-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
ครั้งหนึ่งท่านรัฐมนตรีรักชาติถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ
แน่นอน ตามวิถีปฏิบัติของประเทศที่เจริญแล้ว ก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเขา
เนื้อหาต่อไปนี้ถอดมาจากเทปการสอบสวนที่ข้าพเจ้าส่งสายลับ อีธาน ฮันท์ ไปขโมยมาให้
.......................
กรรมการ 1 : มีคำกล่าวหาว่าท่านร่ำรวยผิดปกติ
รัฐมนตรีรักชาติ : ก่อนอื่นผมดีใจที่มีการตรวจสอบ จะได้หมดสิ้นข้อกังขา รัฐมนตรีเป็นคนของประชาชน ต้องผ่านการตรวจสอบได้ เสมือนทองแท้ไม่กลัวไฟ หรือภาษาอังกฤษว่า Real gold no grua fire.
กรรมการ 1 : ท่านเข้าเรื่องเลยได้ไหม
รัฐมนตรีรักชาติ : ย่อมได้ ทำไมจะไม่ได้ ต้องได้ซี เพราะทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ หรือภาษาอังกฤษว่า Real gold no grua fire.
กรรมการ 2 : ท่านไปเรียนภาษาอังกฤษที่ไหน
รัฐมนตรีรักชาติ : จากสหรัฐฯ ผมจบจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียอิงแลนด์
กรรมการ 1 : แต่มีคนบอกว่ามันเป็นมหาวิทยาลัยห้องแถว
รัฐมนตรีรักชาติ : จะเป็นห้องแถวหรือห้องเช่า แล้วไงหรือ? ความรู้ก็คือความรู้ เหมือนเหล็กดีย่อมผ่านความร้อนได้ เพราะทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ หรือภาษาอังกฤษว่า Real gold no grua fire.
กรรมการ 2 : ขอย้ำอีกที ท่านเข้าเรื่องเลยได้ไหม
รัฐมนตรีรักชาติ : ผมเห็นด้วยการการตั้งกรรมการตรวจสอบ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผม ไม่มีนอกมีใน อย่างนี้สิผมชอบ ผมน่ะเป็นพวกที่ชอบปิดทองหลังพระครับ ขออนุญาตพูดอะไรหน่อยเถอะครับ บ้านเมืองเรานี่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง คืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรี เป็นต้องตัดสินให้ผิดไว้ก่อน ยี้ไว้ก่อน ทุจริตไว้ก่อน ผมว่ามันไม่ยุติธรรม มีกระดาษทิชชูไหมครับ ผมอยากร้องไห้...
กรรมการ 3 : ท่านมีทรัพย์สินที่แจกแจงถึง 8,467 ล้าน ท่านพอเล่าให้ฟังได้ไหมครับว่าทำไมท่านเป็นรัฐมนตรีแค่ไม่กี่ปี จึงรวยอย่างนี้
รัฐมนตรีรักชาติ : ทำไมผมถึงรวยอย่างนี้? เรื่องมันยาว พวกคุณมีเวลาพอหรือ?
กรรมการ 4 : ว่ามาเลยครับ พวกเราดูถ่ายทอดสภาพบ่อยๆ
กรรมการ 5 : ผมก็ดูซีรีส์บ่อยๆ 100 ตอนจบเป็นเรื่องปกติ
รัฐมนตรีรักชาติ : ย่อมได้ แต่ผมจะเริ่มเล่าตรงไหนดีนะ เรื่องมันยาวหรือภาษาอังกฤษว่า long potato
กรรมการ 1 : ท่านก็พูดสั้นหน่อย มันก็ไม่ยาวเอง
รัฐมนตรีรักชาติ : ได้ครับ ไม่ยาวก็ได้ คือผมเป็นคนที่รักการผจญภัย ตอนเด็กผมชอบอ่าน เพชรพระอุมา เรื่องเกี่ยวกับนิยายปรัมปรา ประเภทเมืองลับแลอะไรเทือกนั้น เมื่อโตขึ้นผมก็มักเข้าป่าเสาะหา
กรรมการ 2 : เสาะหาขุมทรัพย์เพชรพระอุมา?
รัฐมนตรีรักชาติ : ใช่ครับ
กรรมการ 3 : อินโทรนานมาก แล้วนี่มันเกี่ยวกับบัญชีทรัพย์สินตรงไหนครับ?
รัฐมนตรีรักชาติ : "อย่าเพิ่งถาม มันเกี่ยวกันแน่ ผมก็เดินทางเข้าป่า ขึ้นเหนือล่องใต้ มีอยู่วันนึง ผมตั้งแคมป์อยู่ที่ชายป่าหนองน้ำแห้ง ห่างจากกรุงเทพฯหกร้อยกว่ากิโลเมตร เดินเท้าสองวันจะถึงหุบเขาหมาร้องไห้ เหตุที่เรียกหุบเขาหมาร้องไห้ก็เพราะภูเขาลูกนั้นมีรูปร่างเหมือนหมายืน มีตาน้ำตรงปลายหินข้างบนไหลเอื่อยๆ ลงมา ดูเหมือนหมายืนร้องไห้จริงๆ จากหุบเขานั่นเดินทางไปอีกครึ่งวันจะพบแม่น้ำขวางอยู่ ล่องแพไปตามแม่น้ำสายนั้นสักสามชั่วโมง ขึ้นฝั่งแล้วเดินเท้าอีกราวสองวันสองคืน ผ่านดงต้นไม้กินหมา ก็จะถึงหุบเขาชื่อ...
กรรมการ 1 : เอาเป็นว่าไกลมากก็แล้วกัน
รัฐมนตรีรักชาติ : ใช่ จากที่นั่นเดินเท้าต่ออีกสองวันจะถึงเขาแม่หม้าย เหตุที่ชาวบ้านเรียกว่าเขาแม่หม้ายก็เพราะครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
กรรมการ 5 : ได้โปรดย่อหน่อยเถอะครับท่าน นี่คุณ crab เรื่องยาวกว่าซีรีส์ร้อยตอนจบเสียอีก
รัฐมนตรีรักชาติ : พวกคุณเคยไปที่นั่นมั้ย? เป็นป่าทุรกันดารมาก ทั้งทาก ปลิง ค้างคาวกินเลือด ต้นไม้กินหมา ผีป่า ซอมบี้สารพัด ตอนนั้นเป็นเวลาเย็น อากาศมัวซัว ผมเอนกายพักหลังจากที่เหนื่อยจากการเดินป่ามาทั้งวัน ทันใดนั้นผมเห็นร่างหนึ่งคลานออกมาจากราวป่า ผมคิดว่าตัวเองตาฝาดไป เพ่งดูอีกนาน สายตาไม่ได้หลอกผม...ร่างนั้นเป็นชายคนหนึ่งในสภาพผอมโซ เห็นกระดูกซี่โครงสองสามซี่ทะลุออกมา เขาอยู่ในสภาพขาดสารอาหารมานานหลายสัปดาห์ ผมไม่รู้ว่าเขารอดชีวิตมาได้ยังไงจากป่าโหดนั่น เขาร้องว่า "น้ำ ขอน้ำกินหน่อย"
ผมเอาน้ำให้เขา เมื่อดื่มเสร็จเขาก็เล่าให้ผมฟังว่า เขาบาดเจ็บหลังจากเดินป่ามานานหลายเดือน เขาเล่าถึงเมืองลับแลชื่อมรกตนคร ที่ซ่อนอยู่หลังขุนเขาพระศิวะทะมึนโน่น มันเป็นเมืองที่ตัดขาดทุกอย่างจากโลกภายนอก ไม่มี wifi ไม่มีเน็ต...
กรรมการ 2 : เรื่องของท่านอีกยาวมั้ยครับ คณะกรรมการไม่มีเวลาทั้งวันนะ ต้องกลับไปดูซีรีส์
รัฐมนตรีรักชาติ : ใจเย็นๆ พวกคุณอย่าขัดบ่อยๆ ซี แล้วมันก็วาวหรอก นี่ผมเล่าถึงไหนแล้ว? อ้อ! ที่มรกตนครมีแก้วแหวนเงินทองมหาศาลที่เราใช้กันในร้อยชั่วชีวิตก็ไม่หมด ไม่เคยมีใครไปถึงสถานที่นั่นมาก่อน นักเดินทางทุกคนที่หวังไปหาขุมทรัพย์ตายกลางทางทั้งนั้น เนื่องจากต้องผจญกับอันตรายสารพัด...
กรรมการ 3 : รายละเอียดท่อนนี้คุณไปออกยูทูบรายการสารคดีเดินป่าล่าสัตว์จะเหมาะกว่าครับท่าน
รัฐมนตรีรักชาติ : เอ! เดี๋ยวอย่าเพิ่งขัด นี่ไม่ใช่หม้อ ไม่ใช่รองเท้า ไม่ต้องขัด เขาเล่าว่าเขาได้ลายแทงมาจากนักเดินทางอีกคนหนึ่ง ที่ได้มาจาก...กรรมการ 5 : สรุปสั้นๆ ว่า ความร่ำรวยผิดปกติของท่านมาจากขุมทรัพย์เพชรพระอุมา ที่ท่านขุดมาจากมรกตนคร
รัฐมนตรีรักชาติ : ใช่ครับ ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์
กรรมการ 2 : แล้วท่านพิสูจน์ได้ไหมว่าท่านไปมรกตนครจริงๆ มีรูปถ่ายไหมครับ?
รัฐมนตรีรักชาติ : โธ่! จะมีได้ยังไง มรกตนครมันอยู่ในโลกอีกมิติหนึ่ง หรือภาษาอังกฤษว่า อะน่าเด้อ ไดเมนชั่น ถ่ายรูปไม่ติดหรอก
กรรมการ 1 : สรุปก็คือท่านร่ำรวยมาแบบปกติ ด้วยความบากบั่นเดินป่าของท่านเอง
รัฐมนตรีรักชาติ : คอร์เร็คท์
กรรมการ 1 : ฟังดูเหลือเชื่อ แต่ผมเชื่อสิ่งที่ท่านเล่ามา เพราะสีหน้าท่านไม่มีแววโกหก
กรรมการ 2 : ผมก็เชื่อสิ่งที่ท่านเล่ามา เพราะน้ำเสียงท่านไม่มีแววโกหก
กรรมการ 3 : ผมเห็นด้วยคน เพราะนัยน์ตาท่านไม่มีแววโกหก
กรรมการ 4 : เรื่องที่ท่านเล่ามีเหตุผล เพราะหน้าท่านไม่มีแววโกหก
กรรมการ 5 : ผมก็เชื่อ งั้นก็ตามนี้ คณะกรรมการสรุปว่าท่านร่ำรวยปกติ
กรรมการ 1 : ผมกลับไปดูซีรีส์ดีกว่า
กรรมการ 2 : ผมจะกลับไปนอนพักหู
รัฐมนตรีรักชาติ : ส่วนผมจะกลับไปใช้บริการนวดหน้าอีกรอบ มันได้ผลจริงๆ
วินทร์ เลียววาริณ
2-6-25(ดัดแปลงจาก หลังอานบุรี)
0- แชร์
- 24
-
ผมเขียนเรื่องดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยามาหลายสิบปี ทุกครั้งที่เล่าเรื่องการค้นคว้าในอวกาศ หลุมดำ พลังงานมืด อารยธรรมต่างดาว ฯลฯ ผมมักได้ยินคำถามเดิมๆ เสมอ นั่นคือ "รู้ไปทำไม" และ "นี่เป็นอจินไตย"
แต่เราต้องระวังเวลาใช้คำว่าอจินไตย
อจินไตยไม่ได้แปลว่าให้หยุดเรียนรู้
ความรู้ก็คือความรู้ บางเรื่องดูไกลตัวมาก เหมือนไม่เกี่ยวกับเรา และเราก็มักติดป้ายอจินไตยในเรื่องนั้นๆ
ตัวอย่างที่เราได้ยินเสมอคือ เราส่งคนไปอวกาศทำไม จะส่องกล้องดูดวงดาวในกาแลกซีไกลโพ้นไปทำไม แทนที่จะใช้พัฒนาชีวิตมนุษย์บนโลกก่อน
แต่หากพ่อแม่เราป่วยไปโรงพยาบาล ต้องผ่าหัวใจด้วยระบบเลเซอร์ หรือหมอตรวจพบมะเร็งในตัวเรา สแกนร่างกาย หรือต้องทำแขนขาเทียม จะพบว่าทั้งหมดนี้มาจากการศึกษาเรื่องอวกาศที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกับเราทั้งสิ้น
ยังไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่เราขาดไม่ได้ในตอนนี้ เช่น GPS คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ก็มาจากการศึกษาอวกาศอันไกลโพ้นทั้งสิ้น
และที่ยกตัวอย่างนี้เป็นแค่ประโยชน์เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น
มันก็เหมือนกับคนโบราณเมื่อสองล้านปีที่แล้วค้นพบการใช้ไฟ และเพื่อนบอกว่า จะเอาไฟไปทำอะไร
แต่ไฟทำให้สมองมนุษย์ขึ้นใหญ่ขึ้น และทำให้เราเป็นเราในวันนี้
อิสลามเคยเป็นเจ้าโลกในเรื่องวิทยาการ ดวงดาวส่วนใหญ่บนฟ้าในเวลานี้เป็นภาษาอิสลาม แต่ยุคทองของอิสลาม (ศูนย์กลางที่แบกแดด) ก็ล้มครืนทันที เมื่อผู้นำสั่งห้ามการแสวงหาความรู้ โดยอ้างศาสนา และไม่เคยฟื้นจนบัดนี้
เราจึงควรระวังเวลาใช้คำว่าอจินไตย มันเป็นคนละเรื่องกับการแสวงหาความรู้ เพราะวันใดที่มนุษย์หยุดหาความรู้ อารยธรรมมนุษย์ก็สูญสิ้นในวันนั้น
วินทร์ เลียววาริณ
3-6-251 วันที่ผ่านมา -
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในโลกเร่งรีบทุกวันนี้ จะมีโฆษณาสร้างนักเขียนแบบเร่งรีบ เป็นนักเขียนได้ในเวลาไม่กี่วัน
เรามีค่านิยมว่า ความสำเร็จมาเร็วๆ ได้ ในบางสายอาจจะใช่ แต่จากประสบการณ์ตรง ไม่น่าใช่สายนักเขียน
มีคนถามผมเสมอว่า ต้องใช้เวลาสร้างนักเขียนคนหนึ่งนานเท่าไร ปีเดียวพอไหม?
คำตอบของผมคือ 20-30 ปี
ได้ยินเช่นนี้ หลายคนไม่เชื่อ ส่วนคนที่เชื่อหลายคนก็ล้มเลิกความคิดจะเป็นนักเขียน
ผมบอกเสมอมาว่า นักเขียนมีสองแบบ นักเขียนธรรมดากับนักเขียนดี
นักเขียนธรรมดาแค่จับปากกาเขียนตัวหนังสือ ก็เป็นนักเขียนได้แล้ว
ส่วนนักเขียนดีนั้นต้องมีคุณสมบัติคิดลุ่มลึก จินตนาการกว้างไกล แต่งเรื่อง วางลำดับเรื่อง สามารถใช้ภาษาในระดับดี ไม่มีส่วนขาดส่วนเกิน เป็นศิลปินที่สร้างสรรค์งานแต่ละชิ้นอย่างประณีตจะทำอย่างนี้ได้ต้องใช้เวลาหลายสิบปี ไม่มีทางเขียนเรื่องดีได้หากไม่ฝึกฝนยาวนาน
ลำพังการฝึกใช้ภาษาให้ถึงขั้น ‘นายของภาษา’ ก็ต้องใช้เวลายี่สิบปีขึ้นไป
การฝึกฝนก็เหมือนการเปลี่ยนจากธารน้ำสายน้อยเป็นแม่น้ำสายใหญ่ ธารน้ำไม่สามารถกัดเซาะแผ่นดินได้ในทีเดียว ต้องค่อย ๆ สะสมพลัง ขยับขยายกลายเป็นลำน้ำใหญ่ขึ้น จึงมีแรงเซาะแผ่นดินโค่นภูผา รีบร้อนเกินไปก็ไร้พลังเซาะ ต้องบ่มเพาะจนสายน้ำมีพลังแรงพอ
นี่เองที่ทำให้เรื่องบางเรื่องทำเร็วไม่ได้ แม้อยากให้เร็วแค่ไหนก็ตาม
ยิ่งรีบยิ่งช้า
การฝึกเขียนก็เหมือนการออกกำลังกาย และอีกหลายกิจกรรมที่ดูเหมือนไม่สนุก เพราะเราคิดไปก่อนว่ามันไม่น่าสนุก
การติดป้ายกิจกรรม ‘สนุก’ และ ‘ไม่สนุก’ แยกชัดเจนทำให้เราเสียโอกาสทำเรื่องที่ไม่น่าจะสนุกให้สนุกได้ เพราะสนุกและไม่สนุกเป็นเรื่องนานาจิตตัง บางคนไม่สนุกกับการออกกำลังกาย บางคนกลับสนุกกับมัน ฯลฯ
ชีวิตคือการรักษาสมดุลของความชอบกับความไม่ชอบ คือการรักษาจังหวะความเร็วช้า ผ่อนหนักผ่อนเบา
ในปรัชญาการใช้ชีวิตแบบทางสายกลาง ใช้เวลาแต่พอดี ไม่เร่ง ไม่ช้า เพราะเวลาคือดัชนีวัดระยะทางของชั่วชีวิต ไม่ใช่ชีวิตในตัวมันเอง
บางทีสุภาษิตไทย ‘ช้าเป็นการนานเป็นคุณ’ กับ ‘น้ำขึ้นให้รีบตัก’ อาจไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่เป็นคนละ ‘โหมด’ ที่ใช้ต่างเวลากัน
บางเรื่องควรเร็วหน่อย บางเรื่องควรช้าหน่อย
รักษาสมดุลของเร็ว-ช้าได้ ชีวิตก็งดงามขึ้น
วินทร์ เลียววาริณ
4-6-25
...................................จาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วโปรโมชั่นพิเศษเป็นชุด https://shope.ee/2LAmmZMaOd?share_channel_code=6
1 วันที่ผ่านมา -
สมัยเป็นเด็ก ผมใช้ชีวิตในห้องสมุดประชาชนเสมือนหนึ่งเป็นบ้านหลังที่สอง ผมไปห้องสมุดทุกวันที่มันเปิด ห้องสมุดอนุญาตให้ยืมหนังสือกลับบ้านได้วันละสองเล่ม ผมรู้สึกว่าน้อยไป บ่อยครั้งจึงอ่านเล่มที่ 3 4 5... ในห้องสมุด นอกเหนือจากสองเล่มที่ยืมกลับบ้าน
วันหนึ่งขณะนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด วัยรุ่นแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหา ถามผมว่า “เวลาอ่านหนังสือ อ่านคำนำหรือเปล่า?”
ผมตอบว่า “เปล่า” เพราะไม่เคยอ่านคำนำ
วัยรุ่นแปลกหน้าก็นั่งลงสอนการอ่านหนังสือให้ถูกวิธี ชี้ให้เห็นความสำคัญของการอ่านคำนำ การอ่านคำนำทำให้เราเข้าใจว่ามันเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร การอ่านสารบัญก็ทำให้เรารู้ขอบเขตเนื้อหาของหนังสือเล่มนั้น ว่าคนเขียนต้องการเสนออะไร ฯลฯ
ผมเป็นเด็กขี้อาย ไม่เคยชินกับการสนทนากับคนแปลกหน้า ก็อือ ๆ ออ ๆ แล้วรีบกลับบ้าน
บ่ายนั้นวัยรุ่นแปลกหน้าคนเดิมก็ตามมาหาผมถึงบ้าน เชื่อว่าเขาได้ที่อยู่ผมมาจากบรรณารักษ์ เขาบอกว่าบทเรียนที่ห้องสมุดยังไม่จบ ก็ตามมาสอนต่ออีกรอบหนึ่ง!
เป็นครั้งแรกที่มีครูมาสอนถึงบ้านโดยไม่ได้เชิญ
เป็นครั้งแรกที่แลเห็นความเมตตาและความปรารถนาดีของคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
คนบางประเภทมีความเมตตาสูง และหวังดีต่อคนแปลกหน้า อยากให้คนอื่นพัฒนาตนเองดีขึ้น
ผมยังเคยผ่านประสบการณ์คนแปลกหน้าช่วยเหลืออีกหลายครั้ง เช่น ครั้งหนึ่งฝนตกหนัก คนแปลกหน้ากางร่มไปส่ง เคยถามทางจากคนแปลกหน้า แล้วเขาก็นำทางเราไปถึงที่หมาย
ครั้งหนึ่งผมว่ายน้ำในสระสาธารณะแห่งหนึ่ง ผมไม่เคยชอบว่ายน้ำ แต่จำเป็นต้องออกกำลังกาย ก็ว่ายไปแค่ให้รู้ว่าไปว่ายน้ำมาแล้ว
ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเห็นวิธีว่ายน้ำของผมแล้ว ก็เข้ามาหา แล้วสอนวิธีว่ายน้ำที่ถูกต้องให้ผม
แม้สอนอยู่นาน และไม่ค่อยเข้าหัวคนที่ไม่ชอบออกกำลังกายเท่าไร แต่ก็แลเห็นว่าเขาเป็นคนมีเมตตา
แม่เพื่อนสนิทผมเป็นโรคอัลไซเมอร์ ครั้งหนึ่งนางไปงานเลี้ยงและคุยกับคนแปลกหน้าที่ร่วมโต๊ะ นางเล่าเรื่องเดิมซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง เนื่องจากจำไม่ได้ว่าเล่าแล้ว คนแปลกหน้าฟังดูแล้ว พอคาดว่านางเป็นอัลไซเมอร์ ก็นั่งฟังนางเล่าอย่างตั้งใจ เหมือนฟังเป็นครั้งแรก ไม่เอ่ยท้วงว่า เคยฟังแล้ว
โลกมีตัวอย่างของคนแปลกหน้าที่ดีมากมาย
และโชคดีที่มันเป็นเรื่องจริง
..........................
เราอาจได้รับการสั่งสอนจากผู้ใหญ่ว่าให้ระวังคนแปลกหน้า ซึ่งอาจจะคิดร้ายกับเรา แต่มันไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว เพราะคนแปลกหน้าที่ดีก็มี คนใกล้ตัวที่แย่ ๆ ก็มีมาก
สิ่งหนึ่งที่ผู้ใหญ่ควรสอนก็คือการรู้จักวิเคราะห์ประเมินว่า คนแปลกหน้าคนหนึ่งหวังดีหรือร้าย
บ้านเราสมัยก่อนมีธรรมเนียมการวางตุ่มน้ำและกระบวยที่หน้าบ้าน สำหรับคนแปลกหน้าเดินผ่านไปมาสามารถดื่ม นี่ก็เป็นธรรมเนียมที่สะท้อนว่าคนเราไม่ได้แบ่งกันที่คนแปลกหน้ากับคนไม่แปลกหน้า
แต่แบ่งที่คนมีน้ำใจกับคนไม่มีน้ำใจ
บางครั้งคนแปลกหน้าที่มีน้ำใจก็ต้องหงายหลัง ชายคนหนึ่งขับรถผ่านสี่แยก แลเห็นชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ริมถนน หันรีหันขวาง เหมือนคนป่วยโรคอัลไซเมอร์ที่หลงทาง เขาจึงจอดรถ จูงคนแก่ไปขึ้นรถ แล้วบอกคนแก่ว่า จะขับไปส่งที่บ้าน
เขาขับรถออกไปขณะถามคนแก่ว่า “บ้านตาอยู่ตรงไหนก็ชี้ด้วย”
คนแก่มีสีหน้าตกใจ ชี้มือไปข้างหน้า ทำท่าจะพูด แต่พูดไม่ออก คนขับยิ่งเชื่อว่าชายชราเป็นคนป่วยโรคอัลไซเมอร์ที่หลงทาง ก็ขับรถต่อไป บอกคนแก่ว่า “ใจเย็น ๆ ลองนึกดูว่าบ้านตาสีอะไร อยู่ตรงไหน”
คนแก่บอกว่า “บ้านกูก็อยู่ตรงจุดที่กูยืนอยู่เมื่อกี้นั่นแหละ กูกำลังรอใส่บาตรพระ มึงก็เสือกลากกูมา ไอ้เปรต...”
โชคดีที่มันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นแค่เรื่องขำขัน
วินทร์ เลียววาริณ
4-6-25 ................................... จากหนังสือ มากกว่าสามสิบสอง49 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 250 บาท = บทความละ 5.10 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/195/มากกว่าสามสิบสอง
https://s.shopee.co.th/9UlyhN6c1q
โปรโมชั่นคอมโบ https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201
Shopee https://s.shopee.co.th/9UlyhN6c1q
โปรโมชั่นคอมโบ https://s.shopee.co.th/8zpi6W2V3Tทำไมควรซื้อหนังสือเล่มนี้: https://www.facebook.com/photo/?fbid=1207283390760350&set=a.208269707328395
1 วันที่ผ่านมา -
เขียน dak-done ท่านรัฐมนตรีรักชาติมาหลายวัน ขอพักก่อนชั่วคราวก่อนที่เพจจะถูกถล่ม
มาคุยเรื่องดาราศาสตร์ต่อ ปลอดภัยกว่า
มาถึงวันนี้ หลังจากเราค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของเรา ที่เรียกว่า exoplanets นักจักรวาลวิทยาส่วนใหญ่ก็เชื่อว่า น่าจะมีสิ่งทรงภูมิปัญญาข้างนอกโน้น เพราะมี exoplanets มากมายเหลือเกิน
เชื่อว่าภายในไม่กี่สิบปีนี้ เราจะพบว่าจักรวาลมี exoplanets มากกว่าจำนวนดวงดาวทั้งหมด และแน่นอน มากกว่าจำนวนเม็ดทรายทั้งหมดบนโลกหลายเท่า
หากโลกเราก่อเกิดสิ่งทรงภูมิปัญญาเช่นมนุษย์ได้ ก็มีความน่าจะเป็นสูงที่ด้วยจำนวน exoplanets มหาศาลขนาดนี้ โลกอื่นก็น่าจะมีได้ด้วย
เราใช้เวลาราวสี่พันล้านปีพัฒนาชีวิตมาถึงจุดสิ่งทรงภูมิปัญญา แต่จักรวาลมีอายุราว 13.8 พันล้านปี เป็นเวลาที่ยาวพอที่น่าจะเกิดสิ่งทรงภูมิปัญญาชั้นสูงกว่าเรา บางสายพันธุ์อาจจะพัฒนาจนถึงจุดสูงสุดไปแล้ว
แต่เราจะวัดระดับการพัฒนาของสิ่งทรงภูมิปัญญาอย่างไร?
ฟรีแมน ไดสัน นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ทำงานอยู่ที่สถาบัน Institute for Advanced Study แห่งมหาวิทยาลัยพรินซตัน (มหาวิทยาลัยเดียวกับไอน์สไตน์) ที่นี่ไม่มีนักเรียน ไม่มีเจ้าหน้าที่ ไม่มีหน้าที่เจาะจงชัดเจน หน้าที่เดียวของเขาคือทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ และเขาก็มักทำอย่างนั้น!
หนึ่งในงานตามใจชอบของเขาคือร่วมมือกับนักฟิสิกส์ชาวรัสเซีย นิโคไล คาร์ดาชอฟ (Nikolai Kardashev) จัดประเภทอารยธรรมในจักรวาล
ทั้งสองแบ่งประเภทของอารยธรรมในจักรวาลเป็นสามประเภทคือ แบบ 1, แบบ 2 และแบบ 3 (Type I, Type II and Type III)
แบ่งยังไง? ก็โดยใช้การใช้พลังงานเป็นมาตรวัดระดับความเจริญ
อารยธรรมแบบที่ 1 สามารถควบคุมการใช้พลังงานทุกรูปแบบในโลกของพวกเขา สามารถควบคุมแก้ไขดินฟ้าอากาศ มหาสมุทร ทั้งยังสามารถดึงพลังงานจากใจกลางดาวเคราะห์ที่พวกเขาอาศัยอยู่มาใช้ได้
อารยธรรมแบบที่ 2 สามารถควบคุมพลังงานระดับดวงดาวได้ทั้งหมด ความต้องการพลังงานของอารยธรรมกลุ่มนี้สูงมากจนใช้พลังงานในระดับดาวเคราะห์หมด และต้องหันไปใช้พลังงานจากดวงอาทิตย์ของพวกเขาเป็นแหล่งพลังงาน
ไดสันเสนอความคิดพิสดารว่า อารยธรรมกลุ่มนี้อาจสร้างทรงกลมขนาดยักษ์ครอบดวงอาทิตย์เพื่อรับพลังงานได้หมดโดยไม่เสียของ สิ่งทรงภูมิปัญญากลุ่มนี้ยังทำการสำรวจและสร้างอาณานิคมในระบบดาวใกล้ๆ
อารยธรรมแบบที่ 3 อารยธรรมกลุ่มนี้ใช้พลังงานจากดวงอาทิตย์หมดแล้ว จึงต้องเดินทางไประบบดาวอื่นๆ และพัฒนาเป็นอารยธรรมข้ามดาราจักร มีเทคโนโลยีขั้นสูงมาก
แล้วมนุษย์เราจัดอยู่ในกลุ่มไหน?
นักฟิสิกส์มีชื่ออีกคนหนึ่ง มิชิโอะ คะกุ บอกว่าเราจัดอยู่ในประเภท Type 0! เรายังล้าหลังมากในเรื่องการใช้พลังงาน เพราะเราใช้แต่ของที่เราขุดขึ้นมา นั่นคือเชื้อเพลิงฟอสซิล (fossil fuel) คือถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ ซึ่งเกิดจากการทับถมของซากพืชสัตว์ โบราณอายุล้านๆ ปี หรือหลายร้อยล้านปี
เมื่อเราใช้พวกมันหมดสิ้นแล้ว (ซึ่งต้องหมดในวันหนึ่งแน่นอน ด้วยอัตราการเผาผลาญแบบนี้) เราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหาพลังงานอื่นๆ มาทดแทน
อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของเขา เราอาจก้าวสู่ขั้นที่ 1 ได้ภายในเวลา 1-2 ศตวรรษ ส่วนการจะเข้าสู่ขั้นที่ 2 คงกินเวลาสัก 800 ปี
หากอยากไปถึงขั้นที่ 3 คงกินเวลาราวหนึ่งหมื่นปีหรือมากกว่านั้น
ถ้าเราไม่ฆ่ากันตายเสียก่อน! วินทร์ เลียววาริณ
3-6-251 วันที่ผ่านมา -
ในแต่ละอาทิตย์ ผมทำงานสองแบบ แบบหนึ่งตามแผนงานหลัก เช่น ปีนี้ต้องการนวนิยายหนึ่งเรื่อง เรื่องสั้นเจ็ดเรื่อง บทความห้าสิบบท ก็ทำงานไปตามนั้น
วางแผนทำงานให้เสร็จตามที่ตั้งไว้ และปฏิบัติตามแผนโดยเคร่งครัด
แผนนี้เผื่อเวลาสำหรับป่วยด้วย
งานพวกนี้จะมีต้นฉบับติดตัวเสมอ ไปที่ไหนก็ทำงานต่อได้เลย
แบบที่สองคือแบบ 'ขาจร' เช่น อ่านข่าวแล้วรู้สึกอยากแสดงความเห็น อ่านขำขันแล้วอยากเล่าต่อ ดูหนังบางเรื่องแล้วอยากแชร์ หรือเจอเหตุการณ์แปลกๆ ในวันนั้น ก็จะลงมือเขียนเลยก่อนสิ้นวัน
มิฉะนั้นจะเป็น 'ข่าวเก่า'
งานวิจารณ์หนังส่วนใหญ่มักจะทำเสร็จภายในสองชั่วโมงหลังออกจากโรงหนัง
งานขาจรจึงเป็นงานแบบที่ต้องเร็ว เหมือนนักข่าว
แม้แต่การทำภาพประกอบก็ต้องเร็ว มีเวลาคิดแค่ 1 นาที ทำอีกไม่เกิน 10 นาที
การมีคลังภาพในมือ ก็ช่วยได้มาก
จึงไม่แปลกที่มีคำผิดปนมาอยู่เรื่อย เพราะคีย์เร็ว
ถามว่าทำงานรีบๆ แบบนี้ดีหรือ?
ก็แล้วแต่มุมมอง ถ้ามองว่าเป็นการฝึกฝีมือแบบจอมยุทธ์ดาบไว ก็ได้
แต่สำหรับผม สิ่งที่ดีคือมันช่วยฝึกสมองให้คิดเร็ว กระฉับกระเฉง
ไม่สงวนลิขสิทธิ์
วินทร์ เลียววาริณ
3-6-251 วันที่ผ่านมา