-
วินทร์ เลียววาริณ10 เดือนที่ผ่านมา
โก้วเล้งเคยตั้งข้อสังเกตตลาดนิยายจีนกำลังภายใน ยุคที่มีนักเขียนมากถึง 300-400 คนว่า นิยายกำลังภายในซับซ้อนอย่างยิ่ง แต่คนอ่านเดาเรื่องออกเสมอ
หนังสายลับบู๊ก็เช่นกัน หากดูมามากพอสมควร จะเดาทางออก และเมื่อนั้นหนังสายลับก็กลายเป็นความน่าเบื่อได้ง่ายๆ
เรื่องล่าสุดคือ Canary Black ผลงานของ Pierre Morel
Pierre Morel ไม่ใช่มือใหม่ เขาเคยทำหนังบู๊คุณภาพมาก่อน เช่น Taken แต่นั่นเพราะบทภาพยนตร์เรื่องนั้นเข้มข้นราวเอสเพสโซสิบแก้วรวมกัน
ในทางตรงข้าม Canary Black เป็นส่วนผสมของอเมริกาโนรสจืดผสมน้ำสิบแก้ว ใส่ครีมเต็มแก้ว เนื้อเรื่องซับซ้อน แต่ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีเหตุผล ไม่มีอะไรในกอแบมบู
ช่วงหลายปีนี้ ฮอลลีวูดสร้างตัวละครนักฆ่า-นักบู๊ที่เป็นสตรี เช่น Geena Davis (The Long Kiss Goodnight) Charlize Theron (Atomic Blonde) Zoe Saldana (Colombiana) Jennifer Lawrence (Red Sparrow) Jennifer Garner (Peppermint) ฯลฯ หลายเรื่องก็ประสบความสำเร็จ คงจะสร้างอีกหลายเรื่องแน่ๆ
เรื่องสุดท้ายในรายการข้างบน - Peppermint ก็กำกับโดย Pierre Morel
แต่ Canary Black เดินเรื่องอย่างไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น แม้แต่ฉากบู๊ เนือยตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง
เทียบกับหนังที่เอ่ยชื่อมาข้างบน Kate Beckinsale ดูจะขาดความน่าเชื่อถือว่าเป็นนักฆ่าที่สุด
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหนังเรื่องรองสุดท้ายของ Ray Stevenson ผู้ล่วงลับไปเมื่อปีก่อน ก็ถือว่าดูเป็นที่ระลึกถึงนักแสดงชาวไอริชผู้นี้
สรุปก็คือบู๊สะบั้น แต่อยู่ในตระกูล Ambulance จึงได้คะแนนเท่ากัน
2/10 (เค้าขอโทดดดที่ให้คะแนนได้เท่านี้จริงๆ!)
ฉายในโรงภาพยนตร์
วินทร์ เลียววาริณ
22-10-24วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
1- แชร์
- 70
-
สองวันนี้ โพสต์งาน (ตามรูป) ที่บางคนอาจสงสัยว่าเป็นงานตระกูลไหน
นี่เป็นงานแนววรรณรูป ทำกันมาหลายศตวรรษแล้ว ผมก็ทำเป็นเรื่องเป็นราวในงานชุด หนึ่งวันเดียวกัน (life in a day) ที่ผมเขียนให้นิตยสาร a day นานเกือบสิบปี ตั้งแต่ฉบับปฐมฤกษ์ในปี พ.ศ. 2543 แต่สิ่งที่ผมทำอาจแตกต่างไปจากงานวรรณรูปสมัยก่อนบ้าง เพราะใส่ กราฟิก ดีไซน์ เข้าไปด้วย
หน้าตาคล้ายโฆษณาผสมเรื่องสั้น
งานแบบนี้ต้องมีทั้งรูปและเรื่องผสมกัน จุดเด่นคือเน้นคอนเส็ปต์ของเรื่อง เพราะเมื่อมีทั้งวรรณและรูป ก็สื่อความหมายได้แรงกว่าการเล่าด้วยคำพูดอย่างเดียว
มันเป็นงานแบบที่ไร้รูปแบบตายตัว หลักการคือสื่อสารอย่างไรก็ได้ ขอให้แรง ชัด เข้าใจง่าย และที่สำคัญคือต้องน้อยที่สุด (minimalism)
งานออกแบบกราฟิก โลโก้ ก็ใช้วิธีคิดแบบนี้ องค์ประกอบน้อยที่สุด แต่แรงที่สุดงานออกแบบโลโก้ในสมัยเก่า มักมีองค์ประกอบมากมาย บางอันมากจนเลอะเทอะ โลโก้สมัยใหม่ก็ยังมีคนทำกัน ใส่ทุกอย่างเข้าไปในโลโก้เดียว ในทาง กราฟิก ดีไซน์ ไม่ถือว่าเป็นงานออกแบบที่ดี
วิธีทำงานวรรณรูปต้องคิดคอนเส็ปต์ก่อนว่า ต้องการบอกอะไร สารที่จะเสนอควรมีอันเดียว แล้วออกแบบโดยทิ้งหลักการ ขนบการเขียนทั้งหมด
ก็คือไร้กระบวนท่า ใช้อะไรก็ได้เป็นเครื่องมือ
นักเขียนนักโฆษณาที่จะทำงานแนวนี้ ต้องฝึกฝนทั้งการเล่าเรื่องด้วยคำพูด และการออกแบบด้วยภาพ แล้วท้ายที่สุดลืมทุกอย่าง แล้วใช้สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวแทงเข้าไปเลย
วินทร์ เลียววาริณ
4-9-250 วันที่ผ่านมา -
เชื่อว่าผู้อ่านที่มีอายุเกิน 40 น่าจะทันเกม "He loves me, he loves me not" (บางทีเรียก "She loves me, she loves me not")
ต้นตำรับภาษาฝรั่งเศสคือ effeuiller la marguerite
เป็นเกมที่เราเด็ดกลีบดอกไม้ออกทีละกลีบ เด็ดแต่ละกลีบจะเอ่ยว่า "รัก" / "ไม่รัก" สลับกันไป
กลีบสุดท้ายคือคำไหน ก็คือคำตอบ
น่าจะมีนัยของความลังเลว่ารักใครคนนั้น หรือใครคนนั้นรักเราหรือเปล่า
การเมืองวันนี้ก็เล่นเกมนี้ นั่นคือ "ยุบ" / "ไม่ยุบ"
กลีบสุดท้ายจะออกเป็นอะไร จนปัญญารู้
รู้แต่ว่ามันไม่ใช่ดอกกุหลาบแน่ น่าจะเป็นดอก xxx มากกว่า
ว.ล.
3-9-251 วันที่ผ่านมา -
อาจารย์ชราเดินกระย่องกระแย่งด้วยไม้เท้าไปหยุดที่หน้าชั้น นั่งลง เอ่ยกับนักศึกษาทั้งหมดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าแต่เปี่ยมรอยยิ้มว่า "เพื่อนเอ๋ย ฉันเดาว่าพวกคุณทั้งหมดมาที่นี่เพื่อเรียนวิชาจิตวิทยาสังคม ฉันสอนวิชานี้มายี่สิบปีแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันพูดได้ว่า มีความเสี่ยงที่จะลงทะเบียนเรียนวิชานี้ เพราะฉันมีโรคร้ายแรงอย่างหนึ่ง ฉันอาจจะมีชีวิตอยู่ไม่จบเทอม"
มอร์รี ชวาร์ทซ์ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแบรนดิส แห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ วัยเจ็ดสิบกว่า เขาสอนหนังสือมาสามสิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยขาดงานเลย แต่นี่อาจเป็นการสอนหนังสือเทอมสุดท้ายของเขา
เขากำลังจะตายด้วยโรค Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) ร่างกายของเขาสูญเสียการควบคุมตัวทีละน้อย ทีละส่วน
มอร์รีสอนหนังสือให้เหล่านักศึกษาสายพันธุ์บุปผาชน ลูกศิษย์หลายคนของมอร์รีเป็นพวกหัวก้าวหน้า ยุคซิกซ์ตี้เป็นห้วงเวลาของการ 'ปฏิวัติวัฒนธรรม' มหาวิทยาลัยที่เขาสอนมีนโยบายต่อต้านสงครามอย่างที่สุด เมื่อรู้ว่านักศึกษาที่เกรดต่ำจะต้องถูกเกณฑ์เป็นทหารไปรบในเวียดนาม เหล่าอาจารย์ก็ไม่ให้เกรด ครั้นฝ่ายบริหารบอกว่า หากไม่ให้เกรด นักศึกษาเหล่านั้นจะสอบตกหมด และต้องไปรบ มอร์รีก็เสนอว่า "งั้นเราก็ให้เกรด เอ. พวกเขาหมดก็แล้วกัน"
สิ่งที่มอร์รีสอนไม่ใช่การเล็กเชอร์ แต่เป็นการสนทนากัน พวกเขาคุยเรื่องประสบการณ์มากกว่าทฤษฎี ภาพของมอร์รีที่ไปร่วมประท้วงกับเหล่านักศึกษาที่วอชิงตันเป็นภาพที่ชาวมหาวิทยาลัยชินตา
มอร์รีสอนการใช้ชีวิตให้เต็มที่ โลกไม่ได้มีแต่ห้องเรียนหรือเงินตรา โลกยังมีสิ่งที่เรียกว่าความรัก ความงดงามของครอบครัว ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูก และความกล้าหาญในการดำเนินชีวิตต่อไปกลางอุปสรรคที่โหดร้ายที่สุด
ความกล้าหาญนี่เองที่ทำให้เขารับมือกับโรคร้ายด้วยรอยยิ้ม
แน่ละ ไม่ทุกวันที่เขายิ้มได้ แต่การมองโลกในแง่ดีก็ทำให้เขาเดินหน้าต่อไป
มอร์รีบอกว่า "มีบางเช้าที่ฉันร้องไห้และร้องไห้ และเศร้ากับตัวเอง บางเช้าฉันโกรธและขมขื่นมาก แต่มันก็ไม่คงอยู่นาน แล้วฉันก็ลุกขึ้นแล้วบอกว่า ฉันต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป"
เพราะบางครั้งความกล้าหาญที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปยิ่งใหญ่กว่าความกล้าที่จะตาย
มอร์รีชอบเต้นรำ แม้ว่าหลายคนจะบอกว่ามันไม่ใช่การเต้นรำก็ตาม เขาเต้นไม่เป็นท่า แต่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและมีชีวิตชีวา แต่เมื่อถึงจุดที่เขาไม่สามารถบังคับร่างกายของเขา มอร์รีก็ต้องยุติการเคลื่อนไหวเช่นนั้นตลอดกาล แต่หัวใจของเขาไม่เคยหยุดเต้นรำ
เขาเดินยากลำบากขึ้นทุกที จนในที่สุดก็เดินไม่ได้โดยสิ้นเชิง เขานั่งบนรถเข็น มีคนอุ้มเขาขึ้นจากรถเข็นไปนอนบนเตียง และจากเตียงกลับไปที่รถเข็น เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย
มอร์รีบอกกับศิษย์ที่มาเยี่ยมเขาว่า "...วัฒนธรรมที่เรามีไม่ได้สอนให้ผู้คนรู้สึกดีกับตัวเราเอง เรากำลังสอนสิ่งที่ผิด และคุณต้องแข็งแกร่งพอที่จะบอก ถ้าวัฒนธรรมนั้นไม่ดี อย่าซื้อมัน สร้างวัฒนธรรมของคุณขึ้นมาเอง คนส่วนมากไม่สามารถทำอย่างนั้น พวกเขาไม่มีความสุขยิ่งกว่าฉันเสียอีก แม้ในสถานการณ์ที่ฉันกำลังประสบอยู่"
มอร์รีบอกว่า สิ่งหนึ่งที่เขาเรียนรู้หลังจากเป็นโรคนี้ คือ สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือการเรียนรู้ที่จะมอบความรัก และยอมให้มันเข้ามาหาเรา
ความรักเป็นเรื่องสวยงาม ครอบครัวเป็นสิ่งสวยงาม เพื่อนแท้เป็นสิ่งสวยงาม
อาการของเขาทรุดลงเรื่อย ๆ ในช่วงท้ายเขาจำต้องให้ผู้อื่นเช็ดก้นให้ แต่เขากลับมองมันเป็นประสบการณ์ที่น่าลอง "เหมือนกลับไปเป็นทารกอีกครั้ง" เขาเอ่ยยิ้ม ๆ
มอร์รีเป็นครูจนวันสุดท้ายของชีวิต เขาสอนให้คนรู้จักการใช้ชีวิต สิ่งที่มอร์รีสอนอาจไม่ใช่เครื่องมือสร้างความร่ำรวยตามกระแสนิยม แต่ขณะที่นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่เคยกลับไปเยี่ยมอาจารย์เก่า ลูกศิษย์ของมอร์รีกลับไปเยี่ยมเยียนเขาเสมอ
มอร์รีตายในเช้าวันเสาร์แห่งเดือนพฤศจิกายน ยามที่ใบไม้หลุดจากขั้วรับลมหนาวแรก จากไปเงียบ ๆ คนเดียว ในห้วงยามสั้น ๆ ที่ไม่มีใครเฝ้าดูเขา หัวใจที่ชอบเต้นรำของเขาหยุดเต้นในที่สุด
เมื่อถึงเวลาตาย เราล้วนตายด้วยตัวเราเอง
เมื่อเข้าใจอุปสรรค เมื่อไม่กลัวความเปลี่ยนแปลง ความตายก็เป็นเพียงการหลับธรรมดาอีกครั้งหนึ่งของชีวิต
หมายเหตุ : รายละเอียดชีวิตช่วงสุดท้ายของมอร์รีอยู่ในหนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie โดย Mitch Albom
ในรูปคือ มอร์รี กับลูกศิษย์ มิตช์ แอลบอม วันที่ 3 ตุลาคม 1995
วินทร์ เลียววาริณ
4-9-25จากเรื่อง ความฝันโง่ ๆ
1 วันที่ผ่านมา -
เพื่อสุขภาพที่ดี ควรเดินให้ได้หมื่นก้าวต่อวัน
1 วันที่ผ่านมา -
เมื่อผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในต่างจังหวัด ก็เข้ามาเรียนต่อที่เมืองหลวง การสอบเข้าเรียนชั้น ม.ศ. 4 ในกรุงเทพฯสมัยนั้นทำพร้อมกันทีเดียว หมายถึงต้องแข่งกับนักเรียนหลายหมื่นคนจากทั่วประเทศ ในวันสอบก่อนเข้าห้องสอบ เพื่อนคนหนึ่งถามโจทย์ผมหลายข้อ ผมตอบไม่ได้เลย จึงเอะใจว่าตัวเองเตรียมตัวมาสู้คนอื่นไม่ได้ โจทย์หลายข้อไม่เคยผ่านตาผมมาก่อน ผมเชื่อว่าเพื่อนคงไปกวดวิชามาอย่างเข้มข้น จึงไม่แปลกที่ผมสอบเข้าโรงเรียนที่ต้องการไม่ได้
เมื่อสี่สิบปีก่อน กรุงเทพฯมีโรงเรียนกวดวิชาหลายแห่ง ใครอยากสอบได้ ก็ต้องกวดวิชา “เพื่อให้ชัวร์” เด็กเมืองหลวงเข้าถึงแหล่งวิชาความรู้มากกว่าและพร้อมกว่า เด็กจากต่างจังหวัดกับเด็กกรุงเทพฯเหมือนมวยคนละชั้น
แต่การสอบไม่ติดโรงเรียนที่ตั้งเป้าไว้กลับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต เพราะมันทำให้ผมต้องเตรียมพร้อมในการศึกครั้งต่อมา คือการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย คราวนี้ผมเตรียมสอบล่วงหน้าอย่างหนักหน่วงนานถึงหนึ่งปีเต็ม ก็เข้าคณะที่ต้องการได้
ครั้นได้เรียนคณะที่ต้องการแล้ว ก็โล่งอกนึกว่าสบายแล้ว จึงใช้เวลาอ่านนิยายตามนิสัยเดิม ผลก็คือเทอมแรกผมได้รับเกรด F เป็นตัวแรกในชีวิต โดยสอบตกวิชาคำนวณ เกรด F ที่ได้รับมานี้ฉุดคะแนนรวมลงทันที กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ก็ใช้เวลาอีกหลายเทอม
ทว่าการสอบตกตั้งแต่เทอมแรกกลับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในชีวิต มันเตือนสติผมว่า ระวัง! อย่าเรียนเล่น ๆ อาจถูกรีไทร์ได้ ตั้งแต่นั้นผมก็เปลี่ยนเป็นเรียนอย่างตั้งใจ และจบไปด้วยคะแนนน่าพอใจ ที่สำคัญคือไม่ประมาทไปตลอดชีวิต
แน่นอน การสอบคัดเลือกไม่ได้ การได้รับเกรด F เป็นเรื่องน่าตกใจ น่าหดหู่ แต่เมื่อใช้มันให้เป็นบทเรียนและไฟกระตุ้น มันก็กลายเป็นของมีค่าใหญ่หลวง
ความผิดพลาดพ่ายแพ้จึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป หากรู้จักใช้มันให้เป็น
ในโลกของชีวิตการทำงาน ‘การสอบตก’ มักอยู่ในรูปของการถูกไล่ออก มันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง เจ้านายส่วนใหญ่อาจให้เหตุผลของการไล่ออกที่ไม่ตรงกับความจริงเพื่อรักษาน้ำใจของลูกน้อง เช่น บริษัทมีผลประกอบการไม่ดี, เศรษฐกิจแย่ ฯลฯ แต่ต่อให้มันเป็นเหตุผลจริง คนที่ถูกไล่ออกก็มักถามว่า “แล้วทำไมต้องเป็นเรา?”, “เราแย่ขนาดนั้นเลยหรือ?”
การถูกไล่ออกเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวด เป็นการหักความมั่นใจในตนเองด้วยเข่า แต่ก็เหมือนฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า พายุพัด เราควบคุมมันไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้
หากตั้งหลักโดยใช้สติ ใช้สมองครุ่นคิดโฟกัสที่ปัญหาจริง ก็อาจเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส และมันก็อาจกลายเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต
คนจำนวนไม่น้อยถูกไล่ออกจากงาน แล้วไปเรียนต่อ ไปสานฝันที่ค้างไว้ ทำนองว่าไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกแล้ว มันเปลี่ยนพวกเขา บังคับให้พวกเขาต้องคิดและใช้ศักยภาพให้ถึงขีดสุด
สิ่งแรกคือยอมรับความจริง สิ่งที่สองคือหาจุดผิดพลาด สิ่งที่สามคือแก้ไขหรือปรับปรุงตัวเอง หากทำอย่างนี้ได้ ความผิดพลาดนั้นก็ไม่ถือว่าเป็น ‘ความผิดพลาด’ (ลบ) แต่ถูกยกระดับเป็น ‘บทเรียน’ (บวก)
การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดจึงอาจมีค่ามากกว่าการไม่เคยพ่ายแพ้เลย
วินทร์ เลียววาริณ
3-9-25จากหนังสือ ยาเม็ดสีแดง
190 บาท 34 บทความ บทความละ 5.5 บาท
https://www.winbookclub.com/store/detail/116/ยาเม็ดสีแดงชุดกำลังใจครึ่งโหล 6 เล่ม 800.- (ลดจาก 1,255.-)
https://www.winbookclub.com/store/detail/217/S6%20ชุดกำลังใจครึ่งโหล1 วันที่ผ่านมา