-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
ช่วงนี้เศรษฐกิจประเทศไทยไม่ดี ท่านรัฐมนตรีรักชาติได้รับแต่งตั้งจากนายกฯให้ดูแลปัญหาเศรษฐกิจ
ทันทีที่รู้ว่าตนต้องดูแลปัญหาเศรษฐกิจ ท่านรัฐมนตรีรักชาติก็รุดไปตรวจไข่ เอ๊ย! ตลาดไข่ทันที เพราะปกติแล้วในทุกรัฐบาล มาตรวัดสภาวะเศรษฐกิจก็คือราคาไข่
รัฐมนตรีรักชาติไม่เคยไปจ่ายตลาดมาก่อนในชีวิต จึงถือโอกาสนี้ทำประชาสัมพันธ์ มีผู้สื่อข่าวติดตามไปด้วยหลายสิบคน และซื้อข้าวของกลับบ้าน
ท่านเดินไปหยุดที่หน้าแผงขายไข่ ซื้อไข่ไก่หนึ่งโหล ถามแม่ค้าว่า “ขายดีมั้ยครับ?”
“ไม่ค่อยดีค่ะ ท่าน เศรษฐกิจแย่อย่างนี้คนซื้อไข่ลดลงค่ะ”
"เศรษฐกิจไม่ได้แย่อย่างนั้นหรอก คนอาจจะเบื่อกินไข่"
"ไม่แย่ก็ไม่แย่ค่ะ เอาที่ท่านสบายใจ แต่หนูอยู่กับชาวบ้าน ทุกคนบอกว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลยนะคะ"
"รัฐบาลทำอะไรเยอะแยะ แต่ประชาชนไม่เห็น เพราะเราปิดทองหลังพระ"
"ปิดทองก็ปิดทองค่ะ เอาที่ท่านสบายใจ แต่ที่แน่ๆ คือคนซื้อไข่ลดลงค่ะ เพราะรายได้หนูลดลง"
“ลูกค้าชอบซื้อไข่อะไรครับ?”
เธอชี้ไปที่กองไข่เป็ด
“ทำไมครับ?”
“เพราะมันถูกที่สุด”
รัฐมนตรีรักชาติพยักหน้าหงึกๆ
“แล้วไข่อะไรที่แพงที่สุดครับ?”
“ไข่เหี้ยค่ะ”
รัฐมนตรีรักชาติสะดุ้ง
แม่ค้าว่า "พูดถึงไข่ค่ะ ไม่ได้ว่าท่าน"
“แล้วไข่เหี้ยหน้าตาเป็นยังไงครับ?”
แม่ค้าชี้ไปที่กองไข่ไก่ที่ท่านเพิ่งซื้อ
“อ้าว! นี่มันไข่ไก่นี่นา ทำไมจึงบอกว่าเป็นไข่เหี้ยล่ะครับ?”
“เพราะพอรัฐบาลนี้บริหารประเทศ เวลาใคร ๆ เห็นราคาไข่แล้ว ทุกคนก็พูดเหมือนกันว่า ไข่เหี้ยอะไรวะ แพงชิบหาย”
วินทร์ เลียววาริณ
เล่าใหม่จากขำขันที่เคยได้ยินมา27-5-25
(ขอบคุณภาพจากข่าวสด)
1- แชร์
- 73
-
หลวงพ่อกวนแห่งวัดท้ายไร่เป็นพระดี ไม่สนใจเรื่องพิธีกรรม ไม่ให้พระเครื่อง ไม่มีผ้ายันต์ ไม่ทำพิธีปลุกเสกใดๆ
ท่านมีชื่อเสียงขึ้นมาก็เพราะมีหลายคนไปบนบานในวัดท่านแล้วร่ำรวย ทันใดนั้นทุกคนก็แห่ไปที่วัดท่าน ทำให้ท่านเหนื่อยกับคนที่อยากรวยและคิดว่าท่านเป็นสะพานเชื่อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทุกวันมีคนไปหาหลวงพ่อกวน ขอให้ลูบหัว เหยียบล็อตเตอรี่ที่ซื้อ อวรพรให้ได้รับตำแหน่ง ฯลฯ จนหลวงพ่อบ่นกับคนในวัดว่า "ปิดวัดไปนั่งสมาธิในป่าคนเดียวดีกว่ามั้ง จะอยากรวยไปถึงไหนกัน"
วันนี้ท่านรัฐมนตรีรักชาติไปขอพบหลวงพ่อกวน โดยอาศัยเส้นสายที่รู้จักมัคนายก ช่วยพาท่านไปพบหลวงพ่อ
หลวงพ่อกวนก็ยอมให้ท่านรัฐมนตรีพบอย่างเสียไม่ได้
ท่านรัฐมนตรีรักชาติกราบหลวงพ่อ กล่าวว่า "ผมอยากมาทำบุญครับ หลวงพ่อ"
หลวงพ่อกวนตอบ "ทำดีก็คือทำบุญ"
"คือผมจะทำบุญห้าล้าน"
หลวงพ่อสั่นศีรษะ "เก็บเงินไว้ช่วยเหลือเด็กยากจนเถอะ ได้กุศลกว่า"
"แต่ผมอยากทำบุญกับท่านครับ สิบล้านก็แล้วกัน"
"วัดนี้ไม่ได้ขาดปัจจัย"
"คือขอสารภาพตรงๆ ว่า ผมทำบุญเพื่อขอให้หลวงพ่อช่วยให้พรผมอยู่ในตำแหน่งนานๆ"
"มียศก็มีเสื่อมยศ เป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับตำแหน่งเลย มันเป็นมายา"
"งั้นหลวงพ่อช่วยให้พรผม ให้ประชาชนรักผมนานๆ"
หลวงพ่อกวนพยักหน้าหงึกๆ เอ่ย "เออ! เรื่องนี้กลับทำได้ง่าย"
ท่านรัฐมนตรีรักชาติมีสีหน้ายินดีสุดขีด
"ดีจริง ทำไงครับ?"
"ก็ทำบุญโดยนอนในโลง"
"มันจะเสริมดวง ทำให้ประชาชนรักหรือครับ?"
"ถูกต้อง ประชาชนจะรักมาก และประเทศชาติก็จะดีขึ้นเยอะ"
"ตกลงครับ ผมจะนอนในโลง แล้วไงต่อ?"
"แล้วเรานำโลงไปฝังจริงเลย"
วินทร์ เลียววาริณ
30-5-250 วันที่ผ่านมา -
ถามใครก็ตามเรื่องงาน จะได้ยินประโยค “งานน่าเบื่อ” ถามเรื่องเจ้านายก็ได้ยินว่า “เจ้านายโหด” บ้างว่า “เจ้านายเลว”
ถามเรื่องอนาคต ก็จะได้ยินว่า “ก็อดทนไปก่อน อนาคตอยากจะเปิดบริษัทของตัวเอง” และที่เหมือน ๆ กันคือ “ชาตินี้จะไม่เป็นลูกจ้างใครอีกแล้ว”
ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนมาหลายสิบปี เจอทุกประโยคข้างต้น แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะเปิดบริษัท ยังก้มหน้าก้มตาทำงานไป สงสัยจะเป็นพวกชอบทำร้ายตัวเอง!
จนถึงวันหนึ่งเมื่อสถานการณ์บังคับให้เลือกระหว่างทางสองสาย ก็ลองเลือกทางสาย ‘เจ้านาย’ และเปิดบริษัท ไม่เคยคิดอยากเป็นเจ้านาย เพราะรู้ว่าเป็นเจ้านายไม่ใช่เรื่องง่าย
แล้วก็พบว่าจริงอย่างที่คิด การเป็นเจ้านายตัวเองไม่ง่าย ชีวิตยังประสบความเครียดเหมือนกัน ต่างกันที่รายละเอียด
ใครที่คิดว่าเป็นเจ้านายแล้วจะไปทำงานกี่โมงก็ได้ ต้องระวังบริษัทอาจล่มได้ เพราะหากเจ้านายขี้เกียจ อย่าหวังว่าลูกน้องจะขยัน ดังที่นักบริหารระดับโลก ลี ไอคอกคา กล่าวว่า “ความเร็วของเจ้านายคือความเร็วของทีม”
หากคิดว่าเป็นเจ้านายแล้วจะเป็นอิสระกว่า ก็ต้องลองดูบริษัทที่มีปัญหาติดหนี้สินรุงรัง การจัดการกับลูกค้าร้อยพ่อพันแม่ กับซัพพลายเออร์อีกร้อยพ่อพันแม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย
ที่ว่ามานี้ไม่ได้บอกว่าอย่าเป็นเจ้านาย เพียงชี้ว่า ทุกอย่างมองได้หลายมุม เรารู้สึกว่าเป็นเจ้านายดีกว่าเป็นลูกจ้างเพราะมีภาพลักษณ์และค่านิยมว่า เป็นเจ้านายดีกว่าเป็นลูกน้อง ผู้ใหญ่มักอวยพรเด็ก ๆ ว่า “โตขึ้นขอให้ได้เป็นเจ้าคนนายคน”
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมเพราะความจำเป็น การแบ่งหน้าที่กันทำให้ได้ ‘มือโปร’ ในทุกหน้าที่ และท้ายที่สุดทำให้สังคมโดยรวมอยู่รอด
สังคมต้องการคนทุกประเภท ทุกคนเป็นฟันเฟืองชิ้นหนึ่งในเครื่องจักรกลแห่งมนุษยชาติ ชิ้นเล็กบ้าง ชิ้นกลางบ้าง ชิ้นใหญ่บ้าง แต่เป็นฟันเฟืองเหมือนกัน ขาดชิ้นหนึ่งชิ้นใดไม่ได้
สถานะเจ้านาย-ลูกน้องเป็นแค่หน้ากาก เป็นมายา เพราะพิจารณาดูให้ดี ทุกอย่างดำเนินไปเป็นวง ไม่มีเจ้านายจริง ๆ ไม่มีลูกน้องจริง ๆ มีแต่บทบาทและหน้าที่
บางคนเหมาะที่จะเป็นลูกจ้าง บางคนเหมาะที่จะเปิดบริษัท บางคนเหมาะเป็นหัวหน้าใหญ่ บางคนเหมาะเป็นหัวหน้ารอง
ลูกน้องรับคำสั่งจากเจ้านาย เจ้านายก็ต้องก้มหน้ารับคำสั่งของลูกค้า ข้าราชการรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ซึ่งรับคำสั่งต่อ ๆ มาอีกหลายทอดจนถึงนักการเมือง ซึ่งตามหลักการก็รับคำสั่งจากประชาชน
จะเลือกเส้นทางไหน ก็ดูที่ความฝัน ความรู้ ทักษะ การเตรียมพร้อม ความมุ่งมั่น และระดับความอดทนของตัวเอง ทางไหนก็ได้ที่ทำให้เรามีความสุขกับการทำงาน ไม่ใช่ทำเพื่ออวดใคร
ขำขันเรื่องหนึ่งเล่าว่า ลูกน้องไปหาเจ้านาย กล่าวว่า “ท่านครับ เมียผมบอกว่าผมทำงานหนักมาก ผมควรได้เงินเดือนขึ้น”
เจ้านายนิ่งไปครู่หนึ่ง ตอบว่า “ผมต้องกลับไปถามเมียก่อนว่าจะขึ้นเงินเดือนให้ได้ไหม”
วินทร์ เลียววาริณ
30-5-25..........................
จากหนังสือ รอยยิ้มใต้สายฝน
โปรโมชั่นพิเศษเป็นชุด https://shope.ee/AKD4JG1XZy?share_channel_code=60 วันที่ผ่านมา -
หลังจากลงเรื่องท่านรัฐมนตรีรักชาติไปได้หลายตอน เมื่อวานนี้แขกคนหนึ่งก็มาเยือนข้าพเจ้า พร้อมชายถือปืนหลายคน
เขาก็คือท่านรัฐมนตรีรักชาติผู้นี้นี่เอง
"คุณเป็นนักเขียนที่เขียนด่าผมทุกวัน?"
ข้าพเจ้ามององครักษ์ถือปืนหลายคนนั้น
"ไม่ใช่ดีกว่าครับ"
"ไม่ต้องกลัว ผมไม่ฆ่าคุณหรอก เอามือปืนมาขู่เล่นเท่านั้น"
"งั้นใช่ก็ได้ครับ ท่านมาหาผมทำไมครับ? เอาเงินมาแจกใช่ไหมครับ?"
"ไม่เอาลูกปืนมาแจกก็บุญแล้ว"
"ขอบคุณครับ"
ท่านรัฐมนตรีรักชาติจ้องหน้าข้าพเจ้า "คุณนี่เป็นอะไร ทำไมหาเรื่องมาเขียนด่าผมได้ทุกวัน"
"เอ๊ะ! เป็นเกียรติอย่างสูง ที่แท้ท่านก็อ่านงานของผมด้วย"
"เวลาคนด่าผม ผมจะมีสัมผัสพิเศษ รับรู้ได้"
"ไม่ได้ด่าครับ แค่เขียนขำๆ"
"ผมไม่ขำนะ"
"แต่คนอื่นขำครับ ปัญหาของเมืองไทยเราคือแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นเรื่องจริง อะไรเป็นเรื่องแต่ง แยกไม่ออกว่าอะไรเป็นข่าวจริง อะไรเป็นข่าวปลอม"
"แต่ผมกระเทือน"
ข้าพเจ้ากล่าวว่า "นักการเมืองรุ่นใหญ่ในอดีตคนหนึ่งเคยบอกว่า เรื่องที่แย่กว่าการด่าคือไม่มีใครเขียนถึง"
"อืม! มีเหตุผล"
"คือผมต้องทำมาหากินจากการเขียน ตอนนี้ขายหนังสือยาก เลยมาเขียนขายขำครับ"
"ทำไมขายหนังสือยาก?"
"เพราะนโยบายของท่านไม่เคยสนับสนุนการอ่านไงครับ"
"อ้าว! วกมาลงที่ผมอีก"
"ก็ท่านไม่เคยมีนโยบายสอนให้เด็ก think - analyse - many yak"
"อะไรของคุณ? ผมไม่ถนัดภาษาปะกิด"
"ก็คิด-วิเคราะห์-แยกแยะไงครับ"
"เอ๊ะ! นี่ด่าผมใช่ไหม?"
"เปล่าครับ ถ้าจะด่าก็ด่าตรงๆ ไม่ต้องวก เมืองนอกด่านักการเมืองหนักกว่านี้อีก"
"แปลว่ายังมีที่หนักกว่าเรื่องไข่เหี้ย เรื่องแท็กซี่ไม่รับ เรื่องอันธพาลห้าคนซ้อมผม?"
"ใช่ครับ"
"เอ้า! ก็อย่างที่คุณว่า ที่แย่กว่าการด่าคือไม่มีใครเขียนถึง"
ว่าแล้วท่านรัฐมนตรีรักชาติก็โบกมือสั่งองครักษ์ "พวกเรากลับ"
"อ้อ! ท่านครับ ผมขออนุญาตเอาเรื่องที่เราคุยกันไปโพสต์นะครับ วันนี้ไม่มีอะไรจะโพสต์"
"เฮ้อ! กูไม่น่ามาเลย"
วินทร์ เลียววาริณ
29-5-250 วันที่ผ่านมา -
ผมชอบคำของ Lope de Vega กวีและนักเขียนบทละครชาวสเปนในศตวรรษที่ 16-17 ซึ่งเขียนว่า “With a few flowers in my garden, half a dozen pictures and some books, I live without envy.”
“เมื่อมีดอกไม้สักหลายดอกในสวน รูปภาพสักห้าหกภาพ และหนังสือสักหลายเล่ม ข้าพเจ้าก็มีชีวิตอยู่โดยปราศจากความอิจฉา”
เมื่อมีดอกไม้ในสวนยกระดับหัวใจ มีภาพสวยๆ ขับกล่อมวิญญาณ มีหนังสือดีเปิดหน้าต่างโลก ชีวิตยังต้องการอะไรมากไปกว่านี้?
วลี ‘ดอกไม้สวย’ ‘รูปภาพงาม’ ‘หนังสือดี’ มิได้จำกัดแค่ดอกไม้ รูปภาพ และหนังสือ ‘ดอกไม้’ หมายถึงธรรมชาติทั้งปวง ‘รูปภาพ’ หมายถึงศิลปะ ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ ภาพวาด ‘หนังสือ’ หมายถึงความรู้ ความบันเทิง ซึ่งรวมภาพยนตร์ ละคร ฯลฯ
นี่เป็นการมองชีวิตและใช้ชีวิตอย่างคนมีอารมณ์ศิลป์ รักธรรมชาติ และรู้จักซาบซึ้งชื่นชมความงามของสรรพสิ่งรอบตัวเรา แต่ไม่ทุกคนรู้สึกเช่นนี้ จึงน่าสงสัยว่า การมองแบบนี้มาจากยีนของเรา หรือสภาพแวดล้อม ผมก็ไม่มีคำตอบ
มองดูตัวเอง ตั้งแต่เด็ก ผมชอบดูฝนตก สามารถเหม่อมองเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาจากฟ้าได้นาน ๆ ดูเม็ดฝนหล่นกระทบพื้นดินกระเซ็นแตกกระจาย ชอบดูแอ่งน้ำฝนที่ขังบนพื้น และเมื่อค้นพบความงามของรูปภาพและหนังสือ ก็ไม่ต้องการอะไรอีก
ความงามของดอกไม้ ธรรมชาติ ความงดงามของบทกวี หนังสือ ทำให้การอยู่ในโลกใบนี้สนุกขึ้น
ผมนึกไม่ออกว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไรหากไม่มีดอกไม้ ไม่มีจิตรกรรม และวรรณกรรม
มันคงเป็นโลกที่ต่างจากนี้มากทีเดียว
แต่นี่อาจเป็นเพียงมุมมองของคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง เพราะดูเหมือนคนจำนวนมากในโลกไม่ได้ดูสามสิ่งนี้แล้ว และอยู่ได้ปกติดี
เป็นคำตอบเดียวกับที่เราได้เมื่อถามคนไม่น้อยว่า ไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะไหม ไปดูนิทรรศการจิตรกรรมไหม อ่านวรรณกรรมเล่มนั้นเล่มนี้ไหม ดูดวงดาวกลางฟ้าราตรีไหม เหตุผลคือไม่มีเวลา ไม่มีอารมณ์ และไม่รู้ดูไปทำไม
เหตุผลข้อสุดท้ายน่าสนใจ เพราะกิจกรรมเหล่านี้ไม่ดูไม่อ่านก็ไม่ตาย
แต่ความจริงคือมีกิจกรรมอีกมากมายที่เข้าข่าย “ไม่ดูไม่อ่านก็ไม่ตาย” เช่น ดูหนัง ดูละคร ดูคลิป อ่านข่าว หรือนินทา
ไม่ดูไม่อ่านก็ไม่ตายเหมือนกัน
ดังนั้นอะไรเล่าทำให้การชมดอกไม้ในสวน ดูภาพจิตรกรรม ประติมากรรม อ่านหนังสือ มีคุณค่ากว่าดูหนัง ดูละคร ดูคลิป อ่านข่าว หรือนินทา?
คำตอบคือสามสิ่งนี้ไม่ได้มีคุณค่ากว่ากิจกรรมอื่น ๆ พวกมันก็ไม่ใช่ปัจจัย 4 อยากเสพก็เสพ ไม่อยากเสพก็ไม่ต้องเสพ
ข้อแตกต่างเดียวคือ ‘สวน’, ‘หนังสือ’ และ ‘ภาพ’ อาจทำให้เราเข้าใกล้จิตวิญญาณของเรามากกว่า ทำให้เราเชื่อมกับจักรวาลมากกว่า นั่นคือการเข้าใจตัวตนแท้จริงของเรา ที่มาของเรา และสาระการดำรงอยู่ของเรา
พูดแบบไม่ต้องตีความคือ สิ่งหนึ่งที่ทำให้สามสิ่งนี้มีค่ากว่าสิ่งอื่น ๆ อาจเป็นห้วงยามที่เราอยู่จมในความหมองเศร้า ในวันที่โลกภายนอกหม่นมัว เหล่านี้ทำให้โลกภายในของเราสว่างไสว ซึ่งกิจกรรมอื่น ๆ อาจให้ได้ไม่เท่า
เบนจามิน แฟรงกลิน เขียนว่า “คนที่น่าสงสารที่สุดคือคนที่อ่านหนังสือไม่ออกผู้หงอยเหงาในวันฝนตก”
และชีวิตเราจะพานพบ ‘ฝนตก’ เป็นระยะ ๆ เราจะหดหู่หม่นหมองเป็นระยะ ๆ สามสิ่งนี้อาจช่วยได้
เรื่องบางเรื่องในโลกต้องใช้ธรรมชาติและศิลปะเป็นยา
(รูปดอกไม้ในสวนของผม ถ่ายเมื่อเดือนเมษายน ปี 2557)
วินทร์ เลียววาริณ
29-5-25..........................
ท่อนหนึ่งจาก ชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราว
โปรโมชั่นพิเศษเป็นชุด https://shope.ee/Vj8bA8a4u?share_channel_code=60 วันที่ผ่านมา -
I learned that it is the weak who are cruel, and that gentleness is to be expected only from the strong.
Leo Rosten
1 วันที่ผ่านมา