-
วินทร์ เลียววาริณ4 เดือนที่ผ่านมา
ในเรื่อง Interstellar ตัวละครหลักพลัดเข้าไปในหลุมดำ หลุดลงไปใน ‘อุโมงค์’ บางอย่าง และโผล่เข้าไปในโครงสร้างสี่มิติ ที่เชื่อมกับโลกของเขา ข้ามเวลา ข้ามมิติ ข้ามดาราจักร เข้าไป ‘หลังบ้าน’ ของเขา เขาสามารถเคลื่อนผ่านแกนเวลาได้
โครงสร้างนี้เรียกว่า tesseract
tesseract ในทางเรขาคณิตและคณิตศาสตร์ หมายถึงบาศก์สี่มิติ เป็น hypercube ชนิดหนึ่ง พูดง่ายๆ คือมันเป็นบาศก์ hypercube ที่เกิดจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เรายังสร้างมันขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้
นิยายวิทยาศาสตร์มักใช้ tesseract เป็นรูหนอนชนิดหนึ่งในการเดินทางลัดข้ามจักรวาลและมิติ เช่น นวนิยายเรื่อง A Wrinkle in Time ของ Madeleine L’Engle เล่าถึงการเดินทางข้ามเวลาผ่าน tesseract และมิติที่ 5
จะบอกว่า tesseract เป็นบันไดยาวที่พาดมิติและเวลาต่างๆ ก็พอได้
แต่ tesseract เป็นเพียงหนึ่งในบรรดา hypercube ต่างๆ
ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับ hypercube เช่นกัน ในนวนิยายไซไฟเรื่อง อัฏฐสุตรา (เขียนเมื่อ 16 ปีก่อน ก่อนหนังเรื่องนี้) ในเรื่องตัวละครหลักสัมผัสประสบการณ์ของ hypercube 8 มิติ เรียกว่า octaract ซึ่งซับซ้อนกว่า tesseract ที่มี 4 มิติ
อยากรู้ว่า octaract ในนิยายเป็นอย่างไร ก็อ่านได้จากนวนิยาย อัฏฐสุตรา ถือโอกาสขายหนังสือตรงนี้เลยก็แล้วกัน https://www.winbookclub.com/store/detail/68/อัฏฐสุตรา แค่ 165 บาท (หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว)
อย่างไรก็ตาม hypercube ที่นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์พูดถึงยังเป็นเพียงจินตนาการ และแม้จะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่เรายังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่ามันเป็นไปไม่ได้
ในหนัง Interstellar โครงสร้าง tesseract ถูกสร้างโดย ‘พวกเขา’ เพื่อให้ตัวละครเอกสามารถใช้สื่อสารกับมนุษย์ในสถานที่และเวลาที่ต้องการ (คือเป็นบันไดยาวพาด) เมื่อการสื่อสารสำเร็จ tesseract ก็สลายตัว ตัวละครเอกก็ข้ามเวลาอีกครั้ง คราวนี้เขาเชื่อมกับคนในยานอวกาศ และ ‘จับมือ’ กับนักบินอวกาศหญิง และเดินทางกลับบ้าน ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปในระดับหนึ่ง
ฉาก tesseract ในหนังออกแบบได้ดี เพราะการแปลงคอนเส็ปต์ hypercube ให้เป็นภาพที่สื่อสารกับคนดูรู้เรื่องทำได้ยากมาก แต่หนังก็ทำออกมาสวยงาม ถือเป็นไฮไลท์หนึ่งของเรื่อง ยอดเยี่ยมครับ
วินทร์ เลียววาริณ
5-1-251- แชร์
- 60
-
ผมเคยเล่าชีวิตวัยเด็กของผมให้เด็กรุ่นใหม่ฟังว่า ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก ผมไม่มีแม้แต่โทรทัศน์ การหาความบันเทิงของผมคือการอ่านหนังสือ เด็กบอกว่า "ชีวิตสมัยนั้นคงทรมานน่าดู" สำหรับพวกเขา ชีวิตคงไร้ความหมายเมื่อไม่มีเกมคอมพิวเตอร์
ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วคน ค่านิยมของความสุขเปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือ คำว่า 'ความสุข' มีนัยทางวัตถุมากกว่าจิตใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ผมก็รู้ว่ายากที่จะอธิบายให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจว่า ความสุขของการมีเกมออนไลน์เป็นสิ่งฉาบฉวย พวกเขาจะเข้าใจความข้อนี้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเล่าชีวิตวัยเด็กของตนให้คนรุ่นลูกฟัง และคนรุ่นลูกส่ายหัว บอกว่า "ชีวิตสมัยนั้นคงทรมานน่าดู"
ในสายตาของคนในอนาคตกาล โทรศัพท์มือถือ, ไอ-พ็อด, เกมออนไลน์ ฯลฯ ล้วนเป็นเครื่องมือที่ล้าหลังและไม่น่าสนุกแม้แต่นิดเดียว ผู้คนในอีกหลายศตวรรษหน้าอาจมองมายังคนรุ่นเราแล้วบอกต่อกันว่า "ชีวิตสมัยนั้นคงทรมานน่าดู" เพราะโลกในอีก 100-200 ปีข้างหน้าก็ย่อมมี 'ความสุข' มากกว่านี้ พวกเราในยุคปัจจุบันคงจะพลาด 'ความสุข' อีกนานาชนิด เช่น กล่องความสุขที่ฝังในหัว, ปุ่มเพิ่มความสุขทางเพศที่ฝังในระบบประสาท, ประสบการณ์การบินจริง ๆ อย่างนก เมื่อเราสามารถสร้างเครื่องต้านแรงโน้มถ่วงสำเร็จ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ยังไม่มีใน พ.ศ. นี้ เราจึงไม่รู้สึกว่าขาดมันไม่ได้
เมื่อไม่รู้ ก็ไม่รู้สึก!
เราอยู่ในสังคมที่สอนและตอกย้ำให้เห็นว่า ความสุขเกิดจากการปรุงแต่ง กิเลสเป็นสิ่งดี
เกิดมาไม่สวย ก็ดิ้นรนให้สวยจนได้ สวยอยู่แล้วก็อยากสวยขึ้นไป อีก ไม่มีอะไรก็ต้องหามาให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีการใด
คนเราสร้างความต้องการเทียม ๆ ขึ้นมา แล้วก็ฝังตัวกับมัน ขาดมันแล้วก็อยู่ไม่ได้
ผมเคยพบเห็นเด็กรุ่นใหม่บางคนที่ไม่ยอมสวมเสื้อผ้าที่ไม่ใช่สินค้าแบรนด์เนม ใช้สินค้าตามอย่างดาราที่ตนเองชื่นชอบ
ในที่สุดก็ไม่รู้ว่า ใครเป็นผู้ใช้ชีวิตของเรากันแน่ เพราะต้องเดินตามแฟชั่นที่ผู้อื่นกำหนดให้เดินตลอด
ยิ่งเดินตามคนอื่นนานเท่าใด ก็ยิ่งถอยห่างจากตัวเองเท่านั้น นาน ๆ เข้า ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
ปรัชญาตะวันออกเชื่อว่า จิตเดิมแท้ของมนุษย์เป็นผ้าขาวเปล่า ทุกสิ่งที่ถูกระบายลงไปเป็นกิเลส
หากโชคดีรู้ตัวว่า ผ้าแห่งใจสกปรก เลอะเทอะด้วยกิเลสที่สังคมภายนอกช่วยละเลง ก็ลงมือซักผ้าผืนนั้นเสีย ก่อนที่มันจะซักไม่สะอาดอีกต่อไป
ผงซักฟอกที่ใช้ซักผ้าผืนนี้มีหลายยี่ห้อ ที่นิยมก็คือยี่ห้อ 'สมถะ', 'สันโดษ' และ 'พอเพียง'
ทว่าหลายคนมักเข้าใจคำว่า 'สมถะ', 'สันโดษ' และ 'พอเพียง' ผิด ๆ
สมถะมิได้หมายความว่าต้องสวมเสื้อตัวเดียวทั้งชีวิต สันโดษมิได้หมายความว่าต้องหมกตัวในถ้ำกลางป่าเขา กินอาหารวันละมื้อ พอเพียงก็ไม่ได้แปลว่า ห้ามทำงานหาเงินมาเก็บตุนไว้
ความสุขเกิดจากความพอดี ความสมดุลของการใช้ชีวิต
รู้อย่างนี้แล้ว หากผ้าแห่งใจของคุณยังเลอะเทอะอยู่ ก็เป็นความผิดของคุณเอง!
วินทร์ เลียววาริณ
6-5-25.................................
จาก อาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหนังสือเสริมกำลังใจ 48 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 165 บาท = บทความละ 3 บาท+ (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/85/อาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
0 วันที่ผ่านมา -
ผมได้รับคำถามอยู่เสมอว่า เก็บข้อมูลอย่างไร รู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลชิ้นนี้นำไปใช้ในการเขียนได้ ข้อมูลชิ้นนั้นใช้ไม่ได้
คำตอบคือไม่รู้ ผมใช้สัญชาตญาณเอา
นั่นคืออ่านเจออะไร พบเหตุการณ์อะไรแล้วรู้สึกสะดุด ก็เก็บไว้ในคลังข้อมูลประจำตัว
มันอาจเป็นสัญชาตญาณในการดมกลิ่นที่ฝึกมานานก็ได้ ทำให้พอรู้ว่าข้อมูลไหนใช้ได้ หรือมีศักยภาพ
นักเขียนจึงต้องเป็นหมาดมกลิ่น
นี่คือข้อมูลจากโลกภายนอก
ยังมีอีกข้อมูลหนึ่งมาจากโลกภายใน
มาจากการขบคิด ยกตัวอย่าง เช่น ผมนอนอยู่ดีๆ ก็คิดว่าในร่างกายมนุษย์จำนวนมากอาจมีอะตอมของฮิตเลอร์อยู่ในตัว เหตุผลเพราะร่างกายมนุษย์ก่อรูปขึ้นจากมวลอะตอมจำนวนมหาศาล เมื่อฮิตเลอร์ตายและถูกเผากลายเป็นเถ้าปนในดิน ในน้ำ ในอากาศ อะตอมของธุลีเหล่านั้นกระจายไปทั่ว อาจทั่วเมืองที่เขาตาย หรือกระจายกว้างกว่านั้น บางอะตอมอาจถูกสายลมสายน้ำพัดไปซีกโลกอื่น เวลาหลายสิบปีที่ผ่านไป อะตอมเหล่านั้นเคลื่อนไปทั่วโลก และเข้าไปในร่างกายคน จึงไม่แปลกอะไรหากเรามีอะตอมสักสองสามอะตอมที่เคยประกอบรวมกันเป็นฮิตเลอร์
ข้อมูลนี้ไม่มีอยู่ในตำราที่ไหนข้างนอก และมันไม่ได้เกิดมาเองเพราะนั่งเทียน แต่มาจากการสะสมการอ่าน ความคิด แล้วคลี่คลายเป็นความคิด
อาจเรียกว่า ‘ตกผลึก’
ข้อมูลภายในนี้อาจไม่จริง แต่มันอาจต่อยอดให้แต่งเป็นนิยายหากินได้
ในความคิดความเห็นส่วนตัวของผม นักเขียนจำต้องได้รับข้อมูลทั้งภายนอกและภายใน
เหมือนวิตามิน บางชนิดต้องหาจากข้างนอก บางชนิดร่างกายสร้างเอง
ผมจึงเชื่อว่านักเขียนเป็นนักเขียนที่แท้จริงไม่ได้ถ้าไม่เป็นนักคิดด้วย
ทีนี้ก็มาถึงคำถามว่า แล้วจะเอาข้อมูลหนึ่งไปใช้ยังไง
ใครๆ ก็สามารถหาข้อมูลเดียวกันได้ แต่จะเขียนเป็นเรื่องต้องมองเห็นประเด็นจากข้อมูลนั้นๆ ให้ออก จึงจะเขียนได้
จะมองออกก็ต้องคิด และเสริมสร้างโลกทัศน์ ซึ่งบางเรื่องต้องใช้เวลาในการฝึกสมองให้คิดเป็น
งานเขียนจึงเป็นงานใช้เวลา แต่การเตรียมตัวอาจนานกว่าการเขียนจริง
จะเป็นนักเขียนแท้จึงต้องใจเย็นๆ ยิ่งรีบยิ่งไปถึงช้า
.............................
จากอีบุ๊ค #ปล่อยให้ความเหงาพาไป
ซื้อได้จากเว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/227/ปล่อยให้ความเหงาพาไป หรือ The Meb
1 วันที่ผ่านมา -
คนจำนวนมากติดในกับดักของมันคือเรามักมองโลกเป็นสองด้านแยกขาดจากกัน เช่น ความรวยกับความจนเป็นสองเรื่องที่แยกจากกัน ถ้ารวยก็ไม่จน ถ้าจนก็ไม่รวย เราต้องเลือกเอาทางหนึ่ง หรือมุ่งหวังทางใดทางหนึ่ง
ในมุมมองของปรัชญาเต๋า นี่เป็นเรื่องผิดธรรมชาติ ในมุมมองของฟิสิกส์ ไม่มีด้านใดด้านหนึ่งสัมบูรณ์ ทุกอย่างเป็นสัมพัทธ์ เพราะสุข-ทุกข์ รวย-จนเป็นแค่มุมมองที่สัมพัทธ์กัน
เล่าจื๊อจึงกล่าวว่า เมื่อโลกมองเห็นความงาม มันก็มีความน่าเกลียด เมื่อโลกเห็นความดี มันก็มีความชั่ว มันมาพร้อมกัน มันเป็นเรื่องเดียวกัน
หยินกับหยางคือสองด้านของสรรพสิ่ง เหมือนภูเขา มีด้านที่ต้องแสงตะวัน กับด้านที่มืด แต่มันเป็นภูเขาลูกเดียวกัน
หยินหยางแห่งชีวิตคือโลกที่มีสองด้าน สอดประสานกัน
บางคนกินแกงจืดมะระยัดไส้หมูโดยเขี่ยมะระทิ้ง ไม่ได้มองว่าแกงจืดชนิดนี้ออกแบบมาโดยรวมความหอมหวานและความขมเข้าด้วยกัน บางคำอาจขม บางคำอาจหวาน แต่ผสมกันแล้วอร่อย เราจึงไม่เลือกกัดเฉพาะส่วนหวาน และทิ้งส่วนขม ชีวิตก็เช่นกัน มันเป็น ‘แกงจืดมะระ’ อย่างนี้เอง มันคือองค์รวมของหลายส่วน มีทั้งส่วนที่เราชอบกับส่วนที่เราไม่ชอบ แต่เราไม่อาจเลือกเฉพาะส่วนที่เราชอบได้ มันมาพร้อมกันเป็นแพ็คเกจอย่างนี้
อิสระที่แท้จริงคือการมองว่าความสุขเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราเป็นอิสระจากสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่สังคมกำหนด
............................
จาก ตัวสุขอยู่ในหัวใจ / วินทร์ เลียววาริณ
หนังสือเสริมกำลังใจ 260 บาท 49 บทความ เรื่องละ 5.3 บาท หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/211/ตัวสุขอยู่ในหัวใจ
1 วันที่ผ่านมา -
ตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา ผมเตือนผู้อ่านเสมอให้อ่านทุกอย่างแล้วตั้งคำถาม วิเคราะห์ และค้นคว้า แต่ก็ดูเหมือนไม่ค่อยทำกัน จนป่านนี้ก็ยังมีคนแชร์คลิปไม่จริงมาให้เสมอ
เคยเขียนเรื่องชุด อำ เพื่อชี้ให้เห็นอันตรายของการเชื่อง่าย แต่กลับมีคนเชื่อในเรื่องที่ผมอำ เพราะอ่านไม่จบ
กลุ้มจริง ๆ!
หลังจากนั้น นาน ๆ ทีผมก็จะเขียนเรื่องอำมาเคาะกะโหลกว่า เราเชื่ออะไรในโลกนี้ไม่ได้ จนกว่าจะวิเคราะห์ ตั้งคำถาม และศึกษาให้ถ่องแท้ก่อน
อย่าแชร์อะไรถ้าไม่รู้จริง
บ่อยครั้งผมได้รับแชร์คลิปหรือข่าว พร้อม ‘คำเตือน’ ของผู้แชร์ว่า “ไม่รู้จริงหรือเปล่านะ แต่ก็ส่งมาให้ดู”
ไม่รู้จะร้องไห้หรือขำ
ได้โปรดเถิด ถ้าไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ก็ไม่ต้องแชร์ พลีสสสสส!
โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับสุขภาพ อาหารเสริม ทุกครั้งที่กดปุ่มแชร์ คุณอาจกำลังสร้างบาปสร้างกรรมใหญ่หลวงได้
ถ้าคนอ่านข่าวดูคลิปแล้วเชื่อเลย เพราะเขาเห็นว่าคุณเป็นเพื่อนที่ดีของเขา ย่อมไม่ส่งเรื่องไม่ดีไปให้ แล้วเรื่องนั้นทำลายสุขภาพของเขา หรือกระทั่งตาย บาปก็อยู่ที่คุณ เพราะกดปุ่มแชร์โดยไม่คิดไกล
เราคงทำอะไรไม่ได้กับพวกบ่อสื่อจ่อ วันๆ สร้างข่าวปลอม แต่เราทำอะไรกับตัวเองได้
ก่อนกดปุ่มแชร์เรื่องอาหารเสริมและการรักษาโรค กรุณาถามตัวเองสองข้อ
1 เรารู้เรื่องนี้จริงๆ หรือเปล่า เคยมีประสบการณ์ตรงหรือเปล่า
2 เคยพบหลักฐานจริงๆ ที่พิสูจน์โดยปราศจากความสงสัยหรือเปล่า
ถ้าคำตอบทั้งสองข้อคือ “ไม่” ก็อย่ากดแชร์ ไม่ว่าจะคันนิ้วแค่ไหนก็ตาม
....................................
จากอีบุ๊ค #ปล่อยให้ความเหงาพาไป
ซื้อได้จากเว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/227/ปล่อยให้ความเหงาพาไป หรือ The Meb
1 วันที่ผ่านมา -
นิทานเรื่องหนึ่งในตำราเรียนของนักเรียนชั้นประถมเมื่อสี่สิบปีมาแล้วซึ่งผมยังจำได้จนถึงวันนี้ คือเรื่องตั๋วรถไฟครึ่งราคา เรื่องมีอยู่ว่าครอบครัวหนึ่งในชนบทมีฐานะยากจนข้นแค้นมาก วันหนึ่งผู้เป็นแม่ส่งลูกชายเข้ากรุงโดยทางรถไฟ สมัยนั้นเด็กอายุต่ำกว่าสิบสองขวบขึ้นรถไฟโดยเสียเงินเพียงครึ่งราคา ในวันที่แม่พาเด็กขึ้นรถไฟ เด็กน้อยอายุเกินสิบสองขวบมาได้เพียงวันเดียว ทว่านางซื้อตั๋วเต็มราคาให้เด็กทั้งที่เงินมีจำกัด ผู้เป็นแม่พูดกับลูกชายว่า "ลูกเอ๋ย นี่คือตั๋วรถไฟกับความจริง เก็บมันใส่กระเป๋าเถิด ไม่มีใครรู้หรอกว่าลูกอายุเกินสิบสองขวบมาหนึ่งวัน มีแต่ลูกเท่านั้นที่รู้ เสียเงินเพราะความสัตย์ดีกว่าได้เงินไม่กี่บาทเพราะหลอกลวงเขา..."
จากตัวอย่างมากมายเราพบว่า ความซื่อสัตย์ไม่เกี่ยวกับฐานะ ชาติตระกูล หรือระดับการศึกษา คนขับรถแท็กซี่ คนกวาดขยะ แม่บ้านไม่น้อยเก็บเงินที่คนลืมทิ้งไว้แล้วคืนเจ้าของ
เมื่อหลายปีก่อนมีการทดสอบความซื่อสัตย์ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในเมืองไทย ผู้ทดสอบวางกระเป๋าเงิน ธนบัตร ของมีค่า ทิ้งตามจุดต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยและเฝ้าดูปฏิกิริยาของผู้เก็บของมีค่าได้ ของมีค่าเหล่านั้นมีชื่อที่อยู่ซึ่งผู้เก็บสามารถส่งมันคืนได้ ผลการทดสอบเป็นเรื่องหักมุมจบ นั่นคือส่วนใหญ่ของตัวอย่างทดสอบไม่ผ่านมาตรวัดความซื่อสัตย์ พวกเขาเก็บของมีค่าไว้เป็นที่ระลึก!
เพื่อนหลายคนของผมเล่าว่า พวกเขาผ่านประสบการณ์ทดสอบความซื่อสัตย์หลายรูปแบบ หลายองค์กรมีบุคลากรทำหน้าที่ติดต่อจัดซื้อกระดาษ ปากกา หมึกพิมพ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงรถยนต์ เป็นภาพปกติที่ผู้จำหน่ายสินค้ามอบค่าคอมมิชชันให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้น โชคดีที่ผมคบคนดี กัลยาณมิตรเหล่านั้นไม่ใช่พวกที่เห็นแก่ได้ จึงขอให้เจ้าของสินค้าหักลดเงินค่าสินค้าเท่าจำนวนคอมมิชชัน
โลกทุกวันนี้หาคนซื่อสัตย์ยากขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกที่การหาเงินสักบาทลำบากขึ้น การเดินเข้าสู่พื้นที่ของ 'ด้านมืด' เป็นไปได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นพื้นที่สีเทา ด้วย 'ความชอบธรรม' ว่า "ไม่ได้โกงบริษัท เป็นคอมมิชชันที่ไม่ผิดอะไร"
ความไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์กรเมื่อทำสักครั้งแล้ว ก็คือการขี่หลังเสือ เลิกไม่ได้ง่าย ๆ
แต่ไม่ว่าเป็นพื้นที่สีเทาเข้มหรือเทาอ่อน และแม้ไม่มีใครรู้ แต่เราก็ย่อมรู้ไม่ยากว่าการกระทำใดซื่อสัตย์หรือไม่
ค่านิยมของความซื่อสัตย์ต่างกันออกไป มนุษย์เงินเดือนไม่น้อยเช่นในประเทศญี่ปุ่นทำงานในองค์กรหนึ่ง ๆ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตทำงาน ขณะที่บางคนพยายามรีดไถข้าวของและเวลาจากองค์กรมากที่สุด บางคนเบียดบังเวลาหลวงไปทำงานส่วนตัว ด้วยข้ออ้างสารพัดเช่น "เงินเดือนก็เท่านี้ จะเอาอะไรกันนัก” หรือ “บริษัทรวยจะตาย ขอแค่นี้ไม่ล้มหรอก"
ความซื่อสัตย์เป็นคุณธรรมที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ ปราศจากสิ่งนี้ มนุษย์ก็ไม่ต่างจากตัวอะมีบาที่แย่งอาหารกัน
บางคนสงสัยว่าทำไมเราต้องซื่อสัตย์อะไรกันปานนั้น การใช้ชีวิตแบบมือใครยาวกว่าก็สาวได้มากกว่าผิดอะไร เป็นสัจธรรมของการเอาชีวิตรอดไม่ใช่หรือ
ความแตกต่างคือมนุษย์เดินทางในสายที่เป็นสัตว์สังคม สังคมอยู่ไม่ได้ด้วยแนวคิด 'มือใครยาว สาวได้สาวเอา' การไร้ความซื่อสัตย์เป็นบ่อเกิดของการฉ้อราษฎร์บังหลวง คอร์รัปชันที่กัดกินสังคมไทยทุกถึงรากก็เริ่มมาจากการการไร้ความซื่อสัตย์ต่อตนเองแล้วลามไปถึงสังคม
อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก นักเขียนชาวอังกฤษ กล่าวแบบตลก ๆ ว่า เครื่องมือวัดความซื่อสัตย์ของคนไม่ใช่ใบคืนภาษีเงินได้ของเขา แต่คือการไม่ปรับเครื่องชั่งน้ำหนักของเขา!
มนุษย์ส่วนใหญ่ซื่อสัตย์เมื่อมีสายตาของชาวบ้านจับจ้องอยู่ น้อยคนซื่อสัตย์โดยปราศจากการรับรู้ของคนอื่น คนประเภทนี้เป็นยอดคน
หากจะทำเรื่องดี ๆ ในชีวิต ไยต้องป่าวประกาศให้โลกรู้?
เราทำดีเพราะเราเห็นคุณค่าของเรา ไม่ใช่เพราะต้องการให้ใครรู้ เราซื่อสัตย์เพราะเรามีค่าพอที่จะได้รับสิ่งดี ๆ ซึ่งรวมทั้งศักดิ์ศรีของการเป็นมนุษย์ที่เจริญ
คนที่ไม่เห็นแม้แต่คุณค่าและศักดิ์ศรีของตนเองไหนเลยจะเห็นคุณค่าของคนอื่นหรือองค์กร?
การไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเองก็คือการดูหมิ่นตัวเอง มองว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่สมควรได้รับสิ่งดี ๆ ในชีวิต
ฝรั่งมีสุภาษิตว่า Honesty is the best policy (ความซื่อสัตย์เป็นนโยบายที่ดีที่สุด) เพราะความซื่อสัตย์เป็นใบรับประกันที่ดีที่สุดที่คุณจะได้รับไม่ว่าจะอยู่ในวงการใด ทำการใหญ่หรือเล็ก
หากผู้ทำธุรกิจหรือสมาคมกับคุณรู้ว่าคุณซื่อสัตย์เสียอย่างเดียว สัญญาหรือกฎใด ๆ ก็ไม่จำเป็น
ความซื่อสัตย์เป็นใบผ่านทางที่ดีที่สุด
ในระยะยาวเป็นนโยบายที่คุ้มจริง ๆ !
.......................
จาก สองปีกของความฝัน / วินทร์ เลียววาริณ
46 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 170 บาท = บทความละ 3.69 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/88/สองปีกของความฝัน
1 วันที่ผ่านมา