-
วินทร์ เลียววาริณ24 วันที่ผ่านมา
พรุ่งนี้ The Last of Us Season 2 เข้า วันนี้จึงนำรีวิวเก่าของ Season 1 มาลง ฟื้นความจำ
เมื่อหกปีก่อน มีหนังมินิซีรีส์ชุดหนึ่งมาฉาย ชื่อ Chernobyl เรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์โรงปฏิกรณ์ปรมาณูที่เชอร์โนบิลรั่ว หนังชุดนี้เขียนบทโดย Craig Mazin เขาเป็นนักเขียนบทที่คนนอกวงการไม่ค่อยรู้จัก เพราะเขาเคยทำแต่หนังตลาด เช่น Scary Movie 3, Scary Movie 4, The Hangover Trilogy แต่คนในวงการมักไปปรึกษาเขาเสมอเรื่องบทและทิศทางหนัง รวมทั้งคนสร้าง Game of Thrones
วันหนึ่งเขานำบท Chernobyl ไปเสนอ HBO ผู้ใหญ่ของ HBO ก็เจอเขาอย่างเสียไม่ได้ เพราะมีคนฝากฝังมาอย่างดี แต่หลังจากอ่าน pitch (โครงการหนัง) ของเขาแล้ว ผู้ใหญ่ของ HBO ก็ร้องว่า "เฮ้ย! มันเป็น pitch ที่ดีที่สุดในรอบ 25 ปีในวงการของผม"
Chernobyl ถูกสร้างจนได้ แต่ HBO ให้เวลาฉายเท่าที่มีเหลือ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนดูมาก ปรากฏว่า Chernobyl ได้รับคำชมล้นหลาม กวาดรางวัล Emmy มาหลายตัว (ผมให้คะแนน 10/10) เป็นมินิซีรีส์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์โทรทัศน์ (ตอนนี้ยังฉายอยู่ที่ HBO)
วัฒนธรรมองค์กรของ HBO คือ หากผู้สร้างรายใดสร้างหนังที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง จะพิจารณาโปรเจ็คต์ถัดไปให้เป็นพิเศษ ไม่ว่าโครงการนั้นจะพิสดารหรือมีสิทธิ์เจ๊งเพียงใดก็ตาม
Craig Mazin นำโครงการ The Last of Us ไปเสนอเป็นงานถัดมา
HBO กุมหัวเล็กน้อย เพราะมันเป็นโครงการใหญ่ ลงทุนมหาศาล (150 ล้านดอลลาร์) แต่เชื่อมือคนเขียนบท ก็เปิดไฟเขียว
The Last of Us ได้เกิด และเพียงตอนแรก มันก็เป็นหนังฮิต ผ่านถึงตอนที่สาม ทุกคนก็บอกว่านี่เป็นซีรีส์ยอดเยี่ยมแห่งปี
The Last of Us เป็นซีรีส์โทรทัศน์ที่สร้างจากเกม เขียนบทแทบทั้งหมดโดย Craig Mazin
คราวนี้เขาพาเราไปสู่โลกซอมบี้ที่ไม่ใช่โลกซอมบี้ มันเป็นหนังแนวซอมบี้ที่แทบจะไม่ใช่หนังซอมบี้ ซอมบี้เป็นเพียงฉากของเรื่องเท่านั้น ตัวหลักของเรื่องคือพฤติกรรมของคนภายใต้วิกฤตการณ์และการเอาตัวรอด
จุดหนึ่งที่ทำให้หนังซอมบี้เรื่องนี้ต่างจากหนังซอมบี้อื่นๆ คือ มันเสียบสาระในทุกบททุกตอน มันตั้งคำถามต่างๆ เกี่ยวความเป็นมนุษย์ ความแตกต่างระหว่างคนกับซอมบี้ ด้านมืดของคน ฯลฯ ล้วนเป็นคำถามที่ตอบยาก และชวนให้ขบคิดต่อ
นี่ทำให้หนังเรื่องนี้ลึกกว่าหนังซอมบี้ไล่กัดคนแล้วโดนยิงหัวกระจายส่วนใหญ่ หนังยังเข้าไปในพื้นที่ของอารมณ์ emotion ซึ่งหายากในหนังตระกูลนี้
โดยรวมเป็นหนังที่สนุก ตื่นเต้น มีหัวใจ
จุดเด่นที่สุดคือบทหนังของ Craig Mazin บทสนทนากระชับ แทบไม่มีประโยคส่วนเกินเลย และใช้ภาษากายมาก
นี่เป็นงานระดับมาสเตอร์ ที่ซ่อนอยู่ในหนังตระกูลที่ดูเผินๆ เซมเซม
ไม่ว่าจะดูในมุมของหนังเกม หนังซอมบี้ หรือหนังทั่วไป มันก็คือเพชรเม็ดงามที่ไม่น่าพลาด
10/10
HBO0- แชร์
- 30
-
ไฟสัญญาณเข็มขัดนิรภัยสว่างวาบ ตามมาด้วยหน้ากากออกซิเจนห้อยลงมาทั่วเคบิน เสียงเครื่องยนต์ดังมาจากข้างนอก เครื่องบินสั่นสะเทือนเป็นระยะไปทั้งลำ คุณใจหายวูบ คุณรู้ว่าบางอย่างผิดปกติ เครื่องบินดิ่งลงไปราวกับปีกทั้งสองถูกเด็ดออก แรงสะเทือนเพิ่มขึ้น ตัวเครื่องบินเอียงไปมา ข้าวของร่วงหล่นจากชั้นเก็บ คุณเชื่อว่าคุณกำลังจะตาย
นานเท่านาน ความสั่นสะเทือนค่อยหายไป เครื่องบินรักษาระดับไว้ได้ตามเดิม ในที่สุดเครื่องบินก็แตะผืนดินโดยไม่แตกเป็นเสี่ยง ๆ คุณระบายลมหายใจยาว คุณรอดชีวิตมาได้
ทันใดนั้นคุณก็รู้สึกว่าวันที่เหลือในชีวิตของคุณคือวันฟรี คุณน่าจะเสียชีวิตแล้ว คุณรู้สึกว่าท้องฟ้าสดใสกว่าปกติ คุณอยากใช้เวลาที่เหลืออย่างมีคุณค่า คุณมองเห็นว่าชีวิตมีค่ากว่าที่คุณเคยนึกมาก่อน
เคยขึ้นเครื่องบินที่ตกหลุมอากาศหนัก ๆ ไหม? มันเป็นมรณานุสติที่ดี มันบอกว่าชีวิตเราบอบบางและชั่วคราวเพียงไร และคุณรู้สึกว่าชีวิตไม่เลวร้ายเท่าไร
เราอาจไม่นึกถึงคุณค่าของชีวิตจนเมื่อเราประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเฉียดตาย เมื่อรอดมาได้ เราจึงรู้สึกว่าชีวิตมีค่า
คนเฉียดความตายจำนวนมากบอกคล้ายกันว่า หลังรอดตายพวกเขารู้สึกเหมือนว่ามันเป็นสัญญาณจากสวรรค์ให้ใช้ชีวิตที่รอดมาได้อย่างมีค่า พวกเขารู้สึกเหมือนว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้น และส่วนมากก็เปลี่ยนวิถีชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น
ถ้าเช่นนั้นทำไมต้องรอให้เฉียดตายก่อนจึงจะเห็นคุณค่าของชีวิตเล่า? ทำไมไม่ฝึกการมองชีวิตอย่างมีคุณค่าทุกวัน เดี๋ยวนี้เลย?
เซนมีเทคนิคฝึกตายอย่างหนึ่ง โดยลองคิดว่า หลับคือตาย ตื่นคือเกิดการนอนหลับในแต่ละค่ำคืนคือห้วงยามสุดท้ายในชีวิต เมื่อคุณตื่นขึ้นมา ก็เท่ากับว่าคุณเกิดใหม่
ทุกคืนที่คุณเข้านอน ให้จินตนาการว่า ขณะจิตที่คุณหลับคือการสิ้นลมปราณ
วิธีคิดแบบนี้ทำให้คุณรู้จักปลง ปล่อยวางทุกสิ่งก่อนที่คุณจะหลับ ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดวันที่ผ่านมา คุณปล่อยวางเพราะคุณกำลังจะจากโลกไป ไม่มีประโยชน์ที่จะโกรธแค้น โศกเศร้า เสียใจ ดีใจอะไร เพราะเมื่อคุณหลับ คุณก็ได้ตายไปแล้ว
เวลาทั้งวันก็คือเหตุการณ์ทั้งชีวิต คือหนึ่งชั่วชีวิต เมื่อตายก็หมดภารกิจ หากคุณ ‘รอด’ ไปได้ ก็เท่ากับว่าคุณได้วันใหม่มาฟรี ๆ ที่เหลือทั้งชีวิตคือโบนัส เพราะความจริงคุณตายไปแล้วทุกวัน
และเมื่อคุณตื่น มันก็เป็นโบนัส คุณได้ชีวิตใหม่เป็นของแถม เหมือนสวรรค์ต่อวีซ่าอายุคุณไปอีกหนึ่งวัน
วิธีคิดแบบนี้ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตแต่ละวันอย่างรู้คุณค่า และไม่เสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ลดการยึดมั่น และที่สำคัญที่สุดคือเป็นอิสระ
ชีวิตมีค่าหรือไม่มีค่าอยู่ที่การกระทำของเรา และการกระทำของเราในแต่ละวัน จะดีหรือไม่ดีอยู่ที่การเห็นคุณค่าของชีวิต หากเรามองว่าเราเหลือเวลาเพียงหนึ่งวัน มันก็อาจจะทำให้เราใช้ชีวิตวันนั้นอย่างเต็มที่เต็มเปี่ยมขึ้น เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็ ‘ตาย’ แล้ว
และเมื่อวันนั้นเป็นวันตายของเราจริง ๆ เราก็ไม่กลัว เพราะเราฝึกตายอยู่ทุกวันแล้วด้วยเครื่องซิมูเลเตอร์แห่งจิต
และการตายจริงก็เป็นเพียงความตายอีกครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
วินทร์ เลียววาริณ
7-5-25
...........................จาก รอยยิ้มใต้สายฝน
35 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 5 บาทเศษ
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/139/รอยยิ้มใต้สายฝน0 วันที่ผ่านมา -
เรื่องจักรวาลขยายตัวนี้ มีหลักฐานจากดาราจักรเคลื่อนออกห่างจากกัน
และเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดทฤษฎีบิ๊ก แบง
ในปีแรกๆ ใครๆ ก็เชื่อว่าจักรวาลคงขยายตัวไปไม่นาน ก็หยุด บ้างก็ว่ามันคงขยายตัวไปจนหมดแรง แล้วถอยกลับ
นี่คือการมองแบบใช้สามัญสำนึก ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ใช้ไม่ได้
ผ่านไปหลายสิบปี นักดาราศาสตร์มองดูท้องฟ้าแล้วตกใจ ดาราจักรยังคงแยกตัวออกห่างจากกัน นอกจากจะไม่ช้าลงแล้ว ยังเร็วขึ้น
ผ่านไปร้อยปีหลังยุคฮับเบิล มันขยายตัวไปเร็วขึ้นทุกวัน
ก็มีคำถามว่าจักรวาลจะเคลื่อนออกไปเรื่อยๆ อย่างนี้อีกนานเท่าไร
คำตอบคือไม่รู้
ถามว่ามันขยายตัวยังไง ขยายตัวไปในพื้นที่ว่าง (space) ข้างนอกใช่ไหม?
นี่ก็เป็นการมองแบบสามัญสำนึก
คำตอบคือไม่น่าใช่ (ไม่ฟันธง แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าไม่ใช่)
มันขยายตัวไปในความไม่มี (nothingness)
ความไม่มีนี่มันเป็นนามธรรม (ต่างจากความไม่มีเงินเป็นรูปธรรม)
พูดง่ายๆ คือ เราเชื่อว่าจักรวาลกำลังสร้างพื้นที่ใหม่จากศูนย์
ใครสร้าง? ไม่รู้
สร้างไปทำไม? ไม่ทราบ
สร้างอีกนานไหม? ไม่รู้
แล้วรู้อะไรบ้าง?
รู้ว่าจักรวาลอาจจะสร้างเสร็จก่อนถนนพระราม 2
วินทร์ เลียววาริณ
6-5-251 วันที่ผ่านมา -
เล่าเรื่องจักรวาลขยายตัวแล้ว อาจมีคนสงสัยว่าจะเชื่อได้ยังไง มีหลักฐานหรือเปล่า
คำตอบคือให้ไอน์สไตน์เป็นคนรับรอง พอไหวไหม?
ไอน์สไตน์ไม่เคยเชื่อเรื่องจักรวาลขยายตัวมาก่อน ตรงกันข้ามเขาเชื่อว่าจักรวาลไม่ขยายตัวและหดตัว เรียกว่า จักรวาลเสถียร (Static Universe หรือ Einstein Universe) ทั้งๆ ที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของเขาชี้ว่า ถ้าจักรวาลไม่ขยายก็ต้องหดตัว ไม่อยู่นิ่ง
นึกอย่างไรไม่รู้ ไอน์สไตน์ไม่เชื่อสมการของตัวเอง จึงเพิ่มค่าคงที่ขึ้นมาหนึ่งตัวในสมการของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของเขา เพื่อทำให้สมการดูสวย! นั่นคือไม่ทำให้จักรวาลหดตัวหรือขยายตัว เพื่อให้จักรวาลคงที่ตามที่เขาเชื่อว่าน่าจะเป็น
จะเห็นว่าไอน์สไตน์ก็มีอคติ ใช้ความเชื่อนำเหมือนกัน!
แต่ในที่สุดเขาก็ยอมจำนนต่อหลักฐาน
คนที่ล้มความเชื่อไอน์สไตน์คือ เอ็ดวิน ฮับเบิล (คนที่เป็นชื่อกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิล)
เอ็ดวิน ฮับเบิล (Edwin Hubble) เป็นชาวอเมริกัน กิริยาท่าทางเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว แต่งกายประณีต คาบกล้องยาสูบ เขามีรูปร่างสูง แข็งแรง ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เขาเป็นนักกีฬาเหรียญทองสายต่างๆ และยังชอบชกมวย
เขาได้รับทุนเรียนทางกฎหมาย แต่เขาไม่ชอบเป็นทนายความหรืออัยการ ด้วยความเบื่อ เขากลับเข้ามหาวิทยาลัยอีกรอบเพื่อเรียนดาราศาสตร์จนจบปริญญาเอก นอกจากนี้เขายังเรียนคณิตศาสตร์ ปรัชญา ฟิสิกส์ และเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
หลังสงคราม ฮับเบิลไปทำงานที่หอดูดาว เมาท์ วิลสัน ทางภาคใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 1919 เป็นเวลาที่หอดูดาวเพิ่งติดตั้งกล้องโทรทรรศน์หนึ่งร้อยนิ้วซึ่งใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในโลกเวลานั้น
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ชาวโลกยังเชื่อว่าจักรวาลใหญ่แค่ทางช้างเผือก ฮับเบิลใช้กล้องโทรทรรศน์ร้อยนิ้วมองดูสวรรค์ พบว่าจักรวาลมีเนบิวลามากกว่าที่เรารู้มาก่อน เวลานั้นโลกยังไม่รู้จักคำว่า ดาราจักร (galaxy) สิ่งที่เป็นดาราจักรนั้นเราเข้าใจว่าเป็นเนบิวลา ทั้งที่สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน
ฮับเบิลวัดค่า redshift โดยมีผู้ช่วยสำคัญสองคนคือ เวสโต สไลเฟอร์ (Vesto Slipher) และ มิลตัน ฮิวเมสัน (Milton Humason) ซึ่งช่วยให้เข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้น
มิลตัน ฮิวเมสัน ได้ทำงานร่วมกับฮับเบิลในเรื่องที่สำคัญกว่านั้น เขาเป็นคนช่วยสังเกตความเร็วการเคลื่อนของดาราจักร โดยศึกษา redshift เขาวัดค่าแสงของดาราจักรจำนวนมาก งานนี้ต้องอาศัยความอุตสาหะอย่างยิ่งยวด แต่เขาก็ทำแล้วสร้างเป็นระบบขึ้นมา นำไปสู่การค้นพบความจริงสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งว่าดาราจักรกำลังขยายตัวออกจากกันอย่างรวดเร็ว
หากใครคิดว่าฮิวเมสันผู้นี้ร่ำเรียนทางสายดาราศาสตร์ หรือมีประสบการณ์ด้านนี้มาอย่างโชกโชน ก็เปลี่ยนความคิดได้ ฮิวเมสันไม่เคยมีประสบการณ์ด้านดาราศาสตร์ใดๆ มาก่อนเลย เขาเป็นภารโรงของหอดูดาว เมาท์ วิลสัน !
เมื่ออายุสิบสี่ ฮิวเมสันมีโอกาสเข้าค่ายฤดูร้อนที่หอดูดาว เมาท์ วิลสัน เขาหลงใหลดาราศาสตร์ทันที ต่อมาเขาออกจากโรงเรียนกลับมาที่นี่ ทำงานเป็นคนขี่ลาขนสัมภาระขึ้นไปบนหอดูดาวบนภูเขาวิลสันอยู่หลายปี ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ไม่ยอมไปไหน จนวันหนึ่งหอดูดาวมีตำแหน่งว่างตำแหน่งหนึ่งคือภารโรง
เอ้า! ภารโรงก็ได้ ขอให้ได้อยู่ใกล้กล้องดูดาว ฮิวเมสันก็เริ่มจากการเป็นภารโรง ทำงานช่วยนักดาราศาสตร์คนอื่นๆ
ฮับเบิลแลเห็นแววและความมุ่งมั่นของชายหนุ่มคนนี้ จึงสนับสนุนเขาขึ้นมา จนในที่สุดก็ได้กลายเป็นนักดาราศาสตร์สมใจ กลายเป็นเจ้าหน้าที่หอดูดาวในปี 1919 และท้ายที่สุดก็เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ไขปริศนาสำคัญชิ้นหนึ่งของจักรวาล ด้วยการใช้ redshift
เมื่อไอน์สไตน์ได้ข่าวเรื่องฮับเบิลค้นพบดาราจักรเคลื่อนที่จากกันถึงกับกุมหัว พลันทฤษฎีจักรวาลเสถียรของไอน์สไตน์ก็ล้มครืนทันทีที่ฮับเบิลชี้ให้เห็นว่าจักรวาลไม่ได้เสถียรเลยแม้แต่น้อย
ไอน์สไตน์บอกว่าการตั้งค่าคงที่เพื่อรองรับทฤษฎีจักรวาลเสถียรของตนเป็นการปล่อยไก่ตัวใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา (“the biggest blunder of my life”)
ในทางวิทยาศาสตร์เราว่ากันที่หลักฐาน
เมื่อหลักฐานประจักษ์ คนระดับไอน์สไตน์ก็ยอมถอย
วินทร์ เลียววาริณ
6-5-25เนื้อหาละเอียดกว่านี้มีใน ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล
หนังสือที่ย่อยความรู้ด้านนี้มาให้อ่าน ด้วยราคาเพียง 190.- หมดเมื่อไร จะไม่พิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/89/ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล
1 วันที่ผ่านมา -
ผมเคยเล่าชีวิตวัยเด็กของผมให้เด็กรุ่นใหม่ฟังว่า ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก ผมไม่มีแม้แต่โทรทัศน์ การหาความบันเทิงของผมคือการอ่านหนังสือ เด็กบอกว่า "ชีวิตสมัยนั้นคงทรมานน่าดู" สำหรับพวกเขา ชีวิตคงไร้ความหมายเมื่อไม่มีเกมคอมพิวเตอร์
ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วคน ค่านิยมของความสุขเปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือ คำว่า 'ความสุข' มีนัยทางวัตถุมากกว่าจิตใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ผมก็รู้ว่ายากที่จะอธิบายให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจว่า ความสุขของการมีเกมออนไลน์เป็นสิ่งฉาบฉวย พวกเขาจะเข้าใจความข้อนี้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเล่าชีวิตวัยเด็กของตนให้คนรุ่นลูกฟัง และคนรุ่นลูกส่ายหัว บอกว่า "ชีวิตสมัยนั้นคงทรมานน่าดู"
ในสายตาของคนในอนาคตกาล โทรศัพท์มือถือ, ไอ-พ็อด, เกมออนไลน์ ฯลฯ ล้วนเป็นเครื่องมือที่ล้าหลังและไม่น่าสนุกแม้แต่นิดเดียว ผู้คนในอีกหลายศตวรรษหน้าอาจมองมายังคนรุ่นเราแล้วบอกต่อกันว่า "ชีวิตสมัยนั้นคงทรมานน่าดู" เพราะโลกในอีก 100-200 ปีข้างหน้าก็ย่อมมี 'ความสุข' มากกว่านี้ พวกเราในยุคปัจจุบันคงจะพลาด 'ความสุข' อีกนานาชนิด เช่น กล่องความสุขที่ฝังในหัว, ปุ่มเพิ่มความสุขทางเพศที่ฝังในระบบประสาท, ประสบการณ์การบินจริง ๆ อย่างนก เมื่อเราสามารถสร้างเครื่องต้านแรงโน้มถ่วงสำเร็จ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ยังไม่มีใน พ.ศ. นี้ เราจึงไม่รู้สึกว่าขาดมันไม่ได้
เมื่อไม่รู้ ก็ไม่รู้สึก!
เราอยู่ในสังคมที่สอนและตอกย้ำให้เห็นว่า ความสุขเกิดจากการปรุงแต่ง กิเลสเป็นสิ่งดี
เกิดมาไม่สวย ก็ดิ้นรนให้สวยจนได้ สวยอยู่แล้วก็อยากสวยขึ้นไป อีก ไม่มีอะไรก็ต้องหามาให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีการใด
คนเราสร้างความต้องการเทียม ๆ ขึ้นมา แล้วก็ฝังตัวกับมัน ขาดมันแล้วก็อยู่ไม่ได้
ผมเคยพบเห็นเด็กรุ่นใหม่บางคนที่ไม่ยอมสวมเสื้อผ้าที่ไม่ใช่สินค้าแบรนด์เนม ใช้สินค้าตามอย่างดาราที่ตนเองชื่นชอบ
ในที่สุดก็ไม่รู้ว่า ใครเป็นผู้ใช้ชีวิตของเรากันแน่ เพราะต้องเดินตามแฟชั่นที่ผู้อื่นกำหนดให้เดินตลอด
ยิ่งเดินตามคนอื่นนานเท่าใด ก็ยิ่งถอยห่างจากตัวเองเท่านั้น นาน ๆ เข้า ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
ปรัชญาตะวันออกเชื่อว่า จิตเดิมแท้ของมนุษย์เป็นผ้าขาวเปล่า ทุกสิ่งที่ถูกระบายลงไปเป็นกิเลส
หากโชคดีรู้ตัวว่า ผ้าแห่งใจสกปรก เลอะเทอะด้วยกิเลสที่สังคมภายนอกช่วยละเลง ก็ลงมือซักผ้าผืนนั้นเสีย ก่อนที่มันจะซักไม่สะอาดอีกต่อไป
ผงซักฟอกที่ใช้ซักผ้าผืนนี้มีหลายยี่ห้อ ที่นิยมก็คือยี่ห้อ 'สมถะ', 'สันโดษ' และ 'พอเพียง'
ทว่าหลายคนมักเข้าใจคำว่า 'สมถะ', 'สันโดษ' และ 'พอเพียง' ผิด ๆ
สมถะมิได้หมายความว่าต้องสวมเสื้อตัวเดียวทั้งชีวิต สันโดษมิได้หมายความว่าต้องหมกตัวในถ้ำกลางป่าเขา กินอาหารวันละมื้อ พอเพียงก็ไม่ได้แปลว่า ห้ามทำงานหาเงินมาเก็บตุนไว้
ความสุขเกิดจากความพอดี ความสมดุลของการใช้ชีวิต
รู้อย่างนี้แล้ว หากผ้าแห่งใจของคุณยังเลอะเทอะอยู่ ก็เป็นความผิดของคุณเอง!
วินทร์ เลียววาริณ
6-5-25.................................
จาก อาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหนังสือเสริมกำลังใจ 48 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 165 บาท = บทความละ 3 บาท+ (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/85/อาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
1 วันที่ผ่านมา -
ผมได้รับคำถามอยู่เสมอว่า เก็บข้อมูลอย่างไร รู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลชิ้นนี้นำไปใช้ในการเขียนได้ ข้อมูลชิ้นนั้นใช้ไม่ได้
คำตอบคือไม่รู้ ผมใช้สัญชาตญาณเอา
นั่นคืออ่านเจออะไร พบเหตุการณ์อะไรแล้วรู้สึกสะดุด ก็เก็บไว้ในคลังข้อมูลประจำตัว
มันอาจเป็นสัญชาตญาณในการดมกลิ่นที่ฝึกมานานก็ได้ ทำให้พอรู้ว่าข้อมูลไหนใช้ได้ หรือมีศักยภาพ
นักเขียนจึงต้องเป็นหมาดมกลิ่น
นี่คือข้อมูลจากโลกภายนอก
ยังมีอีกข้อมูลหนึ่งมาจากโลกภายใน
มาจากการขบคิด ยกตัวอย่าง เช่น ผมนอนอยู่ดีๆ ก็คิดว่าในร่างกายมนุษย์จำนวนมากอาจมีอะตอมของฮิตเลอร์อยู่ในตัว เหตุผลเพราะร่างกายมนุษย์ก่อรูปขึ้นจากมวลอะตอมจำนวนมหาศาล เมื่อฮิตเลอร์ตายและถูกเผากลายเป็นเถ้าปนในดิน ในน้ำ ในอากาศ อะตอมของธุลีเหล่านั้นกระจายไปทั่ว อาจทั่วเมืองที่เขาตาย หรือกระจายกว้างกว่านั้น บางอะตอมอาจถูกสายลมสายน้ำพัดไปซีกโลกอื่น เวลาหลายสิบปีที่ผ่านไป อะตอมเหล่านั้นเคลื่อนไปทั่วโลก และเข้าไปในร่างกายคน จึงไม่แปลกอะไรหากเรามีอะตอมสักสองสามอะตอมที่เคยประกอบรวมกันเป็นฮิตเลอร์
ข้อมูลนี้ไม่มีอยู่ในตำราที่ไหนข้างนอก และมันไม่ได้เกิดมาเองเพราะนั่งเทียน แต่มาจากการสะสมการอ่าน ความคิด แล้วคลี่คลายเป็นความคิด
อาจเรียกว่า ‘ตกผลึก’
ข้อมูลภายในนี้อาจไม่จริง แต่มันอาจต่อยอดให้แต่งเป็นนิยายหากินได้
ในความคิดความเห็นส่วนตัวของผม นักเขียนจำต้องได้รับข้อมูลทั้งภายนอกและภายใน
เหมือนวิตามิน บางชนิดต้องหาจากข้างนอก บางชนิดร่างกายสร้างเอง
ผมจึงเชื่อว่านักเขียนเป็นนักเขียนที่แท้จริงไม่ได้ถ้าไม่เป็นนักคิดด้วย
ทีนี้ก็มาถึงคำถามว่า แล้วจะเอาข้อมูลหนึ่งไปใช้ยังไง
ใครๆ ก็สามารถหาข้อมูลเดียวกันได้ แต่จะเขียนเป็นเรื่องต้องมองเห็นประเด็นจากข้อมูลนั้นๆ ให้ออก จึงจะเขียนได้
จะมองออกก็ต้องคิด และเสริมสร้างโลกทัศน์ ซึ่งบางเรื่องต้องใช้เวลาในการฝึกสมองให้คิดเป็น
งานเขียนจึงเป็นงานใช้เวลา แต่การเตรียมตัวอาจนานกว่าการเขียนจริง
จะเป็นนักเขียนแท้จึงต้องใจเย็นๆ ยิ่งรีบยิ่งไปถึงช้า
.............................
จากอีบุ๊ค #ปล่อยให้ความเหงาพาไป
ซื้อได้จากเว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/227/ปล่อยให้ความเหงาพาไป หรือ The Meb
2 วันที่ผ่านมา