-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
เล่ากันว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิตหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านเอ่ยกับหมอที่ดูแลท่านเพียงวลีเดียวว่า “ปล่อยนะ”
แล้วก็ละสังขาร ปล่อยชีวิตดับไปตามธรรมชาติ เหมือนเปลวเทียนที่ลมเย็นพัดวูบหายไป
กายดับ แต่ใจดับมานานก่อนหน้านั้น
จากโลกไปสบาย ๆ ราวกับขนนกเบา แต่หนักแน่นดั่งขุนเขา
คนที่สามารถเอ่ยคำว่า “ปล่อยนะ” ก่อนตายย่อมจะเข้าใจความหมายของชีวิตอย่างดียิ่งจนไม่คิดจะยึดอะไรไว้
เพราะว่าชีวิตไม่มีอะไร
‘ปล่อยนะ’ หรือ ‘ปล่อยแล้วนะ’ ก็คือการละวาง ปลดปล่อยชีวิตห้วงสุดท้ายไปสู่ความว่างเปล่า
มาจากความว่าง จากไปกับความว่าง
เมื่อว่างเปล่า ก็ไม่เหลือเชื้อไฟให้มายา
เกิดมาไม่มีอะไร แต่ตายไปโดยเข้าใจทุกอย่าง
หลักธรรมสำคัญที่สุดในทางพุทธสำหรับคนเดินดินอย่างเรา อาจจะสรุปเป็นวลีเดียวว่า ‘ไม่ยึดมั่นถือมั่น’
วลีนี้กินความทุกอย่าง เป็นเรื่องทั้งหมดของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นใคร มาจากไหน รวยหรือจน
เป็นวลีที่ใช้ได้ชั่วชีวิต ไม่ต้องรอตอนกำลังจะสิ้นลมหายใจ
มนุษย์ทุกคนเป็นส่วนประกอบของเซลล์ประมาณ 37,200,000,000,000 เซลล์ ก่อนหน้าที่เราแต่ละคนเกิดนั้นไม่มีอะไร เมื่อมันมาชุมนุมกัน เราจึงยึดมั่นถือมั่นเป็นครั้งแรกว่ามันคือ ‘เรา’
ครั้นถึงเวลาอันสมควรบนโลก เซลล์ก็เลิกชุมนุม กลับคืนสู่สภาพไม่มีอะไรตามเดิม
ดังนั้นจะบอกว่า ‘มีอะไร’ และ ‘ไม่มีอะไร’ ก็ไม่ได้ทั้งคู่ มันคือความว่างเปล่าแต่แรก ชีวิตเราเป็นเพียงมายาฉากหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างนอกเหนือจากนี้ก็คือสิ่งที่เราปรุงแต่งและยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูและของกู
คนที่เข้าใจโลกดีย่อมสามารถ “ปล่อยนะ” เร็วกว่าคนอื่น
เรียกว่ามีชีวิตในโลกแต่อยู่เหนือโลก
‘ตาย’ ก่อนตาย
ตายจากการครอบครองของกิเลส ตายจากสภาวะตัวกู-ของกู
ตายในที่นี้ไม่ใช่การดับลมหายใจ แต่คือการอยู่เหนือสภาวะความเป็นมนุษย์และตัวตนใด ๆ เป็นอิสระโดยสมบูรณ์
คนที่มีเงินมาก ๆ จมชีวิตในกองสมบัติของตน ก็เท่ากับมีชีวิตแห่งพันธนาการ ยามละสังขารก็ยังไม่สามารถละวางเรื่องทางโลกซึ่งเป็นมายาได้
แต่หากสามารถปลดปล่อยพันธนาการของสมบัติ อยู่เหนือสมบัติ ก็เท่ากับได้ละพ้นโลกตั้งแต่ยังมีลมหายใจปกติ
คนประเภทนี้ถือว่ามีวาสนาอย่างแท้จริง
เข้าใจแล้วนะ
ปล่อยนะ
วินทร์ เลียววาริณ
11-6-25.............................
จาก 1 เปอร์เซ็นต์ของความเป็นไปได้ โดย วินทร์ เลียววาริณ
หนังสือกำลังใจ 61 บทความ 190.- บทความละ 3.1 บาท
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/150/1%20เปอร์เซ็นต์ของความเป็นไปได้
0- แชร์
- 26
-
(เริ่มเขียน 17.54 น. / เริ่มทำภาพประกอบ 18.15 น. / เสร็จ 18.25 น.)
ร้านเหล้าพับผ่าคืนนี้มีลูกค้าหน้าใหม่ก้าวเข้ามา วัยราว 50 ปลาย เส้นผมสีเทา สวมชุดขาวทั้งร่าง ท่าทางคงแก่เรียน มองปราดเดียว ข้าพเจ้าเดาว่าเขาน่าจะเป็นหมอ
มันเป็นต้นราตรีของวันที่แพทยสภายืนมติลงโทษแพทย์สามคน ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ข้าพเจ้าถามลูกค้าชุดขาว "ดื่มอะไรดีครับ คุณหมอ?"
เขาเลิกคิ้ว "คุณดูออกเลยหรือว่าผมเป็นหมอ?"
"ใช่"
เขาหัวเราะ "ก็ไม่ผิดนะ"
ข้าพเจ้าถาม "คุณหมอคิดยังไงกับการโหวตเสียงของแพทยสภาในวันนี้?"
"ก็ตรงตามที่ผมคาดไว้ ผมประมาณแล้วว่าตัวเลขน่าจะ 65-66 แทงหวยได้"
"จะดื่มอะไรดีครับ?"
"ผมไม่ค่อยได้ดื่ม บาร์เทนเดอร์เสนอมาซีครับ"
"แก้วแรกผมขอเสนอค็อคเทล The Good Doctor ก็แล้วกัน"
"มีค็อคเทลชื่อนี้จริงๆ หรือครับ?"
"มีจริงครับ ทำด้วยวิสกี้ไรย์ ผสม Amaro กับ Dr Pepper ใส่ส้มฝาน"
"ตกลงครับ"
ข้าพเจ้าชง The Good Doctor แล้วนำไปเสิร์ฟ เขาดื่มหมดอย่างรวดเร็ว บอก "อร่อยมากครับ ขออีกแก้ว"
"งั้นขอเสนอแก้วใหม่เลยดีกว่า คือ Penicillin cocktail"
"Penicillin? ที่เป็นชื่อยาปฏิชีวนะ?"
"ใช่ครับ เพราะวันนี้พวกหมอพิสูจน์ให้คนไทยเห็นว่า การเมืองไทยที่ติดเชื้อมานานสมควรได้รับยาปฏิชีวนะแรงๆ"
"เวรี ดีฟ ตกลง แล้ว Penicillin cocktail ทำยังไงครับ?"
"เป็นส่วนผสมของสก็อตช์ วิสกี้ น้ำมะนาว และ honey-ginger syrup"
ข้าพเจ้าเสิร์ฟ Penicillin cocktail ให้ลูกค้า เขาดื่มแล้วบอก "รสดี หวังว่ามันคงฆ่าเชืิ้อในกระเพาะของผม"
"มันฆ่าเชื้อโรคการเมืองต่างหากครับ"
"ยอดเยี่ยมครับ"
"อีกแก้วไหมครับ?"
"ไม่ดีกว่า ผมต้องไปทำงานต่อ ช่วยเช็กบิลเลย "
"สองแก้วนี้ on the house ครับ วันนี้ร้านพับผ่าฉลอง ให้หมอดื่มฟรี ผมชื่นชมพวกหมอที่ไม่หวั่นอิทธิพลการเมือง รักษาจรรยาบรรณแพทย์"
"ขอบคุณครับ"
ข้าพเจ้าเอ่ย "ยินดีครับ คุณหมอบอกว่าจะต้องไปทำงาน คุณหมอทำงานที่โรงพยาบาลไหนครับ?"
"คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ใช่หมอในโรงพยาบาล ผมเป็นหมอดูครับ ผมรับดูดวง เมื่อหัวค่ำมีนักการเมืองเรียกตัวผมไปดูดวงให้ว่าจะไปรอดหรือไม่"
"แล้วคิดว่าจะรอดมั้ย?"
เขาหัวเราะ "เจอ Penicillin cocktail น่าจะไม่รอดนะ"
วินทร์ เลียววาริณ
12-6-25..................
หมายเหตุ เหล้าทั้งหมดนี้มีจริง
พับผ่า! บาร์เทนเดอร์ (The Bartender Series 1) มีจำหน่ายแล้วในรูปอีบุ๊ค สนใจดูได้ในเว็บ winbookclub.com หรือ The Meb
0 วันที่ผ่านมา -
ผมเขียนมาบ่อยมากว่า พื้นที่ในจักรวาลส่วนใหญ่เป็นที่ว่าง บางคนนึกภาพไม่ออก
งั้นเรามาบอกเป็นตัวเลขดีกว่า อาจจะเห็นภาพมากขึ้น
ดวงดาวในดาราจักรทางช้างเผือกที่เราอยู่มีราว 2-4 แสนล้านดวง ถามว่าแต่ละดวงอยู่ห่างกันเฉลี่ยเท่าไร
ร้อยกิโล? พันกิโล? ล้านกิโล?
ไม่ๆๆ ! เราคงต้องเปลี่ยนหน่วยเป็นปีแสง
ระยะทางในจักรวาลไกลมาก เราจึงคิดหน่วยวัดระยะทางเป็นปีแสง (light year)
หนึ่งปีแสงคือระยะทางที่แสงเดินทางไปเป็นเวลาหนึ่งปี
เท่าที่เรารู้ตอนนี้ แสงเป็นสิ่งที่เดินทางเร็วที่สุดแล้ว ฉะนั้นหนึ่งปีแสงถือว่าไกลมากๆ
ค่าเฉลี่ยระยะห่างของดวงดาวต่างๆ ในทางช้างเผือกคือ 5 ปีแสง
แปลว่าหากเราเดินทางด้วยยานอวกาศที่เรามีตอนนี้ ก็คงใช้เวลามากกว่าอายุของโลก
นี่แค่ดาวดวงเดียวนะ
เวลาเราดูดาวบนฟ้ากลางคืน จะเห็นจุดดาวอยู่ใกล้กันมาก พึงรู้ว่าระยะห่างของแต่ละจุดใกล้ๆ กันนั้นคือเฉลี่ย 5 ปีแสง
แต่ท้องฟ้าที่เราเห็นตอนกลางคืนเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของทางช้างเผือก
ดังนั้นพอนึกภาพออกแล้วใช่ไหมว่า ทางช้างเผือกใหญ่แค่ไหน
และข้างนอกทางช้างเผือก ยังมีดาราจักรแบบนี้อีกเป็นหลายแสนล้านดาราจักร และทุกดาราจักรก็ขยายตัวออกไปทุกที
จักรวาลจึงเต็มไปด้วยที่ว่าง
วินทร์ เลียววาริณ
12-6-251 วันที่ผ่านมา -
โลกเรานิยมจัดอันดับในแทบทุกเรื่อง! ในทางการเงิน เศรษฐกิจและธุรกิจ เรามีมาตรของ Moody’s (Moody’s Investors Service), Standard & Poor’s และ Fitch Group จัดเรทเครดิตธุรกิจ เช่น Moody’s ให้คะแนน Aaa, Aa, A, Baa, Ba, B, Caa, Ca, C ฯลฯ Standard & Poor’s กับ Fitch ให้คะแนน AAA, AA, A, BBB, BB, B, CCC ฯลฯ
ในด้านมาตรฐานการค้ามนุษย์ ก็มีมาตรของสำนัก Office To Monitor and Combat Trafficking in Persons แบ่งเป็นระดับต่าง ๆ เช่น Tier 1, Tier 2, Tier 2 Watch List และ Tier 3
แม้แต่ในเรื่องอาหาร ก็มีหลายสำนักหลายมาตรฐาน มากมายนับไม่ถ้วน
การใช้ชีวิตของเรา ก็มีมาตรวัดเป็นสนุกกับไม่สนุก สมมุติว่าเราใช้มาตรฐานขององค์กรทางการเงินคือ A B C มาวัดชีวิตเรา ไล่จาก AAA สนุกมาก ไปจนถึง CCC ไม่สนุกมาก ก็อาจได้รายการดังต่อไปนี้
A เช่น เล่นกับหมา
AA เช่น ดูหนัง เล่นเกม
AAA เช่น เที่ยวต่างจังหวัด กินอาหารอร่อย
B เช่น คุยกับลูกค้า
BB เช่น รถติด
BBB เช่น ไปจ่ายตลาด ทำรายงานการประชุม
C เช่น พักฟื้น
CC เช่น เจาะเลือด ฉีดยา
CCC เช่น ผ่าตัด ป่วย นอนซม
หากเรามุ่งหาแต่กิจกรรม AAA และบ่นทุกครั้งที่พบ BBB และ CCC ชีวิตก็ไม่สนุก เพราะชีวิตประกอบด้วย A B C คละกัน ตลอดอายุขัยของเราทุกคน
ทางพุทธสอนให้ไม่ยึดมั่น ไม่ยึดมั่นทั้งเรื่องดีและไม่ดี
อยู่กับสุขก็มีสติ อยู่กับทุกข์ก็มีสติ จึงไม่ทรมาน
ดังนั้นดูเหมือนว่าทางดีที่สุดในการใช้ชีวิตคือ ไม่ยึดมั่นทั้ง A B C
เมื่อไม่จัดอันดับ ไม่มี A B C ก็ไม่มีข้อแม้ว่าตอนนี้สนุกหรือไม่สนุก สุขหรือทุกข์ เพราะไม่ว่าจะเจอ A B C หรือ AAA BBB CCC ก็อยู่อย่างสงบได้
........................
พระไพศาล วิสาโล เขียนในหนังสือ ลำธารริมลานธรรม เรื่องการป่วยของหลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ ว่า ในปี พ.ศ. 2549 หลวงพ่อป่วยหนักเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการหนักจนต้องรักษาในห้องไอซียู เพราะก้อนมะเร็งทำให้คอบวมเกือบเท่าหน้า และกดหลอดลมจนหายใจไม่สะดวก แต่หลวงพ่อกลับไม่แสดงอาการทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
ขณะที่ญาติโยมทั้งหลายตกใจ พยายามจะปลอบท่าน ท่านกลับเป็นฝ่ายปลอบญาติโยมว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหา
ต่อมาหมอตรวจพบก้อนเนื้อในตับอ่อนอีก ท่านรู้สึกเจ็บมาก แต่ไม่ร้องสักแอะ หมอถามท่านว่า “รู้สึกเจ็บกี่เปอร์เซ็นต์?” หลวงพ่อคำเขียนตอบว่า “เกินร้อย”
พยาบาลถามว่า “ทำไมไม่ร้อง?”
ท่านตอบว่า “ปวดแล้วจะร้องอีกทำไมให้ขาดทุน”
ท่านพูดต่ออีกว่า “อาการเอาไว้ดู ไม่ได้เอาไว้เป็น”
ก็คือหลักที่หลวงพ่อสอนศิษย์มาโดยตลอด คือมีสติรู้กายรู้ใจ ท่านว่า “เห็น อย่าเข้าไปเป็น”
นั่นคือรู้ แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับมัน ดังนี้แม้ท่านจะต้องเจ็บปวดทางกายซึ่งเป็นผลมาจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดและการฉายแสง แต่ไม่ทุกข์ร้อน
เพราะความทุกข์เกิดจากความคิด ปรุงแต่งเป็นทุกข์ เมื่อไม่ปรุงแต่งเสียอย่าง ก็ไม่เกิดทุกข์
หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ ผ่านการรักษานานแปดเดือน เข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาล ท่านพูดหลังออกจากโรงพยาบาลว่า “สนุกป่วยเกือบปี”
หากจัดอันดับตามมาตรฐานของคนทั่วไป อาการป่วยของหลวงพ่อคำเขียนไม่ใช่ระดับ CCC แต่คือ DDD หรือ FFF เลวร้ายมาก แต่เมื่อจิตไม่ปรุงแต่งโรคภัยว่าเป็นทุกข์ ก็อยู่ได้โดยไม่ทุกข์ร้อน
เราคนธรรมดาที่ไม่ค่อยหรือไม่เคยฝึกจิต อาจรู้สึกว่ามันเกินความสามารถของเรา แต่หากไม่เริ่มฝึกจิตเตรียมพร้อม เราอาจผ่านไม่พ้นด่าน CCC อย่าว่าแต่ FFF
บางทีทางแรกคืออย่ายึดมั่นถือมั่นว่า ท่อนใดในชีวิตเป็น AAA หรือ BBB หรือ CCC
เมื่อไร้การยึดมั่น ก็ไร้มาตรวัด เมื่อไร้มาตรวัด ความไม่สนุกหรือไม่สบายกายก็เป็นแค่เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ
วินทร์ เลียววาริณ
12-6-25
...................
จากเหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/187/เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
Shopee https://s.shopee.co.th/60Bx1VKarm
Shopee โปรโมชั่นคู่กับยุทธจักรวาลกิมย้ง https://s.shopee.co.th/6pl417244u1 วันที่ผ่านมา -
ตอนที่ผมได้รับรางวัลซีไรต์ครั้งแรกในปี 2540 นักเขียนนิยายจารกรรมชื่อก้องโลก เฟรเดอริก ฟอร์ไซธ์ (Frederick Forsyth) มาพูดในงานมอบรางวัลที่กรุงเทพฯ เขาเล่าถึงวิธีการทำงานของเขาว่า วันๆ เขาไม่ค่อยได้เขียนอะไร เดินไปเดินมารอบบ้าน จนลูกถาม "ทำไมพ่อไม่ทำงาน? เดินไปเดินมาอยู่นั่นแหละ"
ฟอร์ไซธ์ตอบว่า "พ่อก็กำลังทำงานไง"
"แต่ไม่เห็นนั่งที่โต๊ะทำงาน เดินไปเดินมาทั้งวัน"
ฟอร์ไซธ์บอกว่า "ตอนเดินพ่อกำลังคิดพล็อตอยู่โว้ย!"
คืนนั้นผมบอกฟอร์ไซธ์ว่า ผมอ่านหนังสือของเขาทุกเล่ม เขาตอบแบบสุภาพบุรุษอังกฤษว่า "You are very kind."
ใช่ ผมอ่านงานของฟอร์ไซธ์มาตั้งแต่ The Day of the Jackal (วันลอบสังหาร) ตามมาด้วย The Odessa File (ตามล่านาซี) หลังจากนั้นก็อ่านจากต้นฉบับภาษาอังกฤษมาโดยตลอด
จุดเด่นของฟอร์ไซธ์คือรีเสิร์ชลึก ไม่มีมั่ว ไม่มี copy and paste เช่น ในเรื่องวันลอบสังหาร เขารีเสิร์ชสภาพดินฟ้าอากาศในวันที่คนร้ายลงมือ
นี่ทำให้ตอนผมเขียน น้ำเงินแท้ ต้องรีเสิร์ชสภาพอากาศวันที่ 24 มิถุนายน 2475
ฟอร์ไซธ์เป็นนักเล่าเรื่อง (storyteller) และเล่าอย่างสมจริง เขาชี้ให้เห็นว่า การเป็นนักเขียนดีคือต้องทำงานหนัก รีเสิร์ชแน่น พล็อตดี สาระดี และเดินนำหน้าคนอ่านสักหนึ่งก้าว
เช่นเดียวกับการศึกษางานของกิมย้ง ผมก็เรียนรู้วิธีเขียนจากงานของฟอร์ไซธ์ งานนวนิยายของผมได้รับบทเรียนการทำงานของเขามาไม่มากก็น้อย คนทำงานศิลปะด้วยกันย่อมแลเห็นคุณค่าของความยากลำบากในงานแต่ละชิ้น อักษรแต่ละอักษร คำแต่ละคำ
ในโลกน้ำหมึก ไม่มีเส้นพรมแดน ไม่มีเชื้อชาติ มีแต่อิสรภาพของงานศิลปะ
RIP ญาติน้ำหมึกต่างแดน
วินทร์ เลียววาริณ
11-6-251 วันที่ผ่านมา -
นักฟิสิกส์บางคนเสนอทฤษฎีว่า เวลาในจักรวาลเป็นภาพลวงตา แต่ละเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นเอกเทศ เหมือนเฟรมหนัง แต่ละเฟรมเป็นอิสระจากกัน แต่สามัญสำนึกของมนุษย์ไปโยงเฟรมทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นภาพยนตร์ต่อเนื่อง กลายเป็นภาพลวงตาของลูกศรแห่งเวลา (arrow of time)
ไม่ว่านี่เป็นทฤษฎีหลุดโลก หรืออาจเป็นจริง เราก็ใช้ชีวิตอยู่ในเวลา
แต่เราสามารถอยู่ในเวลาได้เฉพาะขณะจิตนี้ หรือปัจจุบัน
เราอยู่ในขณะจิตนี้ ไม่ใช่ขณะจิตก่อน ไม่ใช่ขณะจิตหน้า
ที่เหลือเป็นภาพไม่จริง อดีตไม่มีตัวตนแล้ว อนาคตก็ไม่มี
ดังนั้นการคิดเรื่องฟุ้งซ่านในอดีตและการวิตกเรื่องอนาคต ก็เป็นแค่การฝันไปเอง
และการใช้ชีวิต ณ ปัจจุบันขณะไปกับอดีตและอนาคต จึงเป็นการทำลายเวลาปัจจุบันไปเปล่าๆ เหมือนมีไอติมอยู่ในมือ ปล่อยให้มันละลายไปโดยไม่กิน
เสียดายจัง
วินทร์ เลียววาริณ
11-6-25(ภาพวาดโดย วินทร์ เลียววาริณ)
1 วันที่ผ่านมา