-
วินทร์ เลียววาริณ2 เดือนที่ผ่านมา
(ต่อจาก https://www.facebook.com/photo/?fbid=1277860730369282&set=a.208269707328395)
หลังสงครามโลกยุติ โจรสลัดก็ยังไม่หยุดทำงาน เรือสินค้าของมลายูและพม่าถูกปล้น หายสาบสูญไปหลายสิบลำ
เรือสินค้าจำนวนมากหายไปกลางทะเลพร้อม ๆ กันทำให้เจ้าของเรือร้องเรียนต่อทางการอังกฤษ ผู้ปกครองมลายูและพม่า
ที่ปีนัง กลุ่มพ่อค้าปรึกษาหาทางปัญหานี้ ในที่สุดมีมติให้เรือสินค้าติดอาวุธ และมีขบวนเรือคุ้มกันไปด้วย
เวลา ๒๔.๐๐ น. วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๔๘๙ เรือโจรสลัดบุกปล้นเรือสินค้าที่กำลังแล่นไปปีนัง เมื่อเรือโจรไปถึงก็พบว่าเหยื่อรออยู่แล้วพร้อมปืน ระดมยิงใส่ ทั้งสองยิงกันราวสองชั่วโมง เรือโจรถูกจมสองลำ ถูกยิงตายห้าคน จับเป็นห้าคน
เป็นครั้งแรกที่ฝ่ายโจรสลัดถูก ‘เอาคืน’
เดือนถัดมา เรือสินค้าถล่มเรือโจรสลัดด้วยปืนกลและระเบิดมือ จมเรือโจรสลัดได้หนึ่งลำ เรือลำที่สองหนีไป
นอกจากนี้ทางการอังกฤษส่งเรือรบประกบเรือสินค้า เมื่อเรือโจรสลัดบุกปล้น ก็ถูกยิงสวนกลับ
อังกฤษเริ่มกดดันรัฐบาลไทย
วันหนึ่งรัฐบาลไทยได้รับจดหมายด่วนจากกองบัญชาการทหารอังกฤษภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ แจ้งเรื่องโจรสลัดตะรุเตาปล้นเรือสินค้าของอาณานิคมอังกฤษ
จดหมายเขียนตรง ๆ ว่า ถ้ารัฐบาลไทยไม่ลงมือ อังกฤษจะลงมือเอง แม้เป็นเขตน่านน้ำไทย
ประเทศไทยในช่วงหลังสงครามไม่ต้องการมีเรื่องขัดใจกับอังกฤษเนื่องจากอังกฤษเป็นประเทศเดียวที่ไม่ยอมให้ไทยรอดพ้นจากการเป็นประเทศแพ้สงครามแต่ถูกสหรัฐอเมริกากดดันจนยอมรับ การที่เจ้าหน้าที่รัฐเป็นโจรสลัดเสียเองทำให้ฝ่ายไทยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในที่สุดก็ตกลงให้อังกฤษยกกำลังทหารไปปราบโจรสลัดตะรุเตา
ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงที่รัฐบาลไทยไม่ปราบปรามโจรสลัดเอง แต่ยอมให้อังกฤษปราบ เป็นเพราะเครือข่ายของโจรสลัดกว้างขวางจนปราบยาก ในที่สุดงานปราบโจรสลัดก็เป็นของกองทัพอังกฤษ
ทางการไทยเพียงทำหน้าที่ประสานงาน ส่ง ดร. วิบูลย์ ธรรมวิทย์ ข้าหลวงตรวจการกรมราชทัณฑ์ เป็นผู้แทนไปปีนังอย่างเงียบเชียบ เพื่อร่วมวางแผนกับฝ่ายอังกฤษ ที่ประชุมวางแผนการบุกเกาะตะรุเตาราวกลางเดือนมีนาคม แม้กระทำอย่างเป็นความลับ แต่กระนั้นแผนการบุกตะรุเตาของอังกฤษก็เข้าหูฝ่ายโจรสลัดอย่างไม่น่าเชื่อ
ขุนอภิพัฒน์ฯรู้ข่าวลับ ก็กลับไปที่ตะรุเตา บัญชาการให้ขนย้ายสินค้าไปซ่อนหรือเผาทำลายหลักฐานตลอดทั้งคืน นักโทษโจรสลัดหลายคนรู้ว่าความผิดมาถึงตัว ก็เผ่นหนี โดยสารเรือเล็กหลบหนีไป
๗ นาฬิกาวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ เครื่องบินอังกฤษสองลำบินผ่านเกาะเพื่อสังเกตการณ์ ตามมาด้วยเรือรบ นำโดยพลจัตวาเธอร์เรย์ ส่งทหารห้าร้อยคนขึ้นฝั่ง ยึดเกาะได้อย่างง่ายดาย เพราะฝ่ายโจรสลัดยอมแพ้แต่โดยดี ขณะที่ผู้อำนวยการเกาะออกไปต้อนรับทหารอังกฤษ
ทหารอังกฤษจับโจรสลัดและข้าราชการจำนวนหนึ่ง รวมทั้งผู้อำนวยการ ขุนอภิพัฒน์สุรทัณฑ์ ไปส่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลเพื่อดำเนินคดี อาจเพราะไม่แน่ใจว่าคนร้ายจะหายตัวไปได้
พลจัตวาเธอร์เรย์เกรงว่าพวกโจรสลัดจะหลบหนีตอนจับตัวไปส่งที่จังหวัดสตูล ตลอดทางไปสตูล สั่งให้โจรสลัดที่ถูกจับนั่งตากแดดบนดาดฟ้าเรือเพื่อทรมาน
วันที่ ๒๑ มีนาคม ทหารอังกฤษถอนตัวออกจากเกาะ เหลือกำลังเล็กน้อยดูแลเกาะ
ทหารอังกฤษส่งมอบผู้ต้องหาให้ฝ่ายไทย โดยมี ดร. วิบูลย์ ธรรมวิทย์ ข้าหลวงตรวจการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ประสานงาน
ในการดำเนินคดี ดร. วิบูลย์ ธรรมวิทย์ กับ ร.อ. วิทวอร์ด นำข้าวสารสามกระสอบ พริกแห้งสองกระสอบเป็นของกลางสำหรับดำเนินคดี
ฝากขังโจรสลัดในเรือนจำสตูล หลังจากนั้น ดร. วิบูลย์ ธรรมวิทย์ ก็โทรเลขรายงานไปที่กระทรวงมหาดไทย
นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นสอบสวนเรื่องนี้ แต่งตั้งพระยารามราชภักดีเป็นประธาน พ.ต.อ. บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ
หลักฐานในมือ พ.ต.อ. บรรจงศักดิ์นั้นมัดพวกโจรสลัดตะรุเตาแน่นหนา
นโยบาย ‘ร่วมกันปล้น แบ่งกันรับ’ ของโจรสลัดตะรุเตาทำให้ระบบยุติธรรมทำงานได้ยากมาก เพราะไม่มีใครกล้าเป็นพยาน ในที่สุดก็ส่งคดีไปที่ศาลจังหวัดสงขลา เพื่อไม่ให้ระบบยุติธรรมถูกเส้นสายของโจรสลัดกดดันหรือคุกคาม
ขณะที่คดีความดำเนินไป พ.ต.อ.บรรจงศักดิ์ก็ถูก ‘ย้ายฟ้าผ่า’ เข้าประจำกรม กลิ่นความไม่ปกติโชยไปทั่ว หรือว่าอำนาจโจรสลัดจะแผ่ไปถึงกรุงเทพฯ?
ไม่นานต่อมา รัฐมนตรี เตียง ศิริขันธ์ ฉายาขุนพลภูพาน ก็ขอตัว พ.ต.อ. บรรจงศักดิ์ไปทำงานด้วย
พ.ต.อ. บรรจงศักดิ์ได้โอกาสรายงานความจริงเรื่องโจรสลัดตะรุเตาแก่นายเตียงผู้เป็นเจ้าของคำพูด “ข้าพเจ้าต้องการให้ทุก ๆ คนบนพื้นอันเป็นสยามประเทศนี้ เป็นราษฎรเสมอหน้ากันหมด ปราศจากความเหลื่อมล้ำต่ำสูง” จึงต้องการปราบโจรสลัดตะรุเตาเช่นกัน
พ.ต.อ. บรรจงศักดิ์จึงได้ทำงานนี้ต่อไป
แต่ทำได้ไม่นานก็มีคำสั่งฟ้าผ่าย้ายไปรับตำแหน่งผู้บังคับการเขต ๑ ลำปาง
พ.ต.อ. บรรจงศักดิ์ยังดิ้นรนต่อไป ติดต่อผู้ใหญ่หลายคน ให้รับทราบว่า การย้ายเขาออกไปอาจทำให้คดีพลิก และโจรสลัดหลุดรอดไปได้
พ.ต.อ. บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข ถูกส่งตัวกลับมาอีกครั้งเพื่อให้จัดการคดีนี้จนสำเร็จก่อน
ศาลชั้นต้นจังหวัดสงขลาพิพากษาลงโทษขุนอภิพัฒน์สุรทัณฑ์ จำคุก ๑๕ ปี โจรสลัดที่เหลือได้รับโทษไปตามความผิด
ผ่านสามศาล ศาลฎีกาก็ยืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
รัฐบาลสั่งปิดทัณฑสถานตะรุเตาในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ นักโทษบนเกาะถูกย้ายไปฝากขังตามเรือนจำจังหวัดต่าง ๆ ในภาคใต้
การทำคดีใหญ่ระดับนี้สำเร็จ ทั้ง ๆ ที่ผู้ต้องหามีอิทธิพลสูงสำเร็จ แสดงให้เห็นว่าเมืองไทยยังมีตำรวจน้ำดี อย่างไรก็ตาม ชะตาชีวิตของ พ.ต.อ. บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข กลับพลิกผัน เมื่อเกิดเหตุการณ์กบฏวังหลวงในปี ๒๔๙๒ พ.ต.อ. บรรจงศักดิ์ก็ถูกสังหารโหดคาบ้าน
ประวัติศาสตร์ไทยท่อนโจรสลัดแห่งตะรุเตาบอกเราสองเรื่อง
หนึ่ง ข้าราชการชั่ว เลวร้ายกว่าโจร
สอง หากผู้รักษากฎหมายเอาจริง ไม่มีทางที่โจรผู้ร้ายจะเหิมเกริมได้
............................
จากชุด ประวัติศาสตร์ที่เราลืม / วินทร์ เลียววาริณ
ตอนนี้มีโปรโมชั่นพิเศษ คุ้มที่สุด 6 เล่ม 1,000 บาท จากราคาปก 1,605.-
118 เรื่อง = เรื่องละ 8.4 บาทหนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
สั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6
0- แชร์
- 32
-
เมื่อคืนนี้คุณบริสุทธิ์ไปหาหมออีกแล้ว เขาเข้าห้องฉุกเฉิน ศีรษะคุณบริสุทธิ์แตก ใบหน้าช้ำ หัวไหล่หลุด
ผ่านไปสามชั่วโมง หมอสมหวังก็มาหาคุณบริสุทธิ์
“คืนนี้คุณบริสุทธิ์แอดมิตในโรงพยาบาลนะ ผมหาห้องให้คุณได้แล้ว”
“ผมไม่เป็นไร แต่อยู่โรงพยาบาลก็ดีครับ น่าจะปลอดภัยกว่าอยู่ที่บ้าน”
“คุณไปทำอะไรมา จึงถูกทำร้ายสาหัสอย่างนี้?”
“หมอก็รู้ ผู้เดียวในยุทธจักรที่สามารถทำร้ายชายชาตรีอย่างเราได้ ก็คือภรรยา”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ผมเผลอใจไปหน่อย ตอนเช้าวานนี้ภรรยาบอกว่าจะกลับไปเยี่ยมแม่ที่ต่างจังหวัด และจะอยู่ที่บ้านแม่สองวัน ผมก็เลยชวนผู้หญิงคนหนึ่งเข้าบ้าน”
“ชวนมาทำไม?”
“ก็คงชวนมาฟังธรรมะมั้ง”
“สะกด ทำ-มะ ใช่มั้ย?”
“ครับ”
“แล้ว?”
คุณบริสุทธิ์ถอนใจ “แต่ภรรยาผมดันกลับมาก่อนกำหนด ผมจึงบอกให้ผู้หญิงคนนั้นไปแอบซ่อนในตู้เสื้อผ้า”
หมอเบิกตากว้าง กล่าว “โอ้โห! คุณนี่เป็นพ่อบ้านใจกล้าจริง ๆ นี่มันเสี่ยงมากเลย แล้วยังไงต่อ?”
“พอภรรยาผมเข้ามาในห้องนอน ผมก็คุยเล่นกับภรรยาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่าทางเธออารมณ์ดี ผมจึงชวนคุยว่า ‘วันนี้ดูคุณอารมณ์ดีจัง’ ภรรยาบอกว่า ‘ใช่ เพราะวันนี้ฉันเจอเรื่องขำมาก ทำให้หัวเราะไม่หยุด เรื่องเป็นอย่างนี้...’ ว่าแล้วเธอก็เล่าเรื่องตลกเรื่องนั้นให้ผมฟัง...”
หมอสมหวังถาม “แล้วคุณขำมั้ย?”
“ผมจะขำได้ยังไงในเมื่อผมอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดแบบนั้น ผมไม่หัวเราะเลยสักแอะ ภรรยาผมก็โมโห ตรงเข้าทำร้ายผมทันที”
หมอสมหวังเกาหัว “ภรรยาคุณเป็นคนไม่มีเหตุผลจริง ๆ แค่คุณไม่หัวเราะเพราะไม่ขำ เธอถึงกับทำร้ายคุณหรือ?”
“ภรรยาผมเป็นคนมีเหตุผล...”
คุณบริสุทธิ์ถอนใจยาว “ผมไม่ขำ แต่ผู้หญิงในตู้เสื้อผ้าเสือกขำ”
(สุขสันต์วันศุกร์ครับทุกท่าน)
วินทร์ เลียววาริณ
4-7-25
.....................เล่าใหม่จากขำขันที่ได้ยินมา รวมอยู่ในหนังสือนวนิยาย เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์ฯ
(นวนิยายแนวใหม่ที่นำขำขันตลกๆ ระดับ ‘ขำกลิ้ง’ 400 เรื่องมายำเป็นนวนิยาย)ค่าคลายเครียดแค่ 330 บาท เฉลี่ยขำละ 80 สตางค์ หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
โปรโมชั่น https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201
Shopee เดี่ยว https://s.shopee.co.th/1VjWGyXzed
0 วันที่ผ่านมา -
คุยเรื่องการเมืองเครียดๆ มาหลายวัน แม้แต่เรื่องขำๆ ก็ยังเครียด
มาคุยเรื่องดาราศาสตร์ดีกว่า
ในวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา โลกเราเปิดตัวกล้องโทรทรรศน์อันใหม่ชื่อ The Vera C. Rubin Observatory ตั้งบนยอดเขาแห่งหนึ่งที่ชิลี ใช้เวลาสร้างสิบปี
การเปิดกล้องตัวใหม่อาจไม่ตื่นเต้นเท่าเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ แต่มันมีความสำคัญอย่างยิ่ง เท่าที่เห็นภาพที่ปล่อยออกมาจาก Vera C. Rubin Observatory ในอาทิตย์นี้ ก็น่าตื่นเต้นยิ่งนัก ในเมื่อมันเป็นกล้องโทรทรรศน์บนโลก ไม่ใช่ในอวกาศ
สถานีนี้ตั้งตามชื่อนักดาราศาสตร์หญิงคนหนึ่ง คือ Vera Rubin
ในสมัยก่อน นักดาราศาสตร์หญิงไม่ได้การยอมรับ ทั้งที่เก่งๆ หลายคน หลายคนคิดและค้นพบสิ่งใหม่ๆ
วีรา รูบิน เป็นคนแรกๆ ที่ค้นคว้าเรื่องการหมุนของดาราจักร ถือว่าเป็นการค้นพบครั้งสำคัญในวงการ แต่ก็เช่นเดียวกับนักดาราศาสตร์หญิงอื่นๆ กว่าจะเป็นที่ยอมรับ ก็กินเวลานาน การตั้งชื่อเธอเป็นชื่อกล้องโทรทรรศน์ที่ดีที่สุดของโลกเวลานี้ ก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติและยอมรับเธอร้อยเปอร์เซ็นต์
ข่าวนี้อาจจะดูเหมือนไกลตัว แต่น่าจะรกสมองน้อยกว่าข่าวการเมืองนะครับ
วินทร์ เลียววาริณ
3-7-251 วันที่ผ่านมา -
ในหนังเรื่อง World War Z ทั่วโลกถูกโรคระบาดซอมบี้กลืนกิน เมืองแล้วเมืองเล่าในโลกตกเป็นของพวกซอมบี้ ตัวเอกกับครอบครัวหนีจากฝูงซอมบี้ได้อย่างหวุดหวิด และได้รับความช่วยเหลือไปอยู่ในเรือบัญชาการลำหนึ่งซึ่งกำลังปฏิบัติการแก้ปัญหาซอมบี้
ขณะที่เมืองส่วนใหญ่ถูกพวกซอมบี้ยึดครอง คนที่ยังเป็นปกติก็ต้องหนีหรือหลบซ่อนตัว เรือบัญชาการเป็นสถานที่ปลอดภัยจากซอมบี้ ผู้บัญชาการเรือขอให้ตัวเอกไปทำงานอย่างหนึ่งให้รัฐ เขาปฏิเสธ
ผู้บัญชาการจึงบอกว่า ทุกคนที่อยู่บนเรือเป็นพวก ‘essential’ ถ้าไม่มีส่วนช่วยการทำงาน ก็อยู่บนเรือลำนี้ไม่ได้
essential แปลว่าสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง หรือสำคัญ
ถ้าไม่สำคัญต่อเหตุการณ์หรือสถานการณ์หนึ่ง ๆ ก็เรียกว่า ‘non-essential’
ช่วงแรก ๆ ที่โรคโควิด-19 ระบาด ขณะที่ประเทศต่าง ๆ ปิดพรมแดน หลายรัฐกลับยอมให้บุคคลบางประเภทเดินทางเข้าออกได้ เช่น แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เหตุผลคือเป็นกลุ่มที่ ‘essential’
หลายประเทศปิดสถานที่ที่ไม่ ‘essential’ ต่อชีวิต เช่น ศูนย์การค้า โรงหนัง ร้านกาแฟ ยกเว้นสถานที่ ‘essential’ เช่น ร้านขายยา ซูเปอร์มาร์เก็ต
บางทีมันเป็นโอกาสดีที่จะพิจารณาว่า มีอะไรบ้างในชีวิตเราที่ ‘essential’ อะไรไม่เป็น
นักเรียนรุ่นก่อนท่องจำมาแต่เด็กว่า ปัจจัย 4 ของมนุษย์คืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค
มาถึงวันนี้บางคนอาจรวมสมาร์ทโฟนเป็นปัจจัยที่ 5 เพราะบางคนเห็นว่าชีวิตไร้ค่าถ้าไม่มีสมาร์ทโฟน
แต่สี่ปัจจัยหลักที่สำคัญต่อการดำรงชีพก็ยังมีระดับของความเป็น ‘essential’ ต่างกัน
รถยนต์สำหรับคนคนหนึ่งเป็น‘essential’เพราะบ้านอยู่ไกลจากที่ทำงานมาก มันเป็นความจำเป็นจริง ๆ สำหรับอีกคนหนึ่ง อาจไม่ใช่
แม้แต่เสื้อผ้า ก็มีระดับ ‘essential’ต่างกัน บางคนมี 2-3 ชุดก็อยู่ได้ บางคนมี 100-200 ชุด
บางคนใช้รองเท้าทีละคู่ ทั้งชีวิตใช้เพียงไม่กี่คู่ ขณะที่อีกคนมีรองเท้าสามพันคู่
จำนวนเสื้อผ้า รองเท้า หรือบ้าน ฯลฯ มากหรือน้อย ย่อมไม่ใช่ประเด็นผิดถูก มันขึ้นอยู่กับ ‘มาตรวัดความจำเป็น’ ของแต่ละคน คนบางอาชีพอาจจำเป็นต้องมีเสื้อผ้ามากกว่าคนทั่วไป
เมืองไทยในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเดือดร้อนกันทั่วหน้า ปัจจัย 4 ขาดแคลนอย่างหนัก ก็อยู่กันมาได้ ดังนั้นพิจารณาให้ดี มองให้ลึก เราอาจพบว่าท้ายที่สุดแล้ว เรามีสิ่งของเป็น ‘essential’ จริง ๆ ไม่มากนัก
ข้าวของ สมบัติพัสถานในชีวิตก็เช่นกัน มันเป็น ‘essential’ หรือไม่เป็นขึ้นกับสถานการณ์ มุมมอง ทัศนคติ และวิถีชีวิตแต่ละคน
คนที่มีมาตรวัดความจำเป็นต่ำ ชีวิตก็ไม่รุ่มร่าม เวลาจากโลกไป ก็ไม่ต้องเสียเวลาตัดใจนานนัก
ความมากความน้อยของแต่ละคนต่างกัน สำหรับคนที่ชอบชีวิตแบบพอเพียง อาจรู้สึกว่าปล่อยวางเรื่องต่าง ๆ ง่ายกว่า หรือมีความสุขได้ง่ายกว่า เพราะมีข้อแม้ในชีวิตน้อยกว่า
เวลาวิกฤติช่วยสอนเราให้รู้ว่า อะไรเป็นสิ่ง ‘essential’ จริง ๆ
บางครั้งวิกฤติและภยันตรายก็เป็น ‘essential’ อย่างหนึ่งในชีวิต มันทำให้เราต้องเรียนรู้และปรับตัว หรือท้ายที่สุดทำให้เรารอดตายมาได้
บทเรียนเรื่องเลวร้ายก็อาจเป็น ‘essential’ อย่างหนึ่งของชีวิต
วินทร์ เลียววาริณ
3-7-25...........................
ย่อความจาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/187/เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าShopee https://s.shopee.co.th/60Bx1VKarm
Shopee โปรโมชั่นคู่กับยุทธจักรวาลกิมย้ง https://s.shopee.co.th/6pl417244u
1 วันที่ผ่านมา -
เรื่องท่านรัฐมนตรีรักชาติที่ลงต่อเนื่องนี้ ไม่เคยคิดเขียนเป็นซีรีส์มาก่อนเลย
แรกๆ ผมก็เขียนเพื่อคลายเครียด เขียนเอาขำ เขียนเพื่อปลงเรื่องการเมืองไทย
เขียนไปเขียนมา ก็เห็นว่ามีเรื่องให้ปลงอยู่ไม่หยุด มาเรื่อยๆ เหมือนน้ำก๊อก แรงบ้าง กะปริบกะปรอยบ้าง
ท่านรัฐมนตรีรักชาติเป็นแค่ตัวละครสมมุตินะครับ ไม่ได้เขียนจำลองใครเป็นพิเศษ เป็นตัวแทนของคนประเภทหนึ่งที่เห็นการเมืองเป็นธุรกิจ
เมื่อเป็นธุรกิจ ก็เป็นเรื่องการลงทุน การคืนทุน และกำไรสูงสุด
แต่ธุรกิจการเมืองนี้มีโบนัสคืออำนาจ ซึ่งเป็นยาเสพติดอย่างแรง
สมัยก่อนเรายังไม่ใช้คำว่า ธุรกิจการเมือง แต่ตอนนี้ก็รู้กันแล้วว่า หากจะเข้าสู่การเมือง ก็คือธุรกิจ
เรามองการเมืองเป็นเรื่องเล่น ไม่งั้นเราคงไม่เรียกว่า 'เล่น' การเมือง
ผมเขียนใน ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน บทสุดท้าย ตัวละคร ตุ้ย พันเข็ม เปรยกับตัวเองว่า
"การเมืองไทยกำลังแปรโฉมเข้าสู่อีกยุค ยุคของนักธุรกิจนานาชาติ ใครน่ากลัวกว่ากัน นักธุรกิจที่เข้าสู่การเมืองเพื่อประโยชน์ขององค์กรของตน หรือนักการเมืองที่ใช้การเมืองเป็นฐานทำธุรกิจ?"
บทนี้เขียนเมื่อปี 2536 หลังจากคณะรัฐประหาร ร.ส.ช. ยึดอำนาจในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 อ้างเรื่องธุรกิจการเมืองและสิ่งที่เรียกว่า บุฟเฟต์คาบิเนท ตามมาด้วยการประกาศยึดทรัพย์นักการเมืองที่ร่ำรวยผิดปกติ หลังจากนั้นเราก็ไม่เห็นนักการเมืองถูกตั้งข้อหานี้อีก เพราะไม่มีใบเสร็จ นักธุรกิจการเมืองทุกคนฉลาดขึ้น
แล้วเราประชาชนจะทำยังไง ในเมื่อพวกนั้นไม่เห็นหัวเราเลย
ก็ต้องปลงเป็นเรื่องขำๆ ด้วยประการฉะนี้
ว่าแต่ว่าขำหรือเปล่าล่ะ เตง?
วินทร์ เลียววาริณ
2-7-252 วันที่ผ่านมา -
สัปดาห์ก่อน หลังจากมีข่าวนายกรัฐมนตรีประกาศจะปรับ ครม. ท่านรัฐมนตรีรักชาติก็รีบออกตรวจตลาด ตั้งใจจะพบปะชาวบ้านเพื่อเรียกคะแนนนิยมสมฤทัย
ท่านเดินไปตามทางเท้า แลเห็นขอทานหลายคนนั่งบนพื้น บางคนมีลูกเล็กเด็กแดงประกอบฉาก ท่านรัฐมนตรีเปรยกับผู้ช่วย "นี่มันเมืองอะไร ขอทานเต็มเมือง"
"เมืองกรุงเทพฯครับ เมืองหลวงของประเทศไทย แดนศิวิไลซ์"
"แดนศิวิไลซ์อย่างนี้ใช้ไม่ได้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเห็นแล้ว จะเอาหน้าไปไว้ไหน"
"แปลว่า?"
"แปลว่าเราต้องรีบแก้ไข"
ท่านถามขอทานคนหนึ่ง "นี่ทำไมไม่ไปทำมาหากิน มาขอทานอยู่ได้"
"ผมมานั่งขอทานเพราะเศรษฐกิจตกต่ำ ธุรกิจผมเจ๊งกะบ๊ง"
"แล้วคิดไหมว่าทำไมเศรษฐกิจถึงตกต่ำ?"
"เศรษฐกิจตกต่ำอย่างนี้เพราะรัฐมนตรี ข้าราชการโกงกินบ้านเมือง คอร์รัปชั่นจนเป็นอย่างนี้"
"ดีนะที่ไม่ใช่ผม"
ท่านรัฐมนตรีรักชาติเดินต่อไป พูดกับขอทานอีกคนหนึ่ง "นี่ทำไมไม่ไปทำมาหากิน น่าอายจริงๆ"
"ขอทานดีกว่าโกงเขานะคะ"
"อืม! ดีนะที่ไม่ใช่ผม"
ท่านรัฐมนตรีถามขอทานคนที่สาม "คุณล่ะ?"
"ท่านอย่าว่าผมเลย ผมยอมตากหน้ามาขอทาน เพราะมันทนไม่ได้จริงๆ ได้โปรด ขอข้าวกินหน่อยครับ ขอร้องละ..."
ท่านรัฐมนตรีเดินกลับไปที่รถยนต์ บอกผู้ช่วย "ช่วยต่อสายถึงเบื้องบนหน่อย"
ครู่เดียวเสียงปลายสายก็ดังขึ้น "ว่าไงคุณรักชาติ?"
"เอ้อ! ตำแหน่งรัฐมนตรีที่ผมขอ ไม่ทราบว่าท่านคิดยังไง?"
"กำลังพิจารณาอยู่"
"ท่านครับ ผมไม่เรื่องมากหรอกครับ ขอตำแหน่งรัฐมนตรีเกรดเอ เกรดบีก็ได้ครับ ผมอยากทำงานเพื่อประชาชน ตอนนี้ขอทานเต็มบ้านเต็มเมือง ผมเห็นแล้วเศร้าระทม ผมอยากแก้ปัญหาครับ ผมยอมตากหน้ามาขอตำแหน่ง เพราะมันทนไม่ได้จริงๆ อยากช่วยประชาชน ได้โปรด ขอซักตำแหน่งนะครับ ขอร้องละ..."
วินทร์ เลียววาริณ
2-7-252 วันที่ผ่านมา