-
วินทร์ เลียววาริณ3 วันที่ผ่านมา
ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำในบ้านเราเมื่อปี 2540 เศรษฐีหลายคนหมดตัว บางคนเลือกฆ่าตัวตาย ขณะที่บางคนยอมลุยโคลนตม สู้ต่อไป
การหนีโลกย่อมไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก แต่ละคนมีเสรีภาพที่จะเลือกเดินตามทางของตัวเอง
แต่อะไรทำให้คนคนหนึ่งฆ่าตัวตาย อีกคนหนึ่งสู้ต่อ?
attitude!
ณ จุดตกต่ำของชีวิต ทัศนคติของแต่ละคนจะเป็นตัวกำหนดว่าอนาคตของเขาคนนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป
ขณะที่คนที่มีทัศนคติว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้สถานการณ์ เพราะมืดแปดด้าน ก็จะไม่เห็นแสงสว่างราง ๆ ใด ๆ ทั้งสิ้น คนที่มีทัศนคติว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องชั่วคราวจะมองโลกอีกแบบหนึ่ง แม้ทุกข์ทรมานในความมืด แต่พอมองเห็นแสงสว่างราง ๆ ข้างหน้า
เมื่อภูเขาถล่มขวางหน้า ก็มองหาช่องว่างคลานลอดออกไป
มีตัวอย่างจริงของเจ้าของธุรกิจหลายคนที่ล้มลงเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แต่มองว่า ล้มได้ก็ลุกได้ เมื่อมีทัศนคติอย่างนี้ ก็จะใช้พลังงานทั้งหมดในการหาทางแก้ปัญหา ไม่ใช่คร่ำครวญ
แล้วพวกเขาก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้
ทัศนคติจึงเป็นสิ่งกำหนดทุกสิ่งในชีวิต
เกิดมายากจน ก็อาจรุ่งโรจน์ได้ถ้ามีทัศนคติเชิงบวก
เจอเรื่องทุกข์ ก็อาจไม่ทุกข์เหมือนคนอื่น
จะมีความสุขได้ต้องมี attitude ที่ดีต่อชีวิต
คำถามคือเราสร้างทัศนคติที่ดีได้หรือไม่ คำตอบคือได้
นั่นคือฝึกตัวเองให้มองมุมต่าง และหาทางเลือกอื่น ๆ เสมอ
หากจะแก้ปัญหาหนึ่ง ก็บังคับตัวเองให้มองหาหนทางที่ 2, 3, 4, 5... ด้วย
เมื่อสมองเปิดกว้าง มองโลกหลายมุม ก็มีโอกาสเห็นมุมอื่นที่นำไปสู่จุดที่มองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
เมื่อเจอปัญหากลุ้มใจ ก็ให้มองหาทางออกหลาย ๆ ทาง
ไม่ว่าทำเรื่องอะไร คิดอะไร ทดลองหลาย ๆ ทาง เพื่อที่จะได้มองเห็นว่า บางครั้งมีทางอื่นที่ไปสู่จุดหมายเดียวกัน
ทางไปสู่จุดหมายมีหนทางมากกว่าหนึ่งสายเสมอ
การฝึกคิดแบบนี้จำเป็นต้องใช้หลักมองต่างคิดต่าง หรือ Lateral Thinking
สมองคนเราสามารถโปรแกรมข้อมูลใหม่ทับของเก่าได้ ข้อมูลใหม่ในที่นี้ก็คือ attitude
ฝึกแบบนี้บ่อย ๆ จะทำให้เราไม่รีบเอ่ยคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ เร็วเกินไป
อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้มีทัศนคติที่ดีขึ้นคือธรรมะ
ธรรมะไม่ได้หมายถึงการไปฟังเทศน์ทุกอาทิตย์ แต่หมายถึงการเข้าใจธรรมดาของโลกและชีวิต เข้าใจว่าชีวิตไม่แน่นอน เป็นเรื่องชั่วคราว รู้จักปล่อยได้ ไม่สร้างทุกข์
นี่ไม่ใช่การมอง ‘โลกสวย’ แต่คือการเลือกสร้างโลกที่ดีที่สุดให้ตัวเอง
ขอให้ผู้อ่านมีสัปดาห์ใหม่ที่สวยงามครับ
วินทร์ เลียววาริณ
6 ตุลาคม 2568...........
บางท่อนจาก ตัวสุขอยู่ในหัวใจ
260 บาท 49 บทความ เรื่องละ 5.3 บาท
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/211/ตัวสุขอยู่ในหัวใจ1- แชร์
- 33
-
ชายคนหนึ่งไปหาหมอเพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับเรื้อรังมาหลายสิบปี เขาเคยหาหมอมาแล้วหลายคน แต่ก็แก้ปัญหานี้ไม่สำเร็จ หมอคนล่าสุดถามเขาว่า “ทำไมนอนไม่หลับ คิดอะไรหรือ?”
“ผมกลัวผี ผมคิดเสมอว่ามีผีอยู่ใต้เตียง”
หมอเสนอว่าเขาควรพบจิตแพทย์ เขาก็ทำตามคำแนะนำนั้น
จิตแพทย์สอนวิธีการทำสมาธิจิต การย้ายจุดสนใจจากใต้เตียงไปที่อื่น ฯลฯ แต่อาการนอนไม่หลับของเขาก็ไม่หาย จนในที่สุดเขาก็เลิกไปหาจิตแพทย์โดยสิ้นเชิง
หลายปีต่อมา เขาพบจิตแพทย์คนเดิมอีกครั้งโดยบังเอิญ หมอถามไถ่อาการนอนไม่หลับของเขา เขาตอบว่า มันหายไปนานแล้ว ตอนนี้เขาหลับสนิททุกคืน
“หายไปได้อย่างไรครับ?” หมอสงสัย
“มีอยู่วันหนึ่งผมเห็นคนนอนอยู่ริมถนน ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ผมย้ายเตียงออกจากห้อง นอนบนพื้นแทน ไม่มีเตียงก็ไม่มีใต้เตียง ไม่มีใต้เตียงก็ไม่มีผีอีกต่อไป”
ขำขันเรื่องนี้มีกลิ่นเซนอยู่บ้าง แต่ประเด็นของมันคือการแก้ที่ต้นเหตุ หรือ สมุทัย หนึ่งในสี่ของอริยสัจ 4
บริษัทหลายแห่งแก้ปัญหาพนักงานมาสายบ่อย ๆ โดยตั้งกฎปรับหรือหักเงินเดือน แต่หากผู้บริหารวิเคราะห์อย่างละเอียด อาจพบว่าบทปรับไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว บางองค์กรศึกษาต้นเหตุจริง ๆ ของปัญหา เช่น บางคนบ้านอยู่ไกลมาก หรือต้องดูลูก ก็แก้โดยใช้นโยบายจัดเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นขึ้น หรือทำงานที่บ้าน หรือกระทั่งตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กในสำนักงาน เป็นวิธีหนึ่งในการซื้อใจพนักงานได้ด้วย
การแก้ปัญหาจึงต้องวิเคราะห์สาเหตุจริง ๆ ของปัญหา ก็คือ สมุทัย หนึ่งในสี่ของอริยสัจ 4 ใช้ได้ทั้งในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ
แต่บ่อยครั้งเรามองไม่เห็นสมุทัย เพราะอยู่ใกล้มันเกินไป บางครั้งตำแหน่งของการมองปัญหาก็สำคัญ
เราอาจมัวแต่มองที่ปัญหา ‘ใต้เตียง’ จนลืมมอง ‘เตียง’
เมื่อหลุดจากกรอบของกระบวนท่า ก็เป็นอิสระ มองเห็นภาพชัดเจนขึ้น
ไม่มีเตียงก็ไม่มีใต้เตียง
ไม่มีใต้เตียงก็ไม่มีผี
วินทร์ เลียววาริณ
8-10-25.................
ย่อความจาก ความสุขเล็ก ๆ ก็คือความสุข
57 บทความกำลังใจสั้นและยาว ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 3.3 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/165/ความสุขเล็ก%2520ๆ%20ก็คือความสุข1 วันที่ผ่านมา -
ดังที่เล่ามาแล้วว่าคุณบริสุทธิ์เผลอซื้อเป็ดขาดตัวจากร้านกวงติงมาอย่างไร
วันรุ่งขึ้นคุณบริสุทธิ์บ่นกับเพื่อนเรื่องความกวงติงของอาแปะร้านกวงติง
คุณบริสุทธิ์ว่า "อาแปะแก ‘กวงติง’ สมชื่อจริง ๆ ว่ะ”
“ความจริงแกไม่ได้ชื่อกวงติงหรอกนะ ชื่อจริงคือกวงหยง ชื่อเต็มคือเติ้งกวงหยง”
“ชื่อดาราหนังไต้หวันนี่หว่า”
“ใช่ แต่แกกวนตีนชาวบ้านมาก จึงพากันตั้งชื่อแกใหม่ว่า กวงติง ผลก็คือคนจำชื่อร้านนี้ได้ดีกว่าชื่อกวงหยง แกก็เลยตามเลย ใช้ชื่อนี้มาตลอด”
“แกมาจากไหน จึงกวงติงได้ขนาดนี้? เป็นเพราะพันธุกรรมหรือ?”
“ความจริงแกเป็นเซียนเป็ดนะ หากเปรียบวงการเป็ดพะโล้เป็นวงการบู๊ลิ้ม แกก็เทียบเท่าท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อหรือเตียซำฮง แกเคยเปิดร้านเป็ดพะโล้ที่กรุงเทพฯ ร้านแกดังมาก ใคร ๆ ก็ไปกิน นี่มึงเจอลูกเล่นกวงติงของแกมาล่ะซี”
คุณบริสุทธิ์เล่าเรื่องที่ไปซื้อเป็ด ‘ขาดตัว’ ให้เขาฟัง บูลย์หัวเราะชอบใจ กล่าวว่า “แค่นี้ถือว่าเล็กน้อยว่ะ มีคนเจอการกวนตีนหนักกว่ามึงอีก”
“จริงเรอะ?”
“จริง จะเล่าให้ฟัง...”
แล้วบูลย์ก็เล่าเรื่องชีวิตของเติ้งกวงหยงให้คุณบริสุทธิ์ฟัง
.............................
กวงหยงเป็นเด็กกำพร้า ร่อนเร่พเนจรไปทั่วเมืองจีน จนในที่สุดไปทำงานเป็นเด็กทำความสะอาดในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เซี่ยงไฮ้ เจ้าของร้านเป็นพ่อครัวผู้เชี่ยวชาญเรื่องเป็ดระดับปรมาจารย์
กวงหยงทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้ช่วยพ่อครัว และด้วยความบากบั่น ก็เป็นพ่อครัวในที่สุด ปรมาจารย์ก็สอนวิชาเป็ดสูตรต่าง ๆ ให้โดยไม่หวงวิชา
เมื่อปรมาจารย์เสียชีวิต กวงหยงอพยพย้ายมาอยู่ที่เมืองไทย เปิดแผงลอยขายเป็ดตุ๋นในซอยแห่งหนึ่งที่เยาวราช รสชาติเป็นที่เลื่องลือ ดังนั้นผ่านไปไม่กี่ปี เขาก็เปิดร้านเป็ดเติ้งกวงหยง ขึ้นชื่อเรื่องเป็ดชนิดต่าง ๆ
เมื่อถึงวัยห้าสิบ กวงหยงก็ไม่ได้ปรุงอาหารเอง ปล่อยให้ลูกน้องทำ ให้แม่ครัวสั่งวัตถุดิบเอง ส่วนเป็ดนั้นสั่งตรงมาจากเมืองจีน
วันหนึ่งลูกค้าคนหนึ่งมาเยือนร้าน วัยราว 70-80 กว่า ผมขาวโพลน กิริยาสุขุมลุ่มลึก นัยน์ตาแจ่มใส เขานั่งลงที่มุมร้าน แล้วสั่งเป็ด
ลูกค้าวัยชราสั่งเป็ดแต้จิ๋ว เมื่อบริกรเสิร์ฟเป็ดที่โต๊ะ ลูกค้าผู้นี้ก็ยกเป็ดขึ้นมาทั้งตัว หันตูดเป็ดขึ้นมาดม แล้วเรียกกวงหยงมา
เจ้าของร้านถามว่า “มีอะไรหรือท่าน?”
ลูกค้าบอกว่า “นี่ไม่ใช่เป็ดแต้จิ๋ว นี่เป็นเป็ดฮกเกี้ยน”
กวงหยงงุนงง “ทำไมไม่ใช่? ลูกน้องผมสั่งตรงมาจากเมืองจีน”
“ถ้าลูกน้องคุณดูเป็ดไม่เป็น ก็โกงคุณ”
กวงหยงเป็นเซียนเป็ด จึงรู้ความแตกต่างระหว่างเป็ดแต้จิ๋วกับเป็ดฮกเกี้ยน แกรู้ว่าพ่อครัวของแกก็ทำถูกชนิดแล้ว แกรู้ว่าลูกค้าคนนี้ต้องการทดสอบแก แต่ในฐานะเจ้าของร้าน แกไม่สามารถชี้นิ้วว่าลูกค้าได้ แกเพียงแต่กล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสดมตูดเป็ดก็รู้เลยหรือ?”
“แน่นอน เป็ดตัวนี้มาจากตำบลเฉินเป่ย มณฑลฮกเกี้ยน เป็ดเฉินเป่ยต่างจากเป็ดที่อื่น ๆ เพราะน้ำในเฉินเป่ยเป็นน้ำที่ไหลมาจากช่วงปลายแม่น้ำแยงซี จึงนำดินจากภูเขาเซ่งหลงซานมาด้วย ดินที่เซ่งหลงซานนั้นพิเศษกว่าที่อื่น มันมีกำมะถันและดินถนำผสมอยู่เล็กน้อย รสชาติดินเซ่งหลงซานจึงออกมาทางตูดเป็ด ผู้เชี่ยวชาญดมก็รู้”
กวงหยงย่อมรู้ว่าลูกค้ามั่ว หาเรื่องกินฟรี แต่ตำนานที่ลูกค้าแต่งสนุก จนแกอยากรู้ว่าลูกค้าจะเล่าเรื่องอะไรอีก ก็ทำเป็นไม่รู้ บอกว่า “ขออภัย งั้นท่านผู้อาวุโสสั่งเป็ดตัวใหม่ก็แล้วกัน”
“ผมขอสั่งเป็ดไหหลำก็แล้วกัน”
เมื่อเป็ดไหหลำมาวางบนโต๊ะ ลูกค้าผู้นี้ก็ยกเป็ดขึ้นมาดมตูด กล่าวว่า “นี่ไม่ใช่เป็ดไหหลำ มันเป็นเป็ดชานตง”
กวงหยงแกล้งทำตาค้าง
“ท่านผู้อาวุโสดมตูดเป็ดก็รู้เลยหรือว่าเป็นเป็ดชานตง?”
ลูกค้ารายนั้นคุย “ไม่ยาก เป็ดชานตงกินกุ้งปลาเป็นอาหาร กุ้งปลาที่ชานตงนั้นว่ายในน้ำกร่อยกับดินเลนที่ไหลมาจากแม่น้ำชวนแซยี่ ผสมกับน้ำทะเล กลิ่นไม่ปรากฏในเนื้อเป็ดหรอก ทว่าดมได้จากตูดเป็ด”
“นับถือ นับถือ”
คราวนี้ลูกค้าทั้งร้านก็มาล้อมดูคนทั้งสองคุยกันเรื่องเป็ด
“งั้นท่านสั่งเป็ดตัวใหม่ก็แล้วกัน”
เช่นเดิม เป็ดตัวที่สามที่สั่งก็ผิดอีกในสายตาลูกค้า
“นี่ไม่ใช่เป็ดที่ผมสั่งนะ นี่เป็นเป็ดจากมณฑลเหมยเยี่ยน กวางตุ้ง เป็ดที่นั่นกินต้นหม่อนผสมใยบัว กลิ่นของหม่อนและใยบัวของมณฑลเหมยเยี่ยนเป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์ แม้ไม่ปรากฏในเนื้อเป็ด แต่ดมได้จากตูดเป็ด”
กวงหยงประสานมือคารวะลูกค้า
“ขอเรียนถาม ท่านผู้อาวุโสมาจากเมืองจีนใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง ทั้งชีวิตผมเดินทางชิมเป็ดไปทั่วแผ่นดินจีน เมื่อครบแล้ว ก็มาลองกินเป็ดในแผ่นดินไทย”
“นี่ย่อมแสดงว่าท่านรู้จักทุกพื้นที่ในแผ่นดินจีนอย่างทะลุปรุโปร่ง”
ลูกค้าพยักหน้า กล่าวว่า “ถูกต้อง ผมรู้จักพื้นที่ทุกตารางนิ้วในจีน จึงรู้เรื่องเป็ดในทุกมณฑล แค่ดมตูดเป็ดก็รู้ว่าเป็ดมาจากไหน”
กวงหยงเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านช่วยอะไรผมอย่างหนึ่งได้ไหม?”
“ว่ามาเลย”
“ผมเป็นลูกกำพร้า ตลอดชีวิตมิรู้ว่ารากเหง้าผมมาจากที่ไหนในเมืองจีน ผมอยากรู้ชาติกำเนิดของผมจริง ๆ ท่านช่วยดมตูดผมหน่อยนะ”
ว่าแล้วก็ถกกางเกงลง หันก้นไปที่ลูกค้า...
บูลย์ว่า “ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครเรียกแกว่า กวงหยง อีก ทุกคนเรียกแกว่ากวงติง”
วินทร์ เลียววาริณ
7-10-25....................
บางท่อนจาก เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์ฯ
(นวนิยายแนวใหม่ที่นำขำขันตลกๆ ระดับ ‘ขำกลิ้ง’ 400 เรื่องมายำเป็นนวนิยาย)
ค่าคลายเครียดแค่ 330 บาท เฉลี่ยขำละ 80 สตางค์หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วโปรโมชั่น https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201
Shopee
เดี่ยว https://s.shopee.co.th/1VjWGyXzed
https://s.shopee.co.th/9A8xPCjmLp2 วันที่ผ่านมา -
สี่ภพ ผลงาน 5 ปีของ วินทร์ เลียววาริณ
จำหน่ายในงานหนังสือและทางออนไลน์
งานหนังสือบูธ F-21 (ราคา 2,300.- ถ้ารับเอง)ซื้อผ่าน Shopee กดลิงก์
https://s.shopee.co.th/2LPBgEyqPg?share_channel_code=6ซื้อผ่านเว็บไซต์ วินทร์ เลียววาริณ กดลิงก์
https://www.winbookclub.com/store/detail/255/%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A0%E0%B8%9Eอีบุ๊ค จัดจำหน่ายโดยบริษัท The Meb ทั้งแยกเล่มและรวมชุด (สำนักพิมพ์ 113 ไม่ได้จำหน่าย)
https://www.theonebook.com/index.php?action=search_book&page_no=12 วันที่ผ่านมา -
เสื้อที่เราซื้อจากห้างร้าน ส่วนใหญ่มีกระดุมสำรอง 1-2 เม็ด ติดที่ชายเสื้อ สำหรับซ่อมกระดุมที่หลุดไป
มันอาจไม่ถูกนำมาใช้เลยตลอดอายุของเสื้อตัวนั้น แต่ก็อาจจะได้ใช้
ในวัยสี่สิบ ผมกลับเข้ามหาวิทยาลัยอีกรอบ เล่าเรียนวิชาใหม่
การเรียนหนังสือภาคค่ำหลังจากทำงานมาทั้งวัน และในวัยนี้ ก็คือนรกดี ๆ นี่เอง
แต่มันเป็นสิ่งพึงกระทำ เพราะมองดูคนจำนวนมากรอบตัวแล้ว เมื่อถึงวัยนี้ มักถูกขอให้ออกจากงาน เนื่องจากเงินเดือนสูงเกินไป ไม่มีความคิดใหม่ มีแต่ทักษะเดิมที่หลายเรื่องก็ไม่สดแล้ว บริษัทจึงอยากจ้างคนหนุ่มสาวที่รับเงินเดือนต่ำมากกว่า
การเรียนเพื่ออัปเกรดตัวเองเป็นการเตรียม ‘กระดุมสำรอง’ ไว้ให้อุ่นใจ
หลายคนใช้ชีวิตแบบไม่เตรียม ‘กระดุมสำรอง’ ไว้เลย ไม่เคยถามตัวเองว่า “เราทำงานคุ้มกับเงินเดือนที่ได้รับหรือเปล่า?”
กลายเป็นกบในหม้อน้ำที่กำลังต้มช้า ๆ ไม่รู้สึกร้อนทันที กว่าจะรู้ตัว ก็กลายเป็นกบสุกไปแล้ว
คนเราก็ควรมี ‘กระดุมสำรอง’ หาวิชาใหม่ ๆ มาสำรองไว้ หาความรู้เพิ่มเติม เพื่อให้ทันโลกและวงการที่ทำงานอยู่ เป็นการสร้างอำนาจต่อรองให้ตัวเอง
เผื่อทางสายที่สองไว้เสมอ มันเป็นประตูฉุกเฉินหนีไฟ ไว้เผื่อไฟไหม้ ก็หนีทัน ไม่ถูกไฟคลอกตาย
แม้ยังทำงานประจำที่มั่นคงและดูปลอดภัย ก็สามารถหาความรู้หรืองานอดิเรกที่เป็นประโยชน์ เช่น ทำอาหาร เมื่อตกงาน ก็อาจสามารถสับสวิตช์ เปลี่ยนโหมดได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
เมื่อตกงานจริง ๆ ไม่ว่าเพราะเหตุใด ก็สามารถใช้ ‘กระดุมสำรอง’ เปลี่ยนทิศงาน
ประโยชน์คือ หนึ่ง เป็นการใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท
สอง ทำให้โลกทัศน์กว้าง และบางครั้งมันก็เปิดประตูบานใหม่ให้เรา
ตลอดชีวิต ผมทำ ‘กระดุมสำรอง’ เผื่อไว้เสมอ ไม่ใช่เพราะกลัวถูกไล่ออก แต่รู้ว่าโลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ถ้าปรับตัวไม่ทัน ก็หลุดจากวงโคจร
อีกเหตุผลหนึ่งเพราะผมชอบทำงานหลากหลาย
ในช่วงเวลาที่ผมทำงานประจำ ผมก็เขียนนิยายเป็นงานอดิเรกอย่างมีความสุข
ผมจับปลาสองมือ แม้เขียนหนังสือไซด์ไลน์ แต่จริงจัง
เวลาของงานอดิเรกนี้เป็นช่วงยามที่เดินตามฝัน ทำเต็มที่ งานระดับรางวัลทั้งหลาย ล้วนเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
บางคนสงสัยว่าแล้วเอาเวลามาจากไหน
คำตอบคือก็นอนน้อยลงหน่อย เลิกดูทีวี เลิกเสพข่าวไร้สาระ ใช้เวลากินข้าวเที่ยงสั้นลงหน่อย ก็จะได้เวลามาทำงานที่รักจริง ๆ
และวันดีคืนดี กระดุมสำรองที่เรียกว่างานอดิเรก ก็กลายเป็นอาชีพหลักอย่างไม่น่าเชื่อ
ประตูหนีไฟกลายเป็นประตูหน้า
เมื่อนั้นก็เตรียมกระดุมสำรองชุดต่อไป
วินทร์ เลียววาริณ
7 ตุลาคม 2568
...................จาก กอดหนาม
ตอนนี้มีโปรโมชั่น 3 เล่ม กอดหนาม + ปฏิบัติการผ่าสมองไอน์สไตน์ + Mini Taoซื้อผ่าน Shopee https://shope.ee/1qEAFwkFjK?share_channel_code=6
2 วันที่ผ่านมา -
เมื่อวานเล่าเรื่อง ไอแซค อสิมอฟ ว่าในชีวิต เขาเขียนหนังสือไปแค่ 500 เรื่อง
อสิมอฟได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนคุณภาพ ทำงานดีมาตลอด
จะทำงานได้อย่างนี้ ต้องมีระบบแน่นอน
การทำงานอย่างเป็นระบบและมีระเบียบฝังรากลึกในตัวเขา
วลี ‘ไม่มีเวลา’ และ ‘ไม่ว่าง’ ไม่อยู่ในพจนานุกรมชีวิตของเขา
“ผมไม่เขียนหนังสือเฉพาะตอนที่ผมเขียน ทุกครั้งที่ผมอยู่ห่างจากเครื่องพิมพ์ดีด กิน นอน ชำระกาย สมองผมยังทำงานอยู่ตลอด นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมพร้อมจะเขียนทุกเมื่อ พูดอีกอย่างหนึ่งคือทุกสิ่งทุกอย่างถูกเขียนมาแล้ว ผมแค่นั่งลงและพิมพ์มันออกมา”
เขาบอกว่านักเขียนต้องมีความมั่นใจในระดับหนึ่ง ต้องไม่ตั้งข้อสงสัยต่องานที่เขียนตลอดเวลา ต้องรักงานที่เขียน ต้องสนุกกับงานที่เขียน
เขาบอกว่าถ้าเขาไม่สนุกกับงานที่เขียนอย่างมาก เขาจะเขียนหนังสือออกมามากมายขนาดนี้ได้อย่างไร
อสิมอฟไม่ใช่นักเขียนที่ทำงานแบบ perfectionism เขาปลดปล่อยความคิดออกไปทันใด เขามองภาพรวมของคอนเส็ปต์ แล้วเขียน และสนุกกับการเขียน
เขาเขียนงานหลากหลายมาก ทั้งนิยายและสารคดี เขาเขียน ๆ ๆ ๆ ๆ ผลิตงานออกมาเหมือนโรงงานอุตสาหกรรม
เขาเขียนงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เคมี ฯลฯ เป็นคนต้นคิดคำว่า robotics (หุ่นยนต์ศาสตร์)
เขายังเขียนเรื่องศาสนา เช่น Guide to the Bible เรื่องเกี่ยวกับอารยธรรมกรีก โรมัน อียิปต์ ฯลฯ งานเกี่ยวกับเชคสเปียร์ส
อสิมอฟเขียนคอลัมน์ลงในนิตยสาร Magazine of Fantasy and Science Fiction นานถึง 33 ปี (1958 - 1991) เขียนจดหมายมากกว่าเก้าหมื่นฉบับ บทความอีกหลายพันชิ้น เขาเขียนแม้แต่เรื่องขำขัน
การผลิตงานราวกับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดนี้ เพราะมันเป็นความสุขใหญ่หลวง
เขาเขียนมากจนสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งปรามเขา
เขาเล่าว่า “มื้อเที่ยงแย่ ๆ หนึ่งในน้อยครั้งของผม คือกินข้าวเที่ยงกับบรรณาธิการ Austin Olney ในวันที่ 7 กรกฎาคม 1959 ผมเปรยเล่น ๆ กับเขาว่าผมกำลังเขียนหนังสือหลายเล่ม และเขาก็แนะนำผมว่าอย่าเขียนมากเกินไป เขาว่าหนังสือของผมจะแข่งกันเอง และรบกวนยอดขายกันและกัน และถ้ามีมากเล่ม ก็จะทำเงินต่อเล่มได้น้อยลง...
“สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนมาจากชั่วโมงวิชาเศรษฐศาสตร์ตอนชั้นมัธยมก็คือ กฎ Law of Diminishing Returns นั่นคือทำงานหนักขึ้นสิบเท่าหรือลงทุนมากขึ้นสิบเท่า หรือสร้างผลผลิตมากขึ้นสิบเท่า ไม่ได้ให้ผลตอบแทนสิบเท่า หลังอาหารมื้อนั้นผมรู้สึกค่อนข้างหม่นหมอง และครุ่นคิดอีกนานหลังจากนั้น สิ่งที่ผมตัดสินใจได้คือ ผมไม่ได้เขียนหนังสือมากขึ้นสิบเท่าเพื่อหาเงินมากขึ้นสิบเท่า แต่เพื่อมีความสุขมากขึ้นสิบเท่าต่างหาก”
อสิมอฟเลือกเส้นทางทำงานคนเดียวตลอดชีวิตของเขา
กระบวนการหนึ่งที่อสิมอฟทำให้งานไหลออกมาต่อเนื่องก็คือทำงานทีเดียวมากกว่าหนึ่งโครงการ ถ้าไอเดียอุดตันหรือเบื่อหน่ายโครงการหนึ่ง ก็สวิตช์ไปอีกโครงการหนึ่ง มันให้เขาไม่ต้องหยุดงานแล้ววิตกและงานล่าช้า
เขาเชื่อว่าคนเราต้องไม่หยุดเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ กระหายความรู้ตลอดเวลา มันเป็นทัศนคติที่นักเขียนควรฝังในหัวตลอดชีวิต
นักเขียนต้องเป็นนักเรียนด้วย เพราะคลังข้อมูลมีวันหมด และสิ่งที่รู้ก็มีวันหมดอายุ
มีคนสัมภาษณ์อสิมอฟในปี 1988 ว่า “คุณเหลือเวลาสำหรับเรื่องอื่น ๆ ไหมนอกจากเขียนหนังสือ?”
อสิมอฟตอบว่า “ผมทำแต่เขียนหนังสือ ผมไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลยยกเว้นกิน นอน และพูดกับเมีย”
เขาว่าเขาทำงานทั้งวัน ไม่ไปไหน และมีปฏิสัมพันธ์กับภรรยาเท่าที่จำเป็น หมายถึงถ้าภรรยาชวนคุย ก็คุย แต่อยู่ดี ๆ จะไม่ไปคุยด้วย
คุยกับเมียเสียเวลาทำงาน
วินทร์ เลียววาริณ
6-10-252 วันที่ผ่านมา