคุณทำตามที่พระเทศน์ไหม?"
"ทำซีครับ ผมเป็นคนที่เชื่อพระ และผมก็ทำตามที่พระเทศน์เสมอ”
จิตแพทย์ถาม “ยังไงครับ?”
“อย่างวันก่อนพระเทศน์ว่า ‘การดื่มสุรายาเมาก็ดี... การเล่นพนันก็ดี... คอร์รัปชั่นก็ดี... การโกงก็ดี... ผมฟังแค่นี้ก็กลับบ้านเลย เพราะผมทุกอย่างที่ท่านว่า 'ก็ดี' ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว"
(แปลงจากขำขันที่เคยอ่านมา)
วินทร์ เลียววาริณ
7-7-252 วันที่ผ่านมา -
“ผมคิดว่าจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ให้มากที่สุด... แต่ถ้ายี่เกยจะบวช ผมก็ต้องสึกออกไปอยู่บ้านค้าขาย” ผู้พูดคือ เงื่อม พานิช หลังบวชได้หนึ่งพรรษา
ยี่เกยคือชื่อของน้องชายของเขา
ท่านพุทธทาสภิกขุมีนามเดิมว่า เงื่อม พานิช บวชตั้งแต่อายุยังน้อย จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ท่านเผยแผ่ธรรมต่อเนื่อง เขียนหนังสือมากมาย เทศนาบรรยายธรรมไม่หยุด ล้วนเป็นแก่นธรรมที่ลุ่มลึก เป็นแสงสว่างของชาวไทยมานานหลายสิบปี เป็นปูชนียบุคคลมิเพียงของเมืองไทย แต่ของทั้งโลก
ปีนั้นคือ พ.ศ. 2470 ตามที่ตกลงไว้ เงื่อมจะบวชแค่สามเดือนแล้วกลับไปค้าขายที่บ้าน ต่อด้วยคิวของน้องชายท่านนามยี่เกยบวช แล้วไปเรียนแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
เจ้าคณะอำเภอได้ยินประโยคข้างต้น ก็ไปคุยกับโยมแม่ของเขา บอกว่าเงื่อมควรจะอยู่เป็นพระต่อไป ส่วนยี่เกยผู้น้องนั้นไม่ต้องบวชก็ได้ เพราะใช้ชีวิตเหมือนพระอยู่แล้ว
ผลก็คือยี่เกยเปิดโอกาสให้พี่ชายบวชต่อไป นอกจากนี้ยังยอมเลิกเรียนแพทย์ตั้งแต่เทอมแรก เพื่อทำการค้าของครอบครัว
ยี่เกยคือ ธรรมทาส พานิช เงื่อมก็คือพุทธทาสภิกขุ
ผลจากการตัดสินใจครั้งนี้ของฆราวาสที่ดีงามคนหนึ่ง ทำให้โลกมีพระที่ดีงามรูปหนึ่ง ผู้ที่ในกาลต่อมาสร้างฆราวาสที่ดีงามอีกจำนวนนับไม่ถ้วน
นานปีให้หลังมีคนถาม ธรรมทาส พานิช ว่า เสียดายหรือไม่ที่ไม่ได้เรียนหมอ
ธรรมทาส พานิช ตอบว่า “พวกคุณลองคิดดูว่า เปรียบเทียบระหว่างที่ได้ท่านพุทธทาสภิกขุมาองค์หนึ่ง กับได้หมอมาคนหนึ่ง อย่างไหนมีค่ามีความสำคัญกว่ากัน”
จิตใจสูง เฉียบคม ลุ่มลึก กราบคารวะ
(สวัสดีวันจันทร์ ขอให้ทั้งสัปดาห์สุขด้วยธรรมะ)
วินทร์ เลียววาริณ
7-7-25
......................หมายเหตุ : ท่านธรรมทาส พานิช เป็นผู้ร่วมก่อตั้งคณะธรรมทาน สวนโมกขพลาราม โรงเรียนพุทธนิคม โรงพิมพ์ธรรมทาน ซึ่งตีพิมพ์หนังสือธรรมจำนวนมาก ท่านเป็นกำลังหลักในการสนับสนุนการเผยแพร่พุทธศาสนาของสวนโมกขพลาราม ท่านถึงแก่กรรมด้วยโรคชราในปี 2543 อายุ 92 ปี
2 วันที่ผ่านมา -
ในหนังเรื่อง The Godfather Part Two มีฉากที่ตัวละคร Frank Pentangeli ต้องให้การต่อรัฐสภา เพื่อเอาผิดเจ้าพ่อ ไมเคิล คอลิโอน ก่อนหน้านั้นเขาสารภาพกับทางการแล้วว่า เขาก่ออาชญากรรมต่างๆ ตามคำสั่งของเจ้าพ่อ
ก่อนที่เขาจะให้การใดๆ สายตาเขาก็เหลือบเห็นพี่ชายของเขาเดินมากับเจ้าพ่อ พี่ชายของเขาอาศัยอยู่ที่เกาะซิซีลี ไม่เคยเดินทางไปไหน แต่วันนี้กลับมาปรากฏตัวที่นี่
แฟรงก์รู้ทันทีว่านี่เป็นการเดินหมากของไมเคิล เพื่อนำพี่ชายของเขามาเตือนเขาว่า "อย่าพูด" มิฉะนั้นจะมีผลที่ตามมา
แฟรงก์กลับคำให้การ บอกว่าไม่รู้จักเจ้าพ่อใดๆ ทั้งสิ้น ที่มาให้การเพราะพวกเอฟบีไอสั่งมา ว่าแล้วก็หัวเราะขำๆ
หลังจากแฟรงก์ถูกเอฟบีไอพากลับไปที่พักในค่ายทหาร ทอม เฮเกน ทนายของไมเคิลก็ไปหา บอกให้เขาฆ่าตัวตาย (ฉากนี้คลาสสิกมาก)
แฟรงก์ก็ฆ่าตัวตายอย่างว่าง่าย
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า omertà
โอแมร์ตาคือสัญญาชนิดหนึ่งหรือวิถีปฏิบัติของพวกอาชญากรอิตาเลียน นั่นคือหากถูกตำรวจจับ จะไม่พูด ไม่ซัดทอด ไม่หักหลังกัน
มันเป็นสัญญาเลือด ใครฝ่าฝืนจะต้องตาย
นักเขียน มาริโอ พูโซ ใส่หลักการโอแมร์ตาในนวนิยายของเขาหลายเรื่อง เช่น The Godfather, The Sicilian และ Omertà
ฉากให้การฉากนี้เรียบง่ายมาก แค่ให้ตัวละครพี่ชายโผล่เข้ามาเงียบๆ โดยไม่ต้องพูดสักคำเดียว ก็ทรงพลัง พิสูจน์ว่า ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ทำหนังเป็นตั้งแต่หนุ่ม
The Godfather Part Two เป็นงานชั้นครู เป็นภาคต่อที่จัดว่ายอดเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกภาพยนตร์ อาจดีกว่าภาคแรกด้วยซ้ำ นี่เป็นครั้งที่สองที่ มาริโอ พูโซ ร่วมเขียนบทกับ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา
ทั้งสองเรื่องได้รับรางวัลออสการ์บทยอดเยี่ยม ทั้งที่ มาริโอ พูโซ ไม่เคยเขียนบทมาก่อน
ทั้งสองเรื่องสุดยอดจริงๆ (11/10)
กราบ
วินทร์ เลียววาริณ
6-7-252 วันที่ผ่านมา