-
วินทร์ เลียววาริณ1 ปีที่ผ่านมา
ผู้อ่านคนหนึ่งปรึกษากับผมเรื่องผลกระทบของภาษาหยาบคาย เขาเล่าว่าเขามีอันต้องเลิกสัมพันธ์กับคนอื่น เพราะอีกฝ่ายพูดจาหยาบคาย โดยให้เหตุผลว่า พูดหยาบคายได้แสดงว่าจริงใจ
หลายสิบปีก่อน ผมเคยได้ยินเรื่องรุ่นพี่ผม ชายหญิงคู่หนึ่ง รักกันสนิทกันมาก สามารถพูดจากูๆ มึงๆ แทบทุกประโยค แต่ในที่สุดก็เลิกรากัน เพราะเรื่องภาษา
นี่ชี้ว่าการใช้ภาษากูมึงก็อาจมีขีดจำกัด ตอนแรกอาจฟังดูใกล้ชิดสนิทสนม แต่ถึงจุดจุดหนึ่ง มันกลายเป็นเรื่องแสลงหู
อะไรที่มากเกินไป ก็เบื่อหน่ายได้
บางทีคนเราก็อยากได้ยินคำหวานๆ บ้าง
มีสองคำที่บางคนอาจคิดว่ามีความหมายเดียวกัน แต่จริงๆ ต่างกัน คือคำว่า 'หยาบคาย' กับคำว่า 'พูดตรง'
'หยาบคาย' ในความหมายของสังคมเราคือคำหยาบ คำด่า
แต่ไม่ทุก 'คำหยาบ' เป็นคำด่า บรรดาเพื่อนผู้ชายมักเรียกเพื่อนรักว่า "ไอ้เหี้ย" "ไอ้สัตว์" แต่บริบทของมันไม่ใช่หยาบคาย
แต่หากใครคนหนึ่งด่าคนที่เขาไม่เห็นด้วยในโลกโซเชียลว่า "มึง" อย่างนี้คือหยาบคายตามค่านิยมของสังคม
ส่วน 'พูดตรง' มีความหมายว่า พูดแบบไม่อ้อมค้อม เช่น เพื่อนให้ช่วยวิจารณ์งาน ก็บอกว่า "งานคุณแย่มาก"
การพูดตรงไม่จำเป็นต้องใช้คำหยาบ แต่บางครั้งมันก็ให้ความนัยของความหยาบ เช่น ภรรยาถามว่า "ฉันดูแก่ไหม?" ก็พูดตรงว่า "ใช่ เธอแก่"
โดยคำพูดไม่หยาบ แต่โดยบริบทและกาลเทศะ อาจเป็นอีกเรื่อง
หยายหรือไม่หยาบจึงอยู่ที่บริบทและกาลเทศะด้วย
ภรรยาถามว่า "ฉันดูแก่ไหม?" ด้วยนัยว่ายังไม่อยากแก่ ดังนั้นหากสามีอ่านระหว่างบรรทัดไม่ออก ก็เกิดความเคืองใจกันโดยไม่จำเป็น
แต่ในบางกรณี ก็มีคนสามารถพูดตรงและหยาบได้แบบ 2 in 1 เช่น เจ้านายบอกลูกน้อง ว่า "เหี้ย งานมึงแย่มาก ชีวิตมึงไม่มีทางรุ่งว่ะ กูว่ามึงรีบไปเกิดใหม่เถอะ"
เรื่องแบบนี้มักจบที่เจ้านายไปเกิดใหม่ก่อน เพราะมีคดีจริงที่ลูกน้องเอาปืนไปยิงเจ้านายตายคาออฟฟิศ เพราะหยาบคายเกินไป
จะเห็นว่าการพูดจาเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ถึงจะพูดตรง ก็มีวิธีพูดที่เหมาะสมและไม่ทำร้ายน้ำใจคนอื่นได้
นั่นคือต้องมี empathy เอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ
การด่าแบบตรงๆ นั้นง่าย ไม่ต้องใช้ศิลปะ การด่าแบบสุภาพทุกคำ ยากกว่ามาก
ผมพูดเสมอเมื่อมีคนถามว่า "ทำไมเราควรพูดจาสุภาพ"
คำตอบคือ เพราะเรามีคุณค่าพอที่จะรับสิ่งดีๆ และมอบสิ่งดีๆ แก่คนอื่น
เรามีค่า เราจึงทำ!
มันไม่ได้ทำให้เราเหนื่อยขึ้นที่จะพูดจาสุภาพ
วินทร์ เลียววาริณ
21-6-240- แชร์
- 167
-
ช่วงนี้มีข่าวแปลกๆ เรื่องแก้บน
มันก็คงไม่แปลกหรอก หากแก้บนแปลว่าแก้ท่อนบนด้วย
เรื่องรำแก้บนน่ะได้ยินมาตั้งแต่ผมเป็นเด็ก ส่วนรำ 'แก้' บน ก็มาเรื่อยๆ คงคิดว่าเทวดาอยากดูของพวกนี้
ไม่นานมานี้ก็มีข่าวหนุ่มวัย 22 ปี วิ่งเปลือยกายไปตามถนนเพชรเกษม อ้างทำไปเพื่อแก้บน
คงกลายเป็น new normal ไปอีกเรื่อง
การบนคือการทำสัญญาธุรกิจกับเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย การแก้บนคือการจ่ายค่าบริการ
สัญญาธุรกิจฉบับนี้บอกว่า ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานสิ่งที่ตนต้องการ แลกกับการตอบแทนด้วยข้าวของ เครื่องเซ่น ไปจนถึงการแสดง
บริการที่มนุษย์ต้องการจากเทวดาก็เช่น ขอให้สอบติด ขอให้จับได้ใบดำในการเกณฑ์ทหาร ฯลฯ
ธุรกรรมนี้มนุษย์บังคับให้เทวดาเล่นด้วย พูดเองเออเอง เราเป็นผู้กำหนดกติกาเองว่าจะให้อะไรตอบแทนแก่เทวดา
สิ่งตอบแทนมีทั้งสิ่งของ เช่น ไข่พันลูก ไปจนถึงการกระทำ เช่น ฉายหนัง เล่นละคร โขนให้เทวดาดู อาจจ้างมืออาชีพมารำหรือเล่นละคร ตั้งแต่รำแบบธรรมดาไปจนถึงวงปี่พาทย์บรรเลง ไทย มอญ โขน ลิเก ละครชาตรี รวมไปถึงการแสดงเอง เช่น รำแก้บน แก้ผ้ารำ เต้นโคโยตี วิ่งจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ ไปจนถึงขั้นแก้ผ้าวิ่ง แก้ผ้ารำ
ก็คือการติดสินบนเทวดาดี ๆ นี่เอง
ตำนานและเรื่องเล่ามากมายพูดถึงปาฏิหาริย์ที่อำนาจศักดิ์สิทธิ์เข้ามาแทรกแซงกิจการของมนุษย์เรียกว่า divine intervention แม้ในพื้นบ้านไทยก็มีพิธีแห่นางแมวเพื่อขอฝน เป็นต้น
คำถาม :
- เทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประเภทไหนที่ชอบอาหารหรือความบันเทิงที่มนุษย์ส่งมาให้ ‘กิน’ หรือ ‘ชม’ ทำไมจึงมีรูปลักษณ์และความคิดอ่านคล้ายมนุษย์อย่างยิ่ง เสพอาหารมนุษย์ ดูละครมนุษย์
แสดงว่าเทวดาเป็นสายพันธุ์มนุษย์? เป็นสปีชีส์ที่สูงกว่ามนุษย์?
- ถ้าเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคนที่บนบานได้จริง เทวดาใช้หลักอะไร แค่บนบานก็ได้แล้ว? ก็แสดงว่าเทวดารับสินบนได้?
- อำนาจศักดิ์สิทธิ์ใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินว่าจะทำตามที่มนุษย์บนบาน?
อำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่เข้ามาแทรกแซงกิจการของมนุษย์ (divine intervention) คืออะไร? สิ่งทรงภูมิปัญญานอกโลก? ผู้ปกครองดาราจักร? ผู้ปกครองจักรวาล? ผู้สร้างจักรวาล? ถ้าใช่ ทำไปทำไม? ทำไมต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนในโลกเล็ก ๆ ใบนี้? เราสำคัญอย่างไร? ทำไมช่วยแต่มนุษย์? ทำไมไม่ดูแลสัตว์อื่นด้วย? ทำไมเราฆ่าทำลายชีวิตอื่น ทำลายโลกแล้วยังดูแลเรา?
ถ้าหากอำนาจศักดิ์สิทธิ์รับรองการทำทานของเรา แล้วช่วย ก็แสดงว่ารับสินบนหรือสิ่งตอบแทนของเรา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประเภทไหนกันที่ทำเรื่องเช่นนี้?
สมมุติว่าอำนาจศักดิ์สิทธิ์กำหนดชะตามนุษย์อยู่แล้ว การบนบานช่วยเปลี่ยนชะตาหรือ หรือว่าการบนบานเทวดาเป็นส่วนหนึ่งของชะตาคนผู้นั้น ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องทำงานซ้ำซ้อน รุ่มร่ามแบบนี้
คำถามสุดท้ายคือ เป็นไปได้ไหมว่ามนุษย์ประดิษฐ์ความเชื่อทั้งหมดนี้ขึ้นมาเอง?
การขอความช่วยเหลือจากอำนาจเบื้องบนไม่ว่าในรูปใด เพียงสะท้อนสภาพอ่อนแอของจิตมนุษย์ ความไม่มั่นคงทางจิตใจ และความโลภ
เหล่านี้คือ - จากคำพูดของท่านพุทธทาสภิกขุ - ไสยศาสตร์ของคนปัญญาอ่อน
ท่านพุทธทาสภิกขุแสดงธรรมล้ออายุ ปี 2525 หัวข้อ อยากจะร้องไห้ เพราะจะต้องรักษาไสยศาสตร์ไว้สำหรับคนปัญญาอ่อน ไว้ดังนี้
“สิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์นี่มันจำเป็นสำหรับคนปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์เป็นศาสนาของคนปัญญาอ่อน คุณอย่าปัญญาอ่อนสิ อย่าเป็นผู้ปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์จะหมดอำนาจหมดกำลัง ถ้าคุณยังเป็นปัญญาอ่อนอยู่ มันก็ยังต้องการไสยศาสตร์อย่างที่หลีกไม่ได้ช่วยไม่ได้...
มันเป็นต้นตอแห่งปัญหาของโลกทั้งโลกเลย มันเป็นปัจจัยที่หล่อเลี้ยงอวิชชาไว้มากเหลือเกิน ไสยศาสตร์เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงอวิชชาไว้ให้ยังคงมีกำลังรุนแรงอยู่ตลอดเวลา
ปัญหาทางไสยศาสตร์ โลกมันถูกครอบงำอยู่ด้วยปัญหาอย่างนี้ มันจึงลืมตาไม่ขึ้น แม้ว่าจะมีการศึกษา เจริญก้าวหน้าเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นบัณฑิตเป็นอะไรกันเต็มที่แล้ว ไอ้ความรู้สึกทางไสยศาสตร์มันก็ยังอยู่ ต่อให้ไปเรียนจากเมืองนอกมีปริญญาเป็นหางมาถึงเมืองไทย ก็ยังไม่ละทิ้งไอ้ไสยศาสตร์ได้ คือความกลัวโดยไม่มีเหตุผล ความอยากโดยไม่รู้จักประมาณ ความเชื่อว่ามีสิ่งหนึ่งซึ่งเราไม่รู้ได้ไม่เห็นหน้าได้ไม่รู้จักได้ เป็นสิ่งที่มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง แม้จะไปเรียนวิทยาศาสตร์จบปริญญาวิทยาศาสตร์มามันก็ไม่ละทิ้งความรู้สึกอันนี้ได้เพราะมันฝังอยู่ลึก
ปัญญาอ่อนในเรื่องนี้หมายถึงว่ามันอ่อนไปด้วยความรู้ ความถูกต้องของพระธรรม มันปัญญาอ่อนอย่างนี้ ไอ้เด็กปัญญาอ่อนที่เก็บไว้ตามโรงพยาบาลนั่นไม่เป็นไร นั่นมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นความไม่สมประกอบของไอ้ระบบกาย แต่คนที่มีร่างกายดี กลับมีปัญญาอ่อนเพราะรู้ผิดนี่ คือสิ่งที่เป็นปัญหาที่ทำให้โลกนี้จมอยู่ในความมืดไม่ลืมตา เราเรียกกันว่าไสยศาสตร์ ปัญญาอ่อนเท่าไร มันก็ยิ่งต้องการไสยศาสตร์มากเท่านั้นแหละ"
การบนบานอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร มันเป็นเพียงการกระทำเพื่อแก้ไขความสิ้นหวัง เมื่อแก้ไขเองไม่ได้ ก็ใช้ทางลัด ขอจากเทวดาโดยตรง
มันช่วยเรื่องสุขภาพจิตมากกว่า
สาระของการบนก็ไม่ต่างจากการแก้กรรม การสะเดาะเคราะห์ การล้างความซวย ฯลฯ ทำเพื่อให้ตนเองปลอดภัย มองในแง่วิวัฒนาการ มันก็คือกลไกป้องกันตัวเอง (defense mechanism) อย่างหนึ่ง เหมือนลอยคอกลางทะเล เห็นอะไรก็คว้าเกาะ
การบนและการแก้บนอาจไม่จำเป็น และง่ายกว่า นั่นคือใช้ปัญญานำทาง ไม่อยากสอบตก ก็ตั้งใจเรียน อยากสอบเข้าสถาบันดี ๆ ได้ ก็ศึกษาหนัก
แน่นอนกว่า
วินทร์ เลียววาริณ
30-8-25บางท่อนจาก หลับถึงชาติหน้า
รวมบทความต้านโหราศาสตร์และไสยศาสตร์
28 บทความ ราคา 220 = บทความละ 7.8 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
220 บาทนี้จะทำให้คุณประหยัดค่างมงายไปตลอดชีวิต
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/168/หลับถึงชาติหน้า
โปรโมชั่นคู่กับเล่มอื่น คุ้มกว่า https://shope.ee/Vj8bA8a4u?share_channel_code=6
1 วันที่ผ่านมา -
โลกเราเต็มไปด้วยความเชื่อมากมาย แต่ละความเชื่อมักอ้างอิงวิทยาศาสตร์ ฟังดูดี แต่มันเป็นวิทยาศาสตร์เทียม เช่น การดูดวงที่อ้างดาราศาสตร์
คาร์ล เซเกน มองโลกที่หลักการและหลักฐานเสมอ ไม่ให้ราคาความเชื่อ ไม่ว่าความเชื่อนั้นฟังดูดีแค่ไหน
จะเสนอไอเดียหลุดโลกอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงรองรับด้วยหลักฐานหรือคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้
เซเกนต่อต้านวิทยาศาสตร์เทียม คำกล่าวอ้างที่เกินจริง ไร้ความจริง
เซเกนบอกว่า คนที่ตั้งทฤษฎีและความคิดบางอย่างที่มีกลิ่นของวิทยาศาสตร์เทียม ควรมีหน้าที่รองรับมันด้วยหลักฐาน ยิ่งเป็นทฤษฎีแหวกแนว ยิ่งต้องรองรับด้วยหลักฐานที่หนักแน่นขึ้น เรียกว่า ‘Extraordinary claims require extraordinary evidence’
ประโยคนี้บางครั้งนิยมใช้ย่อว่า ECREE บางทีก็เรียกว่า Sagan Standard (มาตรฐานเซเกน)
บทความใหม่วันเสาร์ คลิกลิงก์อ่านได้เลย https://www.blockdit.com/posts/67fbe3ee562777bb7c6cfbcb
1 วันที่ผ่านมา -
"ท่านรัฐมนตรีรักชาติคะ ท่านมีความเห็นอย่างไรกับคำตัดสินของศาลคะ?"
"มันเป็นตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง"
"แล้วท่านรู้สึกยังไงที่ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย?"
"มันเป็นตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง"
"แล้วท่านจะไปตั้งรัฐบาลใหม่กับเขาไหม?"
"ผมมีความรู้ความสามารถ ก็ต้องช่วยพี่น้องประชาชน จะนิ่งดูดายได้อย่างไรเล่า"
"เอ๊ะ! อย่างนี้จะสง่างามหรือคะ?"
"มันเป็นตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง"
"แปลว่าไม่ว่าใครตั้งรัฐบาล ท่านก็จะเป็นรัฐมนตรี?"
"ผมมีความรู้ความสามารถ ก็ต้องช่วยพี่น้องประชาชน จะนิ่งดูดายได้อย่างไรเล่า"
"แต่มันเหมาะสมหรือคะ?"
"มันเป็นตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง"
"สรุปคือใครมาใครไป ท่านอยู่ตลอด?"
"มันเป็นตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง"
"ขอโทษนะคะท่าน ดูเหมือนท่านใช้คำว่า 'ตถตา' ผิดบริบท น่าจะใช้ 'ตัวกูของกู' หรือเปล่าคะ?"
"ที่ผิดน่าจะเป็นพระบางวัดมากกว่ามั้ง ใช้คำผิดหรือถูก โน อิมพอร์ตั้น ที่ เวรี่ อิมพอร์ตั้น คือเราทำงานให้พี่น้องประชาชน"
"สรุปก็คือท่านเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเกาะเก้าอี้แน่น ไม่น่าเกลียดหรือ?"
"เพื่อพี่น้องประชาชน จะเรียกผมว่าอะไรก็ยอม ผมมีความรู้ความสามารถ ก็ต้องช่วยพี่น้องประชาชน จะนิ่งดูดายได้อย่างไรเล่า"
"สรุปคือประชาชนยังจะเห็นหน้าท่านอีกในรัฐบาลชุดต่อไป?"
"มันเป็นตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง เคี้ยกเคี้ยก"
วินทร์ เลียววาริณ
29-8-25682 วันที่ผ่านมา -
นี่เป็นการป้ายยา pre-order ครั้งสุดท้าย เพราะ pre-order สี่ภพ จะจบวันที่ 31 สิงหาคม
31 สิงหาคมจะเป็นวันสุดท้ายของการชำระเงินและส่งหลักฐาน pre-order
หลังจากนั้นเราจะหยุดรับออร์เดอร์ 2 สัปดาห์ เพื่อเคลียร์งานการผลิต การเซ็นชื่อ และจัดส่งท่านที่ pre-order ล่วงหน้า
เราจะวางขายแบบหนังสือปกติตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน ทั้งทางเว็บไซต์และ Shopee ตามราคาปกจริงคือ 2,400.-
ซื้อทางเว็บไซต์ไม่คิดค่าส่ง และสามารถใช้คะแนน winpoint ได้ (เนื่องจากเป็นหนังสือปกติแล้ว)
ซื้อทาง Shopee คิดค่าส่งตามกฎของ Shopee (ถ้าใครมีคะแนนของ Shopee ก็น่าจะใช้ได้)
งานหนังสือเดือนตุลาคม มีจำหน่ายในราคา 2,200.- ถ้ามาซื้อเอง แต่ถ้าให้จัดส่ง ก็เป็นราคาปก 2,400.-
วินทร์ เลียววาริณ
29-8-25อ่านที่มาของงานชุดนี้ได้ที่ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1348523389969682&set=a.208269707328395
อ่านรายละเอียดหนังสือได้ที่
https://www.facebook.com/photo?fbid=1352241359597885&set=a.208269707328395ตอนนี้พิมพ์จริงแล้ว สั่งซื้อ คลิก https://www.winbookclub.com/store/detail/254/4%20%E0%B8%A0%E0%B8%9E
ในหน้า pre-order สามารถคลิกอ่านตัวอย่าง 2 บทได้ฟรี
2 วันที่ผ่านมา -
วันก่อนคุยเรื่องกรรม ต่ออีกนิด เพราะยังไม่จบ
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราใช้ปัญญาพิจารณาความสัมพันธ์ของเหตุและปัจจัย
แนวคิดทางพุทธจริง ๆ ชี้ว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้นไปตามกฎแห่งเหตุและผล (cause-effect) และกฎแห่งเหตุและผลนั้นไม่ได้หมายเฉพาะถึงกฎแห่งกรรมอย่างเดียว มันยังเกิดจากกฎอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น พีชนิยาม (กฎเกี่ยวกับพืชพันธุ์ ปลูกพืชอะไรก็ได้พืชชนิดนั้น)
และอุตุนิยาม (กฎเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและดินฟ้าอากาศ เช่น อากาศร้อน เหงื่อก็ออก) เป็นต้น
คนที่มัวแต่หมกมุ่นกับกรรมเก่าและการแก้กรรม อาจสร้างกรรมใหม่โดยปริยาย เพราะการไม่ทำอะไรก็เป็นกรรมอย่างหนึ่งซึ่งจะส่งผลต่อเราในเวลาถัดไป
เป็นเรื่องง่ายที่จะโยนความผิดทุกอย่างให้กรรม และไม่ต้องทำอะไร แต่คนฉลาดจะคิดวิเคราะห์ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตนมาจากเหตุปัจจัยอะไร
ต่อให้เรื่องกรรมในความเชื่อนี้เป็นจริง ก็ยังต้องลงมือทำ เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถทำให้ทุกคนรวยได้โดยนอนอยู่เฉย ๆ
พระไพศาล วิสาโล กล่าวว่า “หากไม่งอมืองอเท้าก้มหน้า ‘รับกรรม’ ก็คิดแต่จะ ‘แก้กรรม’ สถานเดียว แต่ไม่ขวนขวายที่จะสร้างกรรมใหม่ที่ดีงามขึ้นมา หรือเปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นประโยชน์ เช่น เป็นเครื่องเตือนใจให้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิต หรือกระตุ้นให้เกิดความไม่ประมาท เร่งทำความดีงามขณะที่ยังมีเวลาและกำลังวังชาอยู่”
ชีวิตเราก็เหมือนที่ดินผืนหนึ่ง บางคนได้ที่ดินอุดมสมบูรณ์ บางคนไม่ได้ แต่เราก็ทำให้มันดีที่สุด
ถ้าผืนดินของเราเป็นดินแข็งหรือดินเสีย ปลูกอะไรไม่ขึ้น เราจะแก้กรรม หรือว่าหาวิธีแก้ไขดิน ปรับปรุงจนมันปลูกพืชได้?
ประเทศในแถบทะเลทรายหลายประเทศไม่ได้ทำพิธีแก้กรรมที่ปลูกพืชไม่ขึ้น แต่พัฒนาระบบชลประทานจนปลูกพืชได้
นี่ก็คือการสร้างกรรมดี และได้รับผลที่ดี
ไม่มีตำราแก้กรรมสักเล่มเดียวที่สอนให้แก้ปัญหาให้ตรงจุด แต่ให้อ้อนวอน ทำบุญให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ
มีแต่การหาทางลัด
เหล่านี้มิใช่พุทธศาสตร์ แต่คือไสยศาสตร์ และไม่ใช่ไสยศาสตร์ธรรมดา มันคือ ‘ไสยศาสตร์มักง่าย’
ตำราแก้กรรมทั้งหลายไม่เคยบอกว่า พวกเราทำกรรมอะไรในชาติก่อน ชาตินี้จึงต้องอ่านตำราแก้กรรม!
วินทร์ เลียววาริณ
29-8-25บางท่อนจาก หลับถึงชาติหน้า
รวมบทความต้านโหราศาสตร์และไสยศาสตร์
28 บทความ ราคา 220 = บทความละ 7.8 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
220 บาทนี้จะทำให้คุณประหยัดค่างมงายไปตลอดชีวิต
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/168/หลับถึงชาติหน้า
โปรโมชั่นคู่กับเล่มอื่น คุ้มกว่า https://shope.ee/Vj8bA8a4u?share_channel_code=6
2 วันที่ผ่านมา