-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
Who lacks sex speaks about sex, hungry talks about food, a person who has no money - about money, and our oligarchs and bankers talk about morality.
Sigmund Freud
1- แชร์
- 3
-
"มันไม่ยุติธรรมเลย สังคมมักตัดสินคนที่เปลือกนอกและภาพลักษณ์ เช่น รัฐมนตรีทุกคนเลว กินบ้านกินเมือง" ท่านรัฐมนตรีรักชาติเปรยกับจิตแพทย์
ใช่ การทำงานการเมืองเพื่อประชาชนทำให้ท่านรัฐมนตรีรักชาติเครียด จนจำต้องพึ่งจิตแพทย์
จิตแพทย์เอ่ย "ผมเข้าใจครับท่าน ท่านทำงานเพื่อชาติมาโดยตลอด"
แล้วจดลงบนสมุดโน้ตว่า "คนไข้บอกว่ารัฐมนตรีทุกคนเลว กินบ้านกินเมือง"
"ผมเป็นพวกทำดีได้ D"
หมอพยักหน้า แล้วจดลงบนสมุดโน้ตว่า "คนไข้บอกว่าทำ D ได้ดี"
"คุณหมอมีทางแก้ไหมครับ?"
"มี"
"อะไร?"
"ผมว่ายาที่ดีที่สุดในโลกคือธรรมะ"
"จริง หมอว่าควรอ่านหรือฟังธรรมะดีครับ?"
"อ่านก็สะดวกนะ อย่างเช่นเล่ม มังกรเซน ของ..."
"อ๋อ! หนังสือของนักเขียนกวนตีนคนนั้น ไม่ไหวครับ เขียนก็ไม่ได้เรื่อง แล้วยัง stir foot อีก"
"เขามี Mini Zen นะ Mini Tao ก็มี Mini Stoic ก็เข้าท่า"
"ไม่เอาทั้งสิ้น ไอ้นักเขียนเปรตคนนี้"
จิตแพทย์ว่า "งั้นก็เข้าวัดดีกว่าครับ ท่านรัฐมนตรีอาจลองเข้าวัดเข้าวาฟังธรรมบ้าง”
“ผมก็ไปวัดบ่อยครับ”
"วัดวาอารามนะครับ ไม่ใช่วัดตัว แล้วไม่ใช่วัดที่เจ้าอาวาสเล่นพนันกันหลายร้อยล้าน"
"ผมรู้น่า หมอ ผมรู้จักเข้าวัดดีๆ"
"คุณฟังพระเทศน์?"
"ใช่ ผมฟัง"
"แล้วคุณทำตามที่พระเทศน์ไหม?"
"ทำซีครับ ผมเป็นคนที่เชื่อพระ และผมก็ทำตามที่พระเทศน์เสมอ”
จิตแพทย์ถาม “ยังไงครับ?”
“อย่างวันก่อนพระเทศน์ว่า ‘การดื่มสุรายาเมาก็ดี... การเล่นพนันก็ดี... คอร์รัปชั่นก็ดี... การโกงก็ดี... ผมฟังแค่นี้ก็กลับบ้านเลย เพราะผมทุกอย่างที่ท่านว่า 'ก็ดี' ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว"
(แปลงจากขำขันที่เคยอ่านมา)
วินทร์ เลียววาริณ
7-7-250 วันที่ผ่านมา -
“ผมคิดว่าจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ให้มากที่สุด... แต่ถ้ายี่เกยจะบวช ผมก็ต้องสึกออกไปอยู่บ้านค้าขาย” ผู้พูดคือ เงื่อม พานิช หลังบวชได้หนึ่งพรรษา
ยี่เกยคือชื่อของน้องชายของเขา
ท่านพุทธทาสภิกขุมีนามเดิมว่า เงื่อม พานิช บวชตั้งแต่อายุยังน้อย จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ท่านเผยแผ่ธรรมต่อเนื่อง เขียนหนังสือมากมาย เทศนาบรรยายธรรมไม่หยุด ล้วนเป็นแก่นธรรมที่ลุ่มลึก เป็นแสงสว่างของชาวไทยมานานหลายสิบปี เป็นปูชนียบุคคลมิเพียงของเมืองไทย แต่ของทั้งโลก
ปีนั้นคือ พ.ศ. 2470 ตามที่ตกลงไว้ เงื่อมจะบวชแค่สามเดือนแล้วกลับไปค้าขายที่บ้าน ต่อด้วยคิวของน้องชายท่านนามยี่เกยบวช แล้วไปเรียนแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
เจ้าคณะอำเภอได้ยินประโยคข้างต้น ก็ไปคุยกับโยมแม่ของเขา บอกว่าเงื่อมควรจะอยู่เป็นพระต่อไป ส่วนยี่เกยผู้น้องนั้นไม่ต้องบวชก็ได้ เพราะใช้ชีวิตเหมือนพระอยู่แล้ว
เจ้าคณะอำเภอคุยกับโยมแม่ของเงื่อม เห็นว่าเงื่อมควรจะอยู่เป็นพระต่อไป ส่วนยี่เกยไม่ต้องบวชก็ได้ เพราะใช้ชีวิตเหมือนพระอยู่แล้ว
ผลก็คือยี่เกยเปิดโอกาสให้พี่ชายบวชต่อไป นอกจากนี้ยังยอมเลิกเรียนแพทย์ตั้งแต่เทอมแรก เพื่อทำการค้าของครอบครัว
ยี่เกยคือ ธรรมทาส พานิช เงื่อมก็คือพุทธทาสภิกขุ
ผลจากการตัดสินใจครั้งนี้ของฆราวาสที่ดีงามคนหนึ่ง ทำให้โลกมีพระที่ดีงามรูปหนึ่ง ผู้ที่ในกาลต่อมาสร้างฆราวาสที่ดีงามอีกจำนวนนับไม่ถ้วน
นานปีให้หลังมีคนถาม ธรรมทาส พานิช ว่า เสียดายหรือไม่ที่ไม่ได้เรียนหมอ
ธรรมทาส พานิช ตอบว่า “พวกคุณลองคิดดูว่า เปรียบเทียบระหว่างที่ได้ท่านพุทธทาสภิกขุมาองค์หนึ่ง กับได้หมอมาคนหนึ่ง อย่างไหนมีค่ามีความสำคัญกว่ากัน”
จิตใจสูง เฉียบคม ลุ่มลึก กราบคารวะ
(สวัสดีวันจันทร์ ขอให้ทั้งสัปดาห์สุขด้วยธรรมะ)
วินทร์ เลียววาริณ
7-7-25
......................หมายเหตุ : ท่านธรรมทาส พานิช เป็นผู้ร่วมก่อตั้งคณะธรรมทาน สวนโมกขพลาราม โรงเรียนพุทธนิคม โรงพิมพ์ธรรมทาน ซึ่งตีพิมพ์หนังสือธรรมจำนวนมาก ท่านเป็นกำลังหลักในการสนับสนุนการเผยแพร่พุทธศาสนาของสวนโมกขพลาราม ท่านถึงแก่กรรมด้วยโรคชราในปี 2543 อายุ 92 ปี
0 วันที่ผ่านมา -
ในหนังเรื่อง The Godfather Part Two มีฉากที่ตัวละคร Frank Pentangeli ต้องให้การต่อรัฐสภา เพื่อเอาผิดเจ้าพ่อ ไมเคิล คอลิโอน ก่อนหน้านั้นเขาสารภาพกับทางการแล้วว่า เขาก่ออาชญากรรมต่างๆ ตามคำสั่งของเจ้าพ่อ
ก่อนที่เขาจะให้การใดๆ สายตาเขาก็เหลือบเห็นพี่ชายของเขาเดินมากับเจ้าพ่อ พี่ชายของเขาอาศัยอยู่ที่เกาะซิซีลี ไม่เคยเดินทางไปไหน แต่วันนี้กลับมาปรากฏตัวที่นี่
แฟรงก์รู้ทันทีว่านี่เป็นการเดินหมากของไมเคิล เพื่อนำพี่ชายของเขามาเตือนเขาว่า "อย่าพูด" มิฉะนั้นจะมีผลที่ตามมา
แฟรงก์กลับคำให้การ บอกว่าไม่รู้จักเจ้าพ่อใดๆ ทั้งสิ้น ที่มาให้การเพราะพวกเอฟบีไอสั่งมา ว่าแล้วก็หัวเราะขำๆ
หลังจากแฟรงก์ถูกเอฟบีไอพากลับไปที่พักในค่ายทหาร ทอม เฮเกน ทนายของไมเคิลก็ไปหา บอกให้เขาฆ่าตัวตาย (ฉากนี้คลาสสิกมาก)
แฟรงก์ก็ฆ่าตัวตายอย่างว่าง่าย
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า omertà
โอแมร์ตาคือสัญญาชนิดหนึ่งหรือวิถีปฏิบัติของพวกอาชญากรอิตาเลียน นั่นคือหากถูกตำรวจจับ จะไม่พูด ไม่ซัดทอด ไม่หักหลังกัน
มันเป็นสัญญาเลือด ใครฝ่าฝืนจะต้องตาย
นักเขียน มาริโอ พูโซ ใส่หลักการโอแมร์ตาในนวนิยายของเขาหลายเรื่อง เช่น The Godfather, The Sicilian และ Omertà
ฉากให้การฉากนี้เรียบง่ายมาก แค่ให้ตัวละครพี่ชายโผล่เข้ามาเงียบๆ โดยไม่ต้องพูดสักคำเดียว ก็ทรงพลัง พิสูจน์ว่า ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ทำหนังเป็นตั้งแต่หนุ่ม
The Godfather Part Two เป็นงานชั้นครู เป็นภาคต่อที่จัดว่ายอดเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกภาพยนตร์ อาจดีกว่าภาคแรกด้วยซ้ำ นี่เป็นครั้งที่สองที่ มาริโอ พูโซ ร่วมเขียนบทกับ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา
ทั้งสองเรื่องได้รับรางวัลออสการ์บทยอดเยี่ยม ทั้งที่ มาริโอ พูโซ ไม่เคยเขียนบทมาก่อน
ทั้งสองเรื่องสุดยอดจริงๆ (11/10)
กราบ
วินทร์ เลียววาริณ
6-7-250 วันที่ผ่านมา -
ก่อนยุคโทกุงาวะแห่งเอโดะ แผ่นดินญี่ปุ่นยังเต็มไปด้วยการรบพุ่ง นักรบนาม ไทโค ชมชอบการดื่มชาและศึกษาพิธีฉะโนะยุกับท่านอาจารย์ เซน โนะ ริคิว ปรมาจารย์แห่งวิชาชงชา ทุกครั้งที่ไทโคเข้าพิธีดื่มชากับอาจารย์ ก็เช่นนักบวชผู้ละวางปัญหาทางโลก จิตดิ่งสู่ความสงบของสันติและความงามอย่างเต็มเปี่ยม เป็นโมงยามที่หายากสำหรับนักรบ
นักดาบลูกน้องของไทโค นาม คาโต เห็นว่าเจ้านายมัวแต่เสียเวลาในพิธีชา เสียการเสียงานของรัฐ อีกทั้งเสียภาพลักษณ์ของนักรบผู้หาญกล้า จึงตัดสินใจที่จะยุติปัญหาแต่ต้นตอ นั่นคือสังหาร เซน โนะ ริคิว เสีย
อันอาจารย์ เซน โนะ ริคิว ผู้นี้เกิดที่เมืองซาไก (ปัจจุบันคือ โอซากา) บิดาเป็นพ่อค้า เขาเรียนรู้เรื่องชามาแต่เล็กจากอาจารย์ คิตะมุคิ โดจิน และได้เรียนเซนสายรินไซกับอาจารย์ โซโต ไดริน แห่งวัดนันชูที่ซาไก ต่อมาก็ไปฝึกเซนที่วัดไดโทคุ
อายุสิบเก้าท่านเรียนเรื่องชากับ ทาเคโนะ โจ ปรมาจารย์พิธีชงชาแห่งซาไก และตลอดชีวิตของท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญพิธีชงชา เคยเป็นอาจารย์ชงชาให้สองขุนศึกใหญ่แห่งญี่ปุ่นคือ โอดะ โนบุนากะ กับ โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ
เซน โนะ ริคิว ได้พัฒนาประเพณีฉะโนะยุจนเกือบสมบูรณ์ เช่น การใช้แจกันดอกไม้ ที่ตักชา ที่รองฝากาทำด้วยไม้ไผ่ ถ้วยชาแบบราคุ ยาคิ ซึ่งเป็นเครื่องปั้นดินเผาความร้อนต่ำทำให้ไม่เรียบและมีรูพรุน และเป็นต้นตำรับของถ้วยชา ท่านทำให้พิธีชงชาเป็นสิ่งที่แพร่หลายทั่วญี่ปุ่น
คาโตเดินทางไปพบท่านเซน โนะ ริคิว และขออนุญาตเข้าร่วมพิธีดื่มชา ปรมาจารย์ด้านชาอนุญาต
อาจารย์เซน โนะ ริคิว มองเห็นเจตนารมณ์ของนักดาบผู้มาเยือน แต่ยังคงรักษาความเยือกเย็นไว้ได้ สีหน้ายิ้มละไม ท่านเชิญนักดาบเข้าไปในห้องพิธี กล่าวว่า "ท่านคาโตสมควรวางดาบของท่านไว้นอกห้อง"
คาโตกล่าวว่า "ข้าเป็นนักรบ ข้าไม่เคยวางดาบของข้า"
"ฉะโนะยุเป็นพิธีแห่งสันติและความสงบแห่งจิต การพกดาบย่อมขัดต่อความหมายของมัน"
"ข้าเป็นนักรบ ข้ามีดาบเคียงกายตลอดเวลา จะเป็นพิธีฉะโนะยุหรือพิธีอันใดก็ตาม ข้าก็มีดาบของข้า"
เซน โนะ ริคิว ยิ้มน้อย ๆ "เช่นนั้นท่านจงพกดาบของท่าน และเข้ามาดื่มชากันเถิด"
นักฆ่าวางดาบบนพื้นเสื่อตาตามิ ขณะที่เจ้าของสถานที่เริ่มต้มน้ำ มองออกนอกห้อง ผ่านชานเรือน แลเห็นฝูงปลาว่ายวนในบ่อหิน เสียงน้ำไหลรินต่อเนื่อง นี่คือสถานที่สงบงามอย่างแท้จริง แต่นักดาบไม่ลืมภารกิจของเขา
กาน้ำวางบนถ่านไฟร้อนแดง ไม่นานน้ำในกาก็เดือดปุด เซน โนะ ริคิว ยิ้มขณะยกกาน้ำขึ้นมาหมายรินลงถ้วย แต่มือที่อ่อนล้าจับกาน้ำไม่ถนัด เป็นผลให้กาน้ำพลาดหลุดจากมือ เทราดบนถ่านไฟ เสียงฉ่าของน้ำเดือดดังพร้อมไอน้ำที่พลุ่งขึ้นมา ไอและขี้เถ้าฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง
อาจารย์เซน โนะ ริคิว เอ่ยกับแขกที่มาเยือน "เราขออภัยต่อท่าน นี่เป็นความผิดพลาดของเราเอง ได้โปรดกลับเข้ามานั่งดื่มชาก่อน บัดนี้ดาบยาวของท่านเปื้อนขี้เถ้าเลอะเทอะ เราจะเช็ดดาบของท่านจนสะอาด แล้วค่อยคืนแก่ท่าน"
ผู้มาเยือนดื่มชาที่อาจารย์ยื่นให้ เมื่อชาหมดถ้วย นักฆ่าก็ลาอาจารย์เซน โนะ ริคิว จากไปเงียบ ๆ พร้อมดาบของเขา
วินทร์ เลียววาริณ
6-7-25.............................
จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
มังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=6เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/244/Mini%20Zen%20คู่%20Mini%20Tao
0 วันที่ผ่านมา -
วันก่อนผู้อ่านถามถึงความแตกต่างระหว่างคำว่ามุมมองกับทัศนคติ เรามักใช้แทนกัน
ความจริงความหมายมันก็อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ทั้งสองคำก็คือมุมมอง
อีกคำหนึ่งคือ perception สามคำนี้ไม่เหมือนกัน
สามคำนี้อยู่ในกลุ่มการมองเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน
perception หมายถึงสิ่งที่เรามองเห็น หรือคิดจากสิ่งที่เห็น ยกตัวอย่าง เช่น รัฐมนตรี ก. ทำงานดีมาก แต่ perception ของคนคือเขาทำงานดีเพื่อเอาหน้า เขาอาจทำดีจริงๆ ก็ได้ แต่คนมองเห็นว่าเอาหน้า สิ่งที่คนมองนั่นคือ perception
จึงอาจแปลว่า "Perception is what you see."
เวลาเราทำดี ในใจเรามีความคิดกุศล perception ของคนอื่นอาจมองตรงข้าม
สำหรับคนจำนวนมาก อาจไม่แยแสว่าคนอื่นคิดอะไรกับตน คิดว่าตนบริสุทธิ์ใจก็พอแล้ว แต่หากทำธุรกิจหรือการงานอื่น perception ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจนั้นไปได้ไกลหรือไม่
เพราะมันไม่สำคัญว่าเราทำอะไร แต่อยู่ที่คนอื่นเข้าใจว่าอะไร
สำหรับมุมมอง (viewpoint หรือ perspective) คือตำแหน่งที่มอง ยกตัวอย่าง เช่น มองบ้านเก่าหลังหนึ่ง มันสามารถมองได้จากหลายมุม เช่น มุมของคนภายนอก หรือมองจากมุมของคนที่อยู่อาศัย
มองต่างมุม perception ก็ต่างกัน สมองก็แปลความหมายต่างกัน
ก็มาถึงคำที่สำคัญที่สุดคือทัศนคติ (attitude)
ทัศนคติคือผลจากการปรุงความคิดเรา เช่น เรามองบ้านเก่าแล้วเห็นว่าคนในบ้านยากจน ลำบาก ชีวิตลำเค็ญ เรามองว่าความลำบากคือเรื่องเลวร้าย เคราะห์ร้าย กรรมเก่า
แต่คนในบ้านอาจมองว่ามันคือความอบอุ่น เพราะพ่อแม่ของเขายอมอยู่ในบ้านเก่าทั้งชีวิตเพื่อให้การศึกษาลูก นอกจากนี้ชีวิตลำบากทำให้เขาไต่ขึ้นที่สูงสำเร็จ
ทัศนคติของคนในบ้านจึงตรงข้าม คือเห็นว่าความลำบากเป็นเรื่องดีงาม
จะเห็นว่าในเรื่องเดียวกัน มุมมองต่างกัน ก็อาจได้รับทัศนคติต่างกัน แต่มันก็ขึ้นการการศึกษา การเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม ฯลฯ ด้วยที่ทำให้คนคนหนึ่งมีทัศนคติแบบหนึ่ง
ทัศนคติจึงสำคัญกว่าทุกอย่าง เพราะหากใครคนหนึ่งมีทัศนคติที่ดี ชีวิตมีโอกาสสูงที่จะมีความสุข
เราคงเคยได้ยินมาก่อนว่า ชีวิตคือ 10 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา และ 90 เปอร์เซ็นต์ของปฏิกิริยาของเราต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ปฏิกิริยานี้ก็คือทัศนคติ
จะมีทัศนคติดีส่วนหนึ่งอาจมาจากสภาพแวดล้อม แต่อีกส่วนหนึ่งอาจฝึกได้
ฝึกมองโลกในมุมบวก มันยากกว่ามองโลกในแง่ลบ แต่มันเป็นหนทางเดียวที่ทำให้เรามองหาทางเลือกในชีวิตมากขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น เราประสบเหตุการณ์หนึ่ง ถ้าเราบอกว่า "มันแก้ไม่ได้" โอกาสแก้ปัญหานั้นก็เท่ากับศูนย์ทันที
แต่หากเรามองว่า "มันอาจมีทางแก้" โอกาสแก้ปัญหานั้นก็ไม่ใช่ศูนย์แล้ว อาจเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นกับความสามารถและประสบการณ์ของเรา 5 เปอร์เซ็นต์นี้ไม่มีวันเกิดขึ้นหากเรามีทัศนคติลบแต่แรก
เมื่อเรามองเห็นทางเลือกมากขึ้น ก็มีโอกาสมีความสุขมากขึ้น ง่ายๆ เช่นนั้น
วินทร์ เลียววาริณ
5-7-251 วันที่ผ่านมา