• วินทร์ เลียววาริณ
    2 เดือนที่ผ่านมา

    เมื่อวานนี้โพสต์เรื่อง สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ผู้อ่านชวนคุยเรื่องพี่วาณิช จรุงกิจอนันต์

    คนที่ไม่ทันยุคนั้นก็คงไม่รู้ว่าพูดเรื่องอะไร

    พี่วาณิชเป็นนักเขียนซีไรต์คนแรกๆ (ซอยเดียวกัน) ทำงานในค่ายมติชนนานปี ราว 30 ปีก่อนมีคอลัมน์ประจำในมติชนสุดสัปดาห์ คุยเรื่องทั่วไป

    ผมก็ตามอ่านทุกฉบับ

    พี่วาณิชเขียนสนุก แม้แต่เรื่องที่ดูเหมือนธรรมดา มีความสามารถลากให้เราตามเรื่องไป หยุดไม่ได้จนจบบท

    กิจกรรมประจำปีอย่างหนึ่งของพี่วาณิชคือ เมื่อถึงฤดูซีไรต์ ก็เขียนวิจารณ์หนังสือที่ได้รับรางวัล ไม่ได้เขียนแค่บทความเดียวจบ มักลากยาวไปหลายตอน

    นักเขียนที่ได้รับรางวัลซีไรต์แต่ละปีก็ไม่ค่อยอยากปรากฏตัวในคอลัมน์แกเท่าไร เพราะส่วนมากเป็นวิจารณ์ในแง่ลบ

    กลายเป็น ‘tradition’ ของวงการ จะผ่านด่านซีไรต์ให้สมบูรณ์แบบ ก็ต้องผ่านด่านแกเสียก่อน

    คล้ายๆ ศิษย์วัดเส้าหลิน ก่อนออกจากวัดต้องผ่านด่านสิบแปดมนุษย์ทองคำ 18 คน

    ขั้นสุดท้ายคือยกกระถางไฟ ความร้อนของกระถางทำให้เกิดลายมังกรบนท่อนแขนของศิษย์คนนั้น

    ถือว่าเรียนจบปริญญาวัดเส้าหลิน

    พี่วาณิชก็คือกระถางไฟแห่งวงการวรรณกรรมไทย!

    ก็มาถึงปีที่ผมได้รับรางวัลจาก สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน พี่วาณิชก็มาตามนัด

    บทความวิจารณ์ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน นั้นยาวมาก เขียนต่อกันสิบกว่าตอน

    และแน่นอนเป็นการวิจารณ์ในเชิงติติง

    แต่หากคิดว่ามันเป็นการวิจารณ์แบบที่เราเห็นกันในโลกโชเชียลเวลานี้ ก็คิดใหม่ได้เลย เพราะถึงเป็นวิจารณ์เชิงลบ ก็เป็นประโยชน์กับนักเขียน นำไปปรับปรุงได้ หรือเสนอแง่มุมที่ชวนคิดต่อ เป็นประโยชน์ต่อคนอ่าน

    ที่สำคัญคือสุภาพเหมือนพี่ปรานีสอนน้อง

    และถึงเป็นวิจารณ์เชิงลบ ก็ยังแทรกเชิงบวกเข้าไปด้วย ไม่ใช่ติอย่างเดียว

    พูดง่ายๆ คือส่วนไหนคิดว่าด้อย ก็ติ ส่วนไหนดี ก็ชม (แกยังชมว่าผมใช้ภาษาไม่เลว)

    ผมน้อมรับคำวิจารณ์แบบนี้อย่างจริงจัง และนำไปปรับปรุงแก้ไขเสมอ ในฉบับที่ตีพิมพ์ภายหลัง ผมเขียนขอบคุณพี่วาณิชด้วย เมื่อส่งหนังสือฉบับแก้ไขไปให้ พี่วาณิชก็เขียนจดหมายตอบกลับด้วยไมตรีจิต ให้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวมาด้วย (ไม่แน่ใจว่าให้โทร.เวลาชวนกินเหล้าหรือเปล่า)

    ผู้วิจารณ์กับผู้ถูกวิจารณ์กลายเป็นญาติน้ำหมึกอย่างสมบูรณ์

    ผมไม่ได้เห็นบรรยากาศแบบนี้มานานมากแล้ว หรือที่ถูกคือไม่เคยเห็นอีกเลย

    ครั้งที่ ปราบดา หยุ่น ได้รับรางวัลซีไรต์ ก็เจอบทวิพากษ์ไปเยอะ จนอา ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เปรยกับผม “นี่จะไม่ยอมให้นักเขียนใหม่ได้เกิดเลยหรือ”

    นั่นคือตีนักเขียน ไม่ใช่งานเขียน

    ผมถือคำวิจารณ์ทั้งหลายแบบนี้จริงจังมาก และนำไปแก้ไข ถ้าคนวิจารณ์พูดถูก และขอบคุณเขาด้วย ไม่เคยเสียความรู้สึกหรือเสียหน้าอะไร

    ขณะเดียวกันผมก็ได้รับบทวิพากษ์จำนวนมาก ซึ่งผมไม่ใส่ใจ เพราะเสียเวลา

    ใส่ในหัวก็เสียพื้นที่สมอง ใส่ในใจก็เสียอารมณ์

    (วิพากษ์ = ด่าระบายอารมณ์ วิจารณ์ = ติตัวเนื้องาน)

    ผมสังเกตอย่างหนึ่งว่านักเขียนระดับเซียนถ่อมตัว สุภาพอย่างยิ่ง และมีเมตตาต่อนักเขียนรุ่นน้องเสมอ อย่างเช่น อาจินต์ ปัญจพรรค์ พนมเทียน ’รงค์ วงษ์สวรรค์ กฤษณา อโศกสิน ทุกท่านสูงสุดคืนสู่สามัญ

    แม้แต่พี่วาณิช ถึงจะติ ก็เพื่อก่อ

    เดี๋ยวนี้เห็นแต่ ‘ติเพื่อก่อเรื่อง’ มากกว่า

    คนรุ่นนั้นเวลาถกกันจะสุภาพมาก หากใครเคยอ่านบทโต้ตอบระหว่างพี่วาณิชกับ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช จะเข้าใจว่า เวลาปัญญาชนถกกัน เขาถกกันอย่างไร ทั้งสุภาพ ทั้งสนุก และประเทืองปัญญา

    ทุกวันนี้มาตรฐานวิทยายุทธ์ทางปัญญาในยุค ‘ใกล้ชิดข่าวสาร ห่างไกลเมตตา’ นี้ อย่าว่าแต่ผ่านกระถางไฟเลย ไปไม่ถึงด่านมนุษย์ทองคำคนแรกด้วยซ้ำ

    วินทร์ เลียววาริณ
    19-4-25

    จากอีบุ๊ค #ปล่อยให้ตัวเลขอายุพาไป / วินทร์ เลียววาริณ
    https://www.winbookclub.com/store/detail/225/ปล่อยให้ตัวเลขอายุพาไป 
    และ The Meb

    0
    • 0 แชร์
    • 37

บทความล่าสุด