-
วินทร์ เลียววาริณ1 ปีที่ผ่านมา
ปราชญ์ทางวิชาการต่อสู้จัดวิทยายุทธ์เส้าหลินของปรมาจารย์ตั๊กม้อแห่งเทือกเขาซงซานเป็นแนววิชากำลังภายนอก ขณะที่วิทยายุทธ์แห่งสำนักอู่ตัง (บู๊ตึง) ของนักพรตเต๋าปรมาจารย์จางซานเฟิง (เตียซำฮง) ณ เทือกเขาอู่ตังในหูเป่ยเป็นแนววิชากำลังภายใน ทั้งเส้าหลินและอู่ตังถือเป็นสองสำนักมาตรฐานแห่งแผ่นดิน
วัดเส้าหลินตั้งอยู่บนเทือกเขาซงซาน (ซงซัว) เส้า เป็นชื่อภูเขา หลิน แปลว่า ป่า มีความหมายถึงสถานปฏิบัติธรรมในป่าแห่งภูเขาเส้า
ปรมาจารย์คนแรกของวัดเส้าหลินก็คือ พระโพธิธรรม หรือที่คนจีนเรียก ตั๊กม้อ นามนี้ปรากฏในนิยายจีนกำลังภายในนับไม่ถ้วนในฐานะจอมยุทธ์ผู้ให้กำเนิดคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น คัมภีร์ล้างกระดูก และสิบแปดฝ่ามืออรหันต์
ชาวโลกรู้จักวัดเส้าหลินว่าเป็นที่กำเนิดวิชาการต่อสู้ของจีนมาราวหนึ่งพันห้าร้อยปี เป็นสัญลักษณ์ของวิทยายุทธ์และนิยายจีนกำลังภายใน
นานปีหลังจากยุคของปรมาจารย์ตั๊กม้อ พระวัดเส้าหลินถือเป็นหน้าที่ที่จะใช้วิทยายุทธ์ปกป้องแผ่นดิน เช่นการต่อสู้ในสงครามหู่เหลา (ค.ศ. 621) อันเป็นต้นกำเนิดของราชวงศ์ถัง ไปจนถึงการต่อสู้ขับไล่พวกโจรสลัดวาโกะจากญี่ปุ่นที่รุกรานชายฝั่งจีนในศตวรรษที่ 16 ฯลฯ
ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัดแห่งนี้ถูกเผาทำลายและสร้างใหม่หลายต่อหลายครั้ง ตำนานการทำลายครั้งใหญ่ที่สุดคือในปี ค.ศ. 1644 โดยรัฐบาลชิง เนื่องจากพระวัดเส้าหลินต่อต้านราชวงศ์ชิง หมายฟื้นฟูราชวงศ์หมิง ประวัติศาสตร์ท่อนนี้กลายเป็นตำนานที่ทำให้วิทยายุทธ์เส้าหลินระบือไกล จนทำให้คำว่า เส้าหลิน ยิ่งยึดแน่นเป็นเรื่องของการต่อสู้ทางกาย อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์จำนวนหนึ่งเห็นว่า ความเชื่อว่าพระโพธิธรรมเป็นผู้ให้กำเนิดวิทยายุทธ์เส้าหลินน่าจะเป็นตำนานมากกว่าเรื่องจริง บ้างก็ว่าเรื่องราววิทยายุทธ์ของพระโพธิธรรมนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ของคนรุ่นหลัง ไม่ว่าอย่างไร ตำนานนี้ก็ฝังรากลึกในความเชื่อของคนทั่วไปเสียแล้ว
ความจริงก็คือวัดเส้าหลินเป็นต้นกำเนิดของเซน ซึ่งเป็นสายธารใหม่ที่แตกแขนงมาจากพุทธนิกายมหายานรวมกับเต๋า และปรมาจารย์ตั๊กม้อนั้นที่จริงแล้วเป็นถึงพระสังฆปริณายกแห่งจีน ซึ่งสืบสายมาจากพระพุทธองค์
ยังไม่มีการยืนยันที่มาของพระโพธิธรรมอย่างแน่ชัด แต่ตำราที่น่าเชื่อถือได้ชี้ว่า พระโพธิธรรมน่าจะเป็นเจ้าชายแคว้นคันธารราษฎร์ อินเดีย
อินเดียในสมัยโบราณเรียกว่า ชมพูทวีป มีอาณาเขตคลุมเจ็ดประเทศในปัจจุบัน คือ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล ภูฏาน ศรีลังกา บังคลาเทศ และอัฟกานิสถานในปัจจุบัน
แผ่นดินอัฟกานิสถานในเวลานั้นเรียกว่า คันธารราษฎร์ เมืองหลวงคือ คันธาระ (ปัจจุบันเรียก กันดาฮาร์) ต่อมาพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีกทรงพิชิตอาณาจักรเปอร์เซีย บางส่วนของอินเดีย รวมทั้งคันธารราษฎร์ ชาวกรีกได้ปกครองคันธาระนานหลายร้อยปี จนมาถึงสมัยของกษัตริย์กรีกนามพระเจ้าเมนันเดอร์ หรือพญามิลินท์ ทรงสนพระทัยในปรัชญา
ครั้งหนึ่งทรงพบพระนาคเสนมหาเถระปักกลดอยู่ และทรงสนทนาธรรมทั้งคืน จนถึงรุ่งเช้าก็ทรงปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ บทปุจฉา-วิสัชนาครั้งนั้นได้รับการบันทึกเป็นพระสูตรที่เรียกว่า มิลินทสูตร หรือ มิลินทปัญหา
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ศาสนาพุทธในคันธารราษฎร์ก็เจริญรุ่งเรืองมาก มีการหล่อพระพุทธรูปปางคันธารราษฎร์ พระพักตร์และรูปทรงแบบเทวรูปกรีก นอกจากนี้ยังมีการสลักพระพุทธยืนตามภูเขา เมื่อพวกตาลีบันครองอัฟกานิสถาน ได้ทำลายพระพุทธรูปเหล่านี้ไปแทบหมดสิ้น
(อ่านตอนต่อสัปดาห์หน้า)
จาก มังกรเซน ฉบับปรับปรุง หนังสือเซนที่ต้องค่อยๆ ละเลียด ตอนนี้มีโปรโมชั่นพิเศษ + ของแถม limited edition Zen Book สั่งได้ที่เว็บ winbookclub.com หรือ Shopee (ค้นคำ namol113 หรือ วินทร์ เลียววาริณ)
0- แชร์
- 211
-

ผมชอบเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก สมัยนั้นโรงเรียนรัฐบาลไม่สอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ ป. 1 ผมเข้าโรงเรียนเอกชน จึงโชคดีได้เรียนตั้งแต่เด็ก โรงเรียนแสงทองมีครูฝรั่งหลายคน เน้นภาษาอังกฤษค่อนข้างมาก
ผมเรียนภาษาอังกฤษจากครูบาทหลวงหลายปี มีอยู่ปีหนึ่ง ครูสอนเป็นคนไทย แกมัวแต่เล่าประสบการณ์ทางเซ็กซ์ ผลคือเทอมนั้นเราไม่ค่อยได้ความรู้ภาษาอังกฤษเพิ่ม แต่เอาเถอะ ได้ความรู้อีกเรื่องหนึ่ง!
นอกจากเรียนในโรงเรียน พ่อยังสั่งให้ไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ ครูสอนภาษาอังกฤษเป็นคนจีน ชื่อครูซิ้วหมิ่น ภาษาอังกฤษของแกเป็นที่เลื่องลือในหาดใหญ่ แกเปิดบ้านสอนภาษาอังกฤษอย่างเดียว สอนเป็นชั้น ในตอนหัวค่ำมีนักเรียนจำนวนมากไปเรียน
ตำราที่ครูสอนคือ Oxford Progressive English for Adult Learners ของ A.S. Hornby ก็เรียนไปหลายเล่ม ผมพัฒนาภาษาอังกฤษจากสำนักครูซิ้วหมิ่นมาก เรียนมาหลายกระบวนท่า
ทุกอาทิตย์ผมซื้อหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนมาอ่าน ชื่อ Student Weekly (ชื่อเดิม Kaleidoscope) ของ Bangkok Post คอลัมน์ที่ผมชอบคือเกม crossword ผมพัฒนาเรื่องคำศัพท์จากการเล่นปริศนาอักษรไขว้มากทีเดียว เพราะมันบังคับให้ต้องเปิดหาคำจากพจนานุกรม
แต่พอไปถึงกรุงเทพฯ เข้าคณะสถาปัตย์ฯ จุฬาฯ ปรากฏว่าเห็นเพื่อนหลายคนพูดภาษาอังกฤษเป็นไฟ มารู้ทีหลังว่าเรียนอัสสัมฯบ้าง มาแตร์ฯบ้าง
โห! กระบวนท่าที่เราเรียนมานี่สู้เด็กกรุงเทพฯไม่ได้เลย
เพื่อนผมคนหนึ่งภาษาอังกฤษดี เขาฝึกโดยฟังเพลงฝรั่ง แกะคำเอา ผมเคยลองดู ก็ยากเหมือนกัน
ตอนผมไปทำงานที่สิงคโปร์ปี 1980 ไปเรียนภาษาอังกฤษภาคค่ำ อาจารย์ก็ให้ฟังเพลง ของวง Air Supply แล้วถอดคำออกมา ปรากฏว่าแทบสอบตก ศิษย์สำนักสำนักครูซิ้วหมิ่นหมดความมั่นใจไปเลย
ตอนที่อยู่สิงคโปร์ ดูหนังฝรั่งบ่อย หนังที่นั่นไม่มีซับไตเติลไทย มีแต่ซับไตเติลภาษาจีน ผมก็อ่านซับฯจีน!
อ้าว! แล้วกัน อย่างนี้เมื่อไรจะเก่งเล่า!
ครั้นไปเรียนและทำงานที่อเมริกา วันหนึ่งเพื่อนร่วมงานชื่อคีธทักผม "What's up?" ผมทำหน้างงๆ เขาหัวเราะ บอกว่า "ที่แท้ไม่เข้าใจ" แล้วอธิบายให้ฟัง
วันหนึ่งเราไปสำรวจพื้นที่ก่อสร้าง พบหนังสือโป๊เล่มหนึ่งตกอยู่บนพื้น เขาหัวเราะบอกว่า "wet stuff" ผมพยักหน้า เฮ้ย! เรื่องนี้ไม่ต้องอธิบาย เข้าใจ! (ก็เรียนมาตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนเก่า!)
ผมทำงานที่สำนักงานสถาปนิกที่นิวยอร์กร่วมปี วันหนึ่งเจ้านายอเมริกันพูดฟุดฟิดฟอไฟใส่ผมเป็นชุด ฟังไม่รู้เรื่อง แต่พยักหน้าหงึกๆ พอสิ้นอาทิตย์เขียนใบเบิกค่าเงินเดือน แกก็เรียกไปถามว่า ที่บอกว่าขึ้นเงินเดือนให้ ทำไมยังไม่ปรับ
อ้าว! เพิ่งรู้ว่าขึ้นเงินเดือนให้
ศิษย์สำนักสำนักครูซิ้วหมิ่นหมดความมั่นใจไปอีกรอบ
โชคดีที่ผมชอบอ่านหนังสือ เมืองนอกมีหนังสือมือสองขายเยอะ นิยายไซไฟ หนังสือทางดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ก็อ่านและเรียนจากหนังสือพวกนี้ อีกอย่างได้พูดภาษาอังกฤษทุกวัน ผ่านไปหลายปี ภาษาก็ดีขึ้น ก็เรียนภาษาอังกฤษถูลู่ถูกังมาอย่างนี้
กลับมาเมืองไทย ผมก็อ่านแต่หนังสือภาษาอังกฤษ ต่อเนื่องกันหลายปี ก็พัฒนาไปอีกขั้น
ทุกอย่างคงอยู่ที่การฝึก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ละคนคงต้องหาวิธีที่ตนเองชอบ
ภาษาอังกฤษสำคัญมาก ตะวันตกมีหนังสือจำนวนมากที่ไม่มีในไทย ไม่ทุกเล่มแปลเป็นไทย ดังนั้นหากสามารถอ่านตรงได้ จะช่วยพัฒนาสมอง ได้เปรียบกว่าคนอื่นที่อ่านวงแคบ
คำแนะนำของผมคือ ไหนๆ เราไม่อาจหนีจากภาษานี้ได้ในชาตินี้ ก็เรียนให้ดีไปเลย จริงไหม?
วินทร์ เลียววาริณ
3 ดีเซ็มเบอร์ 20251 วันที่ผ่านมา -

ซามูไรคือนักรบที่รับใช้ขุนนาง กำเนิดราวศตวรรษที่ 12 ยุคสิ้นสุดของซามูไรในญี่ปุ่นคือราวปี 1870 สมัยเมจิ (ปลายศตวรรษที่ 19)
ปี 1853 สหรัฐฯส่งเรือรบไปทอดสมอที่อ่าวโตเกียว บังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ ญี่ปุ่นรู้ว่าลัทธิล่าอาณานิคมมาถึงแล้ว ก็เปิดประเทศ และปฏิรูปประเทศเป็นสังคมอุตสาหกรรม สร้างกองทัพแบบใหม่ให้รับมือต่างชาติได้
ซามูไรกลายเป็นส่วนเกินในประวัติศาสตร์
นี่คือเรื่องจริง
คราวนี้มาเล่าเรื่องแต่งบ้าง
นักสู้ 292 คนมาชุมนุมกันที่วัด Tenryū-ji ที่เกียวโตในยามค่ำ มันเป็นยุคเมจิที่ซามูไรไร้ความหมาย คนเหล่านี้มาเพราะเห็นประกาศชวนมาประลองยุทธ์ กติกาการแข่งขันคือฆ่ากันตายให้เหลือคนเดียว คนชนะหรือคนรอดชีวิตคนสุดท้ายจะได้เงินรางวัลหนึ่งแสนเยน
นักสู้คนหนึ่งชื่อ Shujiro Saga ไปร่วมด้วย เพราะต้องการเงินไปช่วยครอบครัวในหมู่บ้านที่ห่าลง
นี่คือ Last Samurai Standing (イクサガミ) หนังซีรีส์เรื่องใหม่จากแดนอาทิตย์อุทัย
หนังดุเดือดเลือดพล่าน ฆ่ากันเลือดสาด เดินเรื่องคล้าย Squid Game ผสม Battle Royale
เวลาดูรู้สึกว่ากำลังดู Squid Game เวอร์ชั่นซามูไร เพราะใช้โครงสร้างแทบจะเรียกว่าก๊อบปี้มาจาก Squid Game
แต่การผูกเรื่อง Squid Game เข้ากับซามูไรที่ถูกด้อยค่า ถือว่าลงตัว และมีบริบทในประวัติศาสตร์รองรับ
หนังท่อนกลางเอื่อยๆ เต็มไปด้วยฉากที่ไม่จำเป็น ตัวละครที่ยังเล่นหนังแบบละครหลังข่าว แต่หนังมาเข้มข้นขึ้นในตอนท้าย
การต่อสู้ในตอนสุดท้าย (สู้กลางดงดอกไม้ไฟ) ดี เข้มข้น มีความสดใหม่
โดยรวมหนังสนุก แต่หนังก็ไม่จบ เหมือนผู้สร้างได้เงินมาแค่หกตอน จึงยังให้คะแนนไม่ได้
ต้องดูทั้งเรื่องก่อน เพื่อรู้ว่าภาพรวมหนังต้องการบอกอะไร
โดยส่วนตัว ผมไม่เชื่อว่านักเขียน Last Samurai Standing ลอก Squid Game เพราะไอเดียลอยอยู่ในอากาศ แต่เนื่องจากโครงสร้าง Squid Game โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์มาก เมื่อแต่งเรื่องคล้ายกัน จะดูเป็นลอกทันที
กรณีนี้อาจต่างจากหนังสือและหนังชุด Hunger Games ที่ไม่กี่วันก่อนโดน เควนติน ทาแรนติโน ด่ายับว่าลอกมาจาก Battle Royale แบบไม่ละอายฟ้าดิน เขายุให้คนเขียน Battle Royale ฟ้องคนเขียน Hunger Games "Sue for every f—ing thing she owns."
แต่ทีม Squid Game อย่าเพิ่งฟ้อง Last Samurai Standing นะ ผมยังอยากดูต่อ
ฉายทาง Netflix
วินทร์ เลียววาริณ
2-12-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
1 วันที่ผ่านมา -

สมัยเรียนชั้นมัธยม ผมได้คะแนนวิชาภาษาอังกฤษดี สอบวิชาไวยากรณ์ผ่านสบาย แต่วันแรกที่ผมไปต่างประเทศ และพูดภาษาอังกฤษแบบใช้งานจริง พบว่าตัวเองสอบตก ได้ F พูดไม่ออก พูดไม่รู้เรื่อง อึกๆ อักๆ
จะพูดแต่ละประโยค ต้องแปลในใจจากไทยเป็นอังกฤษเสมอ
หืดขึ้นคอ
ครั้นถามเพื่อนๆ ก็พบว่ามีปัญหาอย่างเดียวกัน น้อยคนมากที่สามารถพูดอังกฤษโดยคิดเป็นอังกฤษเลย
เชื่อว่าคนไทยจำนวนมากพูดภาษาอื่นโดยแปลจากไทยก่อนเสมอ
หลังจากใช้ชีวิตในต่างประเทศหลายปี และใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน วันหนึ่งผมก็พบว่าผมไม่ต้องแปลไทยเป็นอังกฤษแล้ว ผมคิดเป็นภาษาอังกฤษจนได้
ผมเชื่อว่าเกิดจากการพูดบ่อยๆ คุยกันเร็วขึ้น หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจรอการแปลไปแปลมา อาการก็ดีขึ้น
ฝึกจนได้
ผมไม่รู้ว่าหลักสูตรสอนภาษาในปัจจุบันมีเทคนิคอะไรที่สอนให้คิดเป็นภาษาต่างชาติ แต่สมัยผมไม่มี ไปตามบุญตามกรรม
เอาละ ใครจะไปเมืองนอก หรือต้องทำงานกับฝรั่ง ก็ต้องฝึกพูดแบบไม่ต้องแปล ไม่งั้นอาจไม่รุ่ง เพราะเสียเวลากับการสื่อสารนานไป
ส่วนคนที่หมายตาชอบพอกับคนต่างชาติ ยิ่งต้องรีบฝึก
คงไม่ค่อยดีนักถ้าสาวฝรั่งน่ารักมาบอกว่า “Do you love me?” หรือ "Would you like to come to my apartment for coffee?"
แล้วมัวแต่แปลไทยเป็นอังกฤษอยู่นั่นแหละ...
M. K. P. D.
แปลว่า ม.ค.ป.ด.
Have a nice Tuesday.
วินทร์ เลียววาริณ
2-12-252 วันที่ผ่านมา -

เมื่อวานนี้มีข่าวนักร้องชาวญี่ปุ่นถูกยกเลิกการแสดงในจีน จนต้องแสดงโดยไม่มีคนดู
ใช่ ความบาดหมางระหว่างจีนกับญี่ปุ่นยังดำเนินไปอย่างเข้มข้น
วันก่อนอ่านบทวิเคราะห์การเมืองจีน-ญี่ปุ่น วิเคราะห์คำพูดของนายกฯญี่ปุ่นที่ว่าจะช่วยไต้หวันรบจีน และการสร้างกองทัพขึ้นมาใหม่ บทวิเคราะห์นี้น่าสนใจ เพราะเป็นอีกมุมหนึ่ง จึงนำมาเล่าต่อ
ปกติคนญี่ปุ่นจะทำอะไร มักระวังเรื่องการพูดจา สมมุติว่าญี่ปุ่นอยากสร้างกองทัพ อยากช่วยไต้หวัน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องประกาศต่อหน้าชาวโลก ทำไปได้เลยโดยไม่ต้องทำให้เป็นข่าวใหญ่
แล้วทำไมจึงยังทำ? ตั้งใจใช่ไหม?
การที่ญี่ปุ่นพูดตรงขนาดนี้ ผิดธรรมเนียมการเมืองระหว่างประเทศมาก มีคนสงสัยว่า นายกฯคนนี้ไปกินดีหมี หัวใจเสือมาจากไหน
นี่เป็นภาษานิยายจีนกำลังภายใน หมายถึงกล้าเพราะมีแรงกระตุ้น
มีการวิเคราะห์ว่า ดีหมีหัวใจเสือถูกส่งมาจากวอชิงตัน นี่เป็นใบสั่งมาจากวอชิงตัน
วอชิงตันต้องการตบหัวจีน แต่ชอบใช้ proxy คือตัวแทน
ภาษานิยายจีนกำลังภายในเรียกว่า ลิ่วล้อ
ลิ่วล้อมีมากมาย เช่น เซเลนสกี ผู้นำยุโรปหลายคน นายกฯญี่ปุ่นก็อาจเข้าข่าย
ส่วนเนทันยาฮูคนนั้นไม่แน่ใจว่าเป็นลิ่วล้อทรัมป์ หรือทรัมป์เป็นลิ่วล้อเนทันยาฮู บทวิเคราะห์จำนวนมากบอกว่าเป็นอย่างหลัง
นี่เป็นความเห็นหนึ่งของนักวิเคราะห์ จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็ตามสบาย
ที่น่าสังเกตคือ ตอนนี้คะแนนนิยมของนายกฯญี่ปุ่นยังสูงอยู่ นี่แปลว่าคนญี่ปุ่นเห็นด้วยกับการสร้างกองทัพต้านจีนหรือ? บทวิเคราะห์หลายบทว่า อาจจะไม่สามารถใช้คะแนนนิยมเป็นตัวบอกว่าคนญี่ปุ่นอยากทำสงคราม คะแนนนิยมน่าจะมาจากการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจมากกว่าความกล้าชนจีน
พูดถึงความเห็นของประชาชน ก็ต้องว่าต่อเรื่องอิสราเอล มีการสอบถามความเห็นของประชาชนอิสราเอลต่อสิ่งที่ทำกับชาวปาเลสไตน์ ส่วนใหญ่ไม่รู้สึกอะไร คนหลายสิบเปอร์เซ็นต์ไม่เห็นด้วยกับบทบาทของทหารที่เข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์ อีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์เห็นด้วย
แต่เหตุการณ์ในศาลที่อิสราเอลเมื่อเดือนก่อน คนอิสราเอลจำนวนหนึ่งปรบมือ (standing ovation) ให้พวกทหารอิสราเอลที่ข่มขืนหญิงปาเลสไตน์ และบอกว่าพวกข่มขืนเป็นวีรบุรุษ (ไม่ได้พูดเล่น มีคลิปจริงให้ดู)
ผมไม่รู้ว่าคนญี่ปุ่นยุคใหม่รู้สึกอะไรกับคนจีนที่ถูกกระทำถูกข่มขืนที่นานจิง เพราะจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำขอโทษจากรัฐบาลญี่ปุ่น ขณะที่เยอรมันขอโทษที่กระทำเรื่องเลวร้ายมาตั้งแต่ปี 1945 และยังขอโทษอีกหลายรอบ
ส่วนเนทันยาฮูนี่ เมื่อวานนี้เพิ่งบอกประธานาธิบดีให้ช่วยนิรโทษกรรมความผิดข้อหาคอร์รัปชั่นต่างๆ ของเขาหน่อย อย่างนี้ก็มีด้วย
เดี๋ยวก็รู้ว่าใครเป็นลิ่วล้อใคร เคี้ยกเคี้ยก
จะจบปีอยู่แล้ว โลกยังไม่มีวี่แววสงบเลย ข้าพเจ้าคงต้องไปทำใจสงบเองเอง โดยการซักผ้า
วินทร์ เลียวาาริณ
1-12-252 วันที่ผ่านมา -

เผลอนิดเดียวก็มาถึงวันแรกของเดือนสุดท้ายของปี
บางคนบอกว่าเวลาผ่านไปเร็วจัง
แต่จริงๆ เวลาก็ไหลเลื่อนเคลื่อนไปด้วยอัตราเดิม เรารู้สึกไปเองไปว่าเร็วหรือช้า
เรื่องดีและเรื่องไม่ดีไหลผ่านไปด้วยความเร็วเท่ากัน
แต่ที่แน่ๆ คือเราเดินออกห่างจากความเยาว์ สู่ความชรามากขึ้นทุกที
ดังนั้นอยากทำอะไรก็ทำเสียในวันนี้ อย่ารีรอ อย่าผัดวันประกันทูมอร์โรว์
ถ้ามีสติ ก็ยิ้มรับวันใหม่หน่อย
เพราะโลกจะสดใสขึ้นเมื่อเรามองโลกยิ้มๆ ขำๆ
อย่าไปซีเรียสเสียทุกเรื่อง
แล้วจะรู้สึกว่าขณะที่เวลาเคลื่อนไหลไป เราก็ใช้ชีวิตทุกนาทีอย่างมีความสุข
วินทร์ เลียววาริณ
1-12-253 วันที่ผ่านมา
