• วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    ผมเรียนจบสถาปัตย์มา ไปทำงานสายอื่นหลายสาย บางคนอาจเห็นว่า "เสียของ"

    หลายปีหลังจากที่ผมเปลี่ยนสายงานจากวงการสถาปัตยกรรมไปทำงานโฆษณา ฝรั่งคนหนึ่งบอกผมว่า "น่าเสียดายความรู้ที่คุณเรียนมาจัง"

    น่าเสียดายที่เรียนมาอย่างหนึ่ง แต่ไปทำงานอีกอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะงานโฆษณา งานรับใช้นายทุนที่กรอกหัวคนด้วยการตลาดแบบกำไรสูงสุด

    คนจำนวนมากมีกรอบคิดว่า เราเรียนอะไรมาก็ควรทำสายอาชีพนั้น ด้วยเหตุผลว่า เป็นการเสียทรัพยากร เสียภาษีรัฐที่ช่วยส่งเสียให้เรียนจบ เสียเวลา ฯลฯ หลายคนจึงทนทำงานที่ตนเองไม่ชอบอยู่จนวันสุดท้ายของชีวิต

    ทว่าหากมองด้วยมุมมองนี้ เราจะตอบคำถามเรื่องคนเรียนจบกฎหมายแล้วทำงานด้านกฎหมายตรงตามที่เรียน แต่ไปรับใช้อาชญากรหรือนักการเมืองสกปรกอย่างไร เพราะเสียทรัพยากร เสียภาษีรัฐเหมือนกัน

    ผมเชื่อว่า มนุษย์เรามีเสรีภาพที่จะเลือก (อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง) คนเราควรก้าวเดินไปตามทางที่พึงใจ มิใช่เพราะเรียนมาอย่างหนึ่งก็ต้องทากาวแปะตัวเองติดอยู่กับมันทั้งชีวิต มิใช่เพราะเกิดมาในสถานะหนึ่ง ก็ต้องยึดติดกับสถานะนั้นไปจนวันตาย

    ผมจึงไม่ต่อต้านที่คนเรียนจบวิศวฯไปขายยา จบพยาบาลไปเป็นแอร์โฮสเตส จบหมอไปเป็นนักเขียน เพราะคนจำนวนมากตอนเลือกเรียนมหาวิทยาลัย ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร

    คนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็อาจเปลี่ยนใจได้ เมื่อเจอชีวิตจริง

    ชีวิตก็คือการปรับตัว เคลื่อนไปตามสายน้ำ ไม่ต้องตามค่านิยมมากเกินไปจนไม่มีความสุข แต่ก็ยอมอดทนที่จะไม่มีความสุข

    กลับมาที่ชีวิตของผมเอง หากถามว่าเสียของหรือเปล่า ผมตอบได้ว่าไม่เสียของ ผมเรียนรู้วิธีคิดแบบศาสตร์ผสานศิลป์มาตั้งแต่แรก และใช้หลักการนี้ในทุกสายงานที่เปลี่ยน ผลลัพธ์อาจต่างกัน แต่กระบวนการทำงานเหมือนกัน

    บรรทัดสุดท้ายก็คงต้องถามผู้อ่านว่า อยากให้ผมออกแบบตึกหรือว่าเขียนหนังสือล่ะ

    วินทร์ เลียววาริณ
    20-6-25

    0
    • 0 แชร์
    • 10

บทความล่าสุด