-
วินทร์ เลียววาริณ0 วันที่ผ่านมา
หลายคนเวลาซื้อเครื่องเรือนเข้าบ้าน เลือกพิจารณาแต่ละชิ้นอย่างละเอียดพิถีพิถัน บ้างซื้อเฟอร์นิเจอร์หรูหราที่ช่างใหญ่สลักเสลาอย่างประณีต แต่เมื่อวางในห้องที่มีลวดลายเต็มไปหมดทั้งผนังและพื้น เป็นลายทรงโรมันบ้าง จีนบ้าง ทรงหลุยส์บ้าง แต่ละลวดลายวิจิตรสวยงาม แต่เมื่อดูโดยรวมแล้วกลับเลอะเทอะ
งามมากจนเกินงาม มากจนเปรอะ
‘เปรอะ’ ไม่จำเป็นต้องเป็นของไร้ราคา สกปรก หรือออกแบบไม่ดี เฟอร์นิเจอร์ดี ๆ ประณีตฝีมือช่างระดับอาจารย์ เมื่อมาวางรวมกัน ก็เปรอะได้
ไม่น่าเชื่อ เป็นไปได้อย่างไรที่ของสวยงามมารวมกันแล้วกลายเป็นความไม่สวยงาม?
คำตอบคือมัวแต่มองรายละเอียดที่วิจิตรบรรจง ไม่มองภาพรวม เปรียบเสมือนเราเอากุหลาบกับกล้วยไม้มาใส่ในแจกันใบเดียวกัน ทั้งกุหลาบกับกล้วยไม้ต่างสวยสดงดงาม แต่เมื่อมารวมกัน ไม่แน่นักว่าช่อผสมจะดูสวยกว่ากุหลาบหรือกล้วยไม้อย่างเดียว เพราะกุหลาบสวยงามตามเอกลักษณ์ของกุหลาบ กล้วยไม้ก็งามแบบของกล้วยไม้
วงการออกแบบเสื้อผ้าก็ใช้หลักเดียวกับการออกแบบบ้าน นักออกแบบแฟชั่นมีข้อปรามอย่างหนึ่งเหมือนกันคือ อย่าแต่งตัวด้วยหลายสไตล์ในทีเดียว จะเปรอะ
ลองนึกภาพหญิงสาวคนหนึ่งสวมเสื้อลายดอกไม้ กระโปรงลายเถาวัลย์ขลิบทอง ทับด้วยผ้าคลุมไหล่สีแดงลวดลายจีน รองเท้าก็มีลาย แต่ละลายออกแบบมาดี ทว่าดูเหมือนโรงงิ้วเดินได้
งานออกแบบเสื้อผ้าชั้นนำของโลกมักเรียบง่าย แต่ไปพิถีพิถันเรื่องสัดส่วนและสี
ความงามไม่ได้อยู่ที่ความมาก ความงามมักอยู่ที่ความน้อยที่สุด และน้อยที่สุดก็ไม่ได้แปลว่ามีลวดลายพิสดารไม่ได้ น้อยที่สุดหมายถึงมีอะไรก็ได้ตราบที่ลวดลายซับซ้อนนั้นดูรวมแล้วเรียบง่าย
ของดีกับของดีรวมกันไม่จำเป็นต้องออกมาดี
ของไม่ดีกับของไม่ดีอาจรวมกันออกมาดูดีได้ ถ้าสามารถทำให้มันน้อยได้
การใช้สีตุ่นในวันนั้นทำให้ผมเข้าใจว่า ไม่จำเป็นต้องทำให้ทุก ๆ องค์ประกอบวิจิตรตระการตา การผสมกันระหว่างชิ้นที่ละเอียดกับชิ้นที่หยาบอาจให้ผลลัพธ์ลงตัวดีกว่าที่ทุกชิ้นมีรายละเอียดประณีตสุดยอด
ปัญหาคือในมุมมองของคนซื้อสินค้ามักมีความเชื่อว่า รายละเอียดยิ่งมากยิ่งคุ้ม
แม้แต่การกินอาหารก็ควรใช้หลักความเรียบง่าย หมอและนักโภชนาการมักแนะนำให้กินอาหารแบบ mono diet คือกินมื้อละอย่างสองอย่าง เช่น มื้อเที่ยงข้าวไข่เจียวหมูสับกับแกงจืดถ้วยหนึ่ง มื้อเย็นอาจเป็นสลัดผักอย่างเดียว ท้องไส้ก็จะได้ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนคนที่ในหนึ่งมื้อฟาดข้าวแกง + ต้มยำกุ้ง +ส้มตำ + ไก่ย่าง + ลาบ + ข้าวเหนียวทุเรียน + เบียร์ + ไวน์ อาหารแต่ละจานรสเลิศ แต่เมื่อมาเจอกันในท้องในเวลาเดียวกัน ร่างกายหลายคนก็รับไม่ไหว
ตัวอย่างจากหญิงสาวที่ยกมานั้น เพียงเธอเปลี่ยนเสื้อที่มีลวดลายให้เป็นเสื้อขาวเรียบ รองเท้าเรียบ ผ้าคลุมไหล่มีลวดลายไม่เด่นสะดุดตา อาจมีแต่กระโปรงลวดลายมากมายตัวเดิมแค่จุดเดียว แต่ดูโดยรวมแล้วเข้ากันได้ดีกว่า ไม่ชิงกันเด่น ผู้หญิงคนเดิมก็อาจดูงดงามขึ้นเป็นคนละคน
พอดี พอสมควร ไม่มากจนเกินงาม
วินทร์ เลียววาริณ
27-8-25บางท่อนจาก รอยยิ้มใต้สายฝน
35 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 5 บาทเศษ
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/139/รอยยิ้มใต้สายฝน
https://s.shopee.co.th/8Ke0htOJcm0- แชร์
- 11
-
ข่าวการเมืองโลกข่าวหนึ่งที่ไม่ค่อยเป็นข่าวในบ้านเราคือ เกิดกระแสชาตินิยมต้านอเมริกาที่อินเดีย เพราะเพื่อนเลิฟคือทั่นทรัมป์ขึ้นภาษีโหด เหตุผลที่ให้คืออินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซีย
อินเดียร้อง อ้าว! ทีสหรัฐฯและยุโรปก็ยังซื้อน้ำมันและสินค้าอื่นๆ จากรัสเซีย ปากว่าตาขยิบ
ด้วยความน้อยใจ ก็เดินขบวน เผาหุ่นทั่นทรัมป์ และประกาศเลิกซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ
เอาละ เราไม่รู้ว่าทำไมทั่นทรัมป์ทำอย่างนี้กับประเทศที่ผลิตไอโฟนมากที่สุดให้สหรัฐฯ แต่ใครเล่าจะเดาใจทั่นได้
ก็มาถึงประวัติศาสตร์บทที่หลายคนไม่รู้ คือ Monroe Doctrine
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐฯกลายเป็นเจ้าโลก อเมริกันชน 4.2% ปกครองโลกทั้งใบ
หลายสิบปีนี้สหรัฐฯเข้าไปยุ่มย่ามทุกมุมโลก ทุกที่ที่ไปก็เละ เช่น เวียดนาม อัฟกานิสถาน อิรัค ฯลฯ
ที่ยังมีอาการเรื้อรังอยู่ตอนนี้ก็คือยูเครน ซึ่งเป็นสงครามตัวแทนระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซีย โดยใช้องค์การ NATO เป็นหัวหอก
มันเริ่มมาจากในยุค 1990 กอร์บาชอฟยอมล้มสหภาพโซเวียตส่วนหนึ่งก็เพราะประธานาธิบดีบุช ผู้พ่อ สัญญาว่าสหรัฐฯจะไม่ขยับตัวเข้าไปทางตะวันออกแม้แต่นิ้วเดียว
แต่นโยบายสหรัฐฯเปลี่ยนไป สหรัฐฯโค่นประธานาธิบดียูเครนที่ไม่ต้องการ NATO ส่งประธานาธิบดีที่ปรารถนา NATO เข้าไปแทน
ยุทธศาสตร์คือนำอาวุธไปจ่อที่ชายแดนรัสเซีย
เมื่อรัสเซียประณามการรุกคืบของ NATO สหรัฐฯก็บอกว่า "นี่คือวิถีประชาธิปไตย มันเป็นสิทธิของชาวยูเครนที่จะเลือก"
เอาละ สมมุติว่ารัสเซียหรือจีนไปตั้งฐานทัพที่เม็กซิโก วางขีปนาวุธไว้ใกล้ๆ พรมแดนสหรัฐฯ สหรัฐฯคงไม่บอกว่า "นี่คือวิถีประชาธิปไตย มันเป็นสิทธิของชาวเม็กซิโกที่จะเลือก"
คงส่งกองทัพอันเกรียงไกรไปถล่ม หรือปิดล้อมทันที ดังที่เคยเกิดมาแล้วในยุคเคนเนดี
แค่บริษัทจีนไปทำธุรกิจคุมคลองปานามา สหรัฐฯก็ไม่ยอม หรือไปสร้างท่าเรือยักษ์ Chancay ที่เปรู สหรัฐฯก็จับตามองอย่างใกล้ชิด คำรามว่า "เอ็งชักมาใกล้เกินไปแล้ว"
ถ้าเป็นยาสีฟัน ก็ใกล้ชิดได้ แต่เรื่องการทหาร ใกล้ชิดเกินไปไม่ดี
ความจริงสหรัฐฯไม่มีนิสัย ส.ท.ร. อย่างนี้มาก่อน นโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯสองร้อยปีก่อนชัดเจนมาก ในสมัยประธานาธิบดี เจมส์ มอนโร ปี ค.ศ. 1823
เรียกว่าลัทธิมอนโร (Monroe Doctrine)
สาระของลัทธิมอนโรหากพูดด้วยภาษาชาวบ้านคือ "กูไม่ยุ่งกับมึง มึงอย่ามายุ่งกับกู"
หรือภาษาวัยรุ่นคือ "ทาง who ทาง it"
แปลว่าสหรัฐฯจะไม่เข้าไปยุ่มย่ามกับแผ่นดินอื่น
ผ่านไปสองร้อยกว่าปี ไม่มีใครรู้จักหรือเคยได้ยินลัทธิมอนโรแล้ว
ตอนนี้สหรัฐฯกลายเป็นธานอส ต้องการเป็น unipolar power แต่เพียงผู้เดียวในจักรวาลชั่วกาลปาวสาน
ธานอสสหรัฐฯดีดนิ้วที ใครๆ ก็คลานเข่าไปหาอย่างว่าง่าย
ใครไม่คลานมา ก็ขึ้นภาษี
ใครทำอะไรไม่ถูกใจ ก็ออกแถลงการณ์ "เราเป็นห่วงในสถานการณ์ที่ประเทศยู..."
สหรัฐฯกลายเป็น hegemonic state คือรัฐที่มีอำนาจทางทหาร การเมือง เศรษฐกิจเหนือชาติอื่น เป็นคนกำหนดเกม
(hegemonic = ปกครอง ครอบงำ แผ่อิทธิพล)
นึกอยากบีบไข่ใครก็บีบ อยากขึ้นภาษีก็ขึ้น ใครจะทำไม
นึกอยากทำสงคราม ก็ทำ ใครจะทำไม
...................
ศาสตราจารย์ โนม ชอมสกี (Noam Chomsky) กูรูด้านการเมืองโลก บอกว่าโลกเรามีสองแนวทางที่เราจะอยู่ด้วยกัน
1 คือ UN-based international order ทางนี้สหรัฐฯไม่รับ เพราะมันจะค้านสิ่งที่สหรัฐฯทำเสมอ
2 คือ Rule-based international order อันนี้สหรัฐฯรับได้ ทำไม? ก็เพราะสหรัฐฯเป็นผู้กำหนด rules!
แต่จีนไม่ยอมรับ Rule-based international order
Noam Chomsky ยกตัวอย่างกรณีสหรัฐฯแซงชั่นอิหร่านอย่างหนัก ยุโรปไม่เห็นด้วย แต่ก็ทำตามสหรัฐฯสั่ง ขณะที่จีนไม่แคร์อะแดมน์
Noam Chomsky ยกอีกตัวอย่างคือกรณีรัสเซียบุกยูเครน ทุกประเทศประณามรัสเซีย แต่กลุ่มประเทศโลกใต้ (global south) ไม่ประณาม สหรัฐฯถามว่าทำไมพวกเอ็งไม่ประณาม รัสเซียไม่ผิดหรือไร
กลุ่มประเทศพวกนั้นตอบว่า ผิดซี บุกยูเครนมันผิด แต่สหรัฐฯก็บุกไปทั่วเหมือนกันนี่หว่า
ถ้าใช้คำพระคือ ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง
Noam Chomsky บอกว่า อันตรายของสหรัฐฯก็คือสหรัฐฯเอง ภายในกำลังป่วย
แต่อเมริกันชนจะรู้หรือไม่ หรือรู้แล้วทำอะไรได้หรือไม่ ก็ไม่มีใครรู้
รู้แต่ว่าล่าสุดอินเดียหันไปคุยกับจีน ทั้งที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากัน
เชื่อว่าพวกนี้กำลังรวมตัวเป็น Avengers ขึ้นมาต้านธานอส
คำถามคือตอนนี้เราอยู่ในหนัง Avengers ภาคไหน
วินทร์ เลียววาริณ
27-8-250 วันที่ผ่านมา -
ฉากแรกของหนัง The Godfather ปูเรื่องว่า ดอน วีโต คอร์เลโอเน เป็นคนประเภทไหน ทำอะไร ภาพลักษณ์เป็นอย่างไร - ในฉากเดียว
คือฉากที่สัปเหร่อ อเมริโก โบนาเซรา ไปขอความช่วยเหลือจากก๊อดฟาเธอร์ในงานแต่งงานของลูกสาวของท่าน
อเมริโก โบนาเซรา ก็เหมือนคนทำงานทั่วไป ไม่อยากมีเรื่องกับใคร ไม่ชอบขึ้นโรงขึ้นศาล ไม่อยากยุ่งกับมาเฟีย เขาเดินตามรอย American Dream ในประเทศที่จัดว่ามีเสรีภาพที่สุดในโลก เขาประสบความสำเร็จในอาชีพ มีครอบครัวที่ดี
แต่เมื่อลูกสาวของเขาถูกชายหนุ่มสองคนล่วงเกินและทำร้ายจนเสียโฉม อเมริโกก็พบความจริงว่า American Dream มีไว้สำหรับคนมีเงินและเส้นสายเท่านั้น ระบบยุติธรรมไม่ได้มีไว้ช่วยคนบริสุทธิ์ ตะรางมีไว้ขังคนจนกับหมา
เขาจึงยอมไปหาก๊อดฟาเธอร์
และรู้ว่าราคาของการขอความช่วยเหลือครั้งนี้ อาจสูงเกินที่เขาจะรับได้ แต่ในฐานะพ่อ เขายอมทุกอย่าง
ในหนัง The Godfather ก๊อดฟาเธอร์บอกสัปเหร่อว่า "วันหนึ่ง วันนั้นอาจไม่มาถึง ผมอาจขอให้คุณช่วยเหลือบางอย่าง"
แต่หนังไม่ได้แสดงให้คนดูเห็นว่าชายหนุ่มสองคนนั้นถูกลงโทษด้วยศาลเตี้ยอย่างไร ทว่าหนังสือบรรยายไว้ละเอียด
ท่านดอนสั่งให้คลีเมนซาไปทำงานนี้ คลีเมนซาก็เรียกลูกน้องสองคนไป คนหนึ่งคือ พอลลี แกตโต สั่งว่า "ถ้าไอ้สองเวรนั่นออกจากโรงพยาบาลก่อนหนึ่งเดือน มึงสองคนโดนย้ายงานแน่"
พอลลีกับเพื่อนตามจนเจอชายหนุ่มสองคนนั้นในบาร์
หนังสือบรรยายว่าสองคนนั้นถูกอัดจนน่วม ยับเยินไปทั้งตัว มาเฟียทั้งสองอัดแบบไม่รีบร้อน ชาวบ้านมาดู แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไร ชายทั้งสองที่ล่วงเกินลูกสาวของโบนาเซราใบหน้าเละ ต้องทำศัลยกรรมพลาสติก และอาจพิการ
อเมริโก โบนาเซรา ส่งช่อดอกไม้ไปขอบคุณท่านดอน และหลังจากนั้นเขาก็ฝันร้ายไปตลอด เพราะเขาไม่รู้ว่าท่านดอนจะเรียกตัวเขาไปเมื่อไร ให้ทำเรื่องผิดกฎหมายหรือไม่
เขาตกอยู่ในความกลัว
แล้ววันหนึ่งท่านดอนก็เรียกเขาไปใช้หนี้ เขานึกไม่ออกว่าหนี้อะไร มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
เมื่อท่านดอนบอกให้ช่วยแต่งศพซอนนีลูกชายที่ถูกยิงจนพรุนราวสี่ร้อยนัด สภาพศพเละ ท่านดอนไม่ต้องการให้แม่ของลูกเห็นสภาพศพอย่างนี้ อเมริโก โบนาเซรา ก็รู้สึกว่าเขาคิดมากไป
ท่านดอนขอแค่ให้เขาทำงานของเขา
นาทีนั้น เขาเข้าใจหัวอกของท่านดอน มันเหมือนกับตอนที่เขาเห็นสภาพของลูกสาวเขา
นาทีนั้น ท่านดอนก็เป็นเพียงชายชราคนหนึ่งที่กำลังทุกข์
อเมริโก โบนาเซรา แต่งศพซอนนีอย่างบรรจง เสมือนหนึ่งผู้ตายเป็นลูกของเขาเอง
มันไม่ใช่งานเพื่อคนตาย มันเป็นงานเพื่อคนที่ยังอยู่
วินทร์ เลียววาริณ
26-8-251 วันที่ผ่านมา -
แจ้งข่าวให้ผู้ใช้อีบุ๊คของแอพ winbooks ทุกท่าน
ตามแผนปรับปรุงการขายของสำนักพิมพ์ 113 ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป สำนักพิมพ์จะปิดแอพ winbooks ไม่จำหน่ายอีบุ๊คทางช่องทางนี้อีก โดยโอนงานไปให้แอพ The Meb ดูแลบริการทั้งหมดในจุดเดียว
ในการนี้ เราจำเป็นต้องย้ายข้อมูลคือ อีเมลและหนังสือบนชั้นของท่านไปที่ The Meb
จึงรบกวนท่านกรอกเป็นสมาชิกกับ The Meb โดยท่านสามารถใช้อีเมลเดียวกับที่ใช้ในแอพ winbooks เพียงเท่านั้นก็สามารถเข้าแอพไปอ่านหนังสือบนชั้นของท่านได้เหมือนเดิม
ผู้อ่านที่ดาวน์โหลดหนังสือไว้ก่อนหน้านี้ ยังสามารถเปิดและอ่านได้ตามปกติ
แอพ The Meb ได้พัฒนาหนังสือบางเล่มเป็น ePub ท่านสามารถเข้าไปอ่านแบบ ePub ได้โดยกด icon หนังสือแช่ไว้สักครู่หนึ่ง จะมีข้อความว่าท่านต้องการอ่านแบบ pdf หรือ ePub
ขอขอบคุณที่ให้ความสนับสนุนผลงานของผมด้วยดีมาตลอด ผู้อ่านจะยังคงได้รับบริการเหมือนเดิม เราเพียงย้ายฐานการขายเท่านั้น
วินทร์ เลียววาริณ
26 สิงหาคม 25681 วันที่ผ่านมา -
คนไทยจำนวนมากกลัวอำนาจของเจ้ากรรมนายเวร เชื่อว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นอำนาจลึกลับที่ทำให้คนคนหนึ่งเคราะห์ร้าย
ความคิดเรื่องเจ้ากรรมนายเวร อาจจะเกิดขึ้นเพื่อขู่หรือปรามการทำชั่ว โดยหลักว่าเจ้ากรรมนายเวรคือผู้เคยมีเวรมีกรรมกับเราในชาติก่อน และส่งผลข้ามชาติมาถึงเราในชาตินี้ได้ ทำให้เราไม่กล้าทำชั่ว เมื่อทำบุญ ก็อุทิศส่วนบุญไปให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย แต่มันกลายเป็นความกลัวผลของกรรมเก่า
คนไทยใช้คำ ‘เทวดา’ คู่กับ ‘เจ้ากรรมนายเวร’
เทวดามีฤทธิ์บวก บันดาลสิ่งดี ๆ เจ้ากรรมนายเวรมีฤทธิ์ลบ บันดาลเคราะห์ร้าย
เรามีความเชื่อสะสมต่อเนื่องมาว่า ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าดีหรือไม่ดี เป็นผลจากกรรมที่ได้ทำไว้ในชาติก่อน หรือ ‘กรรมเก่า’
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เขียนในหนังสือ เชื่อกรรม รู้กรรม แก้กรรม ว่า เราใช้คำว่ากรรมในความหมายที่คลาดเคลื่อนมาตลอด กลายเป็นปรัชญาการดำเนินชีวิตแบบ “แล้วแต่บุญแต่กรรม”
มันเริ่มที่เราใช้คำในความหมายเพี้ยน
เราใช้คำว่า บุญและกรรมคู่กัน เป็นขั้วตรงข้ามกัน
บุญเป็นเรื่องดี กรรมเป็นเรื่องร้าย
นี่เป็นการใช้คำที่ผิดความหมายอย่างมโหฬาร
ความจริงแล้ว กรรม แปลว่า การกระทำ มันเป็นคำกลาง ๆ ไม่บ่งว่าดีหรือเลว ดีก็ได้ ชั่วก็ได้
เมื่อใช้ผิด ก็เขวกันไปตลอด
กรรมเป็นการกระทำ เป็นเหตุ (cause) ส่วนผลของกรรมเรียกว่าผล (effect) ทางพุทธเรียกว่า วิบาก
กรรมจึงไม่ใช่ผล
‘กรรมเก่า’ อย่างที่คนจำนวนมากเข้าใจกันก็ไม่ใช่ผล
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) พูดถึงเรื่องนี้ว่า “จะลองยกข้อความในพระสูตรหนึ่ง ชื่อว่า วาเสฏฐสูตร มาพูดสักนิดหนึ่ง ในพระสูตรนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลเป็นชาวนาก็เพราะกรรม เป็นโจรก็เพราะกรรม เป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรม เป็นกษัตริย์ก็เพราะกรรม เป็นปุโรหิตก็เพราะกรรม ฯลฯ เป็นโน่นเป็นนี่ก็เพราะกรรม”
พระสูตรนี้ไม่ได้หมายถึงว่าชาติก่อนทำกรรมอะไร ทำให้ชาตินี้ต้องเกิดเป็นชาวนา หรือชาติก่อนทำดีอะไร ชาตินี้จึงมาเกิดเป็นกษัตริย์
“ในพระสูตร คำว่าเป็นชาวนาเพราะกรรม เป็นต้นนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองเลยว่า นายคนนี้ เขาดำนา หว่านข้าว ไถนา เขาก็เป็นชาวนา การที่เขาทำนานั่นเอง ก็ทำให้เขาเป็นชาวนา คือเป็นไปตามการกระทำ อันได้แก่อาชีพการงานของเขา อีกคนหนึ่งเป็นที่ปรึกษาของพระเจ้าแผ่นดิน เขาก็เป็นปุโรหิตตามอาชีพการงานของเขา ส่วนนายคนนี้ไปลักของเขา ไปปล้นเขาก็กลายเป็นโจร”
นอกจากทางกายภาพแล้ว พระพุทธองค์ยังทรงสอนให้มองถึงจิตใจด้วย ดังพุทธพจน์ที่ว่า “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ” (ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม)
หมายถึงเจตนาคือตัวความคิด คือเจตจำนง และมันก็คือกรรม
พูดง่าย ๆ ก็คือ หากมองที่เปลือกนอก กรรมก็คืออาชีพ การทำงาน การดำเนินชีวิต หากมองลึกเข้าไปถึงจิตใจ กรรมก็คือเจตนา
ความเชื่อเรื่องกรรมเก่าแบบนี้มาจากไหน?
ความเชื่อเรื่องกรรมเก่าเป็นแนวคิดของสามลัทธิเดียรถีย์ ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า ติตถายตนะ 3
ลัทธิที่ 1 บุพเพกตวาท สอนว่าคนเราจะสุขจะทุกข์ล้วนเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้แต่ชาติก่อน
ลัทธิที่ 2 อิศวรนิรมิตวาท สอนว่าคนเราจะสุขจะทุกข์ล้วนเป็นเพราะเทพบันดาลให้
ลัทธิที่ 3 อเหตุวาท สอนว่าคนเราจะสุขจะทุกข์ล้วนเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วแต่โชคชะตา ไม่มีเหตุปัจจัย
พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธสามลัทธินี้ เพราะมันทำให้คนไม่มีฉันทะ ไม่มีความเพียร ไม่คิดจะทำอะไร เพราะเชื่อว่าทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากทุกอย่างถูกควบคุมจากกรรมเก่า เทพ และปัจจัยที่เราคุมไม่ได้
กรรมเก่าและการแก้กรรมที่เกริ่นมาในตอนต้นจึงไม่ใช่พุทธศาสนาโดยสิ้นเชิง
มันเป็นแค่ศาสนาผี
พระไพศาล วิสาโล กล่าวว่า “ผู้ใดก็ตามที่บอกว่าตนสามารถหยั่งรู้ได้ว่าที่ใครเป็นอย่างนี้ ๆ เพราะทำกรรมอย่างนั้น ๆ ในชาติที่แล้ว จึงสมควรที่จะถูกตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่ารู้จริงแน่หรือ ยิ่งถ้าบอกว่ารู้วิธี ‘แก้กรรม’ ด้วยแล้ว ก็แสดงว่าเขากำลังสอนลัทธินอกพุทธศาสนา เพราะกรรมในอดีตนั้น ไม่มีใครสามารถแก้ได้ มีแต่บรรเทาผลกรรมด้วยการทำกรรมดีในปัจจุบัน หรือนำผลกรรมนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในทางธรรม คือเป็นเครื่องเตือนใจให้ทำความดี ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท”
วินทร์ เลียววาริณ
26-8-25บางท่อนจาก หลับถึงชาติหน้า รวมบทความต้านโหราศาสตร์และไสยศาสตร์
28 บทความ ราคา 220 = บทความละ 7.8 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
220 บาทนี้จะทำให้คุณประหยัดค่างมงายไปตลอดชีวิต
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/168/หลับถึงชาติหน้า
โปรโมชั่นคู่กับเล่มอื่น คุ้มกว่า https://shope.ee/Vj8bA8a4u?share_channel_code=6
1 วันที่ผ่านมา -
มาเล่าเรื่องจริงที่ไม่เกี่ยวกับหนังก่อน
ในปี 2024 ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่คานางาวะ ชายชราคนหนึ่งสารภาพต่อชาวโลกว่าเขาคือ ซาโตชิ คิริชิมะ ผู้ที่ตำรวจต้องการตัวมา 50 ปี ข้อหาเป็นผู้ก่อการร้ายที่วางระเบิดอาคารหลายแห่งในช่วง 1970 มีผู้เสียชีวิตหลายคน บาดเจ็บอีกมากมาย
เขาหลบหนีการตามล่าของตำรวจ ใช้ชื่อปลอม ตัวตนปลอมมาตลอด
ผ่านไป 50 ปี ก่อนตายเขาต้องการใช้ชื่อจริง ตัวตนจริง
ทีนี้มาถึงหนังที่เป็นเรื่องแต่ง
นักโทษประหารหนุ่มคนหนึ่งหนีออกจากคุก เนื่องจากคดีที่เขาก่อร้ายแรงและโหดเหี้ยมมาก ทางการไม่มีทางปล่อยเขาไป ตำรวจตามล่าไปติดๆ แต่เขาก็หนีรอดไปได้ และใช้ชีวิตในตัวตนปลอมต่างๆ
นี่คือ Faceless (正体 2024) หนังญี่ปุ่น ผลงานของ Michihito Fujii
หนังมีกลิ่นของ Catch Me If You Can และ The Fugitive แต่ลึกกว่า เพราะมันไม่ได้เน้นที่กลอุบายในการไล่ล่าและเอาตัวรอด แต่ที่สาระของชีวิต
เรื่องนี้ทำให้คิดถึงนวนิยาย คำพิพากษา ของ ชาติ กอบจิตติ เมื่อดูหนังในตอนต้นเรื่อง เราอาจมีคำตัดสินบางอย่างในหัว เมื่อหนังเดินเรื่องไป เราอาจเปลี่ยนคำตัดสิน มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ตัดสินทุกเรื่อง ด้วยข้อมูลที่ได้รับผสมกับอคติ
สาระของเรื่องนี้จึงไม่ใช่การหนีตำรวจได้อย่างไรหรือนานเท่าไร มันสะท้อนกระบวนการยุติธรรม เรื่องคุณค่าของชีวิต และการหาตัวตนที่แท้จริง
ก็เป็นที่มาชื่อหนังต้นฉบับ 正体 (Shoutai) หมายถึงตัวตนที่แท้จริง
คนที่ต้องหนีตลอดเวลา ต้องปลอมตัว ปลอมชื่อ กลายเป็นคนไร้ใบหน้า แต่ช้าหรือเร็วเขาก็ต้องค้นหาตัวตนที่แท้จริง
หนังฉายให้เห็นภาพโลกที่หม่นมืด ในสายตาของคนที่หนีเงื้อมมือกฎหมาย ทุกอย่างคือความมืดมน แต่ตัวละครหลักพบว่าโลกเป็นสถานที่เลวร้ายก็จริง แต่มันก็ยังมีความน่าอยู่ น่ามีชีวิตอยู่
คล้ายเนื้อเพลง Reflections of My Life ที่ว่า
"The world is a bad place, a bad place, a bad place, a terrible place to live
Oh, but I don’t want to die."บางท่อนของหนังอาจจะดรามามากตามสไตล์หนังญี่ปุ่น แต่โดยรวมเป็นหนังที่จับคนดูอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ จัดเป็นหนังดีเรื่องหนึ่ง
วินทร์ เลียววาริณ
25-8-258.5/10
ฉายทาง Netflixวินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
2 วันที่ผ่านมา