-
วินทร์ เลียววาริณ1 เดือนที่ผ่านมา
(ต่อจากตอนที่แล้ว https://www.facebook.com/photo?fbid=1275520810603274&set=a.208269707328395)
หลังจากหมดไวน์แดงไปอีกหนึ่งขวด โก้วเล้งถามข้าพเจ้า "คุณสายเขียนอะไร?"
"เขียนตามใบสั่ง ผมเป็นนักเขียนผี เพราะหากเขียนในชื่อของผม มักขายไม่ออก จึงไม่มีใครอยากตีพิมพ์งานของผม"
"ผมเองเขียนนิทานมาหลายปีแล้ว แต่ไม่มีใครยอมตีพิมพ์ บรรณาธิการบอกว่าภาษาของผมสั้น ห้วน เป็นปรัชญาเกินไป เด็กอ่านไม่รู้เรื่อง"
"งั้นคุณน่าจะเปลี่ยนไปเขียนเรื่องแนวอื่น อย่างนิยายกำลังภายในแบบใหม่"
"อย่างไรครับที่เป็นแบบใหม่?"
"คุณก็อาจสร้างตัวละครที่สมจริง เล่นอะไรแรง ๆ เลย เช่นอาจสร้างตัวละครที่มีทั้งด้านดีและไม่ดีในคนเดียวกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเก่งเกินไปก็ได้ อาจสร้างตัวละครที่เหมือนอย่างผม ขาไม่ดี..."
"ขาคุณสายเป็นอะไร?"
"ผมเหยียบตะปูแล้วไม่รักษา คุณอาจให้พระเอกของคุณขาไม่ดีอย่างผม เดินลากเท้าทีละก้าว... อ้อ! เขาบ้ากินหมูแผ่น... เอางี้! ผมว่าให้เป็นโรคลมบ้าหมูด้วยจะแรงกว่า แต่ฝีมือดาบของเขาไวมาก ฟันฉับเดียว แมลงวันที่บินผ่านขาดเป็นสองท่อน มันเปื้อนเลือดตกลงมาแบบสโลว์โมชั่นเหมือนเกล็ดหิมะที่ลอยลงมาช้า ๆ"
"หิมะเปื้อนเลือด... หิมะแดง! จอมดาบหิมะแดง!"
"คุณเห็นภาพใช่มั้ย?"
"โอ! เยส! ตุ้ย! ใช่! เป็นความตายที่งดงามมาก"
"จะเห็นว่าตัวละครที่เป็นแบบแอนตี้ฮีโร่มีสีสันกว่าตัวละครแบบเดิม ๆ"
"งั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องให้พระเอกเป็นคนหนุ่มหล่อเหลา"
"ถูกต้อง อาจเป็นพวกจอมยุทธ์ขี้เมา อายุมากขึ้นมาหน่อย เป็นขี้เมาอย่างผมกับคุณ แต่ปามีดแม่นเป็นบ้า ผมเคยเห็นใครคนหนึ่งสลัดมีดสั้นออกจากหนังสือแม่นระดับตัดแมลงวันที่บินห่างสองวาขาดสองท่อน รู้แล้ว เอางี้... ตัวละครนี้ชอบอ่านหนังสือและฝึกฝนมีดสั้นไปพร้อมกัน เขาอ่านมากและไปสอบเอนทรานซ์ในเมืองหลวงได้ที่หนึ่ง เอาเป็นที่สองก็แล้วกัน เดี๋ยวจะเก่งเกินไป"
"ทำไมใช้มีด ไม่ใช้ดาบหรือกระบี่?"
"คนใช้ดาบเยอะแล้ว เอาเป็นจอมมีดดีกว่า มีดสั้นเล็ก ๆ ดูธรรมดา แต่มีฤทธิ์มาก"
"เขาชื่ออะไร?"
"เขาเป็นคนที่อบอุ่นมาก ถ้าเป็นคนไทย ผมจะตั้งชื่อเขาว่า คิมหันต์ แปลว่าฤดูร้อน เป็นคิมหันต์ที่ชอบลี้จากความรัก"
"ลี้คิมหันต์ แต้จิ๋วออกเสียงว่า ลี้คิมฮวง เชิญว่าต่อไป"
"เขาร่อนเร่ไปทั่วยุทธจักร เพราะ..."
ข้าพเจ้านึกถึงหญิงสาวที่อยู่ในใจ "...ผู้หญิงคนหนึ่ง งดงามยิ่ง"
"ถ้างดงามมาก ทำไมเขาจึงจากเธอมา?"
"ชายชาตรีมีบ้างพึงกระทำ มีบ้างมิพึงกระทำ เขาจากมาเพราะอกหักจากผู้หญิงคนนั้น เขาอกหักเพราะหลีกทางให้เพื่อน"
"ทำไม? เพื่ออะไร?"
"ชายชาตรีมีบ้างพึงกระทำ มีบ้างมิพึงกระทำ ทั้งนี้เพราะเพื่อนคนนั้นเคยช่วยชีวิตเขาไว้ และบอกเขาว่าหลงรักผู้หญิงคนเดียวกับที่เขารัก เขาไม่มีทางเลือกนอกจากลาจากสตรีที่รักมาอย่างเศร้าสลด"
"โรแมนติกสิ้นดี"
ข้าพเจ้าสำลักเหล้า ไอโขลก
"อา! รู้แล้ว เขามักใช้มีดสั้นแกะสลักแท่งไม้เป็นใบหน้าของหญิงคนนั้นขณะที่ไอโขลก และซดเหล้าแทนยาแก้ไอ ทั้งไอแค้ก ๆ และไอเลิฟยู เธออยู่ในใจของเขามาตลอด"
"น้ำตาผมใกล้ไหลแล้ว"
ข้าพเจ้ายื่นกระดาษทิชชูให้โก้วเล้ง
ลูกค้าฝรั่งคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้ ๆ เอ่ยแทรกขึ้นว่า "ขออภัย ผมขอแนะนำตนเอง ผมชื่อ มาริโอ พูโซ ผมบังเอิญได้ยินคุณทั้งสองคุยกัน คุณยังพอมีทิชชู เอ้ย! พล็อตเหลือให้ผมบ้างไหม?"
"คุณจะเอาพล็อตไปทำไม?"
"ผมเป็นนักแต่งนิทาน..."
"แปลกนะ แถวนี้มีแต่นักแต่งนิทาน"
"ผมเองก็เบื่อเขียนนิทานให้เด็กอ่านแล้ว อยากเขียนแบบโหด ๆ มั่ง"
ข้าพเจ้าเหลือบมองหนังสือที่อ่านค้างอยู่ มาเฟียก้นซอย ของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์
"คุณก็อาจสร้างตัวละครที่เป็นเจ้าพ่อ แบบคนแก่ ๆ ใจดี แต่คิดอ่านลึกซึ้ง..."
ข้าพเจ้าสำลักไวน์ ไอเสียงแหบ
"เขาเป็นเจ้าพ่อที่มักยื่นข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ เสียงของเขาแหบพร่าเหมือนคนใกล้หมดลม แต่ให้ตายเถอะ กลับมีอำนาจเหลือเกิน แกมีลูกชายสามคนชื่อ ซอนนี่ พงษ์, เฟรด บุญมา และ ไมเกิ้ล ล้วน..."
โก้วเล้งกับ มาริโอ พูโซ มองตากัน แล้วต่างคนต่างง่วนกับการจด
.....................................
จาก ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85
นวนิยายรัก + อิงประวัติศาสตร์ + ไซไฟ + ล้อเลียน + เสียดสีการเมือง0- แชร์
- 24
-
ผมชอบคำของ Lope de Vega กวีและนักเขียนบทละครชาวสเปนในศตวรรษที่ 16-17 ซึ่งเขียนว่า “With a few flowers in my garden, half a dozen pictures and some books, I live without envy.”
“เมื่อมีดอกไม้สักหลายดอกในสวน รูปภาพสักห้าหกภาพ และหนังสือสักหลายเล่ม ข้าพเจ้าก็มีชีวิตอยู่โดยปราศจากความอิจฉา”
เมื่อมีดอกไม้ในสวนยกระดับหัวใจ มีภาพสวยๆ ขับกล่อมวิญญาณ มีหนังสือดีเปิดหน้าต่างโลก ชีวิตยังต้องการอะไรมากไปกว่านี้?
วลี ‘ดอกไม้สวย’ ‘รูปภาพงาม’ ‘หนังสือดี’ มิได้จำกัดแค่ดอกไม้ รูปภาพ และหนังสือ ‘ดอกไม้’ หมายถึงธรรมชาติทั้งปวง ‘รูปภาพ’ หมายถึงศิลปะ ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ ภาพวาด ‘หนังสือ’ หมายถึงความรู้ ความบันเทิง ซึ่งรวมภาพยนตร์ ละคร ฯลฯ
นี่เป็นการมองชีวิตและใช้ชีวิตอย่างคนมีอารมณ์ศิลป์ รักธรรมชาติ และรู้จักซาบซึ้งชื่นชมความงามของสรรพสิ่งรอบตัวเรา แต่ไม่ทุกคนรู้สึกเช่นนี้ จึงน่าสงสัยว่า การมองแบบนี้มาจากยีนของเรา หรือสภาพแวดล้อม ผมก็ไม่มีคำตอบ
มองดูตัวเอง ตั้งแต่เด็ก ผมชอบดูฝนตก สามารถเหม่อมองเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาจากฟ้าได้นาน ๆ ดูเม็ดฝนหล่นกระทบพื้นดินกระเซ็นแตกกระจาย ชอบดูแอ่งน้ำฝนที่ขังบนพื้น และเมื่อค้นพบความงามของรูปภาพและหนังสือ ก็ไม่ต้องการอะไรอีก
ความงามของดอกไม้ ธรรมชาติ ความงดงามของบทกวี หนังสือ ทำให้การอยู่ในโลกใบนี้สนุกขึ้น
ผมนึกไม่ออกว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไรหากไม่มีดอกไม้ ไม่มีจิตรกรรม และวรรณกรรม
มันคงเป็นโลกที่ต่างจากนี้มากทีเดียว
แต่นี่อาจเป็นเพียงมุมมองของคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง เพราะดูเหมือนคนจำนวนมากในโลกไม่ได้ดูสามสิ่งนี้แล้ว และอยู่ได้ปกติดี
เป็นคำตอบเดียวกับที่เราได้เมื่อถามคนไม่น้อยว่า ไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะไหม ไปดูนิทรรศการจิตรกรรมไหม อ่านวรรณกรรมเล่มนั้นเล่มนี้ไหม ดูดวงดาวกลางฟ้าราตรีไหม เหตุผลคือไม่มีเวลา ไม่มีอารมณ์ และไม่รู้ดูไปทำไม
เหตุผลข้อสุดท้ายน่าสนใจ เพราะกิจกรรมเหล่านี้ไม่ดูไม่อ่านก็ไม่ตาย
แต่ความจริงคือมีกิจกรรมอีกมากมายที่เข้าข่าย “ไม่ดูไม่อ่านก็ไม่ตาย” เช่น ดูหนัง ดูละคร ดูคลิป อ่านข่าว หรือนินทา
ไม่ดูไม่อ่านก็ไม่ตายเหมือนกัน
ดังนั้นอะไรเล่าทำให้การชมดอกไม้ในสวน ดูภาพจิตรกรรม ประติมากรรม อ่านหนังสือ มีคุณค่ากว่าดูหนัง ดูละคร ดูคลิป อ่านข่าว หรือนินทา?
คำตอบคือสามสิ่งนี้ไม่ได้มีคุณค่ากว่ากิจกรรมอื่น ๆ พวกมันก็ไม่ใช่ปัจจัย 4 อยากเสพก็เสพ ไม่อยากเสพก็ไม่ต้องเสพ
ข้อแตกต่างเดียวคือ ‘สวน’, ‘หนังสือ’ และ ‘ภาพ’ อาจทำให้เราเข้าใกล้จิตวิญญาณของเรามากกว่า ทำให้เราเชื่อมกับจักรวาลมากกว่า นั่นคือการเข้าใจตัวตนแท้จริงของเรา ที่มาของเรา และสาระการดำรงอยู่ของเรา
พูดแบบไม่ต้องตีความคือ สิ่งหนึ่งที่ทำให้สามสิ่งนี้มีค่ากว่าสิ่งอื่น ๆ อาจเป็นห้วงยามที่เราอยู่จมในความหมองเศร้า ในวันที่โลกภายนอกหม่นมัว เหล่านี้ทำให้โลกภายในของเราสว่างไสว ซึ่งกิจกรรมอื่น ๆ อาจให้ได้ไม่เท่า
เบนจามิน แฟรงกลิน เขียนว่า “คนที่น่าสงสารที่สุดคือคนที่อ่านหนังสือไม่ออกผู้หงอยเหงาในวันฝนตก”
และชีวิตเราจะพานพบ ‘ฝนตก’ เป็นระยะ ๆ เราจะหดหู่หม่นหมองเป็นระยะ ๆ สามสิ่งนี้อาจช่วยได้
เรื่องบางเรื่องในโลกต้องใช้ธรรมชาติและศิลปะเป็นยา
(รูปดอกไม้ในสวนของผม ถ่ายเมื่อเดือนเมษายน ปี 2557)
วินทร์ เลียววาริณ
29-5-25..........................
ท่อนหนึ่งจาก ชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราว
โปรโมชั่นพิเศษเป็นชุด https://shope.ee/Vj8bA8a4u?share_channel_code=60 วันที่ผ่านมา -
I learned that it is the weak who are cruel, and that gentleness is to be expected only from the strong.
Leo Rosten
1 วันที่ผ่านมา -
วันนี้โฆษกรายการ 'ทวงสัญญา' สัมภาษณ์ท่านรัฐมนตรีรักชาติออกอากาศสด "ท่านรักชาติคะ ท่านจำโครงการที่ท่านเสนอตอนหาเสียงว่า จะทำถนนเจ็ดชั่วโคตรให้เสร็จ ตอนนี้คานยังหล่นใส่รถยนต์เลยค่ะ"
"ผมจำไม่ได้ว่าผมสัญญา ชาวบ้านน่าจะจำผิดนะ"
"แล้วท่านจำโครงการที่ท่านสัญญาไว้ตอนหาเสียงว่า จะสร้างห้องสมุดใหม่ให้ชุมชนได้ไหมคะ? จนป่านนี้พวกเขายังหาห้องสมุดไม่เจอค่ะ"
"ผมจำไม่ได้ ผมไม่น่าจะสัญญานะ"
"ท่านจำคำสัญญาที่ท่านบอกตอนหาเสียงว่า ท่านจะปราบยาเสพติดให้เหี้ยนได้มั้ยคะ? แต่ตอนนี้ยาเสพติดเกลื่อนเมือง"
"ผมจำไม่ได้ว่าผมสัญญา"
"ท่านรักชาติคะ ท่านจำคำสัญญาที่ท่านบอกตอนหาเสียงว่า จะขจัดแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารให้หมดสิ้นไปจากผืนแผ่นดินไทยได้มั้ยคะ?"
"ผมจำไม่ได้ว่าผมสัญญา"
"ตกลงท่านจำอะไรได้บ้างคะ?"
"ผมจำได้ว่าผมไม่ได้สัญญา"
........................
หลังออกรายการ ท่านรัฐมนตรีรักชาติเดินออกจากสถานีโทรทัศน์ ตรงไปที่จอดรถ ท่านมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นรถยนต์ส่วนตัวของท่าน
รถของท่านถูกขโมย!
ไม่น่าเชื่อว่าจะมีมิจฉาชีพบังอาจขโมยรถของท่านรัฐมนตรี
ท่านรัฐมนตรีรักชาติเดินทางไปที่ สน. ทันที เพื่อแจ้งความเรื่องรถหาย
นายร้อยเวรเห็นหน้าท่านก็ยกมือไหว้ "สวัสดีครับท่าน ผมเพิ่งดูรายการสัมภาษณ์ของท่านเมื่อครู่ก่อนนี่เอง"
"ก็เพราะไปรายการบ้านั่น รถผมจึงถูกขโมย"
"รถอะไรครับ? ท่านพอจำได้ไหมครับ?"
"อ้าว! ทำไมถามอย่างนั้น? ผมไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์นะ"
"ก็เพราะเมื่อกี้ในรายการที่สัมภาษณ์ท่าน ท่านจำอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว ตกลงรถอะไรหายครับ? บอกคร่าวๆ ก็ได้เพราะความจำท่านมีปัญหา"
"รถที่หายคือ Bugatti La Voiture Noire สีดำ รุ่นที่สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ Bugatti Type 57 SC Atlantic ตัวถังทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ชิ้นเดียว ขนาดความยาว 178.9 นิ้ว หรือ 4,544 มม. กว้าง 80.2 นิ้ว หรือ 2,038 มม. สูง 47.7 นิ้ว หรือ 1,212 มม. ใช้ quad-turbocharge 8 ลิตร เครื่องยนต์ W16 ระบบเชื้อเพลิงเป็น Turbocharge Direct Injection มี central fin อันเดียว ท่อไอเสียหกท่อ โครงนอกเป็นแบบ exposed backbone ช่องตะแกรงกันชนหน้าเป็นแบบ 3D printed รถยนต์มีพลัง 1,500 แรงม้าในแต่ละล้อ torque 1,180 lb-ft เร่งเครื่องจาก 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงในสามวินาที เกียร์เป็นแบบ 7-speed dual-clutch ไฟหน้าเป็น clusters LEDs ในครอบแก้ว ระบายอากาศผ่านรูสามเหลี่ยมบน twin scoops..."
ร้อยเวรเงียบไปครู่หนึ่ง
"แล้วท่านใช้เงินจากไหนซื้อ หรือว่าใครให้ยืมครับ?"
"จำไม่ได้"
วินทร์ เลียววาริณ
28-5-25เรื่องนี้ดัดแปลงจากขำขันที่เคยได้ยินมา
1 วันที่ผ่านมา -
เมื่อ สตีฟ จ็อบส์ ชวนคนในอีกบริษัทหนึ่งมาร่วมงานกับเขานั้น ใครคนนั้นมีการงานที่มั่นคงกว่าบริษัท Apple มาก แต่ภายในชั่วโมงนั้นชายคนนั้นก็ตัดสินใจได้ว่าจะไปทำงานกับจ็อบส์
ใครคนนั้นชื่อ ทิม คุก
ไม่ทุกคนจะกล้าเปลี่ยนใจจากงานมั่นคงสู่อนาคตที่ไม่แน่นอน แต่การที่ ทิม คุก ตัดสินใจไป ก็เพราะเขามองเห็นภาพอนาคตว่าเขาจะยืนอยู่ตรงจุดที่ได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ และมันสนุกกว่าการทำงานที่มั่นคง แต่ ‘เซม-เซม’
เอาละ ไม่ใช่ทุกคนในโลกที่จะได้รับคำชวนจาก สตีฟ จ็อบส์ ไปร่วมงานด้วย และไม่ทุกคนจะได้ไปยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ แต่หากเราเป็น ทิม คุก ในวันนั้น เราจะกล้าทิ้งงานมั่นคงไปหางานที่ไม่แน่ว่าจะมีอนาคตหรือ?
หลายปีมานี้หลายคนมาขอคำปรึกษาผมเรื่องเปลี่ยนงาน ทุกคนอยากก้าวไปข้างหน้าสู่อนาคตที่ดีกว่า แต่กลัวความไม่แน่นอน กล้า ๆ กลัว ๆ จึงต้องการคำปรึกษา
ความจริงหากตอบด้วยสัญชาตญาณล้วน ๆ การเปลี่ยนงานก็เหมือนการตกหลุมรัก วูบแรกก็รู้แล้ว
การถามผมก็อาจไม่ผิดคนนัก เพราะผมเปลี่ยนงานหลายครั้งแบบหักฉาก ตีโค้งไปคนละทิศ หลายการตัดสินใจเปลี่ยนชีวิต และหลายการตัดสินใจทำได้ยาก โดยเฉพาะการตัดสินใจเปลี่ยนงานครั้งสุดท้ายซึ่งกระโจนเข้ามาเป็นนักเขียนอาชีพเมื่อราวยี่สิบปีก่อน ในวัยสี่สิบกว่า ซึ่งไม่ค่อยมีคน(กล้า)ทำกันนัก
ผมกลัวการเปลี่ยนงานมาตลอดชีวิต แต่กลับเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เช่น เปลี่ยนจากสายสถาปัตย์เป็นสายโฆษณา เปลี่ยนจากสายโฆษณาเป็นสายหนังสือ แต่การตัดสินใจครั้งสุดท้ายนั้นตัดสินใจได้ในเวลาไม่กี่วินาที
เพราะอะไร? เพราะผมมองไปที่จุดหมาย ไม่ใช่เงินเดือนและความมั่นคง
หลายคนเปลี่ยนงานเพราะมีหินก้อนหนึ่งข้างหน้าว่างให้เหยียบ เช่น มีตำแหน่งว่าง มีข้อเสนอเพิ่มเงินเดือน เป็นต้น
คนส่วนมากจะเปลี่ยนงานโดยมองที่รายละเอียดปลีกย่อย เช่น จะได้เงินเดือนเพิ่มเท่าไร ได้โบนัสกี่เดือน ระยะทางจากบ้านไปออฟฟิศไกลแค่ไหน เวลาทำงานยาวไหม ต้องทำงานวันเสาร์ไหม ฯลฯ
เมื่อก้อนหินข้างหน้าเป็นข้อเสนอใหม่ที่ดีกว่า ก็ก้าวไปเหยียบไว้ เมื่อเห็นก้อนใหม่ที่ดีกว่านั้น ก็เปลี่ยนอีก
นี่คือการเปลี่ยนงานแบบช็อตสั้น คิดแบบสั้น ๆ ไปทีละท่อน เรียกว่า stepping stones
นี่ไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก แค่บอกว่าเป็นการเปลี่ยนงานแบบช็อตสั้น
แต่ยังมีการเปลี่ยนงานอีกแบบหนึ่ง คือคิดช็อตยาว เหมือนยิงลูกสนุกเกอร์ข้ามโต๊ะ
ช็อตยาวคือมองที่จุดหมายเป็นหลัก ถามตัวเองว่าต้องการอะไร อยากทำอะไร ในอีกห้าปี สิบปี อยากยืนอยู่ตรงไหน แล้วใช้จุดหมายนั้นเป็นตัวกำหนดทาง
ถ้าใช้วิธีนี้ ก็จะตัดสินใจเรื่องเปลี่ยนงานได้ง่ายมาก นั่นคือจะย้ายบริษัทต่อเมื่องานที่ใหม่ทำให้เราไปถึงจุดหมายได้เร็วขึ้น มั่นคงขึ้น
ถ้าใช้วิธีนี้ ก็จะสำรวจตัวเองเป็นระยะว่า บริษัทเดิมที่เราทำงานอยู่ยังอยู่บน path นั้นไหม และเราพัฒนาคุณสมบัติของตนเองให้พร้อมสำหรับก้าวต่อไปแค่ไหนแล้ว
ถ้าบริษัทเก่าไม่อยู่บน path ของเรา ก็ได้เวลาเริ่มมองหาบริษัทใหม่ที่อยู่บน path และทำให้เราไปถึงจุดหมาย
และถามตัวเองเสมอว่า ตนเองได้พัฒนาคุณสมบัติจนพร้อมสำหรับการก้าวสู่ path ใหม่หรือเปล่า ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ ทำงานเช้าชามเย็นชาม แล้วเชื่อว่าเทวดาจะช่วยเสกฝีมือมาใส่ให้
หลักการมองช็อตยาวก็เป็นอย่างนี้ ที่เหลือเป็นแค่รายละเอียดปลีกย่อยซึ่งไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด เช่น เรื่องเงิน เรื่องโบนัส เรื่องทำงานกี่ชั่วโมง ไปจนถึงชื่อตำแหน่งบนนามบัตรว่าเท่ไหม
ผมเปลี่ยนงานครั้งสุดท้ายมายี่สิบกว่าปีแล้ว เงินไม่มากเหมือนสายเก่า เส้นทางนี้ขรุขระ แต่ไม่มีวันใดรู้สึกเสียใจที่เปลี่ยนงาน เหมือนปลาที่กระโดดออกจากกระชัง ดิ่งลงสู่ห้วงสมุทร เบื้องหน้ามืดสลัว มีแสงสว่างสาดลงมาบ้างเป็นระยะ และว่ายไปข้างหน้าโดยมั่นใจว่าไม่หลงทาง
วินทร์ เลียววาริณ
28-5-25..........................
ท่อนหนึ่งจาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
โปรโมชั่นพิเศษเป็นชุด https://shope.ee/2LAmmZMaOd?share_channel_code=6
1 วันที่ผ่านมา -
ช่วงนี้เศรษฐกิจประเทศไทยไม่ดี ท่านรัฐมนตรีรักชาติได้รับแต่งตั้งจากนายกฯให้ดูแลปัญหาเศรษฐกิจ
ทันทีที่รู้ว่าตนต้องดูแลปัญหาเศรษฐกิจ ท่านรัฐมนตรีรักชาติก็รุดไปตรวจไข่ เอ๊ย! ตลาดไข่ทันที เพราะปกติแล้วในทุกรัฐบาล มาตรวัดสภาวะเศรษฐกิจก็คือราคาไข่
รัฐมนตรีรักชาติไม่เคยไปจ่ายตลาดมาก่อนในชีวิต จึงถือโอกาสนี้ทำประชาสัมพันธ์ มีผู้สื่อข่าวติดตามไปด้วยหลายสิบคน และซื้อข้าวของกลับบ้าน
ท่านเดินไปหยุดที่หน้าแผงขายไข่ ซื้อไข่ไก่หนึ่งโหล ถามแม่ค้าว่า “ขายดีมั้ยครับ?”
“ไม่ค่อยดีค่ะ ท่าน เศรษฐกิจแย่อย่างนี้คนซื้อไข่ลดลงค่ะ”
"เศรษฐกิจไม่ได้แย่อย่างนั้นหรอก คนอาจจะเบื่อกินไข่"
"ไม่แย่ก็ไม่แย่ค่ะ เอาที่ท่านสบายใจ แต่หนูอยู่กับชาวบ้าน ทุกคนบอกว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลยนะคะ"
"รัฐบาลทำอะไรเยอะแยะ แต่ประชาชนไม่เห็น เพราะเราปิดทองหลังพระ"
"ปิดทองก็ปิดทองค่ะ เอาที่ท่านสบายใจ แต่ที่แน่ๆ คือคนซื้อไข่ลดลงค่ะ เพราะรายได้หนูลดลง"
“ลูกค้าชอบซื้อไข่อะไรครับ?”
เธอชี้ไปที่กองไข่เป็ด
“ทำไมครับ?”
“เพราะมันถูกที่สุด”
รัฐมนตรีรักชาติพยักหน้าหงึกๆ
“แล้วไข่อะไรที่แพงที่สุดครับ?”
“ไข่เหี้ยค่ะ”
รัฐมนตรีรักชาติสะดุ้ง
แม่ค้าว่า "พูดถึงไข่ค่ะ ไม่ได้ว่าท่าน"
“แล้วไข่เหี้ยหน้าตาเป็นยังไงครับ?”
แม่ค้าชี้ไปที่กองไข่ไก่ที่ท่านเพิ่งซื้อ
“อ้าว! นี่มันไข่ไก่นี่นา ทำไมจึงบอกว่าเป็นไข่เหี้ยล่ะครับ?”
“เพราะพอรัฐบาลนี้บริหารประเทศ เวลาใคร ๆ เห็นราคาไข่แล้ว ทุกคนก็พูดเหมือนกันว่า ไข่เหี้ยอะไรวะ แพงชิบหาย”
วินทร์ เลียววาริณ
เล่าใหม่จากขำขันที่เคยได้ยินมา27-5-25
(ขอบคุณภาพจากข่าวสด)
2 วันที่ผ่านมา