-
วินทร์ เลียววาริณ0 วันที่ผ่านมา
สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากการฝึกเขียนหนังสือคือ หากเราตัดข้อความใดข้อความหนึ่งออกไปแล้ว ยังอ่านรู้เรื่อง ก็แสดงว่าข้อความนั้นเป็นส่วนเกิน เป็นแค่สิ่งประดับ
หลักนี้ใช้กับชีวิตได้เช่นกัน ว่าง ๆ เราก็ควรพิจารณาดูสิ่งของรอบตัวเรา แล้วถามตัวเองว่า ถ้าเอามันออกไปจากชีวิตแล้ว เรายังดำรงอยู่ได้หรือไม่ ถ้าได้ก็แสดงว่ามันเป็นแค่เครื่องประดับ
ชีวิตที่พอเพียงเท่าที่จำเป็น ใช้ชีวิตตามหน้าที่ใช้สอย ก็งดงามได้
วิธีคิดแบบนี้เรียกว่า Minimalism ใช้ได้ทั้งร่างกาย ไปจนถึงวิถีชีวิต
กำหนดขนาดของชีวิตด้วยตัวเอง ด้วยความพอดี
เราจะใช้ชีวิตแบบ ‘ไขมันเกาะหนา’ หรือ ‘ไขมันน้อย’ ก็แล้วแต่เรา เพียงแต่เมื่อ ‘ไขมัน’ น้อย ก็อาจคล่องตัว ทะมัดทะแมงกว่า
เคยสังเกตไหมว่าขณะที่ไดโนเสาร์ตัวใหญ่ยักษ์ หัวของมันกลับเล็กมาก เมื่อเทียบกับลำตัว
เมื่ออุกกาบาตถล่มโลกจนอยู่ลำบาก สัตว์ใหญ่แข็งแกร่งอย่างไดโนเสาร์กลับตายก่อน สัตว์เล็กรอดมาได้
บางทีธรรมชาติสอนเราว่า ความเล็กปลอดภัยกว่าความใหญ่
วินทร์ เลียววาริณ
9-9-25จาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/187/เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า1- แชร์
- 17
-
ข่าวอดีตนายกฯถูกศาลพิพากษาจำคุกในวันนี้ ไม่ใช่ประเด็นที่จะคุย แต่ที่เขียนถึงเรื่องนี้เพราะมีคนให้ข้อมูลว่า นี่เป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่นายกฯเข้าคุก
ข้อมูลนี้ไม่จริง นายกฯคนแรกที่เข้าคุกคือจอมพล ป. พิบูลสงคราม ข้อหาอาชญากรสงคราม
จอมพล ป. เป็นผู้นำประเทศเมื่อไทยประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร หลังจากสงครามมหาเอเซียบูรพายุติ ญี่ปุ่นแพ้สงคราม ก็ถึงเวลาคิดบัญชี
เวลาตี่สี่ วันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ทหารหลายคนนำโดย พ.ท. จำรัส รุ่งแสง ไปเคาะประตูบ้านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่หลักสี่ ผู้เปิดประตูคือ ร.อ. อนันต์ พิบูลสงคราม บุตรชายอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ขอเวลาหน่อยนะ คุณพ่อยังไม่ตื่น รอให้ท่านตื่นก่อนเถอะ แล้วค่อยเอาตัวไป”
ไม่นานนัก จอมพล ป. ตื่นนอน และได้รับแจ้ง ก็กล่าวว่า
“อ้อ! เขามากันแล้วหรือ พ่อก็พร้อมแล้วเหมือนกัน”
นายทหารบกคนที่มาเชิญตัวคุกเข่ากราบจอมพล ป. น้ำตาคลอ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ผมทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาเท่านั้น”
จอมพล ป. พยักหน้าแสดงความเข้าใจ
ก่อนฟ้าสาง ประสงค์ พิบูลสงคราม ลูกชายคนที่สองก็ขับรถพาพ่อ ตามหลังรถทหารไป
จอมพล ป. ติดคุกอยู่ ๑๕๙ วันก็เป็นอิสระ
ในวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ศาลฎีกาคดีอาชญากรสงคราม พิพากษาให้ยกฟ้อง ปล่อยจำเลยทั้งหมดพ้นข้อหาไป เหตุผลคือพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พุทธศักราช ๒๔๘๘ ที่บัญญัติย้อนหลังให้การกระทำความผิดก่อนวันที่ใช้พระราชบัญญัติเป็นความผิด ขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๔ และเป็นโมฆะตามมาตรา ๖๑
นักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญการเมืองไทยหลายคนวิเคราะห์ว่า ผู้ที่วางแผนช่วยเหลือจอมพล ป. ก็คือ ปรีดี พนมยงค์ นั่นเอง ด้วยแผนที่ออกแบบมาอย่างชาญฉลาด ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ข้อหนึ่ง การออกกฎหมายอาชญากรสงครามทำให้คนไทยไม่ถูกส่งไปดำเนินคดีในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้เสียเปรียบในการเจรจาหลังสงคราม เท่ากับยอมรับว่าไทยเป็นประเทศแพ้สงคราม
ข้อสอง เป็นการช่วยเหลือจอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้พ้นโทษอย่างละมุนละม่อม
นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่า ไม่ว่าจะเห็นต่างทางการเมืองอย่างไร จอมพล ป. พิบูลสงคราม และ ปรีดี พนมยงค์ ก็เป็นเพื่อนร่วมตายมาแต่ครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกจากนี้ผู้ต้องหาคดีอาชญากรสงครามก็ล้วนเป็นคนรู้จักกันทั้งนั้น
หนึ่งปีถัดมา กลุ่มจอมพล ป. ก็ก่อรัฐประหาร จอมพล ป. หวนคืนสู่อำนาจสูงสุด คราวนี้อยู่ยาวไปสิบปี ก่อนถูกรุ่นน้องจอมพลสฤษดิ์โค่น หนีไปลี้ภัยที่ญี่ปุ่น .......................
สองกรณีนี้คือคุกทางกายภาพหากนับคุกทางใจด้วย เพราะการลี้ภัยก็คือการติดคุกชนิดหนึ่ง ก็มีนายกฯไทยมากกว่าสองคนที่เข้าข่ายนี้
คนแรกคือพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ถูกหลวงพิบูลสงคราม (จอมพล ป.) และพวก ขับออกไปในปี ๒๔๗๖ และตายในต่างแดน
ปรีดี พนมยงค์ ก็ถูกกลุ่มจอมพล ป. ขับ ต้องลี้ภัย และตายในต่างแดน
จอมพล ถนอม กิตติขจร ลี้ภัยต่างแดน แต่ยังได้กลับมาตายบ้าน
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังลี้ภัยอยู่ต่างแดน
ดังนั้นตามประวัติศาสตร์ ก็มีนายกฯสองคนที่โดนทั้งคุกทางกายและทางใจ
ประวัติศาสตร์โลกบอกว่า คนที่มีอำนาจสูงสุด ตกสูงกว่า
วินทร์ เลียววาริณ
๙-๙-๒๕๖๘
อ่านรายละเอียดทั้งหมดและเกร็ดประวัติศาสตร์ไทยอื่นๆ ได้จาก ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม 1-5 (5 เล่ม)
สั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6
0 วันที่ผ่านมา -
ความจริงจะไม่คุยเรื่องนี้ แต่เห็นผู้นำของสหภาพยุโรปออกมาให้ข้อมูลที่เจตนาบิดเบือน จึงต้องพูด
เรื่องเริ่มมาจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เมืองจีนจัดงานใหญ่ Shanghai Cooperation Organization (SCO) Summit 2025 ไฮไลท์ของงานคือการพบกับระหว่างสีจิ้นผิงแห่งจีน ปูตินแห่งรัสเซีย โมดีแห่งอินเดีย
เจตนาหนึ่งเพื่อจัดงานรำลึกครบ 80 ปีของชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง
แต่เจตนาสำคัญน่าจะเป็นการบอกโลกว่า จีนกำลังจัดระเบียบโลกใหม่ (new world order)
แน่นอนสหรัฐฯไม่ยินดีกับกิจกรรมนี้
ทรัมป์เขียนอวยพรแบบประชดประชันว่า "Looks like we've lost India and Russia to deepest, darkest, China. May they have a long and prosperous future together!"
(ดูเหมือนเราสูญเสียอินเดียกับรัสเซียแก่จีนที่อยู่ในด้านมืดลึกสุด ขอให้พวกเขาประสบอนาคตที่แสนจะยั่งยืนและมั่งคั่งด้วยกันเทอญ!) (เครื่องหมาย ! แปลว่ากูกำลังแดกดันอยู่นะ)
ไม่น่าเชื่อว่าการทูตแดกดันจะมาจากประเทศศิวิไลซ์ตะวันตกที่เจริญแล้ว!
สหภาพยุโรปก็ไม่น้อยหน้า Kaja Kallas ตำแหน่ง High Representative of the European Union for Foreign Affairs and Security Policy ออกมาบอกว่า คนสมัยนี้ไม่อ่านหนังสือ ไม่อ่านประวัติศาสตร์ จึงไม่รู้ว่าจีนกับรัสเซียไม่ได้มีส่วนอะไรที่ช่วยชนะสงครามโลกอย่างที่เคลม
คำกล่าวว่า "คนสมัยนี้ไม่อ่านหนังสือ ไม่อ่านประวัติศาสตร์" ทำให้ข้อความนี้ดูน่าเชื่อถือขึ้นมาทันที แต่มันจริงหรือไม่ ก็ต้องพิสูจน์ตามหลักฐาน
ข้อมูลประวัติศาสตร์โดยเฉพาะฝ่ายตะวันตกยืนยันว่า ในสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศที่สูญเสียคนต่อสู้กับนาซีและญี่ปุ่นมากที่สุดคือโซเวียต เสียคนไป 27 ล้านคน
โซเวียตทำลายกองทัพนาซีมากกว่าฝ่ายตะวันตกเสียอีก โดยเฉพาะสงครามที่สตาลินกราด ซึ่งเป็นการรบที่รุนแรงโหดเหี้ยมที่สุด อาจจะตลอดประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โซเวียตตายไป 1-2 ล้านคน แต่เปลี่ยนทิศทางของสงคราม
(มีหนังเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับสงครามที่สตาลินกราด คือ Enemy at the Gates จะฉายที่ Netflix อีกไม่กี่วันเท่านั้น จะดูก็ต้องรีบ)
จีนเสียคนไปกับการสู้ญี่ปุ่นราว 20 ล้านคน และจีนสู้ตลอด ขณะที่ฝรั่งเศสยอมแพ้นาซี
ทั้งสองประเทศนี้สูญเสียคนไปมากกว่าสหรัฐฯและยุโรปหลายสิบเท่า ไม่เช่นนั้นโซเวียตกับจีนจะได้ที่นั่งถาวรในสหประชาชาติและมีอำนาจวีโตหรือ
นี่บอกว่าตัวแทนอียูต่างหากที่ไม่ได้อ่านหนังสือ ไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งหมดนี้เป็นแค่อคติที่เกิดขึ้นเมื่อเห็นระเบียบโลกเก่ากำลังถูกท้าทาย
ชาวยุโรปจำนวนหนึ่งยังมุดหัวอยู่ในกรอบคิดว่า ตนยังอยู่ในโหมดนักล่าอาณานิคมเมื่อ 100-200 ปีก่อน เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
จะว่าไปแล้ว ภาพการจับมือกันของจีนกับอินเดียที่เป็นศัตรูกัน ไม่มีทางเกิดขึ้นได้หากมิใช่ทรัมป์ช่วยหนุน โดยกระทืบทั้งจีนและอินเดีย ทำให้ทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน
บางทีโลกใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโลกเก่ากำลังเสื่อมสลาย แต่เพราะโลกเก่าไม่สามารถยอมรับสัจธรรมของความเปลี่ยนแปลง
วินทร์ เลียววาริณ
9 กันยายน 2568(ภาพจาก Reuters)
0 วันที่ผ่านมา -
ลองจินตนาการว่าคุณอยู่ในช่วงไม่กี่นาทีสุดท้ายของชีวิต คุณกำลังจะตาย หายใจแผ่วลง ๆ เมื่อหมดลม ชีวิตคุณก็ดับสิ้น ลองจินตนาการต่อไปว่าคุณยังสามารถเห็นโลกหลังคุณตาย คุณเห็นตัวคุณจบบทบาทชีวิตในโลกนี้เพียงเท่านี้ แต่โลกยังคงหมุนต่อไป ไม่กี่ปีต่อมา คนส่วนใหญ่ลืมคุณไปแล้ว ยี่สิบปีผ่านไป อาจไม่มีใครสักคนบนโลกที่เคยรับรู้การดำรงอยู่ของคุณมาก่อน หนึ่งร้อยปีต่อมา คุณหายไปจากโลกตลอดกาล ราวกับคุณไม่เคยมีตัวตนอยู่ในโลกนี้ มันทำให้คิดและถามว่า อะไรคือความหมายของชีวิต ทำงานมาทั้งชีวิตเพื่ออะไรจริง ๆ ชีวิตมีแค่นี้เองหรือ?
เมื่อผมผ่านอายุเลข 60 อย่างเงียบ ๆ พร้อมกับเพื่อน ๆ หลายคนที่เกษียณไปตามระบบ แล้วเลข 7 ก็ใกล้เข้ามา ทันใดนั้นเราก็พบว่าตนเองยืนอยู่ระหว่างชีวิตที่เหลือกับความตายที่อาจอยู่ไม่ห่างไกล หลายคนในสถานะนี้เกิดอาการหลงทาง ยืนอยู่ระหว่างความหงอยเหงากับความหมายของชีวิต
คนจำนวนมากเป็นอย่างนี้ ก้มหน้าก้มตาหายใจ ทำงาน ทีละวัน ผ่านไป 35-40 ปี เรือชีวิตก็ปลดระวางเพราะสภาพเก่าพร้อมจมได้ทุกเมื่อ รู้สึกตัวอีกที ก็เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว บางคนเพิ่งเริ่มเงยหน้ามองโลกจริง ๆ เป็นครั้งแรกในวันเกษียณ ถ้าไม่รู้จักเตรียมใจแต่แรก รู้สึกหลงทาง งงว่าจะไปทางไหนดี อาจจะรู้สึกตกใจก็ได้
ทางพุทธสอนให้ตามทันชีวิต รู้ทันความเปลี่ยนแปลง และยอมรับความเปลี่ยนแปลง จึงไม่เกิดทุกข์
ถ้าตามโลกไม่ทัน ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ตรวจสอบตัวเอง เมื่อเดินทางถึงหลักไมล์ท้าย ๆ ของชีวิต อาจปรับตัวไม่ทัน
เราไม่รู้ว่าเมื่อใดเราจะยุติบทบาทบนโลกนี้ มันอาจเป็นชั่วโมงหน้า อาจเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ดังนั้นหากจะคิดเรื่องนี้ ก็ทำตอนนี้
ไม่ว่าจะเป็นคนเกษียณหรือคนหนุ่มสาว ก็ควรตอบคำถามว่า เราใช้ชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมาคุ้มค่าไหม
บางทีการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าไม่มีกติกาตายตัว มันขึ้นกับความพอใจ
พอใจก็คุ้มค่า
แต่ถ้ามิเพียงตนเองพอใจ ยังสามารถทำให้คนอื่นพอใจด้วย ก็ยิ่งคุ้มค่าขึ้นไปอีก
‘คุ้มค่า’ หมายถึงใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ มีความหมายและหรือมีความสุข
หลายคนอาจเห็นด้วยกับคำของนักแต่งเพลง นีล ยัง ว่า “เผาสิ้นฉับพลันดีกว่าค่อย ๆ เลือนจากไป”
โก้วเล้งเขียนว่า ใช้ชีวิตแบบจุดเทียนสองปลาย อายุสั้นไม่ใช่ปัญหา ความสว่างของชีวิตต่างหากที่สำคัญกว่า
เราอาจไม่ต้องการมีชีวิตเกินหนึ่งร้อยปี แต่หากใช้ชีวิตดีพอ เมื่อเราจากโลกไป ก็สมควรเป็นเรื่องเฉลิมฉลอง
วินทร์ เลียววาริณ
8-9-25จาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/187/เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า1 วันที่ผ่านมา -
สมรภูมิในสงครามโลกครั้งที่สองบ่อยครั้งอยู่กลางอากาศ เมื่อเครื่องบินประจัญบานของสองฝ่ายยิงกัน เครื่องบินใครถูกยิงหนักก็ร่วง นักบินมักเสียชีวิต ลำไหนโชคดีถูกยิงเบาหน่อย นักบินก็พาเครื่องบินกลับฐานได้ บ่อยครั้งเครื่องบินที่กลับถึงฐานถูกยิงจนพรุน
กองทัพอากาศสหรัฐฯพยายามคิดหาวิธีเพิ่มสมรรถนะของเครื่องบิน ให้ถูกยิงตกน้อยที่สุด พวกเขาขอให้นักคณิตศาสตร์นาม อับราฮัม วัลด์ (Abraham Wald) แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ช่วยวิเคราะห์ปัญหาเครื่องบินถูกยิง
ในมุมมองของคนทั่วไป จุดที่เครื่องบินถูกยิงมากที่สุดคือจุดเปราะบาง ควรเสริมเหล็กให้หนาขึ้น แต่วัลด์มองต่างมุม เขาเห็นว่า ในเมื่อเครื่องบินถูกยิงจนพรุน แล้วยังสามารถบินกลับฐานได้ ก็แสดงว่าจุดที่ถูกยิงไม่ต้องเสริมอะไร
ตรงกันข้าม ควรไปเสริมจุดที่ไม่มีรอยกระสุนมากกว่า เพราะอาจแปลว่ามันเป็นจุดที่ถูกยิงแล้วร่วง จึงไม่ได้บินกลับมาให้เห็น
การมองด้านข้างแบบนี้ถูกนำไปพัฒนาเครื่องบินรบในช่วงสงครามให้ทำงานดีขึ้น
มนุษย์จำนวนไม่น้อยก็มักมีกรอบคิดอย่างนี้ ลงทุนในส่วนที่ไม่จำเป็น เช่น ลงทุนปรับปรุงหน้าตามากกว่าสมอง หรือปรับปรุงภาพลักษณ์มากกว่าความสามารถจริง
และเมื่อพบปัญหาจริง ๆ ก็มักโดนยิงตก!
วินทร์ เลียววาริณ
8-9-25จาก กอดหนาม
51 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 260 บาท = บทความละ 5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/241/กอดหนาม
โปรโมชั่นคู่กับเล่มอื่น https://www.winbookclub.com/store/detail/243/%28S11%29%20กอดหนาม%20+%20ปฎิบัติการผ่าสมองไอน์สไตน์%20+%20Mini%20Tao
Shopee เดี่ยว https://s.shopee.co.th/qUBWxp70F2 วันที่ผ่านมา -
วงการการเมืองไทยเป็นเหมือนตลาดหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนในแต่ละบริษัท (พรรค) คาดหมายผลกำไรและ 'เงินปันผล' ที่เรียกกันว่า 'โควตา' โอกาสที่คนนอกบริษัทจะเข้ามาทำงาน (หรือพูดหยาบๆ ว่า 'ชุบมือเปิบ') นั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก
สองวันนี้มีข่าวนายกฯคนใหม่ทาบทามมือเศรษฐกิจ 'คนนอก' หลายคนมาทำงานด้วย
คำว่า 'คนนอก' มีนัยว่ามือสะอาด ทางการเมืองถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ส่วนจะเกิดขึ้นเพราะเป็นยุทธศาสตร์ทางการเมืองหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นของบทความนี้
ประเด็นของบทความนี้คือคำถามว่า คนนอก 'น้ำดี' ควรทำงานให้คนการเมืองที่อาจจะ 'ไม่ค่อยดี' หรือไม่
ตัวอย่างชัดที่สุดคือกรณี ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ กับจอมเผด็จการ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ทั้งสองคนเป็นคนละทางกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งเป็นนักวิชาการมือสะอาด ซื่อสัตย์ อีกคนหนึ่งมาจากการยึดอำนาจ ยิงเป้าคนเป็นว่าเล่น
แต่น้ำดีอย่าง ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ กลับยอมทำงานให้จอมเผด็จการ สฤษดิ์ ธนะรัชต์
ทำไม? คำตอบคือเพื่อประโยชน์ของชาติ
เป็นที่รับรู้ชัดเจนมาตลอดว่า ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มือสะอาด ฉลาดเฉลียว ขวางทางคอร์รัปชั่นมาโดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เคยเล่าว่า ในช่วงปลายที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ครองอำนาจ มีคนสามคนถือเขาเป็นศัตรู ทั้งสามล้วนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ได้แก่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และพล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ภายใต้ความขัดแย้งและแรงกดดัน ผู้ใหญ่จึงส่งเขาไปทำงานที่ประเทศอังกฤษ
ป๋วยเป็นลูกคนจีน ฐานะไม่ดี ชีวิตต้องดิ้นรนแต่เด็ก อาศัยที่รักดี ก็เรียนจบธรรมศาสตร์บัณฑิตรุ่นแรกจากมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
เขาสอบชิงทุนรัฐบาลได้ ไปเรียนปริญญาตรี สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์และการคลัง ที่ London School of Economics & Political Science มหาวิทยาลัยลอนดอน เรียนสามปีก็จบด้วยคะแนนสูง เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
เมื่อกองทัพญี่ปุ่นบุกเมืองไทยในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2484 รัฐบาลไทยโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ร่วมวงไพบูลย์กับญี่ปุ่น ประกาศสงครามกับสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา รัฐบาลไทยออกคำสั่งให้คนไทยในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาเดินทางกลับ ป๋วยเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ไม่ทำตามคำสั่ง ตรงกันข้ามกลับเข้าร่วมขบวนการเสรีไทย ต่อต้านญี่ปุ่น ป๋วยมีบทบาทเจรจากับรัฐบาลอังกฤษให้ยอมรับขบวนการเสรีไทย
ป๋วยและเสรีไทยรวม 36 คนสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพบกอังกฤษ เรียกว่า กลุ่มช้างเผือก ใช้ชื่อว่า เข้ม เย็นยิ่ง เดินทางไปกับกองทัพเรืออังกฤษ จากลิเวอร์พูลไปที่ เมืองปูนา อินเดีย ฝึกหลักสูตรการทหารนานหกเดือน และเป็นเสรีไทยชุดแรกที่มาปฏิบัติการในไทย เป้าหมายเพื่อติดต่อ รูธ หรือ ปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าเสรีไทย
กว่าจะติดต่อกับรูธได้ ป๋วยก็ต้องผ่านวิบากกรรมระหว่างการเข้ามาปฏิบัติการ ถูกชาวบ้านจับไปส่งตำรวจ ถูกจับข้อหาสายลับส่งตัวไปกรุงเทพฯ แต่เสรีไทยที่กรุงเทพฯช่วยจัดการจนได้พบ ปรีดี พนมยงค์
ปรีดี พนมยงค์ ส่งป๋วยกลับไปอังกฤษอีกครั้ง เพื่อเจรจาให้รัฐบาลอังกฤษยอมรับขบวนการเสรีไทยเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรม และยอมให้ถอนเงินสำรองที่รัฐบาลไทยฝากไว้ที่ธนาคารกลางอังกฤษ
หลังสงครามโลก ดร. ป๋วยเดินทางกลับประเทศไทย และปฏิเสธการทำงานกับบริษัทเอกชนทุกแห่ง ทิ้งโอกาสและผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่เอกชนเสนอให้ เขาเลือกเข้ารับราชการ เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดินที่ส่งเขาไปเรียนที่ต่างประเทศ
ดร. ป๋วยรับราชการในตำแหน่งเศรษฐกร กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ไต่เต้าขึ้นเป็นผู้ช่วยฝ่ายวิชาการของปลัดกระทรวงการคลัง กรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และในปี พ.ศ. 2496 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้เงินบาทมีเสถียรภาพและเงินสำรองระหว่างประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น
ในปี พ.ศ. 2496 จอมพลสฤษดิ์ต้องการซื้อสหธนาคารกรุงเทพจำกัด แต่ถูก ดร. ป๋วยขัดขวางโดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม เนื่องจากธนาคารแห่งนี้กระทำผิดระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องถูกปรับเป็นเงินหลายล้านบาท จอมพลสฤษดิ์ไปพบ ดร. ป๋วย ขอร้องเชิงบังคับให้ยกเลิกการปรับ แต่ ดร. ป๋วยไม่ยอม ในที่สุดธนาคารก็เสียค่าปรับ
จอมพลสฤษดิ์โกรธ ดร. ป๋วยมาก ผลก็คือปลายปีนั้น ดร. ป๋วยถูกสั่งย้ายพ้นจากตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ไปรับราชการเป็นผู้เชี่ยวชาญการคลัง กระทรวงการคลัง
มิเพียงขวางทางจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เขายังขัดขา พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์
ในเวลานั้นอธิบดีกรมตำรวจผู้นี้มีอำนาจล้นฟ้า ไม่กี่ปีก่อนหน้านั้น อัศวินตำรวจในสังกัดได้สังหารโหดสี่รัฐมนตรีกลางกรุง เพียงคิดจะขวางทางอธิบดีกรมตำรวจ ก็เป็นเรื่องอันตรายยิ่ง
นอกจากตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พล.ต.อ. เผ่าได้เสนอให้รัฐบาลเปลี่ยนบริษัทพิมพ์ธนบัตร จาก บริษัท ธอมัส เดอ ลา รู เป็นบริษัทแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
ดร. ป๋วยขัดขวางเรื่องนี้ ให้เหตุผลว่าผลงานของบริษัท ธอมัส เดอ ลา รู ได้มาตรฐานกว่า การปลอมธนบัตรทำได้ยากกว่า อีกทั้งกล่าวว่าบริษัทที่พล.ต.อ. เผ่าเสนอไม่น่าเชื่อถือ และมีชื่อเรื่องการวิ่งเต้น
รัฐบาลทำตามคำแนะนำของ ดร. ป๋วย เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจแก่ พล.ต.อ. เผ่าเป็นอย่างมาก
เพื่อความปลอดภัยและลดแรงกดดันรอบทิศ พระบริภัณฑ์ยุทธกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงขอให้ ดร.ป๋วย ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจการคลัง ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทยในอังกฤษ
คนดีคนซื่อสัตย์อยู่ในเมืองไทยลำบาก
ผ่านไปร่วมสองปี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก่อรัฐประหาร จอมพล ป. หนีไปเขมรและญี่ปุ่นตามลำดับ และไม่ได้กลับเมืองไทยอีกเลย
ส่วน พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ก็ไปลี้ภัยที่สวิตเซอร์แลนด์ และไม่ได้กลับเมืองไทยอีกเช่นกัน
แล้วก็ถึงคราวคิดบัญชี ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ จอมพลสฤษดิ์สั่งตามตัว ดร. ป๋วยมาทันที เมื่อพบตัวแล้วกล่าวว่า “ผมต้องการให้คุณมาทำงานกับผม”
ศัตรูที่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้นหายาก ศัตรูที่หาญกล้าต่อกรอำนาจที่เหนือกว่าเพื่อรักษาประโยชน์ของประชาชนยิ่งหายาก
ปี พ.ศ. 2502 จอมพลสฤษดิ์แต่งตั้งให้ ดร. ป๋วยเป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
ต่อมาระหว่างที่ประชุมคณะรัฐมนตรีดีบุกโลกที่ลอนดอน ดร. ป๋วยได้รับโทรเลขจากจอมพลสฤษดิ์ให้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดร. ป๋วยปฏิเสธไม่ขอรับตำแหน่งนี้ ให้เหตุผลว่าตนได้สาบานตอนเข้าเป็นเสรีไทยว่า จะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ยกเว้นแต่เกษียณอายุราชการไปแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่า การร่วมคณะเสรีไทยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง จอมพลสฤษดิ์จึงแต่งตั้ง ดร. ป๋วยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ต่อมาจอมพลสฤษดิ์ก็แต่งตั้ง ดร. ป๋วยเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง ดร. ป๋วยในวัย 43 ปีจึงคุมทั้งนโยบายด้านการเงิน การคลัง และงบประมาณของประเทศ หากมิใช่เพราะจอมพลสฤษดิ์เห็นว่า ดร. ป๋วยเป็นคนซื่อสัตย์ ทำงานเพื่อแผ่นดินจริง ๆ ย่อมไม่ยกตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งให้
ตลอดหลายปีนั้นจอมพลสฤษดิ์ไม่ก้าวก่ายงานของ ดร. ป๋วยเลย เพราะเชื่อว่าเขาจะทำงานสุดความสามารถและสุจริต และอีกประการ ก็คงรู้ว่าก้าวก่ายไม่สำเร็จแน่ ความประพฤติของ ดร. ป๋วยตรงดุจทวนเหล็ก ซื้อไม่ได้
ครั้งหนึ่งจอมพลสฤษดิ์พูดกับ ดร. ป๋วยว่า “บ้านของคุณเป็นเรือนไม้เล็ก ๆ อยู่ไม่สบาย ผมจะสร้างตึกให้ใหม่เอาไหม?”
ดร. ป๋วยตอบขอบคุณ แต่ปฏิเสธ
เมื่อถูกถามหลายหน ก็ตอบว่า “ภรรยาผมไม่ชอบอยู่ตึก”
ตลอดสิบสองปีที่ ดร. ป๋วยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นห้วงสมัยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยถูกการเมืองแทรกแซงน้อยที่สุด เขาสามารถรักษาเสถียรภาพเงินตราได้อย่างแข็งแกร่ง เริ่มนวัตกรรมต่าง ๆ ทางการเงิน อดีตเสรีไทย นายเข้ม เย็นยิ่ง เป็นบุคคลที่ต่างประเทศยกย่องนับถืออย่างยิ่ง
และเมื่อการเมืองไทยพลิกผันสู่ความโสมมอีกครั้งในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นายเข้ม เย็นยิ่ง ก็ต้องลี้ภัยในต่างประเทศ
สิบเอ็ดปีต่อมา เมื่อนายเข้ม เย็นยิ่ง กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทยสองพันคนยืนต้อนรับเขาด้วยน้ำตา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักศึกษายืนต้อนรับ ถือป้ายข้อความว่า ‘ปลื้มใจนักเตี่ยกลับบ้าน’
คนดีจริงตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
คนเก่งที่ซื่อสัตย์ แม้แต่คนเกลียดก็คารวะ
คนจริงที่หาญต้านอำนาจเถื่อน แม้แต่ศัตรูก็ยำเกรง
ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นบทเรียนสำหรับคนมือสะอาดที่มีความรู้ว่า จงอย่ากลัวที่จะทำดีเพื่อแผ่นดินเลย ถ้าอยู่ในตำแหน่งและโอกาสที่จะช่วยลดจำนวนโควตาทางการเมือง ก็จงทำเถิด
วินทร์ เลียววาริณ
7 กันยายน 2568..........................
บางท่อนจาก สามก๊กบนเส้นขนาน
หนังสือแนวประวัติศาสตร์เปรียบเทียบไทยกับจีน เล่าเรื่องที่คนไทยทุกคนน่าจะรู้ การเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในสามก๊ก อาจจะช่วยให้เข้าใจกลไกและโครงสร้างทางการเมืองของเราชัดเจนขึ้น
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/155/สามก๊กบนเส้นขนาน%20%28ปกอ่อน%29
โปรโมชั่นแพ็คคู่สุดคุ้ม https://www.winbookclub.com/store/detail/246/โปรโมชั่นแพ็คคู่%20สามก๊ก%2520ฉบับ%20วินทร์%20เลียววาริณ%20+%20สามก๊กบนเส้นขนาน
2 วันที่ผ่านมา