-
วินทร์ เลียววาริณ1 ปีที่ผ่านมา
ผู้อ่านคนหนึ่งปรึกษากับผมเรื่องผลกระทบของภาษาหยาบคาย เขาเล่าว่าเขามีอันต้องเลิกสัมพันธ์กับคนอื่น เพราะอีกฝ่ายพูดจาหยาบคาย โดยให้เหตุผลว่า พูดหยาบคายได้แสดงว่าจริงใจ
หลายสิบปีก่อน ผมเคยได้ยินเรื่องรุ่นพี่ผม ชายหญิงคู่หนึ่ง รักกันสนิทกันมาก สามารถพูดจากูๆ มึงๆ แทบทุกประโยค แต่ในที่สุดก็เลิกรากัน เพราะเรื่องภาษา
นี่ชี้ว่าการใช้ภาษากูมึงก็อาจมีขีดจำกัด ตอนแรกอาจฟังดูใกล้ชิดสนิทสนม แต่ถึงจุดจุดหนึ่ง มันกลายเป็นเรื่องแสลงหู
อะไรที่มากเกินไป ก็เบื่อหน่ายได้
บางทีคนเราก็อยากได้ยินคำหวานๆ บ้าง
มีสองคำที่บางคนอาจคิดว่ามีความหมายเดียวกัน แต่จริงๆ ต่างกัน คือคำว่า 'หยาบคาย' กับคำว่า 'พูดตรง'
'หยาบคาย' ในความหมายของสังคมเราคือคำหยาบ คำด่า
แต่ไม่ทุก 'คำหยาบ' เป็นคำด่า บรรดาเพื่อนผู้ชายมักเรียกเพื่อนรักว่า "ไอ้เหี้ย" "ไอ้สัตว์" แต่บริบทของมันไม่ใช่หยาบคาย
แต่หากใครคนหนึ่งด่าคนที่เขาไม่เห็นด้วยในโลกโซเชียลว่า "มึง" อย่างนี้คือหยาบคายตามค่านิยมของสังคม
ส่วน 'พูดตรง' มีความหมายว่า พูดแบบไม่อ้อมค้อม เช่น เพื่อนให้ช่วยวิจารณ์งาน ก็บอกว่า "งานคุณแย่มาก"
การพูดตรงไม่จำเป็นต้องใช้คำหยาบ แต่บางครั้งมันก็ให้ความนัยของความหยาบ เช่น ภรรยาถามว่า "ฉันดูแก่ไหม?" ก็พูดตรงว่า "ใช่ เธอแก่"
โดยคำพูดไม่หยาบ แต่โดยบริบทและกาลเทศะ อาจเป็นอีกเรื่อง
หยายหรือไม่หยาบจึงอยู่ที่บริบทและกาลเทศะด้วย
ภรรยาถามว่า "ฉันดูแก่ไหม?" ด้วยนัยว่ายังไม่อยากแก่ ดังนั้นหากสามีอ่านระหว่างบรรทัดไม่ออก ก็เกิดความเคืองใจกันโดยไม่จำเป็น
แต่ในบางกรณี ก็มีคนสามารถพูดตรงและหยาบได้แบบ 2 in 1 เช่น เจ้านายบอกลูกน้อง ว่า "เหี้ย งานมึงแย่มาก ชีวิตมึงไม่มีทางรุ่งว่ะ กูว่ามึงรีบไปเกิดใหม่เถอะ"
เรื่องแบบนี้มักจบที่เจ้านายไปเกิดใหม่ก่อน เพราะมีคดีจริงที่ลูกน้องเอาปืนไปยิงเจ้านายตายคาออฟฟิศ เพราะหยาบคายเกินไป
จะเห็นว่าการพูดจาเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ถึงจะพูดตรง ก็มีวิธีพูดที่เหมาะสมและไม่ทำร้ายน้ำใจคนอื่นได้
นั่นคือต้องมี empathy เอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ
การด่าแบบตรงๆ นั้นง่าย ไม่ต้องใช้ศิลปะ การด่าแบบสุภาพทุกคำ ยากกว่ามาก
ผมพูดเสมอเมื่อมีคนถามว่า "ทำไมเราควรพูดจาสุภาพ"
คำตอบคือ เพราะเรามีคุณค่าพอที่จะรับสิ่งดีๆ และมอบสิ่งดีๆ แก่คนอื่น
เรามีค่า เราจึงทำ!
มันไม่ได้ทำให้เราเหนื่อยขึ้นที่จะพูดจาสุภาพ
วินทร์ เลียววาริณ
21-6-240- แชร์
- 199
-

ผู้พิพากษา อักขรา ภิภาษะ นั่งบนบัลลังก์ สายตาคมประดุจเหยี่ยวกวาดไปทั่วศาล แล้วหยุดที่ทนายความ กฤษณ์ กีนตวน เอ่ยว่า "คุณกฤษณ์"
"ครับ"
"คุณเขียนในคำร้องนี้ว่า ขอผลัดการตัดสินไปก่อน"
"ใช่ครับ"
"คุณเป็นนักวิ่งผลัดด้วยหรือ?"
"เปล่าครับ ผมมีอาชีพเดียวคือทนายความ"
"แล้วทำไมจึงขอผลัดการตัดสิน?"
"เอ๊ะ! ผมเขียนผิดหรือครับ?"
"ผัดการตัดสินที่ถูกไม่มี ล ลิง"
"หรือครับ? ผมคิดว่าคำว่า ‘ผัด’ เกี่ยวข้องกับการทำอาหาร"
"ผัดไม่มี ล ลิง ใช้กับเวลาได้ด้วย เช่น อย่าผัดวันประกันพรุ่ง แปลว่า ขอเลื่อนเวลาไปครั้งแล้วครั้งเล่า หรือ 'ผัดเพี้ยน' แปลว่า ขอเลื่อนเวลาไป นอกจากนี้ ผัดไม่มี ล ลิง ยังใช้กับการทาหน้าด้วยแป้ง เรียกว่า ผัดหน้า"
"แล้ว ‘ผลัด’ ที่มี ล ลิง?"
"‘ผลัด’ ที่มี ล ลิง แปลว่า เปลี่ยนแทนที่ เช่น ผลัดเสื้อผ้า ผลัดเวร ผลัดใบ ไม่มีความหมายว่าเลื่อนเวลา หรือเลื่อนการตัดสิน"
"ขอบพระคุณที่ชี้แนะ"
"ไม่ต้องขอบคุณ ไปคัดลายมือมาร้อยบรรทัด"
"ผมขอความปรานี น หนู ให้ศาล 'ผัดผ่อน' ไม่มี ล ลิงด้วยครับ"
"อืม! ใช้คำว่า ปรานี และ ผัดผ่อน ได้ถูกต้อง อย่างนี้ลดโทษเหลือห้าสิบบรรทัด"
วินทร์ เลียววาริณ
24-10-252 วันที่ผ่านมา -

คนยุคนี้ตั้งนาฬิกาปลุกง่ายมาก สมาร์ทโฟนทุกเครื่องทำหน้าที่นี้ได้รวดเร็วและแม่นยำ
เรียกว่า wake-up call
คำว่า wake-up call นอกจากจะแปลว่า ‘ปลุกให้ตื่น’ แล้ว ยังมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ หมายถึงสัญญาณเตือน ‘อันตราย’ ที่อาจกำลังจะมาถึง ยกตัวอย่างเช่น เห็นเพื่อนร่วมงานถูกไล่ออก ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาอัพเกรดตัวเองได้แล้ว มิเช่นนั้นอาจถูกเชิญให้ออกเหมือนเพื่อน
ไปซื้อของในตลาด แม่ค้าทักว่า “ตอนนี้ท้องกี่เดือนแล้วคะ?” ทั้งที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ก็ถือเป็น wake-up call ว่า ตัวเองอ้วนเกินไปแล้ว จนคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าท้อง ได้เวลาลดน้ำหนักแล้ว
อ่านข่าวนักศึกษาจบมาไม่มีงานทำ ก็คือ wake-up call บอกว่าต้องหาจุดแข็งของตัวเอง ไม่เช่นนั้นอาจหางานทำไม่ได้
บางครั้ง wake-up call ก็ค่อนข้างหนักหนาเช่น เป็นมะเร็ง ถ้าไม่ได้เป็นหนักมากจนรักษาไม่หาย หรือเพิ่งเป็นและรักษาได้ ก็ถือว่าเป็น wake-up call ที่ทำให้ต้องปรับปรุงวิถีชีวิตของตนเองใหม่
หากมองว่า wake-up call เป็นสัญญาณจากสวรรค์ มันก็เป็นสัญญาณจากสวรรค์จริง ๆ เพราะช่วยให้เราเลี่ยงพ้นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหากอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร คนที่เป็นมะเร็งหลายคนหายป่วยเพราะเปลี่ยนวิถีดำรงชีวิต และกลับมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ผมไปเรียนปริญญาโทเมื่ออายุสี่สิบ ก็เพราะมองเห็น ‘สัญญาณจากสวรรค์’ บ่อยมากว่ามนุษย์เงินเดือนอายุมากมักถูกบีบให้ลาออก ไม่ว่าจะเรียกว่า ‘เออร์ลี รีไทร์’ หรืออะไร จำเป็นต้องอัพเกรดตัวเอง หาหนทางสายที่สองรอไว้ก่อน
ผมอาจเรียนไม่จบก็ได้ หากไม่เจอ wake-up call ผลคะแนนในชั้นร่วงหล่นเกือบรั้งท้าย ทำให้เกิดสำนึกว่าเรียนเล่น ๆ อ่านแต่นิยายไม่ได้แล้ว
ปัญหาคือคนจำนวนมากมักรอให้เกิดแรงสะเทือนมาถึงตัวก่อนค่อยลงมือทำอะไรสักอย่าง นั่นคือการใช้ชีวิตอย่างประมาท ทำไมต้องรอให้เกิด wake-up call ขึ้นก่อนจึงเร่ิมขยับตัว? ลอง มองไปรอบตัวจะพบเห็น wake-up call ที่เกิดขึ้นกับคนอื่นมากมายนับไม่ถ้วน : นายรังสรรค์เป็นมะเร็งลำไส้ นายมาโนชเป็นเบาหวาน นางรัศมีเป็นโรคอ้วน นายพิเชษเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบเป็นอัมพฤกษ์ นายสถิตถูกรถชนเป็นอัมพาต ลูกนายกรณ์ติดเกม ลูกนางสุภาติดยา ลูกสาวนายโสภณท้องในวัยเรียน ฯลฯ
เราอาจสามารถเลี่ยงปัญหาทั้งหมดนี้ได้พ้นโดยสิ้นเชิงตั้งแต่วันนี้โดยใช้ปัญหาจริงของคนอื่น ๆ เป็น ‘สัญญาณจากสวรรค์’ ของตัวเอง หาทางป้องกันแต่เนิ่น ๆ ไม่ให้มันเกิดขึ้น
หลายคนดื่มเหล้าแล้วขับรถ หลายคนชอบใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างขับรถ บางคนชอบส่งข้อความระหว่างขับรถ หากดูสถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากสองสามสาเหตุนี้ เราก็จะรู้ว่าควรทำอย่างไร
ถึงจะเป็นคนที่ไม่สนใจชีวิตตนเอง ว่าง ๆ ก็ลองไปเยือนโรงพยาบาลรัฐสักแห่ง เห็นคนป่วยไข้โรคต่าง ๆ มากมายหลายร้อยคน บางคนมีท่อหายใจคาอยู่ บางคนหายใจพะงาบ ๆ บางคนร้องโอย ๆ ก็อาจบรรลุธรรมเห็น wake-up call ที่ทำให้หันมาเอาใจใส่สุขภาพตัวเอง
เหล่านี้เป็น wake-up call ที่มิเพียงช่วยชีวิตเราได้ แต่อาจนำทางเราไปสู่ชีวิตที่มีคุณภาพและสุขสงบเต็มศักยภาพของเรา
มีแต่คนโง่ที่มองไม่เห็นหรือเพิกเฉยสัญญาณจากสวรรค์ และดำเนินชีวิตแบบประมาทต่อไป
ชีวิตเราเป็นของเรา เราเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว หากมันล้มเหลว ออกนอกลู่นอกทาง หรือพังพินาศ ก็เพราะสองเหตุผลเท่านั้น หนึ่งคือเราไม่รู้จริง ๆ สองคือเราตาบอด มองไม่เห็นสัญญาณจากสวรรค์รอบตัวเรา
วินทร์ เลียววาริณ
24-10-25จาก ชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราว
31 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 6.1 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
เล่มเดี่ยว https://www.winbookclub.com/store/detail/137/ชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราวโปรโมชั่นพิเศษชุด
https://www.winbookclub.com/store/detail/235/R4%20%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%2042 วันที่ผ่านมา -

วันนี้เป็นวันปิยมหาราช ตั้งแต่เด็กเรียนในโรงเรียนและทึ่งว่า พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์นี้ทรงทำเรื่องต่างๆ มากมาย เลิกทาส รถไฟ ไปรษณีย์ โทรเลข การประปา ปฏิรูปการปกครอง ฯลฯ
แต่ก็เป็นภาพกว้างๆ มองในมุมเด็ก
จนเมื่อศึกษาประวัติศาสตร์ไทยช่วงลัทธิล่าอาณานิคมของตะวันตก ก็เพิ่งรู้ว่าทรงทำเรื่องยากเย็นหลายอย่างที่ทำให้เมืองไทยยังรักษาเอกราชไว้ได้ เป็นเรื่องไม่ธรรมดาที่เรารอดเหยี่ยวนักล่าตะวันตกหลายตัวมาได้ หมิ่นเหม่ต่อการเสียกรุงครั้งที่สามอย่างยิ่ง
ในมุมของการเมืองโลก (geopolitics) เราฉลาดที่สร้างพันธมิตรรัสเซีย ในมุมของหมากรุก เราเดินหมากฉลาดที่ยอมเสียดินแดนบางส่วนเพื่อแลกกับเอกราชของทั้งชาติ (เสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต)
สยามจึงเป็นประเทศเดียวในถิ่นนี้ที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร นี่ไม่ใช่งานง่าย และเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง
คนรุ่นใหม่หลายคนที่ไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ท่อนนี้ ก็อาจมองต่างมุม ไม่เห็นความเสียหายของการเป็นเมืองขึ้น หรือกระทั่งเห็นความเท่ของการเป็นเมืองขึ้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นที่รักใคร่อย่างล้นเหลือของพสกนิกรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ พระราชสมัญญานามว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช" มีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน
บันทึกของนายช่างเยอรมัน ลูอิส ไวเลอร์ ที่มาสร้างรถไฟไทย ในอนุทินส่วนตัวของเขาหลังจากได้ยินข่าวรัชกาลที่ 5 สวรรคต ดังนี้
(26 ตุลาคม 2453)
“ข่าวนี้สะเทือนใจผมมาก ในราชอาณาจักรเล็กๆ ของพระองค์ พระองค์ทรงปกครองดั่งบิดาที่ใส่ใจบุตร พระองค์ทรงรู้จักข้าราชการระดับสูงเป็นการส่วนพระองค์ทุกคน และเป้นพระมหากษัตริย์ที่พระทัยดีและปรารถนาดีต่อพวกเราชาวยุโรป พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา ด้วยเหตุนี้จึงทรงพยายามอยู่เสมอที่จะทรงหลีกเลี่ยงเรื่องราวทุกสิ่งที่อาจจะทำให้เรารู้สึกน้อยใจ พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความมีพระเมตตาและทรงมีความปรารถนาดีต่อตัวผม จนทำให้ผมเคยชินที่จะมองพระองค์เป็นเสมือนมิตรและผู้อุปถัมภ์ ถึงแม้พระองค์จะทรงรู้สึกนึกคิดแบบชาวสยามอย่างแท้จริง แต่พระองค์ก็ทรงเข้าพระราชหฤทัยและทรงตระหนักเห็นลักษณะนิสัยของชาวยุโรปได้อย่างถ่องแท้ อีกทั้งยังโปรดให้พวกเขามาช่วยทำงานเพื่อพัฒนาประเทศของพระองค์อีกด้วย ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงมีเหตุผลหลายประการที่จะทรงขุ่นเคืองชาวยุโรป...
"พระองค์ทรงสืบสันตติวงศ์ปกครองพระราชอาณาจักรอันยิ่งใหญ่บริเวณคาบสมุทรอินโดจีนมาจากสมเด็จพระบรมราชชนก และเพื่อนบ้านชาวยุโรปผู้ละโมบอยากครอบครองพื้นที่ได้ขโมยแผ่นดินของพระองค์ไปสามส่วน พวกเขายื่นคำขาดให้พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธยในสนธิสัญญาที่ดูหมิ่นพระเกียรติยศและศักดิ์ศรีของพระองค์ ผู้ทรงเป็นกษัตริย์ของเอเชียผู้ซึ่งพระราชปณิธานของพระองค์เท่านั้นที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด แต่พระองค์ทรงสามารถข่มพระราชหฤทัยและทรงมีขันติธรรมอันเป็นคุณลักษณะที่ยิ่งใหญ่ จึงทำให้ทรงสามารถประกอบพระราชภารกิจอันยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศ ซึ่งย่อมมีผลดีกว่าการทรงปฏิบัติพระองค์แบบไม่โอนอ่อนผ่อนตาม แข็งกร้าวต่อศัตรูผู้มีอำนาจเหนือกว่า”
(จากหนังสือ กำเนิดการรถไฟในประเทศไทย ลูอิส ไวเลอร์ เขียน แปลโดย ถนอมนวล โอเจริญ และ วิลิตา ศรีอุฬารพงศ์)
เหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยของพระองค์คือการเปลี่ยนแปลงของเพื่อนบ้านสยาม สยามกลายเป็นเป้าหมายของการล่าอาณานิคมของยุโรป ทรงตระหนักว่าพระองค์ทรงมีหน้าที่ต้องรักษาอธิปไตยของชาติให้จงได้ โดยเปิดประตูสู่วัฒนธรรมยุโรป แต่ขณะเดียวกันก็รักษาความเป็นไทยไว้ ทรงเชื่อว่านี่เป็นหนทางของเรา
สมควรที่เราคนไทยยุคหลังจะเดินตามรอยนี้
วินทร์ เลียววาริณ
23 ตุลาคม 2568ป.ล. นอกเรื่องนิดหน่อย ผมกำลังเขียนนิยายนักสืบที่ใช้ฉากรัชกาลที่ 5 เพื่อเล่าประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในรัชสมัยนี้ เจตนาก็คล้ายการเขียน ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน คือเล่าประวัติศาสตร์ แต่เดินเรื่องด้วยตัวละครนักสืบ เขียนไปได้สองตอนแล้ว ยังน่าจะอีกนานกว่าจะเสร็จ
ตอนแรกจะลงในชุดรวมเรื่องสั้นนักสืบของสมาคมนักเขียนในปีหน้า
2 วันที่ผ่านมา -

ขอทูนขอเทิดพระนามไท พระคุณแนบไว้นิรันดร
2 วันที่ผ่านมา -

"คุณพุ่มรัก เราต้องการความช่วยเหลือจากคุณ"
"ถ้าจะขอยืมเงิน ไปไกลๆ เลย"
"เปล่า เรามีเรื่องด่วน"
"เรื่องอัลไล เอ๊ย! อะไร?"
"ไม่กี่ชั่วโมงก่อน เกิดเหตุโจรปล้นทรัพย์ที่พิพิธภัณฑ์ลูบ"
"เอ๊ะ! เรามีพิพิธภัณฑ์ลูบๆ คลำๆ ด้วยหรือ?"
"พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ที่ฝรั่งเศส พวกโจรบังอาจเอาบันไดพาดขึ้นชั้นสอง ตัดกระจกหน้าต่าง เข้าไปขโมย ได้ของมีค่าไปหลายชิ้น"
"ที่แท้พวกโจรเป็นแขกอินเดีย"
"ทำไมคุณพุ่มรักสรุปอย่างนี้?"
"อ้าว! ก็คุณบอกเองว่าพวกโจรบังอาจเอาบันไดพาดขึ้นชั้นสอง... บังก็คือแขก อาจคือชื่อ"
"นี่มันมุขแป้กนะ เปล่า ไม่ใช่แขกอินเดีย"
"ถ้าไม่ใช่พวกแขกอินเดีย เป็นพวกไหน?"
"เราไม่รู้ จึงต้องบากหน้ามาหาคุณ"
"โห! บากหน้านี่มันเจ็บนะ มีแผลเป็นด้วย"
"อุ๊ย! นี่ก็มุขแป้กนะ เราก็ไม่รู้ว่าเป็นพวกไหน?"
"ข้อยเดาว่าน่าเป็นฝีมือกลุ่ม Ocean's Eleven"
"แต่โจรมีสี่คน"
"ภาคนี้ชื่อว่า Ocean's Four"
"ตกลงคุณพุ่มรักไปได้มั้ย?"
"จะดีเรอะ ข้อยจะคุยกับพวกฝรั่งเศสรู้เรื่องหรือ ข้อยเว้าแต่อีสาน"
"เดี๋ยวหาล่ามให้"
"ล่ามอีหยัง ข้อยไม่ใช่นักโทษ แล้วจะไปยังไง?"
"ก็บินไป"
"เที่ยวบินชั้นหนึ่ง?"
"เปล่า ชั้นประหยัด"
"พักโรงแรมห้าดาว?"
"เปล่า โรงแรมสามดาว"
"มีอาหารอีสานให้กินตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่นไหม?"
"ไม่มี มีแต่อาหารฝรั่งเศส นม เนย ชีส"
"งั้นงานนี้ขอผ่านนะ"
"แต่ทั้งโลกไม่มีนักสืบคนไหนทำงานนี้ได้แล้ว ยู อาร์ เดอะ เบสต์"
""ทำไมไม่ใช้บริการ เชอร์ล็อค โหม?"
"เด๊ดไปแล้ว"
"ปัวโรต์?"
"เด๊ดเหมือนกัน"
"ทำไมไม่ใช้บริการ แจ็ค รีชเชอร์?"
"กลัวรีชเชอร์อัดโจรตายก่อน คุณพุ่มรักเหมาะกว่า เพราะเป็นคนสุภาพ"
"ทำไมไม่ใช้บริการเด็กตาทิพย์ เด็กเชื่อมจิต สะดวกกว่าเยอะ อยู่ที่เมืองไทย มองเห็นคนร้ายที่ฝรั่งเศสเลย"
"เดี๋ยวพวกสิทธิมนุษยชนจะหาว่าเราใช้แรงงานเด็ก"
ราตรีสวัสดิ์
วินทร์ เลียววาริณ
21-10-254 วันที่ผ่านมา
