-
วินทร์ เลียววาริณ2 เดือนที่ผ่านมา
ตอนเด็กผมเรียนที่โรงเรียนแสงทองวิทยา หาดใหญ่ เป็นโรงเรียนคาทอลิก จึงคลุกคลีกับชีวิตคาทอลิกแต่เด็กโดยปริยาย
ทุกเช้าหลังเคารพธงชาติ นักเรียนสวดมนต์แบบคริสต์ ขึ้นต้นว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงคุ้มครองสอดส่องดูแลเรา...”
ในชั่วโมงศีลธรรม เราเรียนทั้งพุทธและคริสต์ เรียนเรื่องไบเบิลและการสร้างโลกตามคติคริสต์
เนื่องจากนี่เป็นเมืองไทย ประเทศที่ให้เสรีภาพในศาสนา แม้จะเป็นโรงเรียนคริสต์ แต่ศาสนาคริสต์ไม่ใช่ภาคบังคับ ทว่าโรงเรียนจะยินดีมากหากนักเรียนปรารถนาจะเป็นคาทอลิก
โรงเรียนมีโบสถ์หลังหนึ่ง ในวันที่พิธีทางศาสนาในโบสถ์ตรงกับชั่วโมงเรียน นักเรียนสามารถเลือกเข้าโบสถ์แทนเข้าห้องเรียนได้
เดาไม่ยาก ผมก็ทำเมื่อต้องการหนีชั่วโมงเรียนวิชาที่น่าเบื่อ
อยู่ดี ๆ วันหนึ่งผมก็สมัครเรียนศาสนาคริสต์ที่คณะเซเวนธ์เดย์แอดเวนตีส กรุงเทพฯ จัดขึ้น ผมเรียนทางไปรษณีย์จนจบหลักสูตร และได้รับประกาศนียบัตร
ผมมีความรู้สึกดีต่อบาทหลวงคาทอลิกที่จากโลก ข้ามน้ำข้ามทะเลมาสอนหนังสือในเมืองไทย จำนวนมากตายบนผืนแผ่นดินไทย
ผมมีเพื่อนหลายคนจบโรงเรียนคาทอลิกในกรุงเทพฯ เช่น อัสสัมชัญ
อัสสัมชัญเป็นโรงเรียนในเครือคณะภราดาเซนต์คาเบรียล (Frères de Saint-Gabrie) เป็นคณะนักบวชคาทอลิกคณะหนึ่งซึ่งขึ้นตรงต่อพระสันตะปาปา
ในเมืองไทยมีบทบาทอย่างสูง ไม่เพียงแต่ต่อนักเรียนอัสสัมชัญ แต่ต่อการศึกษาของไทยด้วย
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ บาทหลวงเอมิล โอกุสต์ โกลงเบต์ (Émile August Colombet) วัยห้าสิบเอ็ด เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่ฝรั่งเศส หลังจากใช้เวลายี่สิบสองปีในประเทศสยาม ก่อตั้งโรงเรียนอัสสัมชัญ สอนเด็กคริสตังและลูกหลานชาวยุโรป
การเดินทางเที่ยวนี้ต่างจากครั้งอื่นคือ ท่านเข้าพบท่านอธิการใหญ่แห่งคณะภราดาเซนต์คาเบรียล ณ เมืองแซง โลรอง ซูร์ แซฟวร์ (Saint Laurent sur Sèvre) จังหวัดวองเด
“ข้าพเจ้าปรารถนาส่งมอบกิจการโรงเรียนอัสสัมชัญในประเทศสยามให้แก่คณะฯ”
อธิการใหญ่แห่งคณะภราดาเซนต์คาเบรียลตกลง
ปีถัดมา คณะภราดาเซนต์คาเบรียลก็ส่งภราดาห้าคนไปรับหน้าที่บริหารโรงเรียนอัสสัมชัญ
ภราดาผู้มีอายุน้อยที่สุดชื่อ ฟรองซัว ตูเวอแน ฮีแลร์ (François Touvenet Hilaire) อายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น เกิดที่ตำบลชองนิเอร์ (Champniers) เมืองปัวตีเย (Poitiers) ประเทศฝรั่งเศส ในวัยเด็กเขาสนใจพระธรรมและคิดอุทิศตนแก่ศาสนา ถวายตนปฏิบัติกิจเพื่อพระผู้เป็นเจ้า ศึกษาที่คณะเจษฎาจารย์เซนต์คาเบรียล ที่เมืองแซ็ง โลร็อง ซูร์ แซ็ฟวร์ อายุ สิบแปดเป็นภราดา
เจษฎาจารย์ทั้งห้าลงเรือที่เมืองมาร์เชย์เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๔ ใช้เวลาเดินทางหนึ่งเดือนกับสองวันก็ถึงกรุงเทพฯ เรือเทียบท่าห้างบอร์เนียว แตะแผ่นดินสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ฟรองซัว ตูเวอแน ฮีแลร์ พูดภาษาไทยไม่ได้สักคำ
ภราดาหนุ่มได้รับมอบหมายให้สอนภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส วันหนึ่งเขาได้ยินเด็กนักเรียนไทยท่องข้อความบางอย่าง เสียงนั้นสูง ๆ ต่ำ ๆ ไพเราะ มีจังหวะจะโคนงดงาม เขานึกสงสัยว่าเด็กท่องอะไร เมื่อสอบถามก็รู้ว่ามันคือ มูลบทบรรพกิจ แบบเรียนภาษาไทยที่ประพันธ์โดยพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
ตั้งแต่นั้นภราดาฟรองซัวก็เรียนตำรานี้ และเริ่มเรียนภาษาไทยอย่างจริงจังกับครูหลายคน เช่น ท่านมหาทิม ครูวัน (พระยาวารสิริ) ท่านมหาศุข ศุภศิริ และครูฟุ้ง เจริญวิทย์ ภราดาหนุ่มเป็นอัจฉริยะด้านภาษา ความเร็วของการเรียนรู้ภาษาไทยของเขาน่าทึ่งอย่างยิ่ง
ผ่านไปหลายปี ภราดาชาวฝรั่งเศสก็แตกฉานภาษาไทยยิ่งกว่าคนไทยจำนวนมาก ศึกษาวรรณคดีไทยอย่างลึกซึ้ง เล่ากันว่าเขาสอนเวสสันดรชาดกได้ดีไม่แพ้ท่านมหาศุข
ฟรองซัว ตูเวอแน ฮีแลร์ มีบุคลิกผู้คงแก่เรียน ไว้หนวดเครายาว จนนักเรียนตั้งฉายาให้เขาว่า โจโฉ
คนทั่วไปเรียกเขาสั้น ๆ ว่า ฟ. ฮีแลร์
ฟ. ฮีแลร์เป็นผู้แต่งหนังสือชุด ดรุณศึกษา ที่ใช้เป็นแบบเรียนของไทยในยุคนั้น
ใช้เวลาทั้งชีวิตของเขาเป็นครูในเมืองไทย
วินทร์ เลียววาริณ
๒๒-๔-๒๕๖๘0- แชร์
- 45
-
(อ้างถึง https://www.facebook.com/photo/?fbid=1321021422719879&set=a.208269707328395)
บทความเรื่องสงครามยูเครน (Not one inch eastward) มีสองความเห็นที่น่าสนใจ จึงต้องเขียนขยายความ เช่นเคย ผมเขียนด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ข้อหนึ่งคือทำไมรัสเซียยึดไครเมีย ข้อสองคือ ยูเครนเป็นรัฐอิสระ ย่อมมีสิทธิ์ที่จะกำหนดทิศทางประเทศมิใช่หรือ
ว่าเรื่องไครเมียก่อน
ไครเมียเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ในปี 1954 ครุสชอฟผู้นำโซเวียตยกให้อยู่ในความดูแลของยูเครน
ปูตินยึดไครเมียในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2014 ก่อนหน้านั้นเกิดเหตุเดินขบวนขับไล่รัฐบาลยูเครนที่โปรรัสเซีย ที่เรียกว่า The Revolution of Dignity (หรือ Euromaidan) ตายไปไม่น้อย
ในช่วงชุมนุม วุฒิสมาชิกสหรัฐฯสองคนคือ Chris Murphy และ John McCain ไปให้กำลังใจผู้ชุมนุม แม็คเคนบอกผู้ชุมนุมว่า "We are here to support your just cause, the sovereign right of Ukraine to determine its own destiny freely and independently. And the destiny you seek lies in Europe."
เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ Victoria Nuland ก็ไปเยี่ยมผู้ประท้วงเช่นกัน (ฉากนี้คล้ายๆ ทูตสหรัฐฯชวนเด็กบ้านเรากินชีสเค้ก และพวกทูตยุโรปชอบมาเยี่ยมบางกลุ่มในบ้านเรา)
หากเราเป็นปูติน จะอ่านเหตุการณ์นี้ว่าอย่างไร ก็ต้องอ่านว่าสหรัฐฯ "มันมาแล้ว!"
การชุมนุมขับไล่ประธานาธิบดียูเครนที่โปรรัสเซียสำเร็จลุล่วง ปูตินสั่งยึดไครเมียในเดือนนั้นเอง
เอาละ ตรงนี้มีสองมุมมอง สองฝั่ง
ฝั่งหนึ่งว่าปูตินวางแผนจะยึดไครเมียคืนมานานแล้ว เพียงรอหาโอกาสเหมาะๆ ที่จะยึด ปูตินเห็นว่าไครเมียเดิมเป็นของรัสเซีย พลเมืองของไครเมียส่วนใหญ่เป็นรัสเซีย ครุสชอฟพลาดอย่างแรงที่ยกให้ยูเครน เมื่อเกิดเหตุจลาจลในยูเครนครั้งนี้ ก็ฉวยโอกาสยึดไครเมียคืนสู่แผ่นดินแม่
อีกฝั่งหนึ่งว่าการขับไล่ผู้นำยูเครนออกจากประเทศสำเร็จต่างหากที่เป็นต้นเหตุของการยึดไครเมีย เพราะรัสเซียมองว่าผู้นำกลุ่มใหม่โปรตะวันตก เดี๋ยวก็จะเข้า EU ต่อด้วย NATO เป็นอันตรายในการดำรงอยู่ (existential threat) ของรัสเซีย
ถามว่ายึดไครเมียผิดไหม ตามหลักสากล ก็ย่อมผิดแน่นอน แต่จะว่าไปแล้วก็อาจผิดน้อยกว่าการที่สหรัฐฯส่งกองทัพเรือไปโค่นราชวงศ์ฮาวาย แล้วยึดฮาวายเป็นรัฐที่ 50 ของตน เพราะพลเมืองไครเมียส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย อ๋อ! ใช่ สหรัฐฯก็มีความสามารถก่อรัฐประหารและยึดครองแผ่นดินอื่นเหมือนกัน!
.........................................
มาถึงข้อสอง ยูเครนเป็นรัฐอิสระ ประชาชนย่อมมีสิทธิ์ที่จะกำหนดทิศทางประเทศ หรือตามคำของแม็คเคน เป็น "sovereign right of Ukraine to determine its own destiny freely and independently" จริงไหม?
โดยหลักสากล ก็จริงอีกนั่นแหละ แต่โลกเราไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เสรีภาพก็มีขอบเขตและผลที่ตามมา (conseqence)
มันไม่ได้อยู่ที่ชาวยูเครนเลือกใช้สิทธิ์เสรีภาพอย่างไร มันมีอีกปัจจัยคือ เพื่อนบ้าน (รัสเซีย) คิดอะไรกับการเลือกใช้สิทธิ์เสรีภาพของพวกเขา ถ้ารัสเซียคิดว่าเสรีภาพของยูเครนที่จะเข้า NATO คืออันตรายในการดำรงอยู่ของเขา ก็บุกยูเครน
NATO เป็นองค์กรทางทหาร ไม่ใช่สมาคมพ่อค้า การเป็นสมาชิก NATO แปลได้อย่างเดียวว่าพร้อมรบกับรัสเซีย ในมุมมองของรัสเซีย หากยูเครนเป็นสมาชิก NATO ก็หมายถึงมีอาวุธปรมาณูมาจ่อชายแดน
ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยเหตุการณ์แบบนี้ เช่น การปฏิวัติร่ม (Umbrella Revolution หรือ Umbrella Movement) ที่ฮ่องกงในปี 2014 นักศึกษาย่อมมีสิทธิเดินขบวนต้านรัฐ แต่ conseqence คือจีนมองว่ามันเป็น existential threat ของตน
ไม่ว่าสหรัฐฯและอังกฤษสนับสนุน Umbrella Movement อย่างที่จีนเชื่อหรือไม่ จีนมองเหตุการณ์นี้ด้วยโหมดเดียวคือมันเป็น existential threat และมีทางเลือกเดียวเท่านั้นคือปราบ
นี่ก็คือเหตุผลเดียวกับเหตุการณ์เทียนอานเหมิน ถามว่าฆ่าคนชุมนุมผิดศีลธรรมไหม ก็ย่อมผิด ผิดกฎหมายนานาชาติไหม ก็ผิดแน่นอน แต่ในมุมมองของผู้นำจีน เห็นว่าฆ่านักศึกษาไปสักแสนคนแลกกับความสงบของประเทศที่มีพลเมืองพันกว่าล้าน เป็นราคาที่เขายอมจ่าย เขาไม่ได้มองที่ผิดหรือถูก เขามองที่เกมในภาพรวม
หากคิดว่ามีแต่ประเทศจีนที่ทำ 'เรื่องแย่ๆ' อย่างนี้ ก็คิดใหม่ได้ ในปี 1962 คิวบาก็ใช้สิทธิเสรีภาพอนุญาตให้โซเวียตไปตั้งฐานจรวดขีปนาวุธที่นั่น สหรัฐฯไม่ได้มองว่ามันเป็นเสรีภาพ แต่มองว่ามันเป็น existential threat เพราะที่ตั้งของคิวบาจ่อคอหอยสหรัฐฯ เคนเนดีก็ส่งเรือรบไปล้อมคิวบา และเตรียมรบทันที (สร้างเป็นหนังเรื่อง 13 Days) 13 วันนั้นโลกเฉียดสงครามโลกครั้งที่ 3 มากที่สุดครั้งหนึ่ง โชคดีที่โซเวียตประเมินแล้วว่าไม่คุ้ม ก็ยอมถอนฐานยิงจรวด
สมมุติว่าวันพรุ่งนี้ชาวไต้หวันนึกอยากแสดงเสรีภาพ อนุญาตให้สหรัฐฯขนขีปนาวุธไปตั้งฐานที่ไต้หวัน คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น? จีนก็จะถล่มไต้หวันทันที ไม่มีทางเลือกอื่น ต่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 จีนก็จะทำ
ยูเครนก็คล้ายกัน มันตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ถ้าผู้นำยูเครนอ่านเกมไม่ออก หรือมีตั้งธงไว้ก่อนว่าจะทำอะไร ประเทศก็พังได้ ดังที่ปรากฏ
ดังนั้นมันไม่ใช่สิทธิเสรีภาพของประเทศหนึ่งว่าจะทำอะไรก็ได้ ผู้นำประเทศต้องรู้ด้วยว่าอะไรคือ conseqence ของทุกการตัดสินใจ โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของโลก
นี่บอกว่าการเมืองระหว่างประเทศมองด้วยสายตา "ถูก" หรือ "ผิด" หรือ "เสรีภาพ" ไม่ได้ หมากรุกการเมืองไม่มีศีลธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
ครั้งหนึ่งมีคนถามประธานาธิบดีนิกสันว่า พวกล็อบบี้ยิวที่คุมรัฐสภาสหรัฐฯมีจริงไหม นิกสันตอบเต็มปากเต็มคำว่า มีจริง พวกนี้ต้องการคุมนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ เพื่อให้คุ้มครองอิสราเอล แต่หน้าที่ของผู้นำสหรัฐฯต้องให้ความสำคัญของพลเมืองสหรัฐฯก่อน และถ้านโยบายนั้นบังเอิญตรงกับอิสราเอล ก็ถือว่ามีประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่เอาประโยชน์ของอิสราเอลก่อน
การเป็นผู้นำประเทศจึงต้องรอบรู้ อ่านเกมหมากรุกระหว่างประเทศให้ออก อ่านเกมผิด บ้านเมืองก็พัง
วันสองวันนี้จะมีการชุมนุมขับไล่รัฐบาล 'ขายชาติ' ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผู้อ่านรู้ไหมว่าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ของอะไร ก็คือเหตุการณ์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยกทัพไปตีฝรั่งเศสที่อินโดจีน เพื่อชิงดินแดนไทยที่เสียไปในสมัยรัชกาลที่ 5 คืนมา เพราะเมื่อเกิดสงครามโลก ฝรั่งเศสอ่อนแอ เป็นเวลาเหมาะ
แต่เมื่อไทยเดินหมากผิด ไปประกาศสงครามกับสัมพันธมิตร เราก็ถูกถล่มด้วยระเบิด หลังสงครามเราก็ต้องยกดินแดนคืนฝรั่งเศสอีกที ยังดีที่เราไม่สิ้นชาติ
เดินหมากผิดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน
วินทร์ เลียววาริณ
27-6-250 วันที่ผ่านมา -
บางช่วงในสมัยหนุ่ม ๆ ผมเคยคิดออกบวช ธุดงค์ไปเรื่อย ๆ เพื่อหาทางหลุดพ้น หรือค้นพบความจริงแห่งชีวิต ตามมรรคาของนักบวชในอดีต
ความเป็นคนคิดมากและฟุ้งซ่านทำให้สมองโลดแล่นไปเรื่อย คิดว่าน่าจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความจริงสูงสุด’ ซึ่งเมื่อเรารู้ จะเข้าใจสรรพสิ่งในจักรวาล เผลอ ๆ อาจเข้าใกล้สภาวะนิพพานไปโน่น
เคยได้ยินคนไม่น้อยคิดอย่างเดียวกัน แสดงว่าเราได้รับการปลูกฝังมาจนมีความเชื่อว่าหนทางของการหลุดพ้นคือการออกบวชอย่างเดียว
ความคิดปลีกวิเวกกลางป่าเขานี้ค่อย ๆ เลือนหายไปในกาลเวลา เมื่อศึกษาศาสตร์ต่าง ๆ กว้างขึ้น มองโลกกว้างขึ้น ทำให้เกิดความคิดใหม่ว่า การแสวงหาน่าจะเป็นเรื่องภายใน ไม่เกี่ยวกับการออกไปข้างนอก จะอยู่ในป่า อยู่กลางเมือง ถ้าจะพบก็พบ ไม่ต้องเข้าป่า หรือต้องอยู่คนเดียว มีครอบครัว ก็แสวงหาได้
จิตรกรมือหนึ่งสามารถใช้กระดาษสกปรกวาดภาพวิจิตรตระการตาได้ ไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษขาวสะอาดและสีราคาแพงจากต่างประเทศ ประติมากรมือเยี่ยมสามารถเสกรูปปั้นงดงามจากดินโคลนสกปรก ไม่จำเป็นต้องพึ่งหินอ่อนเนื้อดีจากยุโรป
ความสามารถที่จะพบ-สร้างอยู่ภายในตัวเรา ไม่ใช่ภายนอก
มีตัวอย่างมากมายจากนักบวชในอดีตที่พบว่า ยิ่งแสวงหายิ่งไม่พบ เพราะสิ่งแรกที่ควรทำคือละวางความคิดที่จะค้นพบเสียก่อน
ทางเซนบอกว่า เมื่อพบพระพุทธ ให้ฆ่าพระองค์เสีย
หมายความว่าอย่าคิดแสวงหาสภาวะแห่งพุทธะ (ความตื่นรู้)
เพราะการตั้งเป้าหาคำตอบสูงสุดเพื่อหลุดจากการยึดติด ก็คือการยึดติดอย่างหนึ่ง
ผมจึงชมชอบท่านเล่าจืื๊อ ปรมาจารย์ลัทธิเต๋าเป็นพิเศษ ท่านเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่เรื่องมาก เป็นอาแป๊ะแก่ ๆ ที่เราเห็นแถวเยาวราช ว่าง ๆ ก็ขี่ควายเล่น ดื่มน้ำชาหัวเราะสบายใจ แต่เข้าใจธรรมลึกซึ้ง
ท้องฟ้ากลางป่ากับกลางเมืองก็ท้องฟ้าฝืนเดียวกัน ความแตกต่างอยู่ที่เราเงยหน้าขึ้นมองหรือเปล่า
บางทีแค่สามารถทำความเข้าใจว่าชีวิตเป็นอย่างนี้ และใช้ชีวิตให้ดีที่สุด หากมีครอบครัว ก็มีหน้าที่รับผิดชอบ เมื่อหิวก็กิน เมื่อง่วงก็นอน
บางทีวิถีชีวิตของมนุษย์ที่แท้อาจจะง่ายกว่าที่เราคาดหวังและวาดภาพไว้
วินทร์ เลียววาริณ
27-6-25........................
จาก บางครั้งเราก็ลืมรักตัวเอง
90 บทความกำลังใจสั้นๆ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 2 บาท+ (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/147/บางครั้งเราก็ลืมรักตัวเอง0 วันที่ผ่านมา -
วันนี้เพื่อนของผมถามว่า เขียนเรื่องการเมืองโลกเรื่อง xxx แล้วยัง ผมตอบว่าเขียนไม่ได้ เพราะในเรื่องที่เขาว่านั้น ผมไม่รู้จริง และผมไม่อยากเขียนแบบ speculation
speculation คือคาดคะเน ตั้งทฤษฎีโดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานชัดแจ้ง
ช่วงหลังนี้ผมเผลอตัวไปเขียนบทวิเคราะห์การเมืองโลกอยู่หลายตอน ทั้งที่ไม่ใช่พื้นที่ที่ผมอยากทำเท่าไรนัก ผมชอบเขียนนิยายมากกว่า
ในความเห็นของผม การเขียนบทวิเคราะห์การเมืองโลกมีสองแบบ
แบบแรกผมเรียกว่า speculation คือรับข้อมูล ข่าวสาร แล้วมาตั้งทฤษฎีว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั่วโลกมีนักวิเคราะห์แบบนี้มากมาย อ่านและฟังสนุกดี แต่จริงไม่จริงเราไม่รู้ ถูกบ้างผิดบ้าง ขึ้นกับผู้ตั้งทฤษฎีมีประสบการณ์มากแค่ไหน แต่บางทีคนมีประสบการณ์ก็พลาดได้ เป็นเรื่องธรรมดา
แบบที่สองคือ เสนอบทเรียนทางประวัติศาสตร์ ก็คือสิ่งที่ผมพยายามทำ
เท่าที่ผ่านมา สิ่งที่เรียกว่า 'บทวิเคราะห์การเมืองโลก' ที่ผมเขียนมักอ้างอิงประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง มีหลักฐานจริง แล้วใช้หลักฐานข้อมูลเหล่านี้มาพยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
สำหรับแบบที่สองนี้ ผู้อ่านต้องขบคิด วิเคราะห์ด้วยเวลาอ่าน เพราะผมก็อาจพลาดตอนโยงได้เหมือนกัน
ตอนผมเขียนนวนิยาย ปีกแดง เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนนั้น เป็นครั้งแรกที่ผมต้องรีเสิร์ชข้อมูลประวัติศาสตร์ระหว่างประเทศจำนวนมหาศาล และเรียนรู้ว่า ในเรื่องหนึ่งๆ มีหลายมุม (perspective) ถ้ามีอคติล่วงหน้า ก็จะพลาดมุมอื่นที่อาจจะถูกต้อง
การเขียนนวนิยายยังพอกล้อมแกล้มในเรื่องข้อมูลไม่ตรงหรือมีอคติได้บ้าง แต่หากเป็นสารคดี ข้อมูลต้องเป๊ะ ไม่งั้นมันก็เป็นแค่ speculation และถ้าเราไม่รู้ว่ามันคือข้อมูลจริงหรือ speculation เราก็จะพลาดความจริงได้ง่าย
ผู้อ่านจึงต้องอ่านข่าวสารและบทวิเคราะห์ให้ออกว่า มันเป็น speculation หรือไม่ แล้วคิดต่อไป จึงจะมองเห็นภาพได้ชัดขึ้น และทำให้เรามองแต่ละเหตุการณ์ได้ลึกขึ้น
speculation นั้นสนุกกว่า ทั้งการเสพและการถก แต่ต้องระวังนิด เพราะมันอาจทำให้ความคิดเราเขวได้
วินทร์ เลียววาริณ
26-6-251 วันที่ผ่านมา -
เคยอยากได้ยางลบความทรงจำไหม?
เรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ในชีวิตเป็นบาดแผลลึกที่เราอยากจะลืม แต่ลืมไม่ได้ สิ่งเดียวที่มองเห็นว่าช่วยได้คือยางลบความทรงจำ
ลบความทรงจำที่ไม่ดี ที่เลอะเทอะจิตใจ
อกหักน่าจะเป็นอาการที่คนเป็นอยากได้ยางลบชนิดนี้ที่สุด คนรักตีจาก ทำให้หัวใจร้าวราน แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าและทรมาน เวลาผ่านไปเป็นปี อาการก็ไม่ดีขึ้น ความโกรธ ความเกลียด ความแค้นยังพลุ่งพล่านในหัวใจเป็นระยะ ๆ ทั้งรักทั้งแค้น หรือรักมากก็แค้นมาก
ถ้าได้ยางลบความทรงจำก็คงดี
เชื่อว่าผู้คนหลายพันล้านคนในโลกอยากได้ยางลบชนิดนี้
ปัญหาคือโลกเราไม่มียางลบความทรงจำ
ทว่าต่อให้มียางลบดังกล่าว มันก็เหมือนดื่มเหล้าดับทุกข์ เป็นการหนีปัญหาอย่างหนึ่ง
เราอาจเปรียบอาการอกหักกับการเป็นมะเร็ง ขั้นตอนการจัดการกับปัญหาคล้าย ๆ กัน
คนไข้โรคมะเร็งจำนวนมาก เมื่อได้ยินข่าวร้าย จะมีปฏิกิริยาแรกคือ Denial หรือโหมดปฏิเสธ ไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริง ไม่ยอมรับความจริงนี้
ต้องใช้เวลาออกจากโหมดนี้ แล้วยอมรับความจริง
ขั้น Denial ถ้านานเกินไป ก็จะหายช้า เพราะยังไม่สามารถเริ่มกระบวนการรักษา
ถ้าไม่ยอมรับความจริงว่ามีปัญหา ก็ไปต่อไม่ได้
ปฏิกิริยาขั้นต่อมาคือความโกรธ คนไข้มักบอกตัวเองว่า “ทำไมต้องเป็นเรา?”
“เราทำอะไรผิดหรือจึงซวยอย่างนี้?”
“ชาติก่อนเราทำกรรมอะไรไว้?” ฯลฯ
ปฏิกิริยาต่อมาอีกคือความกลัว วิตกจริต และสิ้นหวัง
ทั้งหมดนี้เป็นปฏิกิริยาพื้นฐานของมนุษย์ทั่วไป
สิ่งแรกที่พึงกระทำคือตั้งสติ เมื่อสติคืนมาก็ให้รีบออกจากโหมดปฏิเสธโดยเร็วที่สุด ยอมรับว่านี่คือปัญหา เกิดขึ้นมาแล้ว
หลังจากนั้นก็อาจมองแบบพุทธ เป็นทางหนึ่งที่ผมเคยได้ใช้และได้ผล
นั่นคือมองและเข้าใจว่าทุกสิ่งในโลกเกิดและดับ ไม่มีอะไรยั่งยืนตลอดกาล แม้กระทั่งความทุกข์
ดังนั้นไม่ต้องหนีความรู้สึกทุกข์ ไม่ต้องแกล้งลืม ให้เผชิญหน้ากับมัน มองมันตรง ๆ และเฝ้าดูมันเคลื่อนผ่านไป
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ท่องในใจว่า It will pass.
วันนี้ความรู้สึกทุกข์อาจลดจากเมื่อวานนี้ 1 อะตอม ก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้มันก็จะลดลงอีก 1 อะตอม
ลดลงมาตั้งสองอะตอมแล้ว!
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนเราหาย
อีกอุบายหนึ่งคือเปลี่ยนมุมมอง อาจจะปล่อยวางปัญหานี้ได้ง่ายขึ้น
คนส่วนใหญ่เมื่อเจอประสบการณ์รักเลิกร้างลาจาก มักจะมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล มองว่าตัวเองเป็นฝ่ายเจ็บ ร้าวรานแต่เพียงผู้เดียว เพลงตัดพ้อคร่ำครวญจึงขายได้ตลอดกาล
ไม่ค่อยคิดว่าอีกฝ่ายก็อาจเจ็บปวดและร้าวรานได้เช่นกัน
ดังนั้นลองเปลี่ยนมุมมอง อย่าใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง มองอีกฝ่ายบ้าง มีเมตตากับเขา
ลองมองใหม่ว่า การที่อีกฝ่ายมีความสุขกว่าที่จากเราไป ก็คือสิ่งที่เราควรยินดีกับอีกฝ่าย ไม่ใช่มองแต่ด้านทุกข์ของตัวเอง ใครจะรู้ อีกฝ่ายก็อาจกำลังทุกข์เช่นกัน
อ้าว! ก็ไหนเคยบอกว่ารักเขาไง ถ้ารักจริง ก็น่าจะยินดีกับเขาที่มีความสุข แม้ว่าความสุขของเขาไม่มีเราอยู่ด้วย
ความทุกข์ในโลกนี้หายได้ด้วยความเข้าใจ เพราะความทุกข์ทั้งหลายในโลกมาจากการปรุงแต่ง เมื่อเข้าใจ ก็หยุดการปรุงแต่ง
หยุดปรุงแต่งเมื่อไร ก็หยุดทุกข์เมื่อนั้น
และอดทน เฝ้ามองมันสลายไป
It will pass.
เพราะไม่มีทุกข์ใดยั่งยืนยงตลอดกาลนาน
วินทร์ เลียววาริณ
26-6-25.....................................
จาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/187/เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
Shopee https://s.shopee.co.th/60Bx1VKarmShopee โปรโมชั่นคู่กับยุทธจักรวาลกิมย้ง https://s.shopee.co.th/6pl417244u
1 วันที่ผ่านมา -
คุยเรื่องสงครามในตะวันออกกลางมาหลายบท ผู้อ่านหลายท่านขอให้เขียนเรื่องสงครามยูเครนบ้าง
เขียนน่ะเขียนได้ แต่ที่ผมเขียนเป็นข้อมูลอีกชุดหนึ่ง ผมจะเล่าที่มาของสงครามตามข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ โดยไม่มีความรู้สึกส่วนตัว ว่ากันที่หลักฐานล้วนๆ ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าเราศึกษาประวัติศาสตร์ไปทำไม จริงไหม? ผู้อ่านคงต้องวิเคราะห์เองว่าความจริงเป็นอย่างไร เพราะสิ่งที่เขียนอาจไม่ตรงใจผู้อ่านที่ได้รับข้อมูลอีกชุดหนึ่ง
สงครามยูเครนไม่ได้เพิ่งเริ่มในปี 2022 มันโยงไปถึงก่อนยูเครนจะตั้งเป็นประเทศเสียอีก
ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า โซเวียตกับรัสเซียไม่เหมือนกัน
ถ้าพูดถึงรัสเซีย หมายถึงประเทศรัสเซียในตอนนี้ ปกครองโดยปูติน ถ้าพูดถึงโซเวียต หมายถึงสหภาพโซเวียต (The Union of Soviet Socialist Republics - USSR) ซึ่งรวมประเทศต่างๆ ร้อยพ่อพันแม่เข้าด้วยกันมาตั้งแต่ปี 1922 ไม่กี่ปีหลังปฏิวัติบอลเชวิกโดยเลนิน แล้วปกครองเหมารวมด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้น และประธานาธิบดีเรแกนเรียกมันว่า evil empire (จักรวรรดิปิศาจ)
จะว่าไปแล้ว โซเวียตก็เป็น evil empire จริงๆ หลังจากเลนินตาย สตาลินส่งคนไปใช้ขวานจามหัวทร็อตสกี้คู่แข่งทางการเมือง ขึ้นครองตำแหน่ง ก่อตั้งสหภาพโซเวียต หมายจะเปลี่ยนทั้งโลกเป็นสีแดง ด้วยองค์การโคมินเทิร์น (Comintern หรือ Communist International) สตาลินฆ่าคนตายไปหลายสิบล้านคน ชาวโลกกลัวคอมมิวนิสต์กันหัวหด
ในสงครามโลกครั้งที่สอง สตาลินโชคดีที่เข้าถูกฝ่าย ร่วมกับตะวันตกรบกับฮิตเลอร์ จึงอยู่ฝ่ายชนะสงคราม หลังจากสงครามโลกจบ ก็เกิดสงครามเย็นทันที อเมริกากลัวโซเวียตจะเปลี่ยนโลกเป็นคอมมิวนิสต์ทั้งหมด จึงตั้งองค์การ NATO ขึ้นมารับมือในปี 1949 โซเวียตก็ตั้งบ้างคือกลุ่ม Warsaw Pact
ในปี 1985 กอร์บาชอฟขึ้นมาเป็นผู้นำ มีอาการคล้ายเติ้งเสี่ยวผิงตอนขึ้นเป็นผู้นำจีน คือมองซ้ายมองขวา บ้านเมืองยากจน ดูท่าไปไม่รอด เห็นชัดว่าระบอบคอมมิวนิสต์ไม่เวิร์ก เติ้งเสี่ยวผิงดัดแปลงสิงคโปร์โมเดลมาใช้ ส่วนกอร์บาชอฟตั้งนโยบาย Glasnost (โปร่งใส) และ Perestroika (ปรับโครงสร้างใหม่)
ถึงจุดนี้ฝ่ายตะวันตกก็เอาใจช่วยกอร์บาชอฟเต็มที่ พยายามให้โซเวียตรัสเซียสลายตัวด้วยดี
ความล่มสลายของสหภาพโซเวียตเกิดมาจากหลายสาเหตุ แต่ไม่ใช่เพราะอเมริกาชนะสงครามเย็นอย่างที่ชอบเคลมกัน โซเวียตล้มด้วยตัวมันเอง ประการหนึ่ง คอมมิวนิสต์เป็นระบอบที่ไม่เหมาะกับมนุษย์ คนทำงานกับคนไม่ทำงานกินข้าวชามเท่ากัน ทำให้ไม่มีการคิดค้นอะไรออกมาให้เหนื่อยเปล่า
ประการหนึ่ง โซเวียตผลาญเงินไปกับอาวุธมากมาย เศรษฐกิจไปไม่รอด และอีกประการหนึ่ง โซเวียตใหญ่เกินไป ประกอบด้วยหลายรัฐที่ไม่มีอะไรเหมือนกัน
ประธานาธิบดีจอร์จ บุช คนพ่อ ให้สัญญากับกอร์บาชอฟที่ Malta Summit ในเดือนธันวาคม 1989 ว่าสหรัฐฯจะไม่ฉวยโอกาสทำลายผลประโยชน์ของโซเวียต บุชบอกว่า “I have not jumped up and down on the Berlin Wall.”
ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1990 เจมส์ เบเกอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้สัญญากับกอร์บาชอฟว่า “Not one inch eastward” หลังจากกอร์บาชอฟกลัวว่า NATO คิดฉวยโอกาสขยายตัวไปทางตะวันออก
“Not one inch eastward” เป็นคำยืนยันว่าสหรัฐฯจะไม่เคลื่อนกำลังหรืออิทธิพลของ NATO เข้าไปทางรัสเซียแม้แต่นิ้วเดียว
เจมส์ เบเกอร์ ไม่ได้สัญญาครั้งเดียว แต่พูดวลี “Not one inch eastward” ถึงสามรอบ มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
เบเกอร์บอกกอร์บาชอฟว่า “The Americans understood that not only for the Soviet Union but for other European countries as well it is important to have guarantees that if the United States keeps its presence in Germany within the framework of NATO, not an inch of NATO’s present military jurisdiction will spread in an eastern direction.”
คำสัญญาของผู้นำอเมริกันทำให้กอร์บาชอฟยอมปิดบริษัทโซเวียต
ในที่สุดในเดือนธันวาคม 1991 อาณาจักรโซเวียตอันยิ่งใหญ่ก็ล้ม กำแพงเบอร์ลินถูกทุบทิ้งก่อนหน้านั้นไม่นาน หลายแคว้นแยกออกไปเป็นประเทศใหม่ รวมทั้งยูเครน และรับรู้กันทั้งสองฝ่ายว่ายูเครนจะทำหน้าที่เป็นรัฐกันชน สหรัฐฯและฝ่ายตะวันตกจะไม่เข้าไปประชิดพรมแดนรัสเซีย เหมือนกรณีโซเวียตไปตั้งฐานขีปนาวุธที่คิวบาจ่อคอหอยสหรัฐฯในสมัยเคนเนดี
Warsaw Pact ยุติไปโดยปริยาย แต่ NATO ยังไม่ยอมเลิก แม้ว่าไม่มีความจำเป็นต้องทำสงครามเย็นอีกแล้ว
ปัญหาของสหรัฐฯคือ ผู้นำคนใหม่ไม่รักษาคำสัญญาของผู้นำคนเก่า ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือกรณีนิกสันสัญญายอมรับจีนเดียว แต่ประธานาธิบดีคนหลังๆ ผลักดันให้ไต้หวันเป็นเอกราช เพื่อใช้เป็นหมากเล่นงานจีน
ในกรณีนี้ สหรัฐฯก็กลืนน้ำลายตัวเอง ฉีกคำสัญญา “Not one inch eastward” จนกลายเป็นสงครามยูเครน
ดังนั้นว่ากันแฟร์ๆ เมื่อปูตินอ้างคำสัญญา “Not one inch eastward” การบุกยูเครนก็เป็นความชอบธรรม เพราะอเมริกาเป็นฝ่ายฉีกสัญญา
เอาละ เราย่อมได้ยินบทวิเคราะห์จำนวนมากที่ว่า ปูตินกระสันจะเป็นเจ้าโลก ก่อสงครามเพราะต้องการรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่ของสหภาพโซเวียตขึ้นมาใหม่ ในใจลึกๆ ปูตินอาจจะมีความคิดอยากเป็นสตาลิน หรือลอร์ดเซารอน หรือธานอส แล้วใช้ “Not one inch eastward” เป็นข้ออ้าง นี่ย่อมเป็นไปได้ แต่มีข้อแย้งสองจุดที่หักล้างทฤษฎีนี้
ข้อหนึ่งคือเมื่อบุกยูเครนได้ไม่นาน ปูตินขอเจรจาสันติภาพมากกว่าหนึ่งครั้ง เปิดโอกาสให้ยูเครนเปลี่ยนใจ โดยมีข้อแม้ว่ายูเครนต้องไม่เข้าองค์การ NATO ชั่วกาลปาวสาน การเจรจาเกือบบรรลุผล แต่ฝ่ายตะวันตกขวางในนาทีสุดท้าย บอกให้ยูเครนสู้ต่อไป จะส่งอาวุธให้
ข้อสอง ว่ากันว่าปูตินมีไอคิวสูงถึง 150 ทว่าแม้แต่คนโง่กว่าปูตินที่ศึกษาประวัติศาสตร์ ก็รู้ว่าระบอบคอมมิวนิสต์ไม่เวิร์ก โลกเราตอนนี้มีระบอบคอมมิวนิสต์แค่ชื่อเท่านั้น ในภาคปฏิบัติไม่ใช่ ไม่งั้นจีนคงไม่มีมหาเศรษฐีระดับโลก และไม่เดินมาทาง "แมวดำแมวขาวไม่สำคัญ" ในคหสต. ผมไม่คิดว่าปูตินจะฉลาดน้อยเดินไปในทิศนี้ เพราะประวัติศาสตร์ก็ชี้ชัดเจนแล้วว่า มหาประเทศโซเวียตที่มีร้อยพ่อพันแม่ไปไม่รอด มันหนักเกินไป
ดังนั้นผู้อ่านก็ต้องขบคิดเอาเองว่า สงครามยูเครนเกิดขึ้นมาเพราะอะไร และใครกันแน่คือ evil empire
แต่ท้ายที่สุดแล้ว สภาพประเทศล่มสลายของยูเครนตอนนี้ ซึ่งเห็นชัดว่าต้องใช้เวลาหลายสิบปีฟื้นฟู อาจทำให้ชาวยูเครนต้องถามตัวเองว่า "กูบ่อสื่อจ่อหรือเปล่า" ยังจะยืนยันเข้าเป็นสมาชิก NATO แล้วบ้านเมืองพัง หรือดำรงความเป็นรัฐกันชนเหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิม
บทเรียนแรกคือ อย่าใช้บ้านตัวเองเป็นสนามรบของคนอื่น
และบทเรียนที่สองซึ่งใช้ได้กับทุกประเทศ : "เลือกผู้นำผิด คิดจนประเทศพัง"
วินทร์ เลียววาริณ
26-6-25อ่านเพิ่มเรื่องความรู้เกี่ยวกับกำเนิดและอวสานของลัทธิคอมมิวนิสต์โลกได้จากนวนิยาย ปีกแดง (รางวัลนวนิยายดีเด่นคณะกรรมการหนังสือแห่งชาติ ปี 2546) https://www.winbookclub.com/store/detail/114/ปีกแดง%20ฉบับปรับปรุง
(ขอบคุณภาพจากรอยเตอร์ส)
1 วันที่ผ่านมา