-
วินทร์ เลียววาริณ5 เดือนที่ผ่านมา
ลงเรื่อง ฟ. ฮีแลร์ และบทอาขยาน “วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล" แล้ว หลายคนเข้าใจว่า ฟ. ฮีแลร์ เป็นผู้แต่งบทนี้
จากข้อมูลหลายแหล่ง โดยเฉพาะของ รศ. ดร. สุภาพร คงศิริรัตน์ อาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ชี้ว่า ฟ. ฮีแลร์ไม่ได้แต่งบทนี้
บทอาขยานที่นักเรียนในสมัยก่อน (รวมทั้งผม) เรียน มาจาก ดรุณศึกษา เล่ม 3 เนื้อความว่า
“วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล
ต้องยากลำบากไป จึงจะได้สินค้ามาจงตั้งเอากายเจ้า เป็นสำเภาอันโสภา
ความเพียรเป็นโยธา แขนซ้ายขวาเป็นเสาใบนิ้วเป็นสายระยาง สองเท้าต่างสมอใหญ่
ปากเป็นนายงานไป อัชฌาสัยเป็นเสบียงสติเป็นหางเสือ ถือท้ายเรือไว้ให้เที่ยง
ถือไว้อย่าให้เอียง ตัดแล่นเลี่ยงข้ามคงคาปัญญาเป็นกล้องแก้ว ส่องดูแถวแนวหินผา
เจ้าจงเอาหูตา เป็นล้าต้าฟังดูลมขี้เกียจคือปลาร้าย จะทำลายให้เรือจม
เอาใจเป็นปืนคม ยิงระดมให้จมไปจึงจะได้สินค้ามา คือวิชาอันพิสมัย
จงหมั่นมั่นหมายใจ อย่าได้คร้านการวิชา...............
พึงสังเกตว่า ในบท 'วิชาเหมือนสินค้า' นี้เขียนว่า "สองเท้าต่างสมอใหญ่"
แต่ในดรุณศึกษาฉบับแรกของ ฟ. ฮีแลร์ ใช้ว่า "สองเท้าต่างสมอไม้"
และชื่อเรื่องของฉบับ ฟ. ฮีแลร์ ก็ไม่ใช่ 'วิชาเหมือนสินค้า' แต่คือ 'ยานนาวาวิเศษ'
ในยุคที่ ฟ. ฮีแลร์ เข้ามาสยามนั้น เป็นปลายรัชกาลที่ 5 มีเรือกลไฟแล้ว และใช้สมอเหล็ก มีแต่เรือสำเภาไทยยุคต้นรัตนโกสินทร์จึงใช้สมอไม้ผูกด้วยหิน
ในฉบับแรกนั้น ฟ. ฮีแลร์ ได้วงเล็บตอนท้ายบทว่า "ของบุราณ" ให้เครดิตว่าบทนี้เป็นงานเก่า ยกมาพิมพ์ใหม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าใครแต่ง
แล้วใครเป็นคนแต่งบทอาขยานนี้กันแน่?
เมื่อสืบค้นดูก็พบว่าคนแต่งคือ หมื่นพรหมสมพัตสร (นายมี) กวีและจิตรกรในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่งบทประพันธ์ไว้มากมาย
และหลักฐานก็ชัดเจนว่า “วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล" อยู่ในบทที่ 41 ของหนังสือ ศรีสวัสดิวัตร เชื่อว่าแต่งช่วงที่นายมีบวชเป็นพระในวัดพระเชตุพนฯ แต่งมาสอนเด็กวัด
ก็ว่าตามหลักฐานนะครับ
วินทร์ เลียววาริณ
23 เมษายน 25680- แชร์
- 610
-
ผู้พิพากษา อักขรา ภิภาษะ นั่งบนบัลลังก์ สายตาคมประดุจเหยี่ยวกวาดไปทั่วศาล แล้วหยุดที่อัยการ ธำรง ธงรัมย์ เอ่ยว่า "คุณธำรงคัดลายมือคำผิดมาแล้วใช่ไหม?"
"ใช่ครับ"
"ถ้าเช่นนั้นก็เชิญว่าคดีต่อจากเมื่อวานนี้"
อัยการ ธำรง ธงรัมย์ กล่าว "ได้ครับ ในวันที่ 8 เดือนมกราคมที่ผ่านมา นายสหพจน์ฆ่านายสมัยอย่างโหดเหี้ยม ใช้มีดแทงเหยื่อหลายแผล จนตัวพรุนเหมือนสวิสชีส นี่ก็คือฆ่าอย่างไร้ความปรานี สะกด น หนู"
ผู้พิพากษาบอก "คุณเปรียบรูพรุนกับอะไรนะ?"
"สวิสชีสครับ"
"คุณธำรงเป็นคนไทยหรือเปล่า?"
"เป็นครับ"
"คุณใช้ภาษาไทยหรือเปล่า?"
"ใช้ครับ"
"ในภาษาไทย คำคุณศัพท์อยู่ก่อนหรือหลังคำนาม?"
"คำคุณศัพท์คืออะไรครับ?"
ผู้พิพากษาถอนใจยาว เผยเส้นตีนกาหลายเส้นเด่นชัด
"คุณศัพท์ก็คือคำขยายคำนาม ภาษาอังกฤษเรียก adjective"
"ขอบคุณครับที่สั่งสอน"
"ในภาษาไทย คำคุณศัพท์อยู่หลังคำนามเสมอ เช่น เรือแดง บ้านเขียว รถใหญ่ แดง เขียว ใหญ่ เป็นคำคุณศัพท์ขยายความคำนาม แต่อยู่หลังคำนามทั้งหมด เราจะไม่พูดว่า แดงเรือ เขียวบ้าน ใหญ่รถ อย่างภาษาอังกฤษ"
"ขอบคุณครับที่สั่งสอน"
"ทีนี้คุณใช้คำว่า สวิสชีส ตามคำอังกฤษ สวิสเป็นคุณศัพท์ มาก่อนชีสที่เป็นคำนาม จึงผิดหลักภาษาไทย"
"ครับ"
"ไปคัดคำที่ถูกมาใหม่หนึ่งหน้ากระดาษ"
"คัดภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษครับ?"
"สองหน้ากระดาษก็แล้วกัน"
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากทนายความ กฤษณ์ กินตวน
ผู้พิพากษา อักขรา ภิภาษะ หันไปที่ทนายจำเลย
"คุณกฤษณ์ขำอะไรไม่ทราบ?"
"เปล่าคับ"
"ใช้คำว่า ครับ โดยไม่มี ร เรือ ไปคัดมาสองหน้า เลิกศาล"
วินทร์ เลียววาริณ
2 กันยายน 25681 วันที่ผ่านมา -
หญิงสาวคนนี้ชื่อ ทิลลี นอร์วูด (Tilly Norwood) ดาวรุ่งดวงใหม่ที่ใครๆ ในวงการมายาพูดถึง
สาว สวย เปี่ยมเสน่ห์ เธอกำลังหาหนทางสู่โลกมายา แสดงหนังสักเรื่อง แล้วสร้างอาชีพในฮอลลีวูด
แต่ฮอลลีวูดปิดประตูใส่เธอ นักแสดงจำนวนมากออกมาต่อต้านเธอ บอกว่า ทิลลี นอร์วูด ไม่มีทางแสดงได้ ตัวแข็งไม่เหมือนคนบ้าง ฯลฯ
ก็น่าจะเข้าใจได้ เพราะนี่คือโลกใหม่ โลกของ ทิลลี นอร์วูด
ใช่ ทิลลี นอร์วูด ไม่ใช่คน เป็นภาพดิจิตัลที่สร้างด้วย AI
ทิลลี นอร์วูด เกิดจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัท Particle6
ผู้สร้างชี้ว่า ทิลลี นอร์วูด ไม่ได้มาแทนที่นักแสดงจริง ทิลลี นอร์วูด เป็นแค่อีกทางเลือกหนึ่งของความคิดสร้างสรรค์ เช่นเดียวกับสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ ที่มนุษย์สร้าง และถูกต่อต้านในวันแรกๆ
เราอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถึงจุดจุดหนึ่ง เราก็เริ่มกลัวเทคโนโลยีที่เราสร้างขึ้นมา
เราเริ่มไม่รู้ว่า อะไรคือความจริง อะไรคือความไม่จริง
เพราะถึงวันนี้ ความไม่จริงดูจริงกว่าความจริง
วินทร์ เลียววาริณ
1-10-251 วันที่ผ่านมา -
เมื่อวานนี้ลงรีวิวหมายเลข 1 บรรยากาศคึกคักยิ่ง
ในเรื่องวรรณวิจารณ์ ความชอบหรือความไม่ชอบงานชิ้นนั้นๆ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญอยู่ที่การขยายโลกทัศน์ของเรา ผ่านการอ่านมุมมองและบทวิเคราะห์ของคนอื่น
รีวิวหมายเลข 2 นี้เขียนโดยคอนิยายจีนกำลังภายในและไซไฟขนานแท้คนหนึ่ง อ่านก่อน ค่อยเล่าว่าเป็นใคร
(คำเตือน : มีสปอยล์โครงเรื่องเล็กน้อย ไม่เหมาะกับคนที่ยังไม่เคยอ่าน)
...........................................
รีวิว สี่ภพ #2
ในที่สุดก็อ่าน สี่ภพ จบระหว่างเดินทาง
ตอนอ่านจบ บอกคำเดียวว่า ทึ่ง!
plot เรื่องดีมากและน่าตื่นเต้นสำหรับวงการกำลังภายใน
แต่เราคิดว่าคนอ่านอาจจะ lost หลุดไปแถวๆ เล่ม 3-4 แต่พอปลายเล่ม 4 จนมาเล่ม 5 สนุก อ่านวางไม่ลง (เพราะตอนนั้นเข้าใจมากขึ้น)
ชอบ theme ที่มาเป็นผู้พิทักษ์โลก ไม่ใช่แบบสะสางความแค้นส่วนตัว ยกระดับกำลังภายในไปอีกขั้น
ช่วงกลางๆ เล่ม 2-3-4 มีความน่าสงสัยตลอด และเต็มไปด้วย plot ที่น่าเวียนหัว รวมถึงตัวละครที่กำกับว่า xxx โลกตง xxx โลกเป่ย ต้องหลับตาคิดตามด้วยความอดทน
พอถึงเล่ม 5 อ่านวางไม่ลง
ตอนอ่านแรกๆ มีความงงพอควร แต่อ่าน บันทึกสี่ภพ เคลียร์ประเด็นได้ชัดเจน
ตัวอย่างคำถามที่เกิดขึ้น
1) เวลาของแต่ละโลกมีลำดับ? หรือเวลาทุกโลกเกิดขึ้นพร้อมกัน เป็นมิติคู่ขนาน? เพราะทุกครั้งที่จางฝานไปเจอเหตุการณ์ เหมือนเป็นเหตุการณ์เคยเกิดขึ้นแล้ว
เกิดคำถามว่า ทำไมไม่เจอเรื่องใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้บ้าง จางฝานเหมือนคุ้นกับเหตุการณ์นั้น คล้ายเดจาวู
แต่เมื่ออ่านบันทึก ก็เข้าใจว่าทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นบนเส้นเวลาที่เป็นอิสระ
หลายตอนมีฉากในหนังเข้ามาในหัว เช่น Interstellar ที่พระเอกกลับมาในมิติที่ 5 เห็นตัวเองและลูก
ตอนแรกนึกว่าเวลาต่างกัน เช่น กลับไปอดีตหรืออนาคต การที่มีโลกสี่ใบ เดินทางอิสระกัน ทำให้สงสัยว่าเป็นไปได้หรือ ความสงสัยทำให้ความอ่านแบบไม่อินกับตัวเอกมากนัก
2) การที่แต่ละโลก เรียงจากเป่ย หนาน ตง ซี มีเหตุผลไหม? เข้าใจว่ามันเรียงกันเพราะประตูทำไมไม่ทะลุแต่ละโลกก่อนหลังได้
3) การที่แรงดึงดูดโลกไม่เท่ากัน น่าจะมีผลให้ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม บรรยากาศแตกต่างกันมาก ส่วนตัวเชื่อว่าแรงโน้มถ่วงน่าจะมีผลให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนมาก
กลวิธีการเล่า (เล่าความรู้สึกตอนอ่านนะ ไม่ได้วิจารณ์วิธีเขียน) เราเข้าใจสไตล์วินทร์ และเข้าใจได้ว่าเรื่องมี plot ที่ซับซ้อนและตัวละครเยอะ วิธีเล่าเรื่องเหมือนบทหนัง ตัดไปมา (ตรงนี้ไม่ได้มีประเด็น)
การอ่านกำลังภายในยุคเก่า คนอ่านจะตามพระเอกของเรื่อง เป็นโลกหมุนรอบตัวเอกไม่ว่าความคิด ความรู้สึก แต่เรื่องนี้มีหลากหลายเรื่อง เช่น สงคราม การแย่งชิงบัลลังก์ บางทีก็จะงงๆ ว่า จางฝานทำไปทำไม ไปยุ่งเพื่ออะไร เหมือนอารมณ์ไม่อินไปกับจางฝาน หรือความรักต่อนางเอกลู่ซิ่วเจิน
นึกถึงก้วยเจ๋ง เหมือนปูให้มีความรักชาติ หลายเหตุการณ์ที่เข้าไปช่วยสงคราม ก็ดูสมเหตุสมผล
บางทีการเน้น plot เหมือนหนังตัดฉับๆ อาจทำให้หลายตอนดูขาดอารมณ์ร่วมตามพระเอก
บางฉากตอนชิงหัวหน้าพรรคกระยาจก ทำให้นึกถึง มังกรหยก แต่ฉากนี้ใน สี่ภพ ดูวงแตกเร็วไปหน่อย
เราว่าถ้าเอาไปสร้างเป็นหนัง น่าสนุก เพราะมีอะไรเล่นได้เยอะ และน่ามีฉาก surprise เช่น ฉากห่าลูกธนูวิ่งข้ามภพ ผ่านม่านหมอกมาน่าตื่นเต้น
มี 2 ฉากที่นึกถึงหนังเรื่อง Lucy ตอนที่กำเนิดวิวัฒนาการของโลกที่เปลี่ยนไปจากยุคไดโนเสาร์
อีกตอนคือคัมภีร์ที่จารึกบนป้ายหลุมศพ อ่านดูสายตาแบบ 3 มิติ ก็ไม่เข้าใจ แต่ถ้ามี 4-5 มิติ มีความลึก อักษร 125 คำสามารถทำให้อ่านได้หลายทาง ทำให้ตีความได้ลึกล้ำ
ฉากนี้ทำเป็นหนังน่าจะเห็นภาพ
ตอนสุดท้ายที่ดวลกัน ฉากนี้สุดยอดนะ ที่มีมิติที่ 5 เล่นกับมุมแทงกระบี่ที่ไร้ทิศทาง
.............................
หมายเหตุ วินทร์ เลียววาริณ
คนเขียนรีวิวนี้ชื่อเสถียร เป็นน้องชายผมเอง ปัจจุบันเป็นผู้บริหารระดับสูงธนาคารแห่งหนึ่ง เขียนหลังจากอ่านร่างแรกๆ ของนวนิยาย
ตั้งแต่เด็กเราก็อ่านนิยายมาด้วยกัน และโม้กัน เสถียรเป็นคอนิยายกำลังภายในและไซไฟมาหลายสิบปี ก็มีอีกมุมมองหนึ่ง
เขาได้รับสิทธิพิเศษอ่านฉบับร่างไม่ใช่เพราะเป็นน้อง แต่เพราะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เหลือที่ยังสามารถให้เวลาอ่านและวิจารณ์ได้ และคอมเมนต์ตรงไปตรงมา ไม่มีเชียร์ เพื่อจะได้ปรับปรุงงานได้
ปัญหาของผมคือ หาคนวิจารณ์แบบลึกน้อยคนลงไปทุกที แต่ละคนที่โตมาด้วยกันก็แก่ตัว และอ่านน้อยลงเพราะสายตาแย่ลง (แต่ที่ยากกว่านั้นคือคนที่คุยเรื่องจักรวาล หายากจริงๆ!)
.............................
นวนิยาย สี่ภพ 6 เล่ม @ 320 หน้า รวม 1,920 หน้า
ซื้อผ่าน Shopee กดลิงก์
https://s.shopee.co.th/2LPBgEyqPg?share_channel_code=6ซื้อผ่านเว็บไซต์ วินทร์ เลียววาริณ กดลิงก์
https://www.winbookclub.com/store/detail/255/%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A0%E0%B8%9E1 วันที่ผ่านมา -
วันนี้วันที่ 1 เดือน 10 เลขสวย และยังเป็นวันหวยออก
รู้สึกสังหรณ์ยังไงไม่รู้ว่าจะถูกหวยแน่ๆ
เพื่อความมั่นใจก็ไปเสี่ยงเซียมซี
1 วันที่ผ่านมา -
ผู้พิพากษา อักขรา ภิภาษะ นั่งบนบัลลังก์ สายตาคมประดุจเหยี่ยวกวาดไปทั่วศาล แล้วหยุดที่อัยการ ธำรง ธงรัมย์ เอ่ยว่า "คุณธำรงเป็นคนเขียนคำทั้งหมดนี้?"
อัยการ ธำรง ธงรัมย์ ตอบ "ใช่ครับท่าน" "อืม! คุณเขียนในคำร้องว่า นายสหพจน์ฆ่านายสมัยอย่างไร้ความปราณี สะกดด้วย ณ เณร ช่วยบอกหน่อยซิว่าไร้ความปราณีนี่เป็นอย่างไร?"
อัยการว่า "ก็หมายความว่านายสหพจน์ฆ่านายสมัยอย่างโหดเหี้ยม ใช้มีดแทงหลายแผล จนตัวพรุนเหมือนสวิสชีส นี่ก็คือไร้ความปราณี"
"ตกลงนายสมัยตายไหม?"
"ตายครับ"
"งั้นทำไมไม่ใช้คำว่า 'ไร้ลมหายใจ' แทน 'ไร้ความปราณี'?"
"มันไม่เหมือนกันครับ ไร้ลมหายใจคือตาย แต่ไร้ความปราณีคือโหด"
"ทำไมไม่เหมือนกันเล่าคุณอัยการ ปราณ สะกด ณ เณร แปลว่าลมหายใจ ชีวิต ไร้ปราณก็คือไร้ลมหายใจ ก็คือหมดลม ปราณี สะกด ณ เณรจึงแปลว่าผู้มีชีวิต ไม่ได้แปลว่าโหดร้าย"
อัยการ ธำรง ธงรัมย์ เอ่ย "ผมงงครับ"
"ถ้าคุณอัยการจะสื่อความหมายว่าโหดร้าย คุณต้องใช้คำว่า 'ไร้ความปรานี' สะกดด้วย น หนู ปรานี น หนู หมายถึงความเอ็นดูสงสาร หรือเมตตาธรรม"
"หรือครับ?"
"เลิกศาลก่อนวันนี้ อัยการกลับไปเขียนให้ถูกก่อน เป็นถึงอัยการ พิจารณาคำที่ถูกไม่เป็น แล้วจะพิจารณาตัดสินชีวิตคนอื่นให้ถูกได้อย่างไร"
"ผมขออภัยครับ"
"ไม่ต้องขออภัย ไปคัดลายมือมาร้อยหน้า"
"ปรานี น หนู ผมหน่อยครับ ลดโทษให้หน่อย มือผมเจ็บจากการซักผ้า"
"ภรรยาสั่งให้ซักผ้าหรือ?"
"ใช่ครับ"
"ภรรยาให้เงินก่อนออกจากบ้านมาทำงานหรือเปล่า?"
"ให้ครับ"
"งั้นแสดงว่าภรรยาคุณก็มีความปรานี น หนู พอแล้ว คุณจะเอาอะไรอีก ถ้าคุณเถียงภรรยา คุณอาจเจอไร้ความปราณี ณ เณร"
อัยการ ธำรง ธงรัมย์ พยักหน้า "เข้าใจแล้วครับ"
"ใจในเข้าใจสะกดยังไง?"
"จัย จ ไม้หันอากาศ ย ครับ"
"พอๆ จะไปไหนก็ไป"
วินทร์ เลียววาริณ
1-10-252 วันที่ผ่านมา