• วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    แอริค วีเลนไมเยอร์ เกิดมาพร้อมโรค Retinoschisis ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมหายากที่ทำให้เขาตาบอดตอนอายุสิบสาม พ่อของเขารู้ดีว่าลูกชายไม่มีวันหนีพ้นสภาพตาบอดแน่นอน และเตรียมตัวรับมือมันเนิ่น  ๆ พ่อว่า "สิ่งที่แย่ที่สุดที่คุณทำคือการเลี้ยงเด็กตาบอดแบบไข่ในหิน" ดังนั้นพ่อจึงส่งเสริมให้เขากล้าลองสิ่งใหม่ ๆ ยาก ๆ กล้าเสี่ยงในสิ่งที่พอรับมือได้

    ก่อนอายุสิบสาม ภาพรอบตัวของเขาเริ่มหายไปทีละสิ่ง ทางเดิน ตัวหนังสือ ทุกอย่างค่อย ๆ เลือนหายไป วันหนึ่งเขาเดินตกลงไปในหนองน้ำ และรู้ตัวว่าเขากลายเป็นคนตาบอดแล้ว

    แอริคไม่มีทางเลือกนอกจากจะเริ่มเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการเป็นคนตาบอด แทนที่จะครุ่นคิดในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ เขาหันไปเพ่งกับสิ่งที่เขาทำได้ แม้ชีวิตจะไม่มีวันเหมือนเดิม แต่ทัศนคติที่ว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นการผจญภัยอีกครั้ง เป็นสิ่งที่เขาต้องมีก่อนที่จะดำเนินชีวิตต่อไปได้ เขาเลือกทาง 'น้ำเต็มครึ่งแก้ว' แทนที่จะเป็น 'น้ำพร่องครึ่งแก้ว'

    หลังแม่ตาย ครอบครัวของเขาไปเดินป่าในเปรู แอริคเดินป่าระยะทาง 27 ไมล์โดยใช้ไม้เท้า และติดใจการผจญภัยในป่าแต่นั้นมา ต่อมาพวกเขาก็เดินท่องสเปน ปากีสถาน ปาปัวนิวกินี การเดินป่าด้วยกัน เป็นทางหนึ่งที่ช่วยยึดครอบครัวที่ไม่มีแม่เข้าด้วยกัน  ผ่านมาหลายปี ชายตาบอดก็ออกเดินทางไปปีนเขาที่สูงที่สุดในโลก - เอเวอเรสต์

    ความจริงการป่ายปีนขึ้นเอเวอเรสต์ครั้งนี้เป็นทั้งเรื่องส่วนตัวและส่วนรวม  องค์กรสหพันธ์คนตาบอดแห่งชาติอยากจะประชาสัมพันธ์ให้คนในประเทศรู้ว่า 70% ของคนตาบอดในอเมริกาว่างงาน แอริคเข้าใจความขมขื่นและอุปสรรคของคนตาบอด จึงยินดีเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ แต่บางทีเขาอาจพิสูจน์ว่ากำลังใจมนุษย์อยู่เหนือความทุพพลภาพ

    แอริค วีเลนไมเยอร์ ยืนอยู่ระหว่างกลางแผ่นดินกับสวรรค์ เขามองไม่เห็นอะไร แต่สัมผัสความเวิ้งว้าง ความเย็นเยือกของอากาศรอบตัว และเสียงแห่งภูผา เขานึกถึงอุปสรรคมากมายที่เขาฟันฝ่ากว่าจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้ และมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ไกลออกไป

    หลายคนถามเขา "ทำไมถึงปีนเขาในเมื่อคุณมองไม่เห็นอะไรเลย?" เขาบอกว่า "คุณไม่ได้ปีนเขาเพื่อดูวิว ไม่มีใครทรมานตัวเองบากบั่นปานนี้เพื่อขึ้นไปดูวิว ความสวยงามที่แท้จริงของชีวิตอยู่ที่ข้างภูเขา ไม่ใช่บนยอด"

    เขาเคยดิ่งพสุธาเดี่ยวมากว่าห้าสิบครั้ง เคยเป็นนักมวยปล้ำ วิ่งมาราธอน เป็นนักสกี นักดำน้ำ แต่คนตาบอดที่ปีนภูเขาที่สูงที่สุดในโลก? มันเป็นเรื่องตลก หลายคนว่าเป็นความบ้า ความโง่เง่าที่สุด

    นานหลายปีก่อนขึ้นเอเวอเรสต์ เขาเริ่มจากวิ่งขึ้นบันไดตึกสูงห้าสิบชั้นโดยแบกเป้หนัก 70 ปอนด์ที่หลัง เขาฝึกฝนอย่างหนักหน่วง หลังจากนั้นก็ไต่เขาทีละลูก ภูเขาแม็คคินลีย์ที่อะแลสกา ภูเขาอคอนคากัวที่อาร์เจนตินา ภูเขาวินสันที่แอนตาร์คติกา ภูเขาคิลิมันจาโรที่แทนซาเนีย

    อันตรายของการไต่ภูเขาแม็คคินลีย์คือพื้นหิมะบางที่บดบังหล่มลึกเบื้องล่าง ชายตาบอดใช้ไม้เท้าจิ้มหาความหนาของหิมะก่อนก้าวไปข้างหน้า เรียนรู้การสร้างถ้ำจากหิมะ ให้นักปีนเขานัยน์ตาดีที่เดินหน้าเขาแขวนกระดิ่งขนาดเล็ก ทำให้เขาสามารถตามทางไปได้โดยไม่พลาด ไม้เท้านี้ยังช่วย 'มอง' รอยเท้าที่นักเดินเขาก่อนหน้าเขาทิ้งไว้

    สันเขาที่แคบที่สุดของภูเขาแม็คคินลีย์กว้างเพียงไม่กี่ฟุต ด้านหนึ่งเป็นเหวลึกหนึ่งพันฟุต อีกด้านหนึ่งเป็นเหวลึกเก้าพันฟุต การเดินทางสำหรับคนตาดีนับว่ายาก มิพักเอ่ยถึงคนตาบอด การก้าวพลาดเพียงก้าวเดียวอาจหมายถึงความตาย แอริคผ่านด่านนั้นมาได้ และทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น

    ทัศนคติของเขาต่อการปีนเขาไม่ใช่เพื่อเอาชนะ แอริคบอกว่า "คุณไม่เอาชนะภูเขา คุณเป็นส่วนหนึ่งของมัน คุณปีนป่ายขึ้นไปเงียบ ๆ เมื่อมันหลับใหล ถ้าคุณไม่ยอมรับและทำตามกติกา คุณจะถูกมันบดขยี้ ผมชอบความคิดนี้ ผมชอบที่จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ใช่แปลกแยกจากมัน"

    วันที่  25 พฤษภาคม 2001 แอริค วีเลนไมเยอร์ เป็นคนตาบอดคนแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่ก้าวขึ้นไปถึงยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก

    แอริค วีเลนไมเยอร์ แสดงให้เราเห็นว่า "ไม่มีอะไรในโลกที่เป็นไปไม่ได้จริง ๆ"

    วินทร์ เลียววาริณ
    21-7-25

    จากหนังสือ ความฝันโง่ ๆ 
    (หนังสือหมดแล้ว และจะไม่ตีพิมพ์อีก)

    1
    • 0 แชร์
    • 15

บทความล่าสุด