-
วินทร์ เลียววาริณ2 เดือนที่ผ่านมา
วันก่อนผู้อ่านถามถึงความแตกต่างระหว่างคำว่ามุมมองกับทัศนคติ เรามักใช้แทนกัน
ความจริงความหมายมันก็อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ทั้งสองคำก็คือมุมมอง
อีกคำหนึ่งคือ perception สามคำนี้ไม่เหมือนกัน
สามคำนี้อยู่ในกลุ่มการมองเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน
perception หมายถึงสิ่งที่เรามองเห็น หรือคิดจากสิ่งที่เห็น ยกตัวอย่าง เช่น รัฐมนตรี ก. ทำงานดีมาก แต่ perception ของคนคือเขาทำงานดีเพื่อเอาหน้า เขาอาจทำดีจริงๆ ก็ได้ แต่คนมองเห็นว่าเอาหน้า สิ่งที่คนมองนั่นคือ perception
จึงอาจแปลว่า "Perception is what you see."
เวลาเราทำดี ในใจเรามีความคิดกุศล perception ของคนอื่นอาจมองตรงข้าม
สำหรับคนจำนวนมาก อาจไม่แยแสว่าคนอื่นคิดอะไรกับตน คิดว่าตนบริสุทธิ์ใจก็พอแล้ว แต่หากทำธุรกิจหรือการงานอื่น perception ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจนั้นไปได้ไกลหรือไม่
เพราะมันไม่สำคัญว่าเราทำอะไร แต่อยู่ที่คนอื่นเข้าใจว่าอะไร
สำหรับมุมมอง (viewpoint หรือ perspective) คือตำแหน่งที่มอง ยกตัวอย่าง เช่น มองบ้านเก่าหลังหนึ่ง มันสามารถมองได้จากหลายมุม เช่น มุมของคนภายนอก หรือมองจากมุมของคนที่อยู่อาศัย
มองต่างมุม perception ก็ต่างกัน สมองก็แปลความหมายต่างกัน
ก็มาถึงคำที่สำคัญที่สุดคือทัศนคติ (attitude)
ทัศนคติคือผลจากการปรุงความคิดเรา เช่น เรามองบ้านเก่าแล้วเห็นว่าคนในบ้านยากจน ลำบาก ชีวิตลำเค็ญ เรามองว่าความลำบากคือเรื่องเลวร้าย เคราะห์ร้าย กรรมเก่า
แต่คนในบ้านอาจมองว่ามันคือความอบอุ่น เพราะพ่อแม่ของเขายอมอยู่ในบ้านเก่าทั้งชีวิตเพื่อให้การศึกษาลูก นอกจากนี้ชีวิตลำบากทำให้เขาไต่ขึ้นที่สูงสำเร็จ
ทัศนคติของคนในบ้านจึงตรงข้าม คือเห็นว่าความลำบากเป็นเรื่องดีงาม
จะเห็นว่าในเรื่องเดียวกัน มุมมองต่างกัน ก็อาจได้รับทัศนคติต่างกัน แต่มันก็ขึ้นการการศึกษา การเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม ฯลฯ ด้วยที่ทำให้คนคนหนึ่งมีทัศนคติแบบหนึ่ง
ทัศนคติจึงสำคัญกว่าทุกอย่าง เพราะหากใครคนหนึ่งมีทัศนคติที่ดี ชีวิตมีโอกาสสูงที่จะมีความสุข
เราคงเคยได้ยินมาก่อนว่า ชีวิตคือ 10 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา และ 90 เปอร์เซ็นต์ของปฏิกิริยาของเราต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ปฏิกิริยานี้ก็คือทัศนคติ
จะมีทัศนคติดีส่วนหนึ่งอาจมาจากสภาพแวดล้อม แต่อีกส่วนหนึ่งอาจฝึกได้
ฝึกมองโลกในมุมบวก มันยากกว่ามองโลกในแง่ลบ แต่มันเป็นหนทางเดียวที่ทำให้เรามองหาทางเลือกในชีวิตมากขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น เราประสบเหตุการณ์หนึ่ง ถ้าเราบอกว่า "มันแก้ไม่ได้" โอกาสแก้ปัญหานั้นก็เท่ากับศูนย์ทันที
แต่หากเรามองว่า "มันอาจมีทางแก้" โอกาสแก้ปัญหานั้นก็ไม่ใช่ศูนย์แล้ว อาจเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นกับความสามารถและประสบการณ์ของเรา 5 เปอร์เซ็นต์นี้ไม่มีวันเกิดขึ้นหากเรามีทัศนคติลบแต่แรก
เมื่อเรามองเห็นทางเลือกมากขึ้น ก็มีโอกาสมีความสุขมากขึ้น ง่ายๆ เช่นนั้น
วินทร์ เลียววาริณ
5-7-251- แชร์
- 40
-
คนจำนวนมากมองเรื่องร้าย ๆ เป็นชะตากรรม เมื่ออยู่ในบ่อโคลน ก็ยอมรับชะตากรรมโดยดุษณี แล้วปลอบใจตัวเองว่า กำลังใช้หนี้กรรมเก่าจากชาติปางก่อนอยู่ หมดกรรมชาตินี้แล้ว ชาติหน้าจะสบาย
แต่คำถามคือหากชาตินี้ไม่ทำอะไร ชาติหน้าจะดีขึ้นได้อย่างไร หรือต้องรออีกกี่ชาติจึงจะใช้หนี้หมด?
หลายเรื่องในชีวิตกำหนดไม่ได้ เช่น ชาติกำเนิด เราเลือกที่เกิดและพันธุกรรมไม่ได้ เราเลือกพ่อแม่ไม่ได้ เลือกตำบลและจังหวัดเกิดไม่ได้ เลือกฐานะไม่ได้ แต่มันไม่ใช่คำสั่งประหาร
‘วาสนา’ ของชาติกำเนิดมองได้สองมุม เกิดในตระกูลร่ำรวย คาบช้อนเงินช้อนทอง อาจเป็นเรื่องดี แต่ก็อาจเป็นเรื่องร้าย หากมันทำลายคนผู้นั้นให้เป็นคนหยิบโหย่ง เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
ในทางตรงกันข้าม การเกิดในตระกูลต่ำต้อยก็อาจกระตุ้นให้มุ่งมั่นฝืนสิ่งที่ถูกกำหนด ก้าวขึ้นจากบ่อโคลนขึ้นที่สูงได้
นี่แปลว่า วาสนาอาจเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเองได้ อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง เริ่มที่เชื่อว่าเราเปลี่ยนชีวิตเราให้ดีขึ้นได้
ชีวิตเราก็เป็นเช่นภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เราเป็นผู้เขียนบท และผู้กำกับ หนังชีวิตของเราเอง เราต้องสร้างเอง
เราสามารถเลือกเป็นหนังแบบใดก็ได้ หนังรัก หนังครอบครัว หนังเศร้า หนังเครียด หนังผจญภัย หรือรวมทุกอย่าง
แม้เป็นหนังทุนต่ำ ก็สร้างให้ดีได้ ขึ้นกับบทและการกำกับ
วินทร์ เลียววาริณ
10-9-25จาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/187/เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า0 วันที่ผ่านมา -
ข่าวอดีตนายกฯถูกศาลพิพากษาจำคุกในวันนี้ ไม่ใช่ประเด็นที่จะคุย แต่ที่เขียนถึงเรื่องนี้เพราะมีคนให้ข้อมูลว่า นี่เป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่นายกฯเข้าคุก
ข้อมูลนี้ไม่จริง นายกฯคนแรกที่เข้าคุกคือจอมพล ป. พิบูลสงคราม ข้อหาอาชญากรสงคราม
จอมพล ป. เป็นผู้นำประเทศเมื่อไทยประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร หลังจากสงครามมหาเอเซียบูรพายุติ ญี่ปุ่นแพ้สงคราม ก็ถึงเวลาคิดบัญชี
เวลาตี่สี่ วันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ทหารหลายคนนำโดย พ.ท. จำรัส รุ่งแสง ไปเคาะประตูบ้านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่หลักสี่ ผู้เปิดประตูคือ ร.อ. อนันต์ พิบูลสงคราม บุตรชายอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ขอเวลาหน่อยนะ คุณพ่อยังไม่ตื่น รอให้ท่านตื่นก่อนเถอะ แล้วค่อยเอาตัวไป”
ไม่นานนัก จอมพล ป. ตื่นนอน และได้รับแจ้ง ก็กล่าวว่า
“อ้อ! เขามากันแล้วหรือ พ่อก็พร้อมแล้วเหมือนกัน”
นายทหารบกคนที่มาเชิญตัวคุกเข่ากราบจอมพล ป. น้ำตาคลอ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ผมทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาเท่านั้น”
จอมพล ป. พยักหน้าแสดงความเข้าใจ
ก่อนฟ้าสาง ประสงค์ พิบูลสงคราม ลูกชายคนที่สองก็ขับรถพาพ่อ ตามหลังรถทหารไป
จอมพล ป. ติดคุกอยู่ ๑๕๙ วันก็เป็นอิสระ
ในวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ศาลฎีกาคดีอาชญากรสงคราม พิพากษาให้ยกฟ้อง ปล่อยจำเลยทั้งหมดพ้นข้อหาไป เหตุผลคือพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พุทธศักราช ๒๔๘๘ ที่บัญญัติย้อนหลังให้การกระทำความผิดก่อนวันที่ใช้พระราชบัญญัติเป็นความผิด ขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๔ และเป็นโมฆะตามมาตรา ๖๑
นักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญการเมืองไทยหลายคนวิเคราะห์ว่า ผู้ที่วางแผนช่วยเหลือจอมพล ป. ก็คือ ปรีดี พนมยงค์ นั่นเอง ด้วยแผนที่ออกแบบมาอย่างชาญฉลาด ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ข้อหนึ่ง การออกกฎหมายอาชญากรสงครามทำให้คนไทยไม่ถูกส่งไปดำเนินคดีในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้เสียเปรียบในการเจรจาหลังสงคราม เท่ากับยอมรับว่าไทยเป็นประเทศแพ้สงคราม
ข้อสอง เป็นการช่วยเหลือจอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้พ้นโทษอย่างละมุนละม่อม
นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่า ไม่ว่าจะเห็นต่างทางการเมืองอย่างไร จอมพล ป. พิบูลสงคราม และ ปรีดี พนมยงค์ ก็เป็นเพื่อนร่วมตายมาแต่ครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากนี้ผู้ต้องหาคดีอาชญากรสงครามก็ล้วนเป็นคนรู้จักกันทั้งนั้น
หนึ่งปีถัดมา กลุ่มจอมพล ป. ก็ก่อรัฐประหาร จอมพล ป. หวนคืนสู่อำนาจสูงสุด คราวนี้อยู่ยาวไปสิบปี ก่อนถูกรุ่นน้องจอมพลสฤษดิ์โค่น หนีไปลี้ภัยที่ญี่ปุ่น .......................
สองกรณีนี้คือคุกทางกายภาพหากนับคุกทางใจด้วย เพราะการลี้ภัยก็คือการติดคุกชนิดหนึ่ง ก็มีนายกฯไทยมากกว่าสองคนที่เข้าข่ายนี้
คนแรกคือพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ถูกหลวงพิบูลสงคราม (จอมพล ป.) และพวก ขับออกไปในปี ๒๔๗๖ และตายในต่างแดน
ปรีดี พนมยงค์ ก็ถูกกลุ่มจอมพล ป. ขับ ต้องลี้ภัย และตายในต่างแดน
จอมพล ถนอม กิตติขจร ลี้ภัยต่างแดน แต่ยังได้กลับมาตายบ้าน
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังลี้ภัยอยู่ต่างแดน
ดังนั้นตามประวัติศาสตร์ ก็มีนายกฯสองคนที่โดนทั้งคุกทางกายและทางใจ
ประวัติศาสตร์โลกบอกว่า คนที่มีอำนาจสูงสุด ตกสูงกว่า
วินทร์ เลียววาริณ
๙-๙-๒๕๖๘
อ่านรายละเอียดทั้งหมดและเกร็ดประวัติศาสตร์ไทยอื่นๆ ได้จาก ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม 1-5 (5 เล่ม)
สั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6
1 วันที่ผ่านมา -
ความจริงจะไม่คุยเรื่องนี้ แต่เห็นผู้นำของสหภาพยุโรปออกมาให้ข้อมูลที่เจตนาบิดเบือน จึงต้องพูด
เรื่องเริ่มมาจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เมืองจีนจัดงานใหญ่ Shanghai Cooperation Organization (SCO) Summit 2025 ไฮไลท์ของงานคือการพบกับระหว่างสีจิ้นผิงแห่งจีน ปูตินแห่งรัสเซีย โมดีแห่งอินเดีย
เจตนาหนึ่งเพื่อจัดงานรำลึกครบ 80 ปีของชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง
แต่เจตนาสำคัญน่าจะเป็นการบอกโลกว่า จีนกำลังจัดระเบียบโลกใหม่ (new world order)
แน่นอนสหรัฐฯไม่ยินดีกับกิจกรรมนี้
ทรัมป์เขียนอวยพรแบบประชดประชันว่า "Looks like we've lost India and Russia to deepest, darkest, China. May they have a long and prosperous future together!"
(ดูเหมือนเราสูญเสียอินเดียกับรัสเซียแก่จีนที่อยู่ในด้านมืดลึกสุด ขอให้พวกเขาประสบอนาคตที่แสนจะยั่งยืนและมั่งคั่งด้วยกันเทอญ!) (เครื่องหมาย ! แปลว่ากูกำลังแดกดันอยู่นะ)
ไม่น่าเชื่อว่าการทูตแดกดันจะมาจากประเทศศิวิไลซ์ตะวันตกที่เจริญแล้ว!
สหภาพยุโรปก็ไม่น้อยหน้า Kaja Kallas ตำแหน่ง High Representative of the European Union for Foreign Affairs and Security Policy ออกมาบอกว่า คนสมัยนี้ไม่อ่านหนังสือ ไม่อ่านประวัติศาสตร์ จึงไม่รู้ว่าจีนกับรัสเซียไม่ได้มีส่วนอะไรที่ช่วยชนะสงครามโลกอย่างที่เคลม
คำกล่าวว่า "คนสมัยนี้ไม่อ่านหนังสือ ไม่อ่านประวัติศาสตร์" ทำให้ข้อความนี้ดูน่าเชื่อถือขึ้นมาทันที แต่มันจริงหรือไม่ ก็ต้องพิสูจน์ตามหลักฐาน
ข้อมูลประวัติศาสตร์โดยเฉพาะฝ่ายตะวันตกยืนยันว่า ในสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศที่สูญเสียคนต่อสู้กับนาซีและญี่ปุ่นมากที่สุดคือโซเวียต เสียคนไป 27 ล้านคน
โซเวียตทำลายกองทัพนาซีมากกว่าฝ่ายตะวันตกเสียอีก โดยเฉพาะสงครามที่สตาลินกราด ซึ่งเป็นการรบที่รุนแรงโหดเหี้ยมที่สุด อาจจะตลอดประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โซเวียตตายไป 1-2 ล้านคน แต่เปลี่ยนทิศทางของสงคราม
(มีหนังเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับสงครามที่สตาลินกราด คือ Enemy at the Gates จะฉายที่ Netflix อีกไม่กี่วันเท่านั้น จะดูก็ต้องรีบ)
จีนเสียคนไปกับการสู้ญี่ปุ่นราว 20 ล้านคน และจีนสู้ตลอด ขณะที่ฝรั่งเศสยอมแพ้นาซี
ทั้งสองประเทศนี้สูญเสียคนไปมากกว่าสหรัฐฯและยุโรปหลายสิบเท่า ไม่เช่นนั้นโซเวียตกับจีนจะได้ที่นั่งถาวรในสหประชาชาติและมีอำนาจวีโตหรือ
นี่บอกว่าตัวแทนอียูต่างหากที่ไม่ได้อ่านหนังสือ ไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งหมดนี้เป็นแค่อคติที่เกิดขึ้นเมื่อเห็นระเบียบโลกเก่ากำลังถูกท้าทาย
ชาวยุโรปจำนวนหนึ่งยังมุดหัวอยู่ในกรอบคิดว่า ตนยังอยู่ในโหมดนักล่าอาณานิคมเมื่อ 100-200 ปีก่อน เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
จะว่าไปแล้ว ภาพการจับมือกันของจีนกับอินเดียที่เป็นศัตรูกัน ไม่มีทางเกิดขึ้นได้หากมิใช่ทรัมป์ช่วยหนุน โดยกระทืบทั้งจีนและอินเดีย ทำให้ทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน
บางทีโลกใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโลกเก่ากำลังเสื่อมสลาย แต่เพราะโลกเก่าไม่สามารถยอมรับสัจธรรมของความเปลี่ยนแปลง
วินทร์ เลียววาริณ
9 กันยายน 2568(ภาพจาก Reuters)
1 วันที่ผ่านมา -
สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากการฝึกเขียนหนังสือคือ หากเราตัดข้อความใดข้อความหนึ่งออกไปแล้ว ยังอ่านรู้เรื่อง ก็แสดงว่าข้อความนั้นเป็นส่วนเกิน เป็นแค่สิ่งประดับ
หลักนี้ใช้กับชีวิตได้เช่นกัน ว่าง ๆ เราก็ควรพิจารณาดูสิ่งของรอบตัวเรา แล้วถามตัวเองว่า ถ้าเอามันออกไปจากชีวิตแล้ว เรายังดำรงอยู่ได้หรือไม่ ถ้าได้ก็แสดงว่ามันเป็นแค่เครื่องประดับ
ชีวิตที่พอเพียงเท่าที่จำเป็น ใช้ชีวิตตามหน้าที่ใช้สอย ก็งดงามได้
วิธีคิดแบบนี้เรียกว่า Minimalism ใช้ได้ทั้งร่างกาย ไปจนถึงวิถีชีวิต
กำหนดขนาดของชีวิตด้วยตัวเอง ด้วยความพอดี
เราจะใช้ชีวิตแบบ ‘ไขมันเกาะหนา’ หรือ ‘ไขมันน้อย’ ก็แล้วแต่เรา เพียงแต่เมื่อ ‘ไขมัน’ น้อย ก็อาจคล่องตัว ทะมัดทะแมงกว่า
เคยสังเกตไหมว่าขณะที่ไดโนเสาร์ตัวใหญ่ยักษ์ หัวของมันกลับเล็กมาก เมื่อเทียบกับลำตัว
เมื่ออุกกาบาตถล่มโลกจนอยู่ลำบาก สัตว์ใหญ่แข็งแกร่งอย่างไดโนเสาร์กลับตายก่อน สัตว์เล็กรอดมาได้
บางทีธรรมชาติสอนเราว่า ความเล็กปลอดภัยกว่าความใหญ่
วินทร์ เลียววาริณ
9-9-25จาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/187/เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า1 วันที่ผ่านมา -
ลองจินตนาการว่าคุณอยู่ในช่วงไม่กี่นาทีสุดท้ายของชีวิต คุณกำลังจะตาย หายใจแผ่วลง ๆ เมื่อหมดลม ชีวิตคุณก็ดับสิ้น ลองจินตนาการต่อไปว่าคุณยังสามารถเห็นโลกหลังคุณตาย คุณเห็นตัวคุณจบบทบาทชีวิตในโลกนี้เพียงเท่านี้ แต่โลกยังคงหมุนต่อไป ไม่กี่ปีต่อมา คนส่วนใหญ่ลืมคุณไปแล้ว ยี่สิบปีผ่านไป อาจไม่มีใครสักคนบนโลกที่เคยรับรู้การดำรงอยู่ของคุณมาก่อน หนึ่งร้อยปีต่อมา คุณหายไปจากโลกตลอดกาล ราวกับคุณไม่เคยมีตัวตนอยู่ในโลกนี้ มันทำให้คิดและถามว่า อะไรคือความหมายของชีวิต ทำงานมาทั้งชีวิตเพื่ออะไรจริง ๆ ชีวิตมีแค่นี้เองหรือ?
เมื่อผมผ่านอายุเลข 60 อย่างเงียบ ๆ พร้อมกับเพื่อน ๆ หลายคนที่เกษียณไปตามระบบ แล้วเลข 7 ก็ใกล้เข้ามา ทันใดนั้นเราก็พบว่าตนเองยืนอยู่ระหว่างชีวิตที่เหลือกับความตายที่อาจอยู่ไม่ห่างไกล หลายคนในสถานะนี้เกิดอาการหลงทาง ยืนอยู่ระหว่างความหงอยเหงากับความหมายของชีวิต
คนจำนวนมากเป็นอย่างนี้ ก้มหน้าก้มตาหายใจ ทำงาน ทีละวัน ผ่านไป 35-40 ปี เรือชีวิตก็ปลดระวางเพราะสภาพเก่าพร้อมจมได้ทุกเมื่อ รู้สึกตัวอีกที ก็เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว บางคนเพิ่งเริ่มเงยหน้ามองโลกจริง ๆ เป็นครั้งแรกในวันเกษียณ ถ้าไม่รู้จักเตรียมใจแต่แรก รู้สึกหลงทาง งงว่าจะไปทางไหนดี อาจจะรู้สึกตกใจก็ได้
ทางพุทธสอนให้ตามทันชีวิต รู้ทันความเปลี่ยนแปลง และยอมรับความเปลี่ยนแปลง จึงไม่เกิดทุกข์
ถ้าตามโลกไม่ทัน ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ตรวจสอบตัวเอง เมื่อเดินทางถึงหลักไมล์ท้าย ๆ ของชีวิต อาจปรับตัวไม่ทัน
เราไม่รู้ว่าเมื่อใดเราจะยุติบทบาทบนโลกนี้ มันอาจเป็นชั่วโมงหน้า อาจเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ดังนั้นหากจะคิดเรื่องนี้ ก็ทำตอนนี้
ไม่ว่าจะเป็นคนเกษียณหรือคนหนุ่มสาว ก็ควรตอบคำถามว่า เราใช้ชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมาคุ้มค่าไหม
บางทีการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าไม่มีกติกาตายตัว มันขึ้นกับความพอใจ
พอใจก็คุ้มค่า
แต่ถ้ามิเพียงตนเองพอใจ ยังสามารถทำให้คนอื่นพอใจด้วย ก็ยิ่งคุ้มค่าขึ้นไปอีก
‘คุ้มค่า’ หมายถึงใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ มีความหมายและหรือมีความสุข
หลายคนอาจเห็นด้วยกับคำของนักแต่งเพลง นีล ยัง ว่า “เผาสิ้นฉับพลันดีกว่าค่อย ๆ เลือนจากไป”
โก้วเล้งเขียนว่า ใช้ชีวิตแบบจุดเทียนสองปลาย อายุสั้นไม่ใช่ปัญหา ความสว่างของชีวิตต่างหากที่สำคัญกว่า
เราอาจไม่ต้องการมีชีวิตเกินหนึ่งร้อยปี แต่หากใช้ชีวิตดีพอ เมื่อเราจากโลกไป ก็สมควรเป็นเรื่องเฉลิมฉลอง
วินทร์ เลียววาริณ
8-9-25จาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/187/เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า2 วันที่ผ่านมา