• วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    เมื่อพูดถึงตำนานนักแต่งเพลง เอนนิโอ มอร์ริโคเน ก็ต้องเล่าเรื่องของผู้กำกับคู่บุญ เซอร์จิโอ เลโอเน คู่นี้ทำหนัง-แต่งเพลงด้วยกันหลายเรื่อง

    และเรื่องที่ดีที่สุดของ เซอร์จิโอ เลโอเน ในความเห็นส่วนตัวของผมก็คือ Once Upon a Time in the West เพลงที่มอร์ริโคเนแต่งให้หนังเรื่องนี้ก็ดีเยี่ยม ไม่ว่าเพลงในท่อนท้าย หรือเพลงช่วงเล่นฮาร์โมนิกา

    ในปี 2521 หนังความยาว 3 ชั่วโมง 4 นาทีเรื่อง Deer Hunter เข้ามาฉายในบ้านเรา (ถ่ายทำที่บ้านเราด้วย) ท่อนแรกของหนังเป็นการปูเรื่องความสัมพันธ์ของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ท่อนที่สองเป็นฉากที่เพื่อนกลุ่มนี้เข้าร่วมสงครามเวียดนาม ในโรงหนังต่างจังหวัด ท่อนแรกยาวร่วมชั่วโมงนี้ถูกหั่นทิ้ง หนังเปิดเรื่องที่สงครามเลย

    นี่คือการกระทำของคนที่ไม่เข้าใจหนัง เหมือนชงกาแฟโดยเทกาแฟออกครึ่งถ้วย แล้วเติมนมเข้าไปแทน

    สตูดิโอใหญ่ๆ ในอเมริกามีประวัติเรื่องทำลายหนังมาตลอด หนังดีจำนวนมากถูกนายทุนทำลายป่นปี้ เพราะไม่เข้าใจศิลปะ ตัวอย่างเช่น Blade Runner ของ ริดลีย์ สก็อตต์ ถูกนายทุนสั่งให้ตัดบทใหม่ "ขอจบแบบแฮ็ปปี้ เอนดิ้ง นะ" หนัง ‘แป้ก’ แต่ต่อมาก็กลายเป็นหนังฮิต โดยเฉพาะเมื่อผู้กำกับแก้ไขเป็นเวอร์ชั่น Director's Cut

    เรื่อง Dune (1984) นายทุนไปตัดต่อหนังเองโดยที่ผู้กำกับทำอะไรไม่ได้ ผลคือเละ

    อีกเรื่องหนึ่งที่ประสบชะตากรรมเดียวกันคือเรื่อง Once Upon a Time in the West ผลงานของ Sergio Leone หนังความยาว 229 นาทีถูกตัดเหลือ 139 นาทีสำหรับให้ชาวอเมริกันเสพ ตัวละครบางตัวหายไป ตัดแฟลชแบ็คทิ้ง ผลคือเละ

    เหตุที่ Once Upon a Time in the West ‘แป้ก’ ในอเมริกา (ประเทศที่หนังเรื่อง The Shawshank Redemption ขายไม่ออก) อาจเพราะคนดูอเมริกันรู้สึกแปลกๆ ที่หนังคาวบอยอเมริกันสร้างโดยพวกอิตาเลียน หรือเพราะดูหนังแบบนี้ไม่เป็น นักวิจารณ์อเมริกันบางคนด่าเรื่องนี้เละ บอกว่าหนังเดินช้าไป (ขนาดหั่นหนังออกไปชั่วโมงหนึ่งแล้ว!)

    ตรงกันข้ามกับสหรัฐฯ หนังเรื่องนี้ได้รับคำชื่นชมอย่างสูงในยุโรป ณ วันนี้มันได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังคาวบอยสปาเก็ตตี้ที่ดีที่สุด และอาจถือเป็นหนังคาวบอยที่ดีที่สุดด้วย แม้แต่ห้องสมุดคองเกรสสหรัฐฯก็ขึ้นหิ้งเป็นหนังที่ต้องอนุรักษ์ นักสร้างหนังแนวหน้าหลายคนยกให้เรื่องนี้เป็นครู เช่น มาร์ติน สกอร์เซซซี จอร์จ ลูคัส เควนติน ทาแรนติโน และเจ้าพ่อ Breaking Bad วินซ์ กิลลิแกน

    (ทาแรนติโนเดิมคิดจะตั้งชื่อหนังเรื่อง Inglourious Basterds ว่า Once Upon a Time in Nazi-Occupied France แต่ตอนหลังให้มันเป็นชื่อตอนแรกของเรื่อง และหลายปีให้หลังก็สร้าง Once Upon a Time in Hollywood)

    ..............

    Once Upon a Time in the West เปิดเรื่องที่สถานีรถไฟกลางพื้นที่รกร้าง นายสถานีชราเห็นชายแปลกหน้าสามคนนั่งรอรถไฟที่กำลังจะมา ทั้งสามพกปืนมาด้วย แกรู้ว่าทั้งสามเป็นมือปืน แมลงวันตัวหนึ่งบินมาตอมหน้ามือปืนคนหนึ่ง เขาปัดมันไป แต่มันบินมาตอมเขาอีก เขาจับมันด้วยกระบอกปืน เสียงหวูดรถไฟดังมาแต่ไกล รถไฟแล่นเทียบชานชาลา ผู้โดยสารหลายคนก้าวลงมา แต่ไม่มีเป้าหมายที่สามมือปืนรอ เมื่อรถไฟแล่นออกไป มือปืนทั้งสามจึงเห็นผู้โดยสารคนหนึ่งกำลังมองพวกเขาอยู่อีกฟากหนึ่งของราง ชายคนนี้ยกฮาร์โมนิกาขึ้นเป่าเบาๆ เสียงปืนพลันดังขึ้น มือปืนทั้งสามลงมือ แต่ทั้งสามล้มคว่ำ มือปืนฮาร์โมนิกาไวกว่า

    ฉากแรกของหนังมีเพียงเหตุการณ์เดียว คือการดวลกัน แต่ใช้เวลายาวถึง 13 นาที (ดวลครึ่งนาที ปูอารมณ์ 12 นาทีครึ่ง!)

    Once Upon a Time in the West เป็นหนัง slow burn แต่ละฉากเดินช้า แต่ละเมียดละไม ไม่ใช่หนังคาวบอยประเภทยิงกันวินาศสันตะโรทั่วไป และเป็นหนังที่สร้างโดยชาวอิตาเลียน

    เราเรียกตระกูลงานคาวบอยที่สร้างโดยอิตาเลียนว่า Spaghetti Western หรือที่บ้านเราเรียก คาวบอย สปาเก็ตตี้

    Spaghetti Western โด่งดังมากในยุค 60-70 ไม่ได้สร้างกันแค่เรื่องสองเรื่อง มันมีจำนวนถึงกว่าหกร้อยเรื่อง และในบรรดาผู้กำกับหนังแนวนี้ Sergio Leone ถือเป็นเบอร์ 1 งานของเขาจับคู่กับนักแต่งเพลงที่เก่งที่สุดในโลก เอนนิโอ มอร์ริโคเน

    ผลงานของ Sergio Leone ที่ดังมากคือชุดไตรภาค Dollars Trilogy คือ A Fistful of Dollars (1964), For a Few Dollars More (1965) และ The Good, the Bad and the Ugly (1966) ทั้งสามเรื่องเล่นโดย คลินท์ อิสต์วูด สมัยยังหนุ่มมาก ดังมากในบ้านเรา

    แต่ Sergio Leone โดดเด่นที่สุดในเรื่อง Once Upon a Time in the West มันยกระดับหนังคาวบอยเป็นหนังอาร์ต

    เรื่องนี้มีตัวละครหลักสี่คน ผู้หญิงหนึ่ง ชายสาม ทั้งหมดเป็นตัวละครสีเทา บางคนก็ออกเทาสว่าง บางคนก็ดำไปเลย

    คนร้ายหลักคือ 'แฟรงก์' รับบทโดย เฮนรี ฟอนดา นักแสดงใหญ่ที่ปกติรับบทคนดี เมื่อได้รับเสนอบทคนร้าย เขาก็ปฏิเสธ ไม่อยากเปลืองตัว

    อย่างไรก็ตาม ผู้กำกับอยากได้ตัวเขามาก จึงบินไปหาฟอนดาที่นิวยอร์ก บอกเขาว่า “ลองนึกภาพดูนะ กล้องจับภาพช่วงล่างของมือปืน เขาชักปืนขึ้นมายิงเด็กที่กำลังวิ่งหนี กล้องพาดขึ้นจับที่ใบหน้าของมือปืนโหด ก็คือ เฮนรี ฟอนดา”

    ฟอนดารับบทนี้ในที่สุด คนรอบตัวไม่มีใครเห็นด้วย

    ปรากฏว่าฟอนดารับบทคนร้ายได้ดีมาก ดูน่ากลัว และได้รับคำชื่นชมว่าแสดงดี

    ตัวละครสีเทาคนหนึ่งคือ 'ไชแอน (Cheyenne)' รับบทโดย เจสัน โรบาร์ดส์ นักแสดงคุณภาพ (คนที่รับทบรรณาธิการ Ben Bradlee ในหนังเรื่อง All the President's Men และคว้าตุ๊กตาทองในปีนั้น)

    ตัวละครหลักอีกคนคือบุรุษลึกลับ เรียกว่า ฮาร์โมนิกา รับบทโดย ชาร์ลส์ บรอนสัน

    เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนมาก แต่วิธีเล่าเรื่องทำให้เรื่องน่าติดตาม การเดินเรื่องโดยให้ตัวละครคนหนึ่งพาไปเปิดตัวตัวละครอีกคนหนึ่งทำได้น่าสนใจ หนังไม่ค่อยเล่าโดยบทพูด แต่เล่าด้วยภาษาหนัง ตัวละครสร้างความสัมพันธ์ด้วยการกระทำมากกว่าบทพูด เช่น เรารู้ความสัมพันธ์ระหว่างไชแอนกับฮาร์โมนิกาโดยไม่ได้รู้จากบทพูด แต่รู้จากแววตา สีหน้า การกระทำ เรารู้ว่ามิตรภาพเกิดขึ้นจากการสัมผัสของเราเอง

    เราไม่รู้ว่าตัวละคร ฮาร์โมนิกา เป็นใคร มาจากไหน มาทำอะไร และเรื่องก็พาไปถึงจุดไคลแม็กซ์โดยแทบไม่ปูเรื่อง (establishing) มาก่อน ซึ่งผิดหลักการแต่งเรื่องโดยทั่วไป แต่เรื่องนี้เป็นข้อยกเว้น เพราะมันปูเรื่องไม่ได้ ทำได้อย่างมากที่สุดคือคำพูดของฮาร์โมนิกาว่า "จะบอกเมื่อถึงจุดที่มีคนตาย"

    หนังเดินด้วยจังหวะเนิบ มุมกล้องดี ดนตรีดี เนื้อเรื่องน่าสนใจ จับอารมณ์ความดิบในยุคคาวบอย หนังมีกลิ่นของปรมาจารย์ อะกิระ คุโรซาวา (ผู้สร้าง เจ็ดเซียนซามูไร) ซึ่งมีอิทธิพลต่องาน คาวบอย สปาเก็ตตี้ ไม่น้อย

    หากจะมีจุดรำคาญสายตาคือ การใช้ฟอนต์ในไตเติลซึ่งสะท้อนความนิยมในยุคนั้น ตัวหนังสือวิ่งไปมา พลิกแล้วหมุน เหล่านี้ดูรุงรังไปหน่อยสำหรับหนังเรียบง่าย แต่ก็คงเป้นเครื่องสะท้อนหลักไมล์ของวงการกราฟิกในภาพยนตร์

    ที่โดดเด่นไม่แพ้ตัวหนังก็คือดนตรีประกอบโดย เอนนิโอ มอร์ริโคเน ดนตรีประกอบสุดยอด จับวิญญาณเราจนดิ้นไม่หลุด เสียงเพลงฮาร์โมนิกาทั้งเรื่องประพันธ์โดยปรมาจารย์ เอนนิโอ มอร์ริโคเน สุดยอดมาก นี่เป็นหนึ่งในหนังน้อยเรื่องที่ใช้เครื่องดนตรีฮาร์โมนิกาได้อย่างทรงพลัง (อีกเรื่องหนึ่งที่นึกออกทันทีคือ Midnight Cowboy งานดนตรีของ จอห์น แบร์รี)

    ไม่ทุกคนที่ชอบหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะหากทนดูฉากเปิดเรื่องยาว 13 นาทีไม่ได้ อาจจะทรมานและดูไม่จบ (เช่นที่ทนฉากเปิดเรื่อง 2001: A Space Odysey ไม่ได้) แต่ถ้าเข้าถึง จะชอบเรื่องนี้มาก นี่ไม่ใช่หนังที่ดูเอาพล็อต แต่ดูเอาอารมณ์

    สุดยอด

    ป.ล. นักแสดงหลักของเรื่องนี้ รวมทั้งผู้กำกับและนักแต่งเพลง ล้วนจากโลกไปแล้ว คนล่าสุดเพิ่งจากไปเมื่อสองเดือนก่อนคือ คลอเดีย คลาดิเนล R.I.P.

    10/10

    วินทร์ เลียววาริณ
    5-11-25

    วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)

    (มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)

    1
    • 0 แชร์
    • 28

บทความล่าสุด